ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Destiny Journey

    ลำดับตอนที่ #2 : Prologue -The Beginning of Destiny จุดเริ่มแห่งโชคชะตา

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 49




                   
    ลำแสงทองเลือนลับหายไปจากขอบฟ้า  ปล่อยให้เงามืดเข้าครอบครองผืนพิภพในยามราตรี  แสงนวลจากดวงจันทราส่องเป็นเครื่องนำทางแก่เหล่าสัตว์และผู้เดินทางยามที่ตะวันลับหาย  สายลมอ่อนๆพัดพาเอาใบไม้เสียดสีกันเบาๆราวกับเป็นบทเพลงขับกล่อมเวลาอันเป็นช่วงแห่งการพักผ่อนให้แก่สรรพสิ่งบนโลก

                    "ท่านคิดว่าคำมั่นสัญญานั้น  จะคงอยู่ได้นานเท่าใด"  เสียงหนึ่งดังขึ้น  ในขณะที่เจ้าของร่างนั้นนั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง  ใบหน้าแหงนมองดูดวงดารา  สายลมพัดพาเอาผมที่ยาวสลวยจรดพื้นนั้นสยายออกมาคลอเคลียบ่า  นัยน์ตาสีฟ้าใสเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมนั้นละจากสิ่งที่อยู่บนผืนฟ้ามาดูร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างรอคอยคำตอบ

                    "อาจจะนานตราบชั่วฟ้าดินสลาย  หรืออาจจะเพียงแค่ไม่ชั่วข้ามคืน  ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่เอ่ยรับคำนั้นเป็นผู้ใด"  อีกฝ่ายเอ่ยตอบพลางเอามือเสยผมสีดำขลับราวกับสีแห่งรัตติกาล  นัยน์ตาเธอจับจ้องมองดูร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตาอย่างนึกใคร่ครวญถึงบางสิ่ง  หญิงสาวผู้เอ่ยถามคำถามนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อความ

                    "คำสัญญาอันเป็นนิรันดร์   ท่านคิดว่ามันจะมีจริงหรือเปล่า  หือ.."  เจ้าหล่อนเอ่ยในขณะที่มือนั้นยันกายลุกขึ้น  ปล่อยชายอาภรณ์สีขาวบางนั้นพลิ้วไปตามแรงลมก่อนที่จะยาวลงมาเรี่ยพื้น  แล้วจึงเดินตรงเข้ามาหาคู่สนทนา

                    "เวลาเป็นสิ่งไม่แน่นอน  ท่านเองย่อมรู้ดี"

                    "ใช่สิ  เวลาเปลี่ยน  สถานการณ์เปลี่ยน  ใจคนย่อมแปรเปลี่ยนตาม   แต่จะมีสักครั้งไหมที่บางสิ่งจะไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์นี้"  คำถามถูกหยิบยื่นให้อีกครา  คนฟังเงียบไปพักใหญ่ด้วยความยากของคำถาม  คำถามที่ไม่อาจตอบได้ด้วยปาก

                    "ตอบลำบาก...  ว่าแต่ท่านจะอยากรู้เรื่องเหล่านี้ไปทำไม  คำมั่นสัญญาอันเป็นนิรันดร์คงไม่จำเป็นสำหรับท่านเท่าใดหรอกกระมัง"  เธอตอบกลับด้วยคำถามที่แสดงถึงความสงสัยในคำถามที่มีมาตั้งแต่ต้นแล้ว

                    "มันไม่สำคัญสำหรับเราก็จริง  แต่บางที  เวลาข้างหน้าอาจจะต้องอาศัยคำตอบของคำถามนี้   เราเองก็อยากรู้  ว่าคำสัญญานั้น  จะมีค่ามากเท่าไร  และเพียงพอที่จะแปรเปลี่ยนเส้นทางแห่งชะตากรรมได้หรือไม่" 

                    "ก็ได้แต่เป็นเพียงผู้เฝ้าดูเท่านั้นไม่ใช่หรือ   ท่านผู้ควบคุมกระแสธารแห่งกาลเวลา  วาสเซอร์รี่"  อีกฝ่ายกล่าวพร้อมๆกับถอนหายใจให้เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยขึ้นหันมามองก่อนที่จะเอ่ยค้าน

                    "หึ...  แต่ว่านะ   การเป็นผู้เฝ้าดูเพียงอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าใดมิใช่รึ   คำตอบของคำถามนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการหรอก หากแต่เป็นพวกผู้อยู่ในเส้นทางนี้ต่างหาก"  เธอเอ่ยพร้อมกับเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อหยิบวัตถุขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือเท่าใดนักขึ้นมา  แสงจันทร์ส่องกระทบนาฬิกาทรายที่ทำจากเงินเป็นประกายวาววับ  คริสตัลใสตรงกลางที่บรรจุไปด้วยทรายที่เต็มไปด้วยมนตรานั้นค่อยๆไหลลงมาจากด้านบนสู่ด้านล่าง

                    "เห็นไหม  มันเริ่มแล้ว  แบล็คคริสตัล"  วาสเซอร์รี่เอ่ยขึ้นซึ่งน้ำเสียงนี้บ่งบอกไปถึงเม็ดทรายที่ค่อยๆไหลหล่นสู่กระเปาะล่างของของนาฬิกาทรายอย่างช้าๆทว่าสม่ำเสมอทีละเม็ดๆ

                    "คงอีกไม่นานที่จะได้รู้คำตอบนั้นใช่ไหม"  แบล็คคริสตัลพูดขึ้นมาเบาๆท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวมากขึ้นทุกขณะ

                    คำสัญญา  เมื่อเอ่ยขึ้นมาย่อมหมายวjาจะรักษาไว้ตลอดไป...

                    หากแต่ว่าเวลาเปลี่ยน  สถานการณ์เปลี่ยน  ใจคนเราย่อมแปรเปลี่ยนตาม....

                    เช่นนี้แล้ว   คำสัญญานั้นจะมีค่าเพียงไร   มิใช่เพียงแค่เศษเสี้ยวของความทรงจำหรอกหรือ

                    หรือคำมั่นสัญญาอันเป็นนิรันดร์  จะไม่อาจมีอยู่จริง


    *****************************************************************


              สายลมอ่อนๆพัดผ่านมาพาให้ใบไม้ปลิดปลิวร่วงหล่นบนพื้นดินซึ่งมีหญ้าขึ้นเพียงประปราย  เพราะบัดนี้ถึงเวลาที่สายลมเหนืออันหนาวเหน็บจะพัดผ่านพามาพร้อมกับนำละอองหิมะมาปกคลุมดินแดนแห่งนี้  แสงแดดสีแดงอมส้มย้อมสีใบไม้แห้งเหล่านั้นให้ดูเป็นสีแดงอย่างน่าอัศจรรย์  กระรอกน้อยตัวหนึ่งกระโดดข้ามกิ่งไม้ไปอย่างเร่งรีบ  จากกิ่งหนึ่งไปสู่อีกกิ่งหนึ่ง  และเรื่อยไปจนกระทั่งข้ามมายังอีกต้นหนึ่ง  จนถึงต้นวอลนัทที่มีลูกร่วงเกลื่อนพื้น  เจ้าตัวน้อยนี้จึงกุลีกุจอลงมาเก็บของกินของตน  และขนไปเก็บเพื่อใช้สำหรับฤดูหนาวที่โหดร้าย  แต่ระหว่างที่มันมัวแต่เก็บลูกไม้เหล่านั้นอย่างขมีขมันไม่ใส่ใจรอบข้าง  ด้านหลังมันก็มีแขกผู้มาเยือนอย่างไม่ให้เจ้าสัตว์ตัวน้อยนี้ได้ทันตั้งตัว...



               "ชิปลี.."  เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังทำเอาเจ้าสัตว์ตัวนี้สะดุ้งโหยง  ก่อนรีบกระโดดผึงปีนไต่ขึ้นไปบนยอดไม้ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด  ก่อนที่จะทันได้นึกและหันย้อนกลับมามองผู้ที่เอ่ยทักมันคราที่ไม่ตั้งตัว



              เบื้องล่าง  หมาป่าตัวยักษ์ยืนจังก้ามองขึ้นมาที่ตัวมันซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้  เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร  กระรอกที่มีชื่อว่า ชิปลี  จึงค่อยๆไต่ลงไปที่พื้นเบื้องล่างซึ่งหมาป่าสีขาวนั่งรออยู่  ภาพนี้คงเป็นที่แปลกตาสำหรับผู้ที่เดินผ่านไปมาเป็นแน่  นัยน์ตาสีฟ้าดุๆของหมาป่าจ้องมองไปยังเจ้าสัตว์ตัวน้อยตรงหน้าที่ไม่มีวี่แววว่าเกรงกลัวตนตามที่น่าจะเป็น  ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด



              "เห็นนายน้อยบ้างไหม  เธอหายตัวไปไหนก็ไม่รู้  พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้วแท้ๆ"  ภาษาพูดเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ผู้หนึ่งดังออกมาจากปากของหมาป่า  ชิปลีแทะลูกวอลนัทที่หล่นอยู่เกลื่อนพื้นไปตามเรื่องตามราวก่อนจะเอาเท้าเกาหูแกรกๆ



              พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางงั้นรึ  นายน่าจะเดาออกนะว่าเธอไปที่ไหน  คงจะไปลาเพื่อนผู้มีผมสีเงินล่ะสิ



              "อืม..งั้นเหรอ.."  หมาป่าพูดขึ้นพลางขยับตัวจะลุกขึ้น



              แล้วไง  นายจะไปตามเธอกลับบ้านหรือไง  ปล่อยๆมั่งดีกว่าน่า  ถ้าฉันเป็นเธอคงอึดอัดแย่...



              "อย่างนายน่ะ  มันอิสระเกินไป"  หมาป่าคำรามตอบเบาๆให้ชิปลีสะดุ้งเฮือก  ก่อนจะมีเสียงกรอบแกรบอันเกิดมาจากฝ่าเท้าทั้งสี่เหยียบย่ำลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง  หมาป่าสีขาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทิ้งให้เจ้ากระรอกมองตามอยู่เบื้องหลัง



              เป็นผู้ปกครองที่เข้มงวดจริงๆ  มันบ่นก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเก็บลูกไม้ต่อไป



    ********************************************************



              ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมากระทบผิวน้ำ  ก่อให้เกิดวงคลื่นน้ำเล็กๆแผ่ขยายออกไปจนสุดขอบตลิ่งและกลับมาเป็นผิวน้ำที่นิ่งเงียบตามเดิม  จะมีบ้างที่เกิดระลอกคลื่นน้ำจากปลาโผล่ขึ้นมาฮุบเอาแมลงที่เคราะห์ร้ายร่วงหล่นไป  เงาสะท้อนบนน้ำเผยให้เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างตลิ่ง  ผมสีน้ำตาลเข้มพลิ้วไปตามลม  ดวงตาสีน้ำตาลดุจเดียวกับสีผมนั้น



              เธอนั่งมองภาพทุกอย่างตรงหน้าอย่างตั้งใจ  ราวกับจะจารึกภาพเหล่านี้ไว้มิให้ลืมเลือน  มือเล็กเรียวหมุนใบไม้เล่นไปตามเรื่อง  เธอคงนั่งเช่นนี้ไปอีกนานหากว่าไม่มีใครมาพบเจอ



              "มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ"  เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้นให้เธอสะดุ้งหันกลับไปมองผู้ทัก  เด็กชายผู้หนึ่งซึ่งมีผมและนัยน์ตาสีเงินกำลังมองมาที่เธออย่างสงสัย



              "มารอซิลนี่แหละ"  เด็กหญิงตอบพร้อมๆกับมุ่นหัวคิ้ว



              "รอฉัน..??  ทำไม..??"  น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความฉงน



              "ก็  พรุ่งนี้ฉันต้องไปที่เมืองหลวงกับพ่อแม่  ใครๆก็พูดกันแต่ว่าจะเกิดสงครามแน่ๆ  ถ้าฉันไปก็ไม่รู้จะได้กลับมาอีกหรือเปล่า.."  เธอพูดขึ้นก่อนเงียบเสียงไปและก้มหน้านิ่ง  อีกฝ่ายมองแล้วก็นั่งลงด้านข้าง



              "ไม่เห็นเป็นไรนี่  ได้กลับมาแน่ๆ  และอีกอย่าง  ฉันก็ไม่ได้จะย้ายหนีไปไหนเสียหน่อย"  คำพูดนี้ทำให้เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดด้วยความแปลกใจ  แต่เพียงชั่วครู่คิ้วคู่นี้ก็ขมวดเข้าหากันอีก



              "แต่ถ้ามันนานมาก  ซิลคงไม่อยู่ที่นี่แน่.."



              "อยู่สิ  ฉันไม่มีบ้านที่อื่นแล้วนะ  สัญญากันไหมล่ะ  ฉันจะรอเธอที่นี่  แล้วเธอเองก็ต้องกลับมานะ"  เขาพูดขึ้นพร้อมกับชูนิ้วก้อยขึ้นมารอ  รอคำตอบรับจากอีกฝ่ายที่มองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจชั่วครู่  ในที่สุด...



              "อื้ม..  สัญญานะ  แล้วห้ามผิดสัญญาด้วย"  เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้มหลังจากที่ชูนิ้วก้อยเข้าเกี่ยวกันตามวิธีการสัญญาแบบเด็กๆ  ก่อนที่จะต้องร่ำลากันอย่างเร่งด่วนเพราะหมาป่าสีขาวนั้นตามหาตัวเธอเจอแล้ว



    *******************************************************



              เมฆหมอกแห่งสงครามลอยปกคลุมไปทั่วมหานครกาเรนอันเป็นเมืองหลวงใหญ่ของเอเรนเทีย  ขบวนทัพที่เต็มไปด้วยทหารนับหมื่นเริ่มกรีฑาออกไปสู้ศึกใหญ่กับพวกปีศาจ  กลิ่นไอเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณอันเกิดจากเศษซากของเหล่าผู้ที่ครั้งหนึ่งเป็นนักรบที่องอาจ  หากแต่สงครามนี้ไม่จบลงง่ายๆแน่  จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอันเป็นไป



              สายฝนกระหน่ำลงบนพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด   หยาดน้ำจากสรวงสวรรค์ได้ชะล้างให้หยาดเลือดเจือจางลงและรินไหลสู่พื้นธรณิน  ทหารผู้หนึ่งวิ่งฝ่าสายฝนตรงมายังค่ายทหารใหญ่  มุ่งตรงสู่ที่พักของแม่ทัพอย่างเร่งรีบ



              "ขอประทานอภัยพะย่ะค่ะ"  เสียงตะโกนอย่างร้อนรนดังมาจากทหารผู้นี้  เอามือลูบใบหน้าชุ่มน้ำนั่นก่อนคุกเข่าลงกับพื้น  ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ในครานี้  กษัตริย์แห่งเอเรนเทีย  ชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลอ่อนแต่งกายด้วยชุดเกราะเต็มยศมองดูผู้ที่รีบเร่งมาในยามวิกาลนี้ด้วยสายตาตื่นกระหนกก่อนจะเอ่ยปากให้เจ้าตัวนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง  แต่เขาปฎิเสธอย่างทันควันก่อนเอ่ยปากแจ้งข่าวร้าย



              "ทัพของท่านซาเรนพ่ายไปแล้วพะย่ะค่ะ  ทัพเสริมมิอาจต้านทานกำลังของพวกปีศาจได้เลย  พวกทหารเก่งๆหลายนายต่างก็ถูกมันดูดกลืนไปเป็นพวกเสียหมด.."  เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระริก  พวกปีศาจสามารถกัดกินช่องว่างในจิตใจคน  และเมื่อใดที่พวกมันกัดกินจิตใจใครไปเสียแล้วก็จะสามารถบังคับให้คนผู้นั้นทำตามคำสั่งของมันได้เฉกเช่นตุ๊กตามีชีวิตเลยทีเดียว  ไหล่ทั้งคู่ของเขาสั่นระริกด้วยความโกรธแค้นแทนเหล่าเพื่อนๆ  แต่แล้วก็มีมือๆหนึ่งมาแตะเพื่อปลอบใจ



              "ท่าน..  อัสลาน.."  ทหารหนุ่มพูดขึ้นเมื่อเงยหน้าพบเจอบุคคลที่เข้ามาปลอบใจเขา  ชายผู้นั้นมีผมสีน้ำตาลเข้ม  แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูไม่เหมือนอยู่ในสงครามหากแต่ดูมีอำนาจลึกล้ำอย่างประหลาด  ในมือขวานั้นถือหอกที่แกะสลักลวดลายที่ดูเหมือนจะเป็นคาถาอะไรสักอย่าง  อัสลานหันกลับไปยังกษัตริย์ซึ่งนังฟังอยู่ด้านข้างก่อนเอ่ยขึ้น



              "ให้ฉันช่วยเถอะ  กองทัพในตอนนี้  เมื่อขาดซาเรนไปเสียคน  ทัพอื่นๆคงพ่ายไม่เป็นขบวน"  เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ซึ่งผู้ฟังก็ตระหนักถึงความมุ่งมั่นนี้หากแต่จำต้องส่ายหัวปฎิเสธความหวังดีนั้น



              "ไม่ได้หรอก  จริงอยู่  ทัพเมื่อขาดซาเรนไปอาจจะต้องพ่ายตามไปหลายขบวน  แต่เราให้นายไปเสี่ยงแบบนั้นไม่ได้  และอย่าลืมสิ  ตอนนี้นายมีเรื่องต้องรับผิดชอบอยู่อีกนะ.."  คำพูดสุดท้ายดูราวจะแฝงความหมายนัยๆบางอย่างไว้  สายตาของคนพูดจับจ้องไปยังทางเดินด้านข้างห้อง



              ภาพของเด็กหญิงสองคนกำลังเล่นอยู่กับหมาป่าขาวที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าเกือบสองเท่า  คนหนึ่งมีผมยาวสลวยสีเงินยวง  สวมชุดที่ทำจากเนื้อผ้าชั้นดีอย่างสมฐานะเจ้าหญิง  นัยน์ตาสีฟ้าคู่งามจับจ้องที่หนังสือคาถาอย่างง่ายที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อไม่นานมานี้  กับอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งสวมชุดที่ถักทอมาพร้อมกับลงอาคมอย่างดี  ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นสูงเป็นหางม้า  นัยน์ตาคู่นั้นจ้องตรงมาที่ผู้เป็นบิดาตนและโบกมือยิ้มให้



              อัสลานมองตามเพื่อนก็รู้ว่าคำพูดนั้นแฝงถึงอะไร  เขายิ้มให้กับบุตรสาวของตนอย่างอ่อนโยน  หากแต่ในใจยังคงดึงดันจะรับอาสาในหน้าที่ที่ยากลำบากนี้  เพื่อว่าสงครามจะจบสิ้นลงโดยเร็ว  และไม่สูญเสียไปมากกว่านี้...



    *************************************************************



              "หากว่าฉันกับจูเรียเป็นอะไรไป  นายต้องดูแลเจ้านายรุ่นต่อไปให้ดีนะ.."  อัสลานกล่าวขึ้นเบาๆขณะที่หมาป่าขาวตัวใหญ่ยักษ์นั้นหมอบอยู่ข้างกาย  "ฉันรู้ว่าพวกสัตว์เทพนั้นหยิ่งทระนง  และจะเป็นผู้เลือกเจ้านายด้วยตนเอง  แต่ถ้าหากฉันเป็นอะไรไปแล้วล่ะก็  คงไม่มีใครดูแลเด็กคนนั้นแน่..."  พูดมาได้ถึงตรงนี้  เจ้าสัตว์ตัวใหญ่นั้นก็คำรามขึ้นเบาๆด้วยความไม่พอใจ



              "อย่าพูดอะไรที่มันเป็นลางไม่ดีแบบนั้นสิครับ  ท่านต้องรบชนะกลับมาอย่างปลอดภัย.."



              "ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริงก็ดีสิ"



              "ท่านพ่อคะ..??"  เสียงเล็กใสดังขึ้นจากตรงหน้า  อัสลานมองหน้าบุตรสาวตนแล้วยิ้มให้  มือใหญ่ลูบหัวเธออย่างเอ็นดูก่อนอุ้มขึ้นและเดินตรงเข้าที่พัก  เด็กหญิงมองมาเบื้องหลังที่หมาป่ายังคงนอนหมอบอยู่ก่อนส่งเสียงเรียก



              "ยูริสเทอุส  มาสิ  มืดแล้วนะ  ท่านแม่เตรียมข้าวไว้แล้ว  มากินด้วยกันเถอะ"  จบคำพูดของนายน้อยผู้นี้  หมาป่าก็ลุกขึ้นเดินตามไปอย่างครุ่นคิดบางสิ่งในใจ



    ************************************************************



              ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในสงคราม  ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความสูญเสียอย่างประมูลค่ามิได้ในสนามรบทั้งสิ้น  ในครั้งนี้ฝ่ายปีศาจมีอันต้องล่าถอยทัพกลับไป  เพราะแม่ทัพใหญ่ทั้งสามของฝ่ายตนถูกผนึก  โดยที่แลกกับชีวิตของหนึ่งผู้อัญเชิญ และอีกหนึ่งนักเวทย์



              ในภายหลังทหารที่ร่วมสู้ศึกในครานั้นต่างพูดกันว่า  ท่านอัสลานเสียทีให้ศัตรูในเพียงชั่ววูบเดียวที่สัตว์เทพหยุดชะงักในการโจมตีใส่ศัตรูผู้หนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ  แม่ทัพตนหนึ่งของเผ่าปีศาจจึงชักดาบฟาดฟันใส่เขาสุดแรง  แต่ในวินาทีที่เขาทรุดลงกับพื้นนั้นก็ปรากฏร่างนักเวทย์หญิงขึ้นมาเคียงข้าง  ก่อนที่จะประสานมือกันร่ายเวทที่ทุกคนไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน  หนึ่งในสายเวทปิดผนึกโบราณ  ส่งผลให้แม่ทัพทั้งสามของพวกศัตรูที่กำลังคะนองตนว่าชนะแน่และตรงรี่เข้ามาหวังสังหารคนทั้งคู่ให้สิ้นลมในคราเดียวต้องถูกตรึงด้วยเวทนี้  และค่อยๆเลือนลางหายไปพร้อมๆกับคนร่ายเวททั้งคู่ที่ร่างค่อยๆจางหายไปเช่นเดียวกัน  และจบสิ้นโดยที่ไม่เหลือร่างของคนทั้งคู่หรือจอมทัพแห่งปีศาจทั้งสามหลงเหลือปรากฏให้เห็นอยู่เลย ฝ่ายปีศาจเริ่มแสดงอาการกระวนกระวายเมื่อพบว่าแม่ทัพตนหายไปต่อหน้าต่อตา  และเริ่มคุมขบวนทัพไม่อยู่จึงมีอันต้องล่าถอยกลับไป  



              และโดยไม่มีใครสังเกตหมาป่าที่ขนสีขาวโพลนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั้นจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความตะลึง  ก่อนที่ขาทั้งสี่ของมันจะวิ่งตรงไปยังจุดที่คนทั้งคู่หายตัวไป  ก่อนจะสำรวจไปทั่วบริเวณ  จนเมื่อตระหนักว่าเจ้านายตนมิอาจหวนกลับคืนมาได้  มันจึงหันหลังกลับและรีบวิ่งกลับค่ายทหารอย่างรวดเร็วดุจพายุ



              "อ้าว  ยูริส..  กลับมาแล้วเหรอ  แล้ว...ท่านพ่อล่ะ"  เด็กหญิงเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นหมาป่าซึ่งเดินตรงเข้ามาหาตน  เธอส่ายหน้ามองซ้ายทีขวาทีเผื่อว่าบิดาตนจะอยู่แถวนั้น  หรือบางทีอาจจะกำลังเดินมาหลังจากคุยเรื่องงานเสร็จสิ้น



              "เห็นท่านแม่บอกว่าจะไปช่วยท่านพ่อด้วยเมื่อกี้  ท่านพ่อเก่งไหม  ยูริสเองก็ช่วยสู้ด้วยนี่  แต่เวทมนตร์ของท่านแม่เองก็เยี่ยมเหมือนกัน  ถ้าพวกท่านทั้งคู่อยู่ด้วยกันคงไม่มีใครล้มได้แน่  ว่าแต่สนามรบนี่คงโหดร้ายน่าดูสินะ  ขนขาวๆของยูริสเลยเปื้อนเลือดเลย.."  เด็กหญิงพูดเสียยืดยาวโดยไม่ได้สังเกตเห็นแววตาเศร้าๆในนัยน์ตาสีฟ้าของสัตว์เทพตนนี้เลย  ยูริสเทอุสเอาเท้าหนักๆของมันแตะที่ไหล่ของเด็กหญิงก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง



             "ฟังให้ดีนะ...  นับแต่นี้ไปคนที่จะเป็นนายของฉันคือเธอ  เด็กน้อย.."  เด็กหญิงมองหน้า หมาป่าด้วยความไม่เข้าใจ  สัตว์เทพจะซื่อสัตย์ต่อนายที่ตนเองรับใช้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายไปโดยจะไม่มองหานายอื่นผู้ใดอีก  ในเมื่อสัตว์เทพของพ่อเธออยู่ตรงหน้านี่  งั้นก็หมายความว่า...



              น้ำใสๆเริ่มคลอเต็มเบ้าตาทั้งคู่ของเด็กหญิง  ไหล่เล็กๆนั้นสั่นระริกไปด้วยแรงสะอื้นที่ถึงแม้จะพยายามอดกลั้นเอาไว้แล้วก็ตาม  ยูริสเทอุสมองร่างเล็กๆตรงหน้าด้วยความสงสารก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน



              "ร้องออกมาเสียให้พอ  แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันจะคุ้มครองเธอเอง  มิราเคิล"



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×