ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ::Lohikaarme::

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 49




             
    แสงแดดยามเย็นแต่งแต้มผืนนภาให้เป็นสีแดงอมส้ม  ลมเย็นพัดพาเอาใบไม้ไหวเอนไปตามแรง  เสียงมวลหมู่ปักษาร้องเจื้อยแจ้วในขณะพาร่างของตนหวนคืนสู่รังเพื่อหลับไหลพักผ่อนยามค่ำคืน  กลีบดอกไม้ริมทางค่อยๆหุบกลีบลงเมื่อแสงสว่างเลือนหาย   เงามืดแห่งรัตติกาลคืบคลานมาปกคลุมผืนโลกอีกครา

              โบราณสถานสีขาวตั้งอยู่กลางทุ่งดูเด่นเป็นสง่าแม้ยามค่ำคืนเช่นนี้  แสงจันทร์ที่ส่องลงมาช่วยเสริมให้ที่แห่งนี้ดูมีมนตร์ขลังมากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อยามที่ตะวันยังคงฉายแสง  เถาไม้ที่เลื้อยพันเสาโดยรอบบ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ผ่านช่วงกาลเวลามามากแล้ว  หากแต่มันไม่ได้มีสภาพทรุดโทรมตามที่ควรจะเป็นมากนัก  อาจเพราะ 'เจ้าของ' ยังคงสถิตย์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยกระมัง

              "..เจ้าคิดว่าจะพบเจอสิ่งใดในจุดจบแห่งการเดินทางที่ยาวนานนี้กันเล่า  ไม่ใช่ว่าพวกเราเดินทางกันเพื่อค้นหาความรักงั้นหรือ  จงไปเถอะ  จนกว่าพวกเราจะได้มันมามากพอ.."

              เสียงหนึ่งดังกังวานมาจากใจกลางลานอันเป็นที่ตั้งแห่งแท่นบูชาของโบราณสถานนั้น  แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านเมฆลงมากระทบร่างเด็กสาวนางหนึ่ง  ผมสีเดียวกับอัญมณีแห่งท้องทะเลที่ถูกรัดแค่กึ่งหัวพริ้วสยายไปตามแรงลม  ดวงตากลมโตที่มีสีเดียวกับผมนั้นตัดกับสีผิวที่ขาวปานน้ำนม  ดวงหน้ารูปไข่นั้นเอนไปมาเบาๆตามจังหวะเพลงที่เธอร้อง  เธอเดินอยู่รอบลานนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะตรงไปยังแท่นหินบูชา

              "สวัสดียามเย็นนะคะ"  เธอเอ่ยขึ้นเบาๆรูปสลักซึ่งตั้งอยู่บนแท่นบูชา  เด็กสาวเงยหน้ามองรูปสลักนั้นด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา  มังกรสีขาวกำลังเตรียมพร้อมที่จะโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า  นี่คือรูปสลักแห่งโบราณสถานแห่งนี้  และเป็นสิ่งที่เธอชอบมากที่สุด   ครอบครัวของเธอเป็นตระกูลที่คอยดูแลสถานที่แห่งนี้มานานหลายชั่วอายุคนแล้ว  และสำหรับตัวเธอเอง  ที่นี่เป็นที่ที่เธอชอบที่สุด

              "สาวน้อย  ไม่รีบกลับเข้าบ้านยามมืดค่ำ  เดี๋ยวครอบครัวเจ้าก็ได้เป็นห่วงหรอก"  เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้น  เรียกให้เธอหันไปหาเจ้าของเสียง  แต่เพราะเวลานั้นกลุ่มเมฆได้เคลื่อนตัวเข้ามาบดบังแสงจันทร์  จนทำให้เด็กสาวไม่อาจมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้

              "ไม่หรอกค่ะ  เดี๋ยวข้าก็กลับแล้ว  ข้ากลัวว่าท่านมังกรจะเหงาเพราะต้องอยู่ที่แห่งนี้คนเดียวข้าเลยมาอยู่ด้วยสักพัก"  เธอเอ่ยตอบแต่ทว่าชายหนุ่มผู้ปรากฏกายในความมืดยามวิกาลนี้กลับหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

              "หึๆ  ท่านมังกรจะเหงาอย่างนั้นเหรอ  เจ้านี่คิดอะไรแปลกๆดีจังเลยนะ"  เขาหัวเราะเบาๆทำให้เด็กสาวหน้างอลงเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายตรงหน้าเธอถึงหัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้

              "ท่านต่างหากที่แปลกคน  อยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล  เดี๋ยวข้าคงต้องกลับแล้ว  พี่ชายก็อย่าอยู่ดึกนักนะคะ"  เธอพูดขึ้นพลางก้มหัวลาชายแปลกหน้าผู้นี้  ก่อนที่จะรีบวิ่งลงไปจากโบราณสถานนี้อย่างเร่งรีบเท่าที่เธอทำได้

              ลมแรงโบกพัดพาเอาเมฆที่บดบังแสงจันทร์ไปจนสิ้น  เผยให้เห็นร่างสูงผู้ยืนเดียวดายอยู่ในโบราณสถานแห่งนั้น  ผมสีเงินเรืองรองยาวถูกมัดรวบไว้อย่างดี  นัยน์ตาสีเงินใสสว่างเรืองที่มองเห็นได้ดีแม้จะอยู่ในที่มืดมิด  ร่างนั้นเดินตรงไปยังรูปสลักมังกรที่ตั้งอยู่ตรงแท่นบูชาก่อนที่จะยิ้มให้ตนเอง

              "กลัวท่านมังกรจะเหงางั้นหรือ..??  ท่านมังกรอยู่คนเดียวมานานแล้วล่ะ  ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะมาเล่นในที่แห่งนี้บ่อยๆ  แต่เพราะหลังจากครั้งนั้น  เจ้าก็มาที่นี่ทุกวัน  ข้าไม่เหงาหรอก  เด็กน้อย.."  เขาเอ่ยเบาๆขณะที่ก้มศีรษะแนบลงไปกับรูปสลักหินนั้น  ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสว่างวูบและหายวับไป 


    *******************************************

              "เจ้าหายไปไหนมาน่ะ  เซียว่า"  เสียงเอะอะดังขึ้นจากชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำทะเล  นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดุจไพลินจ้องมองมายังร่างน้องสาวของตนที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาเมื่อครู่อย่างคาดโทษ

              "ข้าแค่ไปหาท่านโลอิคาร์เมร์มาเท่านั้นเอง  ท่านพี่เวลิล่ะก็  ไม่เห็นต้องทำหน้าราวกับข้าหนีหายไปไหนโดยไม่บอกกล่าวอย่างนี้เลย"  เด็กสาวว่ากลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ

              "นี่มันมืดตั้งขนาดนี้  เจ้าเพิ่งกลับมาถึงบ้าน  ไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้อย่างไรกัน  เจ้าน่ะ  เดี๋ยวก็ป่วยไข้ไม่สบายเอาได้ง่ายๆ"  เวลิเอ่ยพลางเอามือแตะหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อตรวจดูว่าไม่ได้มีอาการผิดปกติอันจะส่อเค้าว่าเธอเริ่มไม่สบายขึ้นมาอีก

              "เมื่อกี้ข้าเจอคนที่นั่นด้วยล่ะ"  เซียว่าพูดในขณะที่โดนพี่ชายจับตัวให้อยู่นิ่งๆเพื่อตรวจดูว่ามีไข้หรือไม่

              "ใครกันล่ะ"  เวลิถามพลางปล่อยมือจากร่างน้องสาวหลังจากแน่ใจแล้วเธอไม่ได้มีอาการที่บ่งบอกว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย  เขาชี้มือไปยังห้องครัวเป็นสัญญาณบอกเธอให้ตรงไปทานอาหารเย็นได้แล้ว
     

              "ไม่รู้สิคะ  ข้าไม่เห็นหน้า  มันมืดมากเลย"  เด็กสาวตอบกลับในขณะที่เดินไปหยิบจานมาตักข้าว  คำตอบนี้เรียกความสนใจจากอีกฝ่ายได้ถนัดนัก  เพราะคำถามเป็นชุดได้พรั่งพรูออกมาปานสายฟ้าแลบ

              "แล้วมันพูดว่าไงมั่ง  มืดๆแบบนั้นมันอันตรายนะ  เจ้าเองก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ  ข้าถึงไม่อยากให้เจ้าไปเดินยามค่ำมืดคนเดียวเลยให้ตายสิ..  เจ้านะเจ้า  ทำอะไรก็ช่วยเรียกพี่ชายคนนี้หน่อยได้ไหม"  เขาพูดพลางพ่นลมออกทางจมูกอย่างโมโห  ที่จริงตัวเขาไม่ได้โกรธน้องมากนักหรอก  หากแต่โกรธตัวเองหากว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับน้องสาวคนนี้โดยที่เขาไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยได้ท่วงทันต่างหาก

              "ท่านพี่คะ  ข้าน่ะไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆที่จำทำอะไรก็ต้อง พี่คะ  พี่ขา ตลอดแล้วนะคะ  แล้วอีกอย่างถึงข้าจะโมโหพี่ชายคนนั้นนิดหน่อย  แต่ก็.."  เซียว่าตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง  แต่ทว่าไม่ทันจบประโยคดีเวลิก็แทรกขึ้นมาอีก

              "แล้วมันทำอะไรให้เจ้าโกรธล่ะ  บอกมาสิ"  น้ำเสียงโกรธดังขึ้นจนเซียว่าสะดุ้งด้วยความตกใจ  เธอมองพี่ชายอย่างสงสัยว่าเหตุใดเขาต้องโกรธขนาดนี้ด้วย

              "เขาหัวเราะค่ะ..  ไม่รู้หัวเราะทำไมด้วย  ข้าไม่ได้ทำอะไรน่าขายหน้าออกไปเสียหน่อย"  เซียว่าพูดพลางขมวดคิ้ว  ซึ่งข้อความนี้ทำเอาเวลิสงบสติลงมาได้อย่างมาก  เขาลูบหัวน้องสาวตัวเองอย่างนึกเสียใจในความคิดเมื่อครู่  นี่บางทีเขาอาจจะเลี้ยงน้องสาวมาผิดไปหน่อยล่ะกระมัง  ที่ทำให้เธอไม่รู้เรื่องต่างๆของโลกภายนอกขนาดนี้

              "ท่านพี่คะ  ข้าทานข้าวไม่ได้  ท่านพี่เขย่าหัวข้าแรงเกินไปแล้ว"  เซียว่าร้องขึ้น  เมื่ออาหารในมือหกกระจัดกระจายทั่วโต๊ะเพราะอีกฝ่ายลูบหัวเธออย่างแรง

              "อ๊ะ  โทษที"  เวลิเอ่ยตอบพลางชักมือออกจากร่างของเซียว่า  เขาเดินออกไปหยิบตำราเวทมนตร์ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กตรงมุมห้องมานั่งอ่านที่โต๊ะทานข้าวฝั่งตรงข้ามกับเซียว่า

              เซียว่าเหลือบมองดูอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด  บางทีคนที่เธอพบเมื่อครู่น่าจะสูงพอๆกับเวลิล่ะมัง  เธอไม่ค่อยแน่ใจเพราะตอนนั้นแสงมีไม่พอที่จะมองเห็นอีกฝ่ายได้ถนัดนัก  แม้จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าที่เขาหัวเราะเมื่อครู่นั้นเพราะเหตุอันใด  และเธอก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมพี่ชายเธอถึงได้ดูโมโหนักเมื่อรู้ว่าเธอพบกับชายแปลกหน้ายามมืดมิดเช่นนี้

              เสียงพลิกหน้าหนังสือดังแว่วให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆทุกครั้งที่เวลิพลิกหนังสือดูหน้าถัดไป  เซียว่ามองดูตำราเล่มนั้นอย่างสนอกสนใจ  เธอหันกลับมามองข้าวในจานของตนที่แทบจะไม่ได้พร่องไปเสียเท่าใดนักพลางดึงสติที่กระเจิงไปกับความคิดร้อยแปดให้กลับมาอยู่กับมื้ออาหาร  ก่อนจะตักเล็มอาหารในจานไปได้เพียงนิดเดียวแล้ววางช้อนส้อมลง  เวลิเงยหน้าขึ้นมามองดูน้องสาวพลางเหล่ไปดูสิ่งที่ยังคงค้างเหลือในจาน

              "เซียว่า  ทานให้มากกว่านี้อีกหน่อยสิ"  เขาเอ่ยขึ้น  เซียว่ามองพี่ชายด้วยสีหน้างอราวกับเด็กๆ

              "ข้าอิ่มแล้วค่ะ"  เซียว่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ตวัดหางเสียงขึ้นตามนิสัยยามไม่พอใจเรื่องใด

              "ไม่ได้นะ  เซียว่า  เจ้ากินเหลือเยอะมากเลยนะ  เพราะแบบนี้น่ะสิถึงได้ตัวเล็กขนาดนี้  เจ้าน่ะ"

              "ไม่เห็นเป็นไรเลย  อ๊ะ.."  เซียว่าร้องขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองถูกพี่ชายอุ้มขึ้นไปอย่างง่ายดาย  เด็กสาวจับไหล่อีกฝ่ายไว้แน่นพลางมองหน้าผู้ที่อุ้มตนขึ้นมาด้วยแววตาโกรธเคือง  เวลิยิ้มให้เธอก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

              "นี่อุ้มขึ้นมาได้ง่ายๆปานนี้เลยนะ  ตัวเจ้าน่ะ  เบาอย่างกับนุ่น  อายุก็สิบสี่แล้ว  รีบๆกินรีบๆโตขึ้นมาได้แล้ว"

              "ท่านพี่คะ"  เซียว่าร้องขึ้นพลางทำหน้างอใส่  เวลิหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าน้องสาว

              "ดูสิ  แม้แต่นิสัยก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  งอนแก้มป่องอีกแน่ะ"  สิ้นคำพูดก็มีเสียงตุบตับดังขึ้นอันเกิดจากการที่เด็กสาวผู้ถูกหยอกล้อรัวมือทุบลงไปที่หลังอีกฝ่ายที่หัวเราะไม่หยุด  จนกระทั่งเขายอมวางตัวเธอลงกับพื้น

              "ท่านพี่ไปอ่านหนังสือของตัวเองต่อให้จบเถอะค่ะ  ข้าจะขึ้นห้องแล้ว"  เซียว่าพูดพร้อมกับค้อนใส่พี่ชายตนก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองแล้วเข้าห้องปิดประตูไป

              เวลิมองตามหลังน้องสาวของตนพลางอมยิ้ม  เขาฮัมเพลงอย่างมีความสุขระหว่างที่เดินไปหยิบเอาตำราเวทมนตร์ที่อ่านค้างอยู่เมื่อครู่ไปเก็บ  ด้วยความที่ว่าพ่อแม่ของทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว  เวลิจึงมีเซียว่าเป็นครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวในปัจจุบัน  ดังนั้นสำหรับตัวเขาเองเซียว่าจึงเป็นแทบทุกสิ่งทุกอย่างเลยก็ว่าได้ 


             
    ตระกูลของทั้งคู่เป็นผู้คอยดูแลแท่นบูชาโลอิคาร์เมร์มาหลายชั่วอายุ  ดังนั้นตอนนี้ทั้งคู่จึงเป็นเหมือนผู้สืบช่วงต่อจากพ่อแม่นับจากที่ทั้งคู่จากไป  เวลินั้นมีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์อันเป็นสิ่งที่สืบทอดมาภายในสายเลือด  ตามตำนานที่เล่าสืบทอดกันมาภายในตระกูลที่ว่า  เพราะพวกเขารับใช้มังกรโลอิคาร์เมร์  มังกรจึงได้แบ่งพลังส่วนหนึ่งมอบให้แก่ตระกูลเพื่อเป็นการตอบแทน  ด้วยเหตุนี้ตระกูลของทั้งคู่จึงสามารถใช้เวทมนตร์ของมังกรได้

              แต่กับเซียว่านั้นเธอแตกต่างออกไป  แม้ว่าเธอจะมีพลังเวทที่อยู่ในขั้นสูงแต่กลับนำออกมาใช้ไม่ได้  เพราะร่างกายของเธอกลับต่อต้านพลังเหล่านั้น  ด้วยเหตุนี้มันจึงส่งผลให้เธอมักจะเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอๆ  แต่อาจจะด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอมีพลังในการที่จะพบเห็นในสิ่งที่คนโดยทั่วไปมองไม่เห็น 


             
    เมื่อครั้งที่เซียว่ายังอายุได้ราวๆสองสามขวบ  เธอมักจะเล่นคนเดียวที่บริเวณแท่นบูชาและพูดคุยกับใครบางคนที่คนรอบข้างมองไม่เห็น  ทุกครั้งที่คนรอบข้างถามเธอในสิ่งที่เกิดขึ้นเธอมักจะตอบอยู่เพียงประโยคเดียวเหมือนๆกัน

              "เซียว่าพูดกับพี่ชายผมเงินตัวสูงๆไงคะ"  เด็กหญิงพูดขึ้นพลางชี้มือไปยังด้านข้างไกลๆประหนึ่งว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ณ ที่นั้น  แต่ทว่าทางที่เด็กหญิงชี้ไปนั้นกลับไม่มีใครยืนอยู่เลย  เป็นเพียงกำแพงว่างเปล่าเท่านั้น

              "แต่ข้าไม่เห็นใครเลยนะ  เซียว่า  เจ้าแน่ใจเหรอว่าพี่ชายที่เจ้าพูดถึงเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ"  เด็กชายผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถามขณะที่พยายามจะมองหาคนที่เป็นพี่ชายที่เซียว่าบอกว่าเขาเล่นและพูดคุยกับเธอ  หากแต่เด็กหญิงยังคงพยักหงึกๆและยืนยันทิศทางเดิม

              "เขายืนอยู่ตรงนั้นไงคะ  ท่านพี่ไม่เห็นเหรอ.."  เธอพูดพลางชี้นิ้วไปยังจุดเดิม  แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตางุนงงเซียว่าจึงร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

              "ซ..  เซียว่า  เจ้าร้องไห้ทำไมล่ะ"  เวลิรีบปลอบแต่เซียว่าส่ายหน้า

              "เซียว่าไม่ได้โกหกนะ  พี่ชายเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ"


             
    หลายต่อหลายครั้งที่บทสนทนาเรื่องพี่ชายลึกลับนั้นจะจบลงในรูปแบบนี้  ไม่มีใครเห็นพี่ชายที่เซียว่าพูดถึงเลยแม้แต่คนเดียว  พวกผู้ใหญ่จึงนึกว่าเขาเป็นเพียงจินตนาการของเซียว่าเท่านั้นเอง  แต่ตัวเด็กหญิงยืนยันตลอดมาว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขานึกคิด

              และเมื่อเธอโตขึ้นก็ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้จะหายไป  เซียว่าไม่พูดถึงพี่ชายคนนั้นอีก  เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่นึกสรุปกันว่าพี่ชายคนนั้นคงเป็นเพียงจินตนาการของของเด็กหญิงเอง  เซียว่าไม่เถียงเรื่องพี่ชายคนนี้อีกต่อไป  เธอบอกกับเวลิเพียงแค่ว่า ตอนนี้เธอไม่เห็นพี่ชายคนนั้นแล้วเท่านั้น  แล้วเธอก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

               เวลินึกมาถึงตรงนี้ก็อมยิ้มให้กับตัวเอง  มันผ่านมาหลายปีแล้ว  หลายปีที่เปลี่ยนเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนั้นให้โตขึ้น  เขาจะยังคงดูแลเธอตลอดเรื่อยไป  ตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับพ่อแม่  และตัวเขาเอง...

               "ทีเมื่อยามคนเรารู้สึกสุขใจ  เวลามักจะโผบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว  แต่ครั้งในความทุกข์เศร้า  กาลเวลานั้นราวถูกตรึงชั่วกาลนาน"  บทเพลงดังแว่วออกมาจากห้องของเซียว่า  เธอมักจะร้องเพลงที่มีเนื้อหาแปลกไปจากเพลงที่มักจะถูกขับร้องเพื่อเป็นที่บันเทิงใจ  สำหรับเธอ  เพลงเป็นเพียงสิ่งที่ไว้เตือนใจในหลายสิ่ง  แม้ว่าบางสิ่งในบทเพลงนั้นจะเริ่มปรากฏชัดขึ้นในความเป็นจริงก็ตาม...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×