คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความฝันของเซียว่า
เสียงดังเซ็งแซ่อันเกิดจากการเรียกรวมตัวของเหล่าทหารชั้นผู้น้อยเพื่อมารับฟังคำสั่งงานครั้งต่อไปจากผู้บังคับบัญชา
เด็กหนุ่มในชุดทหารเต็มยศนั่งมองภาพความวุ่นวายนี้ด้วยสายตาเบื่อหน่าย นัยน์ตาสีทับทิมเหม่อมองไปยังที่ที่ไกลแสนไกลโดยไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ ณ จุดใด จนกระทั่งมีเสียงทักเขาดังขึ้น
"ลินเนส เจ้านั่งเหม่อมองอะไรอยู่น่ะ" สิ้นเสียงทักเจ้าของชื่อจึงหันไปมองดูอีกฝ่าย ชายหนุ่มผู้สูงวัยกว่ามองดูเขาพร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่จะลากเก้าอี้ออกมาเพื่อนั่งลงด้านข้าง "มีปัญหาอะไรหนักใจหรือเปล่า" เขาซักถามเมื่อเห็นว่าผู้ถูกเอ่ยทักไม่ได้ตอบอะไร
"ไม่มีอะไรหรอก ท่านพี่ ข้าแค่.." ลินเนสเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียง
"แค่อะไรรึ"
".. ไม่มีอะไรครับ ข้าแค่คิดเรื่อยเปื่อยไปเท่านั้นเอง" เขาตอบพลางก้มหน้ามองพื้น อีกฝ่ายมองอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจในความหมายนักหากแต่เขาก็ตบไหล่น้องชายอย่างให้กพลังใจพลางเอ่ยขึ้น
"ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็คงไม่มีสิทธิ์อะไรจะซักเจ้าหรอกนะ เดี๋ยวข้าต้องขอตัวก่อนล่ะ" เขาพูดก่อนที่จะลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งให้ผู้เป็นน้องนั่งมองตามหลัง
ภาพชายหนุ่มในชุดทหารสีแดงเข้มอันเป็นเครื่องแบบแห่งกองทัพอังเกรียงไกรของเคอิซารี เอ็มไพร์ อาณาจักรแห่งนี้สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของลินเนส ผมสีน้ำตาลเข้มถูกหวีจนเรียบดูเรียบร้อยเพื่อให้เหมาะสมกับชุดเครื่องแบบที่เต็มยศ ท่วงท่าที่สง่างามจนเป็นที่ยอมรับจากผู้คน แม้กระทั่งฝีมือการรบก็เชี่ยวชาญอยู่ในระดับต้นๆของอาณาจักร
..เพราะเจ้าเป็นน้องของอีริค ข้าหวังว่าเจ้าคงจะทำหน้าที่นี้ได้ดีนะ..
ลินเนสนั่งคิดถึงเรื่องหลายเรื่องที่ผ่านเข้ามา ตั้งแต่เขายังเด็ก พี่ชายคือคนที่เขานับถือ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ผู้อื่นตั้งความหวังว่าตัวเขาจะต้องเป็นได้เช่นนั้นด้วย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้นึกอิจฉาในตัวอีริคเสียเท่าใดนัก
"นั่นไง ลินเนส ที่เป็นบุตรชายคนเล็กของท่านนายพลบุลเช่น่ะ" เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากเหล่านายทหารที่จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่โดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะอยู่ในสถานที่นั้นด้วย
"งั้นก็เป็นน้องของท่านอีริคน่ะสิ" อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
"แหงสิ ก็เป็นลูกท่านนายพลเหมือนกัน ไม่ใช่พี่น้องแล้วจะเป็นอะไรกันวะ" เสียงเดิมตอบกลัวพร้อมกับเสียงเฮฮาที่ดังขึ้นอย่างถูกใจยิ่งนัก
"ดูท่าทางไม่เห็นจะเก่งตรงไหนเลย ไม่รู้ทำไมถึงได้เป็นตั้งพันโท" อีกเสียงหนึ่งออกความเห็น
"เฮ้ย นายจะรู้อะไร คิดดูสิ พ่อก็ใหญ่ พี่ก็ใหญ่ แล้วอย่างนี้ตำแหน่งดีๆจะไปไหน จริงไหม" เจ้าตัวไม่พูดเปล่าทำท่าทำทางประกอบเอาเสียด้วยเรียกเสียงหัวเราะอีกระลอกใหญ่
ลินเนสมองดูนายทหารเหล่านั้นด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึก เรื่องเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาได้ยินมาจนชาชินแล้วพอๆกับประโยคที่ให้เขาทำตัวให้ได้ทัดเทียมอีริค เขาแสร้งไอขึ้นมาเบาๆหนึ่งครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นเดินออกจากที่แห่งนั้นไป โดยที่มีสายตานับสิบที่มีแววหวาดหวั่นเจืออยู่เล็กน้อยจ้องมองเขาจากด้านหลัง
ลมเย็นๆพัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าของลินเนสทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง เขามองดูเบื้องล่างจากดาดฟ้าสูงที่เขายืนอยู่หมายจะปลดปล่อยความเครียดที่อยู่ในหัวออกให้หมด ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่นั้นทำให้เขารู้สึกรื่นเริงขึ้นได้บ้างจากการคอยดูวิถีชีวิตที่เรียบง่ายที่ค่อยๆดำเนินไป
**************************************************
"เซียว่า"
เสียงเรียกดังขึ้นเรียกให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ เธอหันไปยังเวลิด้วยแววตาสงสัยก่อนที่จะเอ่ยถาม
"ท่านพี่เรียกข้าทำไมหรือคะ"
"ก็ข้าเห็นว่าเจ้านั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เลยลองเรียกดู เจ้านั่งคิดอะไรอยู่หรือเปล่า" เวลิพูดพร้อมกับเดินเข้ามานั่งด้านข้าง เซียว่าเหลือบมองพี่ชายของตนอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนที่จะตัดสินใจพูดขึ้น
"เมื่อคืนข้าฝันแปลกน่ะค่ะ ท่านพี่ มันดูไม่เหมือนความฝันเลย" เด็กสาวเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจ
"ฝันแปลกๆ เจ้าฝันว่าอะไรล่ะ" เวลิถามขึ้น
"ข้าฝันเห็นคนเยอะแยะเลย ทุกคนแต่งเครื่องแบบสีแดงกันหมด พวกเขามาที่แท่นบูชาแล้วก็ทำลายรูปสลัก แต่อยู่ๆก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมา.. คนพวกนั้นหายไปจนหมด แต่พอแสงมืดไป ทุกสิ่งรอบข้างก็ดับวูบลงไปหมด มันแปลกไหมคะ ท่านพี่" เซียว่าพูดพลางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างรอความเห็น เวลิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยตอบน้องสาวผู้นั่งรอคอยคำพูดเขาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
"ข้าว่าเจ้าคงคิดมากไปเรื่องเมื่อคืนล่ะมัง" เขาสรุปขึ้น
"แต่ว่าท่านพี่คะ" เซียว่าเอ่ยค้านเสียงค่อย เธอควรจะบอกอย่างไรดีว่าใจเธอรับรู้เหมือนมันจะเกิดขึ้นจริงๆ
"ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกเซียว่า เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก" เวลิปลอบเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กสาวพยักหน้าหงึกๆรับรู้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
"งั้นข้าขอไปที่แท่นบูชานะคะ" เซียว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้นกว่าเมื่อครู่ เธอไม่ได้รอคำตอบของพี่ชายหากแต่เดินตรงไปที่ประตูทันที
เสียงประตูเปิดและปิดลงเบาๆพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆจางหายไปบ่งบอกว่าเด็กสาวได้เดินออกไปแล้ว เวลิมองดูร่างของเซียว่าผ่านหน้าหน้าด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนที่จะมานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เธอเล่าให้เขาฟังเมื่อครู่
"ท่าทางจะมีเรื่องวุ่นๆแล้วสินะ" เวลิเอ่ยเบาๆกับตนเอง เขาพอรู้ว่าความฝันนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ให้น้องสาวของเขาต้องมานั่งกลุ้มใจในเรื่องที่หนักหนาเกินตัวเช่นนี้
ทหารเครื่องแบบสีแดงคือทหารของจักรวรรดิเคอิซารี หมู่บ้านริเวอร์วินด์นี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ทางตอนเหนือของดินแดนนี้ แต่เดิมแล้วที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ หากแต่ว่าเมื่อครั้งที่เกิดสงครามเพื่อที่จะขยายดินแดน เป็นธรรมดาที่ผู้แพ้จะถูกรวบเอาแผ่นดินมาเป็นหนึ่งของประเทศผู้ชนะ และนี่คือสาเหตุที่ริเวอร์วินด์กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเคอิซารี
แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว แต่เวลิยังคงจำเหตุการณ์ร้ายๆเหล่านั้นได้ดีราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ไฟแห่งสงครามที่แผดเผาบ้านเรือนหลังแล้วหลังเล่า พวกทหารไร้คุณธรรมที่ฆ่าชาวบ้านที่ไร้ทางสู้อย่างเลือดเย็น ทั้งพ่อและแม่ต่างก็เสียชีวิตไปในการที่เอาตัวเข้าปกป้องเขาที่โดนทหารนายหนึ่งจับได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นเซียว่ายังเด็กอยู่มาก และเขาก็ไม่อยากไปรื้อฟื้นความทรงจำที่แสนเจ็บปวดนั้นขึ้นมาใหม่
"มันแปลกเพราะพระองค์ท่านที่ไม่โปรดเรื่องมังกรกลับจะเสด็จฯ มาด้วยองค์เอง จนถึงบัดนี้แล้ว.. ยังจะประสงค์สิ่งใดจากเราทั้งคู่อีก" เวลิพูดกับตัวเองในขณะที่นั่งเหม่อมองหน้าหนังสือที่พลิกเปิดเองตามแรงลมที่พัดเข้ามา
**************************************************
แสงแดดอ่อนส่องผ่านยอดไม้ลงมาเบื้องล่าง ผีเสื้อกำลังบินอยู่ในทุ่งดอกไม้หลากสีที่ผลิบานเพื่อแต่งแต้มสีสันให้โลกนี้อีกวันหนึ่ง เซียว่าเหลียวดูรอบข้างอย่างนึกกังวล จะเกิดอะไรถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายลงไปหมด มันจะมืดมิดดั่งความฝันเมื่อคืนอย่างนั้นหรือ
"ทำไมทำหน้าตาเป็นกังวลอย่างนั้นล่ะ ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ" เสียงทักดังขึ้น เด็กสาวเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับชายปริศนาคนเดิม ผมสีเงินนั้นสะท้อนรับกับแสงอาทิตย์เป็นประกายสีสวยดูแปลกตา เซียว่ายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนที่จะเอ่ยทักขึ้นบ้าง
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่ชายมาตั้งแต่เมื่อไรเหรอคะ"
"ข้าอยู่มาตั้งแต่ต้นแล้วต่างหาก" เขาแก้ให้ก่อนที่จะนั่งลงกับพื้นด้านข้างเธอ เซียว่าหันมามองเขาด้วยสายตาที่เจือด้วยแววโกรธเล็กน้อย
"เมื่อวานอยู่ๆพี่ชายก็หายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทำให้ท่านพี่ว่าข้าคุยอยู่คนเดียวเลยนะ" เด็กสาวตัดพ้อพลางทำหน้างอแบบเดียวกับเด็กๆ อีกฝ่ายมองหน้าเธอยิ้มๆก่อนที่จะเอ่ยปากขอโทษ
"ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่ค่อยชอบพูดคุยกับใครน่ะ" คำตอบที่ได้รับนี้ทำเอาเด็กสาวหันหน้าขวับมาอย่างตกใจ
"เหรอคะ งั้นข้ามากวนพี่ชายหรือเปล่าคะ ถ้างั้นข้าจะไม่พูดกับพี่ชายอีกแล้วก็ได้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างลังเลใจว่าเธอมาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญหรือไม่ แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้
"ข้ายังไม่ทันว่าเจ้าสักหน่อย ถ้าข้าไม่อยากคุยกับเจ้าคงไม่ออกมาให้เห็นหรอก" เขาพูดตอบเธอทั้งที่ยังคงหัวเราะออกมาอยู่
"จริงสิ ข้ายังไม่รู้ชื่อพี่ชายเลย พี่ชายชื่ออะไรหรือคะ" เธอเอ่ยถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าจนป่านนี้แล้วเธอยังไม่รู้ชื่อของคนตรงหน้าเลย หากแต่อีกฝ่ายมีทีท่าอึดอัดขึ้นมาทันทีที่เธอถามเช่นนั้น
"ข้า.." คำตอบที่ถูกเอ่ยอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนักในขณะที่มองหน้าเด็กสาวที่นั่งรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
"เรียกข้าว่า โลอิ ละกัน" เขาตอบออกมาในที่สุด
"โลอิหรือคะ พี่ชายนี่ชื่อแปลกจังนะ อ๊ะ ข้าชื่อเซียว่าค่ะ" เธอพูดตอบเขาอย่างรวดเร็ว
"งั้นเซียว่า เจ้ากังวลใจเรื่องอะไรหรือ ถึงได้ทำหน้าเป็นกังวลเช่นนั้น" โลอิเอ่ยถามอย่างสงสัย เซียว่ามองหน้าเขาอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงลังเลใจ
"พี่ชายฟังแล้วต้องไม่หัวเราะเยาะข้านะคะ" เด็กสาวพูดขึ้นพลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาลังเลชั่วครู่ ก่อนจะจะกล่าวต่อ "ข้ากำลังกลุ้มเรื่องความฝันแปลกๆเมื่อคืนอยู่น่ะค่ะ มันแปลก แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนจริงมากเลย"
"ฝันว่าอะไรล่ะ" เขาซักต่ออย่างสนใจ เซียว่าหลับตาลงชั่วครู่ในขณะที่พยายามนึกทวนฝันให้ขัดออกเป็นรูปร่าง
"ทหารชุดแดงเข้ามาล้อมที่นี่ไว้จนหมด แล้ว.. อยู่ๆก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาจากรูปสลักมังกร พวกทหารหายไป แต่ว่าพอสิ้นแสงสว่างนั้น รอบข้างก็มืดมิดลงไปหมด" เซียว่าพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น อีกฝ่ายมองเะฮอย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยปลอบ
"แต่มันแค่ความฝันเท่านั้นเองนี่ จริงไหม"
"พี่ชายพูดเหมือนท่านพี่เวลิเลย มันดูสมจริงมากเลยนะคะ"
"งั้นหรือว่าเจ้า เชื่อว่าจะมีคนมาทำลายที่นี่ลงได้จริงๆงั้นหรือ"
เซียว่าส่ายศีรษะอย่างแรง เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่ามีใครคิดจะมาทำลายที่นี่จริงๆ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เธอก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะทำเพื่ออะไร เด็กสาวเหลือบมองดูชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ด้านข้างเธออย่างนึกสงสัยในสิ่งที่เขาเคยพูดไว้เมื่อไม่นานมานี้
"พี่ชายเคยบอกข้าว่าจะมีใครมาทำลายที่นี่ไม่ใช่หรือคะ"
"ก็ใช่ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้ากังวลในเรื่องที่ยังไม่เกิดเช่นนั้นนี่ จริงไหม..?? ดูสิ หน้าของเจ้าตอนเวลาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดน่ะดูไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ" เขาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะให้เด็กสาวค้อนขวับเข้าให้
"ท่านพูดเหมือนถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้อย่างนั้นแหละ"
"แต่มันเป็นความจริงไม่ใช่หรือ เจ้าน่ะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ ไม่ควรจะมานั่งกังวลเรื่องที่ใหญ่เกินตัวเช่นนี้หรอก" อีกฝ่ายตอบกลับ
"แต่ข้าน่ะ ไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะคะ แล้วหน้าที่ของข้าคือต้องดูแลและปกป้องที่แห่งนี้ให้ดีที่สุด" เซียว่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่เธอเน้นย้ำไว้ในใจ
"ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็ขอให้เจ้าทำมันได้ดังใจเจ้าหวังละกันนะ เซียว่า"
"ค่ะ แต่ถ้าหากว่าจะไม่มีใครมาทำลายที่นี่คงจะดีที่สุดนะคะ" เด็กสาวรับคำเบาๆ
**********************************************
ความมืดมิดแห่งรัตติกาลเข้าปกคลุม แสงตะวันลาลับไปจากผืนโลกเหลือเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่เข้ามาแทนที่ และแสงริบหรี่ของดวงดาวน้อยใหญ่เต็มท้องฟ้าอันมืดมิด แสงไฟที่ส่องผ่านหน้าต่างแต่ละบานในเมืองเป็นเหมือนดวงไฟที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนอยู่ของคนแต่ละคนในบ้านหลังนั้น ยิ่งเวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น ดวงไฟเหล่านั้นก็ค่อยๆดับไปทีละดวง จนเหลือไฟหลักที่ยังคงส่องสว่างไม่กี่ดวงเท่านั้น
ลินเนสจ้องมองดูภาพเหล่านี้ราวกับจะซึมซาบมันลงไปสู่จิตใจ เขายืนตากลมอยู่ด้านนอกมานานมากแล้ว แต่ทว่าก็ยังไม่นึกอยากกลับเข้าไปด้านในตัวบ้าน ทั้งนี้ทั้งนั้นในใจเขามัวแต่คิดทบทวนสิ่งที่เขาพบเจอมาในวันนี้
"องค์จักรพรรดิจะเสด็จไปปราบพวกกบฏที่หมู่บ้านทางตอนเหนือ ข้าต้องการให้เจ้าไปเป็นองครักษ์พระองค์ด้วยกันกับอีริคนะ เข้าใจไหม" เสียงสั่งของท่านนายพลบุลเช่ผู้เป็นบิดาดังก้อง ตัวเขาเองพยักหน้ารับก่อนที่จะเอ่ยปากรับคำ
"ครับ ท่านนายพล" ลินเนสตอบรับ ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่มองตรงมาทางเขาด้วยความรู้สึกสองทาง หนึ่งคือมองด้วยความคาดหวังในผลงานที่คาดว่าว่าจะออกมาอย่างดีตามแบบฉบับเช่นเดียวกับผู้เป็นพี่ และอีกความรู้สึกที่มีมาไม่แพ้กันคือความริษยาในตำแหน่งที่สมควรจะแบ่งสรรกันตามขั้นอาวุโส แม้ว่าจะไม่มีใครแย้งว่าฝีมือดาบของเขาเองมิได้เลวร้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ดีกว่าผู้เป็นพี่เสียเท่าไหร่ เหนือสิ่งอื่นใด คนเราย่อมไม่ชอบเห็นใครดีเด่นเกินหน้าตาตนอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ หลังจากจบการประชุมทหารในคราวนั้นตัวเขาจึงยิ่งโดนเพ่งเล็งกว่าเดิม ลินเนสได้แต่ถอนใจอย่างเหนื่อยล้ากับวิถีชีวิตที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ แต่มันก็เป็นหน้าที่ที่เขาต้องทำมันให้สำเร็จโดยไม่อาจหลีกหนีได้
ลินเนสหยิบดาบในมือขึ้นมาเพ่งพินิจดู มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มเห็นว่าดาบนี้เป็นสิ่งที่หนักหน่วงกว่าที่คิดหลายเท่านัก ทั้งที่แต่ก่อนมันเป็นสิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด เพราะว่าเขาชื่นชมในตัวของพ่อที่เป็นนายพลที่สง่างามเช่นนั้น และการได้ฝึกฝนดาบกับอีริคมันก็สนุกดี แต่มันเพราะอะไรกัน...??
"หึ..นี่ข้ากำลังดูถูกชีวิตของทหารแห่งจักรวรรดิอยู่งั้นหรือนี่.." เขาเอ่ยเบาๆกับตนเองก่อนที่จะเก็บดาบลงไป แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องก่อนที่จะดับไฟในห้องลง
ความคิดเห็น