คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Prologue -The Beginning of Destiny จุดเริ่มแห่งโชคชะตา
ลำแสงทองเลือนลับหายไปจากขอบฟ้า ปล่อยให้เงามืดเข้าครอบครองผืนพิภพในยามราตรี แสงนวลจากดวงจันทราส่องเป็นเครื่องนำทางแก่เหล่าสัตว์และผู้เดินทางยามที่ตะวันลับหาย สายลมอ่อนๆพัดพาเอาใบไม้เสียดสีกันเบาๆราวกับเป็นบทเพลงขับกล่อมเวลาอันเป็นช่วงแห่งการพักผ่อนให้แก่สรรพสิ่งบนโลก
"ท่านคิดว่าคำมั่นสัญญานั้น จะคงอยู่ได้นานเท่าใด" เสียงหนึ่งดังขึ้น ในขณะที่เจ้าของร่างนั้นนั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ใบหน้าแหงนมองดูดวงดารา สายลมพัดพาเอาผมที่ยาวสลวยจรดพื้นนั้นสยายออกมาคลอเคลียบ่า นัยน์ตาสีฟ้าใสเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมนั้นละจากสิ่งที่อยู่บนผืนฟ้ามาดูร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างรอคอยคำตอบ
"อาจจะนานตราบชั่วฟ้าดินสลาย หรืออาจจะเพียงแค่ไม่ชั่วข้ามคืน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่เอ่ยรับคำนั้นเป็นผู้ใด" อีกฝ่ายเอ่ยตอบพลางเอามือเสยผมสีดำขลับราวกับสีแห่งรัตติกาล นัยน์ตาเธอจับจ้องมองดูร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตาอย่างนึกใคร่ครวญถึงบางสิ่ง หญิงสาวผู้เอ่ยถามคำถามนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อความ
"คำสัญญาอันเป็นนิรันดร์ ท่านคิดว่ามันจะมีจริงหรือเปล่า หือ.." เจ้าหล่อนเอ่ยในขณะที่มือนั้นยันกายลุกขึ้น ปล่อยชายอาภรณ์สีขาวบางนั้นพลิ้วไปตามแรงลมก่อนที่จะยาวลงมาเรี่ยพื้น แล้วจึงเดินตรงเข้ามาหาคู่สนทนา
"เวลาเป็นสิ่งไม่แน่นอน ท่านเองย่อมรู้ดี"
"ใช่สิ เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ใจคนย่อมแปรเปลี่ยนตาม แต่จะมีสักครั้งไหมที่บางสิ่งจะไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์นี้" คำถามถูกหยิบยื่นให้อีกครา คนฟังเงียบไปพักใหญ่ด้วยความยากของคำถาม คำถามที่ไม่อาจตอบได้ด้วยปาก
"ตอบลำบาก... ว่าแต่ท่านจะอยากรู้เรื่องเหล่านี้ไปทำไม คำมั่นสัญญาอันเป็นนิรันดร์คงไม่จำเป็นสำหรับท่านเท่าใดหรอกกระมัง" เธอตอบกลับด้วยคำถามที่แสดงถึงความสงสัยในคำถามที่มีมาตั้งแต่ต้นแล้ว
"มันไม่สำคัญสำหรับเราก็จริง แต่บางที เวลาข้างหน้าอาจจะต้องอาศัยคำตอบของคำถามนี้ เราเองก็อยากรู้ ว่าคำสัญญานั้น จะมีค่ามากเท่าไร และเพียงพอที่จะแปรเปลี่ยนเส้นทางแห่งชะตากรรมได้หรือไม่"
"ก็ได้แต่เป็นเพียงผู้เฝ้าดูเท่านั้นไม่ใช่หรือ ท่านผู้ควบคุมกระแสธารแห่งกาลเวลา วาสเซอร์รี่" อีกฝ่ายกล่าวพร้อมๆกับถอนหายใจให้เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยขึ้นหันมามองก่อนที่จะเอ่ยค้าน
"หึ... แต่ว่านะ การเป็นผู้เฝ้าดูเพียงอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าใดมิใช่รึ คำตอบของคำถามนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการหรอก หากแต่เป็นพวกผู้อยู่ในเส้นทางนี้ต่างหาก" เธอเอ่ยพร้อมกับเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อหยิบวัตถุขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือเท่าใดนักขึ้นมา แสงจันทร์ส่องกระทบนาฬิกาทรายที่ทำจากเงินเป็นประกายวาววับ คริสตัลใสตรงกลางที่บรรจุไปด้วยทรายที่เต็มไปด้วยมนตรานั้นค่อยๆไหลลงมาจากด้านบนสู่ด้านล่าง
"เห็นไหม มันเริ่มแล้ว แบล็คคริสตัล" วาสเซอร์รี่เอ่ยขึ้นซึ่งน้ำเสียงนี้บ่งบอกไปถึงเม็ดทรายที่ค่อยๆไหลหล่นสู่กระเปาะล่างของของนาฬิกาทรายอย่างช้าๆทว่าสม่ำเสมอทีละเม็ดๆ
"คงอีกไม่นานที่จะได้รู้คำตอบนั้นใช่ไหม" แบล็คคริสตัลพูดขึ้นมาเบาๆท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวมากขึ้นทุกขณะ
คำสัญญา เมื่อเอ่ยขึ้นมาย่อมหมายวjาจะรักษาไว้ตลอดไป...
หากแต่ว่าเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ใจคนเราย่อมแปรเปลี่ยนตาม....
เช่นนี้แล้ว คำสัญญานั้นจะมีค่าเพียงไร มิใช่เพียงแค่เศษเสี้ยวของความทรงจำหรอกหรือ
หรือคำมั่นสัญญาอันเป็นนิรันดร์ จะไม่อาจมีอยู่จริง
*****************************************************************
สายลมอ่อนๆพัดผ่านมาพาให้ใบไม้ปลิดปลิวร่วงหล่นบนพื้นดินซึ่งมีหญ้าขึ้นเพียงประปราย เพราะบัดนี้ถึงเวลาที่สายลมเหนืออันหนาวเหน็บจะพัดผ่านพามาพร้อมกับนำละอองหิมะมาปกคลุมดินแดนแห่งนี้ แสงแดดสีแดงอมส้มย้อมสีใบไม้แห้งเหล่านั้นให้ดูเป็นสีแดงอย่างน่าอัศจรรย์ กระรอกน้อยตัวหนึ่งกระโดดข้ามกิ่งไม้ไปอย่างเร่งรีบ จากกิ่งหนึ่งไปสู่อีกกิ่งหนึ่ง และเรื่อยไปจนกระทั่งข้ามมายังอีกต้นหนึ่ง จนถึงต้นวอลนัทที่มีลูกร่วงเกลื่อนพื้น เจ้าตัวน้อยนี้จึงกุลีกุจอลงมาเก็บของกินของตน และขนไปเก็บเพื่อใช้สำหรับฤดูหนาวที่โหดร้าย แต่ระหว่างที่มันมัวแต่เก็บลูกไม้เหล่านั้นอย่างขมีขมันไม่ใส่ใจรอบข้าง ด้านหลังมันก็มีแขกผู้มาเยือนอย่างไม่ให้เจ้าสัตว์ตัวน้อยนี้ได้ทันตั้งตัว...
"ชิปลี.." เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังทำเอาเจ้าสัตว์ตัวนี้สะดุ้งโหยง ก่อนรีบกระโดดผึงปีนไต่ขึ้นไปบนยอดไม้ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ก่อนที่จะทันได้นึกและหันย้อนกลับมามองผู้ที่เอ่ยทักมันคราที่ไม่ตั้งตัว
เบื้องล่าง หมาป่าตัวยักษ์ยืนจังก้ามองขึ้นมาที่ตัวมันซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร กระรอกที่มีชื่อว่า ชิปลี จึงค่อยๆไต่ลงไปที่พื้นเบื้องล่างซึ่งหมาป่าสีขาวนั่งรออยู่ ภาพนี้คงเป็นที่แปลกตาสำหรับผู้ที่เดินผ่านไปมาเป็นแน่ นัยน์ตาสีฟ้าดุๆของหมาป่าจ้องมองไปยังเจ้าสัตว์ตัวน้อยตรงหน้าที่ไม่มีวี่แววว่าเกรงกลัวตนตามที่น่าจะเป็น ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"เห็นนายน้อยบ้างไหม เธอหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้วแท้ๆ" ภาษาพูดเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ผู้หนึ่งดังออกมาจากปากของหมาป่า ชิปลีแทะลูกวอลนัทที่หล่นอยู่เกลื่อนพื้นไปตามเรื่องตามราวก่อนจะเอาเท้าเกาหูแกรกๆ
พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางงั้นรึ นายน่าจะเดาออกนะว่าเธอไปที่ไหน คงจะไปลาเพื่อนผู้มีผมสีเงินล่ะสิ
"อืม..งั้นเหรอ.." หมาป่าพูดขึ้นพลางขยับตัวจะลุกขึ้น
แล้วไง นายจะไปตามเธอกลับบ้านหรือไง ปล่อยๆมั่งดีกว่าน่า ถ้าฉันเป็นเธอคงอึดอัดแย่...
"อย่างนายน่ะ มันอิสระเกินไป" หมาป่าคำรามตอบเบาๆให้ชิปลีสะดุ้งเฮือก ก่อนจะมีเสียงกรอบแกรบอันเกิดมาจากฝ่าเท้าทั้งสี่เหยียบย่ำลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง หมาป่าสีขาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทิ้งให้เจ้ากระรอกมองตามอยู่เบื้องหลัง
เป็นผู้ปกครองที่เข้มงวดจริงๆ มันบ่นก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเก็บลูกไม้ต่อไป
********************************************************
ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมากระทบผิวน้ำ ก่อให้เกิดวงคลื่นน้ำเล็กๆแผ่ขยายออกไปจนสุดขอบตลิ่งและกลับมาเป็นผิวน้ำที่นิ่งเงียบตามเดิม จะมีบ้างที่เกิดระลอกคลื่นน้ำจากปลาโผล่ขึ้นมาฮุบเอาแมลงที่เคราะห์ร้ายร่วงหล่นไป เงาสะท้อนบนน้ำเผยให้เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างตลิ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มพลิ้วไปตามลม ดวงตาสีน้ำตาลดุจเดียวกับสีผมนั้น
เธอนั่งมองภาพทุกอย่างตรงหน้าอย่างตั้งใจ ราวกับจะจารึกภาพเหล่านี้ไว้มิให้ลืมเลือน มือเล็กเรียวหมุนใบไม้เล่นไปตามเรื่อง เธอคงนั่งเช่นนี้ไปอีกนานหากว่าไม่มีใครมาพบเจอ
"มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ" เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้นให้เธอสะดุ้งหันกลับไปมองผู้ทัก เด็กชายผู้หนึ่งซึ่งมีผมและนัยน์ตาสีเงินกำลังมองมาที่เธออย่างสงสัย
"มารอซิลนี่แหละ" เด็กหญิงตอบพร้อมๆกับมุ่นหัวคิ้ว
"รอฉัน..?? ทำไม..??" น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความฉงน
"ก็ พรุ่งนี้ฉันต้องไปที่เมืองหลวงกับพ่อแม่ ใครๆก็พูดกันแต่ว่าจะเกิดสงครามแน่ๆ ถ้าฉันไปก็ไม่รู้จะได้กลับมาอีกหรือเปล่า.." เธอพูดขึ้นก่อนเงียบเสียงไปและก้มหน้านิ่ง อีกฝ่ายมองแล้วก็นั่งลงด้านข้าง
"ไม่เห็นเป็นไรนี่ ได้กลับมาแน่ๆ และอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้จะย้ายหนีไปไหนเสียหน่อย" คำพูดนี้ทำให้เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดด้วยความแปลกใจ แต่เพียงชั่วครู่คิ้วคู่นี้ก็ขมวดเข้าหากันอีก
"แต่ถ้ามันนานมาก ซิลคงไม่อยู่ที่นี่แน่.."
"อยู่สิ ฉันไม่มีบ้านที่อื่นแล้วนะ สัญญากันไหมล่ะ ฉันจะรอเธอที่นี่ แล้วเธอเองก็ต้องกลับมานะ" เขาพูดขึ้นพร้อมกับชูนิ้วก้อยขึ้นมารอ รอคำตอบรับจากอีกฝ่ายที่มองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจชั่วครู่ ในที่สุด...
"อื้ม.. สัญญานะ แล้วห้ามผิดสัญญาด้วย" เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้มหลังจากที่ชูนิ้วก้อยเข้าเกี่ยวกันตามวิธีการสัญญาแบบเด็กๆ ก่อนที่จะต้องร่ำลากันอย่างเร่งด่วนเพราะหมาป่าสีขาวนั้นตามหาตัวเธอเจอแล้ว
*******************************************************
เมฆหมอกแห่งสงครามลอยปกคลุมไปทั่วมหานครกาเรนอันเป็นเมืองหลวงใหญ่ของเอเรนเทีย ขบวนทัพที่เต็มไปด้วยทหารนับหมื่นเริ่มกรีฑาออกไปสู้ศึกใหญ่กับพวกปีศาจ กลิ่นไอเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณอันเกิดจากเศษซากของเหล่าผู้ที่ครั้งหนึ่งเป็นนักรบที่องอาจ หากแต่สงครามนี้ไม่จบลงง่ายๆแน่ จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอันเป็นไป
สายฝนกระหน่ำลงบนพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด หยาดน้ำจากสรวงสวรรค์ได้ชะล้างให้หยาดเลือดเจือจางลงและรินไหลสู่พื้นธรณิน ทหารผู้หนึ่งวิ่งฝ่าสายฝนตรงมายังค่ายทหารใหญ่ มุ่งตรงสู่ที่พักของแม่ทัพอย่างเร่งรีบ
"ขอประทานอภัยพะย่ะค่ะ" เสียงตะโกนอย่างร้อนรนดังมาจากทหารผู้นี้ เอามือลูบใบหน้าชุ่มน้ำนั่นก่อนคุกเข่าลงกับพื้น ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ในครานี้ กษัตริย์แห่งเอเรนเทีย ชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลอ่อนแต่งกายด้วยชุดเกราะเต็มยศมองดูผู้ที่รีบเร่งมาในยามวิกาลนี้ด้วยสายตาตื่นกระหนกก่อนจะเอ่ยปากให้เจ้าตัวนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง แต่เขาปฎิเสธอย่างทันควันก่อนเอ่ยปากแจ้งข่าวร้าย
"ทัพของท่านซาเรนพ่ายไปแล้วพะย่ะค่ะ ทัพเสริมมิอาจต้านทานกำลังของพวกปีศาจได้เลย พวกทหารเก่งๆหลายนายต่างก็ถูกมันดูดกลืนไปเป็นพวกเสียหมด.." เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระริก พวกปีศาจสามารถกัดกินช่องว่างในจิตใจคน และเมื่อใดที่พวกมันกัดกินจิตใจใครไปเสียแล้วก็จะสามารถบังคับให้คนผู้นั้นทำตามคำสั่งของมันได้เฉกเช่นตุ๊กตามีชีวิตเลยทีเดียว ไหล่ทั้งคู่ของเขาสั่นระริกด้วยความโกรธแค้นแทนเหล่าเพื่อนๆ แต่แล้วก็มีมือๆหนึ่งมาแตะเพื่อปลอบใจ
"ท่าน.. อัสลาน.." ทหารหนุ่มพูดขึ้นเมื่อเงยหน้าพบเจอบุคคลที่เข้ามาปลอบใจเขา ชายผู้นั้นมีผมสีน้ำตาลเข้ม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูไม่เหมือนอยู่ในสงครามหากแต่ดูมีอำนาจลึกล้ำอย่างประหลาด ในมือขวานั้นถือหอกที่แกะสลักลวดลายที่ดูเหมือนจะเป็นคาถาอะไรสักอย่าง อัสลานหันกลับไปยังกษัตริย์ซึ่งนังฟังอยู่ด้านข้างก่อนเอ่ยขึ้น
"ให้ฉันช่วยเถอะ กองทัพในตอนนี้ เมื่อขาดซาเรนไปเสียคน ทัพอื่นๆคงพ่ายไม่เป็นขบวน" เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งผู้ฟังก็ตระหนักถึงความมุ่งมั่นนี้หากแต่จำต้องส่ายหัวปฎิเสธความหวังดีนั้น
"ไม่ได้หรอก จริงอยู่ ทัพเมื่อขาดซาเรนไปอาจจะต้องพ่ายตามไปหลายขบวน แต่เราให้นายไปเสี่ยงแบบนั้นไม่ได้ และอย่าลืมสิ ตอนนี้นายมีเรื่องต้องรับผิดชอบอยู่อีกนะ.." คำพูดสุดท้ายดูราวจะแฝงความหมายนัยๆบางอย่างไว้ สายตาของคนพูดจับจ้องไปยังทางเดินด้านข้างห้อง
ภาพของเด็กหญิงสองคนกำลังเล่นอยู่กับหมาป่าขาวที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าเกือบสองเท่า คนหนึ่งมีผมยาวสลวยสีเงินยวง สวมชุดที่ทำจากเนื้อผ้าชั้นดีอย่างสมฐานะเจ้าหญิง นัยน์ตาสีฟ้าคู่งามจับจ้องที่หนังสือคาถาอย่างง่ายที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อไม่นานมานี้ กับอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งสวมชุดที่ถักทอมาพร้อมกับลงอาคมอย่างดี ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นสูงเป็นหางม้า นัยน์ตาคู่นั้นจ้องตรงมาที่ผู้เป็นบิดาตนและโบกมือยิ้มให้
อัสลานมองตามเพื่อนก็รู้ว่าคำพูดนั้นแฝงถึงอะไร เขายิ้มให้กับบุตรสาวของตนอย่างอ่อนโยน หากแต่ในใจยังคงดึงดันจะรับอาสาในหน้าที่ที่ยากลำบากนี้ เพื่อว่าสงครามจะจบสิ้นลงโดยเร็ว และไม่สูญเสียไปมากกว่านี้...
*************************************************************
"หากว่าฉันกับจูเรียเป็นอะไรไป นายต้องดูแลเจ้านายรุ่นต่อไปให้ดีนะ.." อัสลานกล่าวขึ้นเบาๆขณะที่หมาป่าขาวตัวใหญ่ยักษ์นั้นหมอบอยู่ข้างกาย "ฉันรู้ว่าพวกสัตว์เทพนั้นหยิ่งทระนง และจะเป็นผู้เลือกเจ้านายด้วยตนเอง แต่ถ้าหากฉันเป็นอะไรไปแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครดูแลเด็กคนนั้นแน่..." พูดมาได้ถึงตรงนี้ เจ้าสัตว์ตัวใหญ่นั้นก็คำรามขึ้นเบาๆด้วยความไม่พอใจ
"อย่าพูดอะไรที่มันเป็นลางไม่ดีแบบนั้นสิครับ ท่านต้องรบชนะกลับมาอย่างปลอดภัย.."
"ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริงก็ดีสิ"
"ท่านพ่อคะ..??" เสียงเล็กใสดังขึ้นจากตรงหน้า อัสลานมองหน้าบุตรสาวตนแล้วยิ้มให้ มือใหญ่ลูบหัวเธออย่างเอ็นดูก่อนอุ้มขึ้นและเดินตรงเข้าที่พัก เด็กหญิงมองมาเบื้องหลังที่หมาป่ายังคงนอนหมอบอยู่ก่อนส่งเสียงเรียก
"ยูริสเทอุส มาสิ มืดแล้วนะ ท่านแม่เตรียมข้าวไว้แล้ว มากินด้วยกันเถอะ" จบคำพูดของนายน้อยผู้นี้ หมาป่าก็ลุกขึ้นเดินตามไปอย่างครุ่นคิดบางสิ่งในใจ
************************************************************
ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในสงคราม ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความสูญเสียอย่างประมูลค่ามิได้ในสนามรบทั้งสิ้น ในครั้งนี้ฝ่ายปีศาจมีอันต้องล่าถอยทัพกลับไป เพราะแม่ทัพใหญ่ทั้งสามของฝ่ายตนถูกผนึก โดยที่แลกกับชีวิตของหนึ่งผู้อัญเชิญ และอีกหนึ่งนักเวทย์
ในภายหลังทหารที่ร่วมสู้ศึกในครานั้นต่างพูดกันว่า ท่านอัสลานเสียทีให้ศัตรูในเพียงชั่ววูบเดียวที่สัตว์เทพหยุดชะงักในการโจมตีใส่ศัตรูผู้หนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ แม่ทัพตนหนึ่งของเผ่าปีศาจจึงชักดาบฟาดฟันใส่เขาสุดแรง แต่ในวินาทีที่เขาทรุดลงกับพื้นนั้นก็ปรากฏร่างนักเวทย์หญิงขึ้นมาเคียงข้าง ก่อนที่จะประสานมือกันร่ายเวทที่ทุกคนไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน หนึ่งในสายเวทปิดผนึกโบราณ ส่งผลให้แม่ทัพทั้งสามของพวกศัตรูที่กำลังคะนองตนว่าชนะแน่และตรงรี่เข้ามาหวังสังหารคนทั้งคู่ให้สิ้นลมในคราเดียวต้องถูกตรึงด้วยเวทนี้ และค่อยๆเลือนลางหายไปพร้อมๆกับคนร่ายเวททั้งคู่ที่ร่างค่อยๆจางหายไปเช่นเดียวกัน และจบสิ้นโดยที่ไม่เหลือร่างของคนทั้งคู่หรือจอมทัพแห่งปีศาจทั้งสามหลงเหลือปรากฏให้เห็นอยู่เลย ฝ่ายปีศาจเริ่มแสดงอาการกระวนกระวายเมื่อพบว่าแม่ทัพตนหายไปต่อหน้าต่อตา และเริ่มคุมขบวนทัพไม่อยู่จึงมีอันต้องล่าถอยกลับไป
และโดยไม่มีใครสังเกตหมาป่าที่ขนสีขาวโพลนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั้นจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความตะลึง ก่อนที่ขาทั้งสี่ของมันจะวิ่งตรงไปยังจุดที่คนทั้งคู่หายตัวไป ก่อนจะสำรวจไปทั่วบริเวณ จนเมื่อตระหนักว่าเจ้านายตนมิอาจหวนกลับคืนมาได้ มันจึงหันหลังกลับและรีบวิ่งกลับค่ายทหารอย่างรวดเร็วดุจพายุ
"อ้าว ยูริส.. กลับมาแล้วเหรอ แล้ว...ท่านพ่อล่ะ" เด็กหญิงเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นหมาป่าซึ่งเดินตรงเข้ามาหาตน เธอส่ายหน้ามองซ้ายทีขวาทีเผื่อว่าบิดาตนจะอยู่แถวนั้น หรือบางทีอาจจะกำลังเดินมาหลังจากคุยเรื่องงานเสร็จสิ้น
"เห็นท่านแม่บอกว่าจะไปช่วยท่านพ่อด้วยเมื่อกี้ ท่านพ่อเก่งไหม ยูริสเองก็ช่วยสู้ด้วยนี่ แต่เวทมนตร์ของท่านแม่เองก็เยี่ยมเหมือนกัน ถ้าพวกท่านทั้งคู่อยู่ด้วยกันคงไม่มีใครล้มได้แน่ ว่าแต่สนามรบนี่คงโหดร้ายน่าดูสินะ ขนขาวๆของยูริสเลยเปื้อนเลือดเลย.." เด็กหญิงพูดเสียยืดยาวโดยไม่ได้สังเกตเห็นแววตาเศร้าๆในนัยน์ตาสีฟ้าของสัตว์เทพตนนี้เลย ยูริสเทอุสเอาเท้าหนักๆของมันแตะที่ไหล่ของเด็กหญิงก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ฟังให้ดีนะ... นับแต่นี้ไปคนที่จะเป็นนายของฉันคือเธอ เด็กน้อย.." เด็กหญิงมองหน้า หมาป่าด้วยความไม่เข้าใจ สัตว์เทพจะซื่อสัตย์ต่อนายที่ตนเองรับใช้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายไปโดยจะไม่มองหานายอื่นผู้ใดอีก ในเมื่อสัตว์เทพของพ่อเธออยู่ตรงหน้านี่ งั้นก็หมายความว่า...
น้ำใสๆเริ่มคลอเต็มเบ้าตาทั้งคู่ของเด็กหญิง ไหล่เล็กๆนั้นสั่นระริกไปด้วยแรงสะอื้นที่ถึงแม้จะพยายามอดกลั้นเอาไว้แล้วก็ตาม ยูริสเทอุสมองร่างเล็กๆตรงหน้าด้วยความสงสารก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน
"ร้องออกมาเสียให้พอ แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันจะคุ้มครองเธอเอง มิราเคิล"
ความคิดเห็น