ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : The last Summoner Girl - เด็กสาวผู้อัญเชิญคนสุดท้าย
          เมื่อยามรัตติกาลมาเยือนพื้นโลก  ที่ค่ายทหารนี้ดูครึกครื้นยิ่งนักเนื่องด้วยฝ่ายตนเป็นฝ่ายชนะในสงครามครั้งนี้  ถึงแม้จะมีความอาลัยในคนผู้จากไปในสงครามครั้งนี้แต่ก็ห้ามรอยยิ้มไม่ได้  แสงจากคบเพลิงให้ความสว่างไสวไปทั่วทั้งค่าย  เหล่าทหารที่มิได้บาดเจ็บ  หรือมีบาดแผลเพียงน้อยนิดต่างก็มาร่วมวงดื่มเหล้ากันอย่างสุขสันต์  ท่ามกลางความครื้นเครงนี้ยังมีผู้หนึ่งซึ่งมีนัยน์ตาสีฟ้าอันโศกเศร้า  ผมสีเงินยามพลิ้วไปตามแรงลมในขณะที่เหม่อมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย  จนกระทั่งมีผู้หนึ่งเดินอย่างตั้งใจให้แผ่วเบาที่สุด  แต่หาพ้นประสาทหูอันยอดเยี่ยมของเขาไปได้
          \"คิดว่าใครเสียอีก...\"  คำพูดหลุดออกมาจากปากยูริสเทอุส  เมื่อเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามานั้นคือกษัตริย์แห่งเอเรนเทีย  ก่อนจะเมินหน้าหนีกลับไป
          \"ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับกษัตริย์ของพวกมนุษย์  จงกลับไปเสียเถอะ\"  คำพูดที่แฝงถึงความไม่ยอมลดตัวให้กับผู้สูงอำนาจกว่าด้านหลัง  หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมทำตามที่ขอ  และเอ่ยถามคำถามขึ้นมา
          \"เรารู้ว่าพวกนายไม่ยอมรับอำนาจของใครอื่นนอกจากนายของตนเอง  ไม่จำเป็นที่นายจะต้องแสดงความเคารพเราก็ได้  เราแค่จะมาถาม  ตอนนี้อัสลานกับจูเรียก็ไม่อยู่เสียแล้ว  แล้วลูกสาวของคนทั้งคู่ล่ะ...\"
          \"ข้าจะดูแลเธอเอง..!!\"  ยูริสเทอุสพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทำเอาอีกฝ่ายหนึ่งยิ้มขึ้นในนิสัยเช่นนี้  ก่อนจะเอ่ยต่อไป
          \"เรารู้ว่าเจ้าต้องพูดเช่นนั้น  แต่พวกสัตว์เทพ  ย่อมเลือกนายโดยมีเงื่อนไขแห่งการทดสอบ  ดังนั้นตอนนี้เธอจึงยังไม่ใช่ผู้เป็นนายอย่างแท้จริง...\"
          \"มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับการทดสอบนั้น  ข้าจะรอจนกว่าเธออายุครบสิบห้าปี  แต่เรื่องการทดสอบจะเป็นอย่างไร  ไม่ใช่เรื่องที่ต้องบอกให้ท่านรู้\"  คนพูดส่งสายตาเย็นชากลับมาให้  อีกฝ่ายถอนใจเบาๆก่อนพูดขึ้น
          \"ก็หวังว่ามันคงไม่ยากเกินไปที่เด็กคนนั้นจะผ่านไปได้  ตอนนี้เธอเป็นผู้อัญเชิญคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในดินแดนนี้แล้ว  วันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้า  เราอยากจะพบพวกเจ้าอีกครั้ง  หวังว่าคำขอนี้คงจะได้สมใจเรานะ\"  กษัตริย์พูดขึ้นก่อนจะเดินจากไป  ทิ้งให้อีกฝ่ายมองตามด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ  พลางคำนึงถึงเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในสนามรบที่ผ่านมาไม่นาน
          หากว่าในตอนนั้น  ข้าไม่หยุดการโจมตีไปล่ะก็...  เหตุการณ์อาจจะไม่ออกมาในรูปแบบนี้ใช่ไหม  อัสลาน...
************************************************************
          แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านบางเข้ามาในห้องต้องใบหน้าของผู้ที่ยังคงหลับไหล  เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วรับยามอรุณอันสดใสนี้ที่ไม่เหลือเค้าให้เห็นว่าได้ผ่านสงครามกับพวกปีศาจมาได้เพียงสิบปี  เด็กสาวขยับตัวเล็กน้อยหากแต่ยังคงยกผ้าห่มขึ้นปิดหน้าเพื่อหลบแสงแดดที่ส่องแยงตาเธอนั้น  เสียงใครบางคนเดินใกล้เข้ามาทุกที  และแล้วประตูห้องเธอก็เปิดออก
          \"จะนอนไปถึงเมื่อไรกันครับ  วันนี้เราต้องเข้าเมืองกันนะ  นายหญิง\"  เสียงพูดดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในห้อง  เด็กสาวงัวเงียตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้  และเหม่อมองไปที่ผู้ที่เข้ามาปลุกเธอ
          ชายหนุ่มร่างสูงที่มีผมสีเงินยาวซึ่งรับกับดวงตาสีฟ้าใสเป็นอย่างดี  ใบหน้าที่จัดอยู่ในขั้นที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาเอาการ  หากแต่มีบางสิ่งผิดแผกไปจากคนธรรมดาโดยทั่วไป  หูสีขาวของหมาป่าปรากฏอยู่แทนที่จะเป็นหูตามมนุษย์ปกติ
          \"โธ่  ยูริส  ฉันง่วงนี่นา  ก็เมื่อคืน  กว่าจะได้นอนก็ดึก\"  มิราเคิลพูดพลางเอามือปิดปากหาว  แต่เมื่อตระหนักว่าแววตาคู่ฟ้านั้นเริ่มส่งกระแสแห่งความเอาจริงเอาจังมาให้จึงเริ่มลุกขึ้นจากเตียง  และค่อยๆเดินไปล้างหน้า
          ขณะที่เธอกำลังเอามือวักน้ำล้างหน้าอยู่นั้น  กระรอกสีน้ำตาลตัวหนึ่งก็กระโดดจากกิ่งไม้ลงมาหาเธอ  ขนปุยสีน้ำตาลของมันแฝงถึงความชราไปตามกาลเวลา  ชิปลีนั่นเอง
          ตื่นสายอีกแล้วล่ะหรือ  ทำให้เขาอารมณ์ขุ่นแต่เช้าเลยนะ  มันเอ่ยขึ้นเป็นคำทักทาย  เด็กสาวจ้องมองมันด้วยสายตาไม่พอใจ  ก่อนเอ่ยขึ้น
          \"ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับชิปลีนี่  ก็แล้วทำไมยูริสถึงต้องอยากเข้าเมืองเอานักนะในวันนี้น่ะ..\"
          พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าลืมไปแล้วน่ะสิ  เด็กน้อย  ลองนึกดูดีๆสิว่าวันนี้เป็นวันอะไร...
          เด็กสาวมุ่นหัวคิ้ว  เธอเบื่อที่จะถามอะไรกับกระรอกตัวนี้เพราะมันไม่เคยตอบคำถามเธอตรงๆเสียสักที  และอีกอย่าง  มันมีสิทธิ์อะไรมาเรียกเธอว่าเด็กน้อย  ในเมื่อสัตว์ตัวนี้ตัวกระจ้อยกว่าเธอเสียอีก  แต่ในเมื่อมันพูดเช่นนั้นเธอก็ต้องนั่งคิด  วันนี้เป็นวันสำคัญอะไรกันเล่า 
          \"นายหญิง  สายแล้วนะครับ  จะใช้เวลาเปลี่ยนชุดนานเท่าไรกัน..??\"  เสียงเร่งเธอดังขึ้นทำให้เธอต้องหยุดนั่งคิดถึงความสำคัญของวันนี้ไป  และรีบเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว  และลงไปที่ชั้นล่างเพื่อรับประทานอาหาร  แต่พลันที่สายตาเธอมองเห็นอาหารเช้าวันนี้คิ้วทั้งคู่ก็ขมวดเข้าหากันแทบจะในทันที  ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มผู้กำลังเตรียมจานและช้อนส้อมให้
          \"ยูริส  นี่มันมีแต่ผักทั้งนั้นเลยนี่นา...\"  เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวเล็กน้อย  เธอเกลียดที่จะต้องทานอาหารที่มีผักประกอบอยู่ด้วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  แต่ก็มักจะถูกบังคับให้ทานอยู่เรื่อยไป  และเช้าวันนี้ก็เช่นกัน
          \"ผักมีประโยชน์ต่อสุขภาพนะครับ  ถึงไม่ชอบก็ต้องทนกิน\"  คำขาดถูกเอ่ยขึ้นจากปากสัตว์เทพซึ่งตอนนี้อยู่ในรูปร่างมนุษย์อย่างเต็มตัว  หูเรียวของหมาป่าถูกซ่อนไปแล้ว  นัยน์ตาสีฟ้าที่ดูเฉียบขาดนั้นจับจ้องมาที่มิราเคิลอย่างไม่วางตา  เพื่อไม่ให้เธอแอบเทผักในจานทิ้งได้  ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงจำใจต้องทานผักในจานจนหมด  ถึงแม้จะแสดงอาการไม่ชอบจนออกนอกหน้าก็ตาม
************************************************************
          \"เอ๋...  จะไปที่เมืองหลวงหรอกเหรอ  เมืองที่ว่าไม่ได้หมายถึงชารันหรอกเหรอ..??\"  เสียงอุทานดังขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อรับรู้ว่าเมืองที่ยูริสเทอุสพูดนั้นหมายถึงเมืองหลวง  มิใช่เมืองชารันที่มักจะไปทุกครั้งเวลาต้องหาซื้อของอะไร  ยูริสเทอุสมองเธอด้วยความแปลกใจในอาการตื่นตกใจนี้  แต่ก็เอ่ยตอบกลับมาว่า
          \"วันนี้เมืองที่จะไปคือมหานครกาเรนนั่นแหละครับ  นายหญิงต้องไปเข้าเผ้ากษัตริย์นะครับ..\"  ยูริสพูดยังไม่ทันจบก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจในคำบอกนี้ดังมาเต็มที่
          \"หา...  ไปเข้าเฝ้าเนี่ยนะ  ล้อเล่นสินะ  ยูริสเทอุส\"  มิราเคิลร้องขึ้นด้วยความตกใจ  เธอมองนัยน์ตาสีฟ้าของอีกฝ่ายเพื่อขอคำอธิบายให้มากกว่านี้  หากแต่ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆที่หลุดออกมาจากปากชายหนุ่มตรงหน้านี้เสียเลยทำให้เธอต้องมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิด  สัตว์เทพตรงหน้านี้พอมีอารมณ์อยากพูดขึ้นมาก็มักจะอบรมเธอในเรื่องต่างๆซะเสียจนดูเหมือนการเทศนากัณฑ์ย่อมๆเลยทีเดียว  แต่พอนึกจะเงียบทีก็ไม่ปริปากพูดเอาเสียดื้อๆหากแต่ดูน่ากลัวยิ่งกว่าอย่างแรกเสียอีก  ไม่มีทางเลือกใดๆนอกจากเดินตามเจ้าตัวไปเรื่อยบนถนนสายเล็กๆที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านกับตัวบ้านเธอซึ่งอยู่บนเขา  เมื่อลงมาถึงกรีนฟิลด์แล้วสิ่งแรกที่เด็กสาวเอ่ยปากขึ้นก็คือ...
          \"ยูริส  หยุดแป๊บหนึ่งนะ  นะ..??\"  คำพูดที่ต้องการคำตอบ  แต่เจ้าตัวคนถามมิได้ใส่ใจจะรอว่าคำตอบจะออกมาเป็นเช่นไร  มิราเคิลออกวิ่งตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางหมู่บ้านมากที่สุด  บ้านหลังเดียวที่ปัจจุบันนี้รกร้างไปเสียแล้ว  รั้วไม้เตี้ยๆที่ผุพังไปตามกาลเวลามีเห็ดรางอกขึ้นแสดงถึงขาดความเอาใจใส่มาเป็นเวลานาน  เสียงประตูไม้ซึ่งหักไปแล้วนั้นเปิดดังแอ๊ดเบาๆ
          เด็กสาวเดินเข้ามาในบ้านแล้วมองไปรอบๆอย่างนึกถึงความหลัง  เก้าอี้เล็กๆหลายตัวที่ล้มระเนระนาดนี้ครั้งหนึ่งเคยตั้งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  โต๊ะเปื้อนฝุ่นนี่ครั้งหนึ่งมักจะเต็มไปด้วยขนมต่างๆที่เธอชอบทาน  เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานในวันเก่าๆยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท  คุณน้าและคุณอาที่ใจดี  และ...
          \"ซิล..\"  เสียงเอ่ยเบาๆดังมาจากปากของมิราเคิล  หลังจากแยกจากกันเมื่อสิบปีที่แล้ว  เมื่อเธอกลับมาถึงที่นี่อีกครั้งก็พบกับสภาพบ้านของซิลที่เป็นแบบนี้  ชาวบ้านต่างเล่าเหตุการณ์เป็นเสียงเดียวกันว่าพวกปีศาจพากันมาค้นหาอะไรบางอย่างที่บ้านหลังนี้  จะด้วยเพราะเหตุใดไม่อาจรู้ได้  แต่พวกมันก็จากไปโดยทิ้งซากศพของสองสามีภรรยาไว้  แต่กลับไร้ร่องรอยของเด็กชายผมเงินผู้เป็นบุตรเลย
          \"ผ่านมาสิบปีแล้วสินะ  สัญญากันแล้วว่าจะรอฉันกลับมา  แต่กลับมาเป็นแบบนี้เสียได้  แต่ถึงอย่างไรฉันก็รออยู่นะ  รีบๆกลับมาเข้าล่ะ...\"  คำพูดสุดท้ายที่ทิ้งท้ายไว้  ก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าเดินออกจากตัวบ้านไป  เหลือเพียงความเงียบและเงามืดปกคลุมอยู่ในที่แห่งนี้
************************************************************
          \"ไปทำอะไรมาล่ะครับ  เดี๋ยวกว่าเราจะถึงก็พลบค่ำกันพอดี\"  เสียงบ่นด้วยความไม่พอใจดังมาจากปากของชายหนุ่มผมเงิน  นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องมาทางมิราเคิลอย่างตำหนิให้เธอใจแป้ว  ก่อนจะออกเดินนำต่อไปให้เธอใจชื้นขึ้นเล็กน้อยที่ไม่ต้องมาฟังคำอบรมใดๆในตอนนี้  แต่ก่อนที่จะชนหลังของคนร่างสูงตรงหน้าอย่างจังเพราะหยุดอย่างกระทันหัน
          \"เกือบลืม  นี่... ของขวัญวันเกิด  อายุครบสิบห้าปีแล้วนะครับ\"  ยูริสเทอุสยื่นมือซึ่งกำอะไรบางอย่างออกมาแล้ววางบนฝ่ามือเธอ  มิราเคิลมองดูของในมือซึ่งคือเข็มกลัดอันเล็กๆ  เป็นรูปปีกหนึ่งคู่เชื่อมต่อกัน  เด็กสาวยิ้มด้วยความชอบใจก่อนขอบคุณคนให้ด้วยน้ำเสียงเริงร่า
          \"ขอบคุณนะ  ยูริส  น่ารักดี...\"
          \"ไม่เป็นไรครับ  แต่หลังจากนี้คงต้องมีเรื่องลำบากเล็กน้อย..\"  คำพูดตอบรับคำขอบคุณแบบไม่ใส่ใจและฟังดูแปลกหู
          \"เอ๋..??  ลำบากอะไร..??\"  เธอถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจในความหมายของคำพูดนั้น  แต่คำตอบที่ได้กลับเป็น...
          \"ไม่มีอะไรครับ  เดี๋ยวเราต้องรีบเดินทางเพื่อไปถึงกาเรนก่อนค่ำ  มิฉะนั้นจะลำบากแน่ๆหากต้องพักแรมกลางป่า..\"  คำตอบที่ฟังดูก็รู้ว่าจงใจตอบเลี่ยงคำถามยิ่งทำให้ความสงสัยในใจเพิ่มขึ้น  แต่ก็รู้ว่าคนตรงหน้าเวลาไม่พูดอะไรต่อให้หาวิธีล่อหลอกใดๆก็ไม่ได้ผล  จนกว่าจะถึงเวลาเขาจึงจะพูดขึ้นมาเอง  ตอนนี้คงไม่ถึงเวลาพูดเรื่องนั้นล่ะมั้ง  เด็กสาวคิดเช่นนี้ก่อนจะวิ่งตามหลังของคนตรงหน้าซึ่งเดินนำไปหลายก้าวแล้ว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น