คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ
แสงแดดยามเย็นแต่งแต้มผืนนภาให้เป็นสีแดงอมส้ม ลมเย็นพัดพาเอาใบไม้ไหวเอนไปตามแรง เสียงมวลหมู่ปักษาร้องเจื้อยแจ้วในขณะพาร่างของตนหวนคืนสู่รังเพื่อหลับไหลพักผ่อนยามค่ำคืน กลีบดอกไม้ริมทางค่อยๆหุบกลีบลงเมื่อแสงสว่างเลือนหาย เงามืดแห่งรัตติกาลคืบคลานมาปกคลุมผืนโลกอีกครา
โบราณสถานสีขาวตั้งอยู่กลางทุ่งดูเด่นเป็นสง่าแม้ยามค่ำคืนเช่นนี้ แสงจันทร์ที่ส่องลงมาช่วยเสริมให้ที่แห่งนี้ดูมีมนตร์ขลังมากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อยามที่ตะวันยังคงฉายแสง เถาไม้ที่เลื้อยพันเสาโดยรอบบ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ผ่านช่วงกาลเวลามามากแล้ว หากแต่มันไม่ได้มีสภาพทรุดโทรมตามที่ควรจะเป็นมากนัก อาจเพราะ 'เจ้าของ' ยังคงสถิตย์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยกระมัง
"..เจ้าคิดว่าจะพบเจอสิ่งใดในจุดจบแห่งการเดินทางที่ยาวนานนี้กันเล่า ไม่ใช่ว่าพวกเราเดินทางกันเพื่อค้นหาความรักงั้นหรือ จงไปเถอะ จนกว่าพวกเราจะได้มันมามากพอ.."
เสียงหนึ่งดังกังวานมาจากใจกลางลานอันเป็นที่ตั้งแห่งแท่นบูชาของโบราณสถานนั้น แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านเมฆลงมากระทบร่างเด็กสาวนางหนึ่ง ผมสีเดียวกับอัญมณีแห่งท้องทะเลที่ถูกรัดแค่กึ่งหัวพริ้วสยายไปตามแรงลม ดวงตากลมโตที่มีสีเดียวกับผมนั้นตัดกับสีผิวที่ขาวปานน้ำนม ดวงหน้ารูปไข่นั้นเอนไปมาเบาๆตามจังหวะเพลงที่เธอร้อง เธอเดินอยู่รอบลานนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะตรงไปยังแท่นหินบูชา
"สวัสดียามเย็นนะคะ" เธอเอ่ยขึ้นเบาๆรูปสลักซึ่งตั้งอยู่บนแท่นบูชา เด็กสาวเงยหน้ามองรูปสลักนั้นด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา มังกรสีขาวกำลังเตรียมพร้อมที่จะโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า นี่คือรูปสลักแห่งโบราณสถานแห่งนี้ และเป็นสิ่งที่เธอชอบมากที่สุด ครอบครัวของเธอเป็นตระกูลที่คอยดูแลสถานที่แห่งนี้มานานหลายชั่วอายุคนแล้ว และสำหรับตัวเธอเอง ที่นี่เป็นที่ที่เธอชอบที่สุด
"สาวน้อย ไม่รีบกลับเข้าบ้านยามมืดค่ำ เดี๋ยวครอบครัวเจ้าก็ได้เป็นห่วงหรอก" เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้น เรียกให้เธอหันไปหาเจ้าของเสียง แต่เพราะเวลานั้นกลุ่มเมฆได้เคลื่อนตัวเข้ามาบดบังแสงจันทร์ จนทำให้เด็กสาวไม่อาจมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้
"ไม่หรอกค่ะ เดี๋ยวข้าก็กลับแล้ว ข้ากลัวว่าท่านมังกรจะเหงาเพราะต้องอยู่ที่แห่งนี้คนเดียวข้าเลยมาอยู่ด้วยสักพัก" เธอเอ่ยตอบแต่ทว่าชายหนุ่มผู้ปรากฏกายในความมืดยามวิกาลนี้กลับหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
"หึๆ ท่านมังกรจะเหงาอย่างนั้นเหรอ เจ้านี่คิดอะไรแปลกๆดีจังเลยนะ" เขาหัวเราะเบาๆทำให้เด็กสาวหน้างอลงเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายตรงหน้าเธอถึงหัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้
"ท่านต่างหากที่แปลกคน อยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล เดี๋ยวข้าคงต้องกลับแล้ว พี่ชายก็อย่าอยู่ดึกนักนะคะ" เธอพูดขึ้นพลางก้มหัวลาชายแปลกหน้าผู้นี้ ก่อนที่จะรีบวิ่งลงไปจากโบราณสถานนี้อย่างเร่งรีบเท่าที่เธอทำได้
ลมแรงโบกพัดพาเอาเมฆที่บดบังแสงจันทร์ไปจนสิ้น เผยให้เห็นร่างสูงผู้ยืนเดียวดายอยู่ในโบราณสถานแห่งนั้น ผมสีเงินเรืองรองยาวถูกมัดรวบไว้อย่างดี นัยน์ตาสีเงินใสสว่างเรืองที่มองเห็นได้ดีแม้จะอยู่ในที่มืดมิด ร่างนั้นเดินตรงไปยังรูปสลักมังกรที่ตั้งอยู่ตรงแท่นบูชาก่อนที่จะยิ้มให้ตนเอง
"กลัวท่านมังกรจะเหงางั้นหรือ..?? ท่านมังกรอยู่คนเดียวมานานแล้วล่ะ ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะมาเล่นในที่แห่งนี้บ่อยๆ แต่เพราะหลังจากครั้งนั้น เจ้าก็มาที่นี่ทุกวัน ข้าไม่เหงาหรอก เด็กน้อย.." เขาเอ่ยเบาๆขณะที่ก้มศีรษะแนบลงไปกับรูปสลักหินนั้น ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสว่างวูบและหายวับไป
*******************************************
"เจ้าหายไปไหนมาน่ะ เซียว่า" เสียงเอะอะดังขึ้นจากชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำทะเล นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดุจไพลินจ้องมองมายังร่างน้องสาวของตนที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาเมื่อครู่อย่างคาดโทษ
"ข้าแค่ไปหาท่านโลอิคาร์เมร์มาเท่านั้นเอง ท่านพี่เวลิล่ะก็ ไม่เห็นต้องทำหน้าราวกับข้าหนีหายไปไหนโดยไม่บอกกล่าวอย่างนี้เลย" เด็กสาวว่ากลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ
"นี่มันมืดตั้งขนาดนี้ เจ้าเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้อย่างไรกัน เจ้าน่ะ เดี๋ยวก็ป่วยไข้ไม่สบายเอาได้ง่ายๆ" เวลิเอ่ยพลางเอามือแตะหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อตรวจดูว่าไม่ได้มีอาการผิดปกติอันจะส่อเค้าว่าเธอเริ่มไม่สบายขึ้นมาอีก
"เมื่อกี้ข้าเจอคนที่นั่นด้วยล่ะ" เซียว่าพูดในขณะที่โดนพี่ชายจับตัวให้อยู่นิ่งๆเพื่อตรวจดูว่ามีไข้หรือไม่
"ใครกันล่ะ" เวลิถามพลางปล่อยมือจากร่างน้องสาวหลังจากแน่ใจแล้วเธอไม่ได้มีอาการที่บ่งบอกว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย เขาชี้มือไปยังห้องครัวเป็นสัญญาณบอกเธอให้ตรงไปทานอาหารเย็นได้แล้ว
"ไม่รู้สิคะ ข้าไม่เห็นหน้า มันมืดมากเลย" เด็กสาวตอบกลับในขณะที่เดินไปหยิบจานมาตักข้าว คำตอบนี้เรียกความสนใจจากอีกฝ่ายได้ถนัดนัก เพราะคำถามเป็นชุดได้พรั่งพรูออกมาปานสายฟ้าแลบ
"แล้วมันพูดว่าไงมั่ง มืดๆแบบนั้นมันอันตรายนะ เจ้าเองก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ข้าถึงไม่อยากให้เจ้าไปเดินยามค่ำมืดคนเดียวเลยให้ตายสิ.. เจ้านะเจ้า ทำอะไรก็ช่วยเรียกพี่ชายคนนี้หน่อยได้ไหม" เขาพูดพลางพ่นลมออกทางจมูกอย่างโมโห ที่จริงตัวเขาไม่ได้โกรธน้องมากนักหรอก หากแต่โกรธตัวเองหากว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับน้องสาวคนนี้โดยที่เขาไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยได้ท่วงทันต่างหาก
"ท่านพี่คะ ข้าน่ะไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆที่จำทำอะไรก็ต้อง พี่คะ พี่ขา ตลอดแล้วนะคะ แล้วอีกอย่างถึงข้าจะโมโหพี่ชายคนนั้นนิดหน่อย แต่ก็.." เซียว่าตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง แต่ทว่าไม่ทันจบประโยคดีเวลิก็แทรกขึ้นมาอีก
"แล้วมันทำอะไรให้เจ้าโกรธล่ะ บอกมาสิ" น้ำเสียงโกรธดังขึ้นจนเซียว่าสะดุ้งด้วยความตกใจ เธอมองพี่ชายอย่างสงสัยว่าเหตุใดเขาต้องโกรธขนาดนี้ด้วย
"เขาหัวเราะค่ะ.. ไม่รู้หัวเราะทำไมด้วย ข้าไม่ได้ทำอะไรน่าขายหน้าออกไปเสียหน่อย" เซียว่าพูดพลางขมวดคิ้ว ซึ่งข้อความนี้ทำเอาเวลิสงบสติลงมาได้อย่างมาก เขาลูบหัวน้องสาวตัวเองอย่างนึกเสียใจในความคิดเมื่อครู่ นี่บางทีเขาอาจจะเลี้ยงน้องสาวมาผิดไปหน่อยล่ะกระมัง ที่ทำให้เธอไม่รู้เรื่องต่างๆของโลกภายนอกขนาดนี้
"ท่านพี่คะ ข้าทานข้าวไม่ได้ ท่านพี่เขย่าหัวข้าแรงเกินไปแล้ว" เซียว่าร้องขึ้น เมื่ออาหารในมือหกกระจัดกระจายทั่วโต๊ะเพราะอีกฝ่ายลูบหัวเธออย่างแรง
"อ๊ะ โทษที" เวลิเอ่ยตอบพลางชักมือออกจากร่างของเซียว่า เขาเดินออกไปหยิบตำราเวทมนตร์ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กตรงมุมห้องมานั่งอ่านที่โต๊ะทานข้าวฝั่งตรงข้ามกับเซียว่า
เซียว่าเหลือบมองดูอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด บางทีคนที่เธอพบเมื่อครู่น่าจะสูงพอๆกับเวลิล่ะมัง เธอไม่ค่อยแน่ใจเพราะตอนนั้นแสงมีไม่พอที่จะมองเห็นอีกฝ่ายได้ถนัดนัก แม้จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าที่เขาหัวเราะเมื่อครู่นั้นเพราะเหตุอันใด และเธอก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมพี่ชายเธอถึงได้ดูโมโหนักเมื่อรู้ว่าเธอพบกับชายแปลกหน้ายามมืดมิดเช่นนี้
เสียงพลิกหน้าหนังสือดังแว่วให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆทุกครั้งที่เวลิพลิกหนังสือดูหน้าถัดไป เซียว่ามองดูตำราเล่มนั้นอย่างสนอกสนใจ เธอหันกลับมามองข้าวในจานของตนที่แทบจะไม่ได้พร่องไปเสียเท่าใดนักพลางดึงสติที่กระเจิงไปกับความคิดร้อยแปดให้กลับมาอยู่กับมื้ออาหาร ก่อนจะตักเล็มอาหารในจานไปได้เพียงนิดเดียวแล้ววางช้อนส้อมลง เวลิเงยหน้าขึ้นมามองดูน้องสาวพลางเหล่ไปดูสิ่งที่ยังคงค้างเหลือในจาน
"เซียว่า ทานให้มากกว่านี้อีกหน่อยสิ" เขาเอ่ยขึ้น เซียว่ามองพี่ชายด้วยสีหน้างอราวกับเด็กๆ
"ข้าอิ่มแล้วค่ะ" เซียว่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ตวัดหางเสียงขึ้นตามนิสัยยามไม่พอใจเรื่องใด
"ไม่ได้นะ เซียว่า เจ้ากินเหลือเยอะมากเลยนะ เพราะแบบนี้น่ะสิถึงได้ตัวเล็กขนาดนี้ เจ้าน่ะ"
"ไม่เห็นเป็นไรเลย อ๊ะ.." เซียว่าร้องขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองถูกพี่ชายอุ้มขึ้นไปอย่างง่ายดาย เด็กสาวจับไหล่อีกฝ่ายไว้แน่นพลางมองหน้าผู้ที่อุ้มตนขึ้นมาด้วยแววตาโกรธเคือง เวลิยิ้มให้เธอก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
"นี่อุ้มขึ้นมาได้ง่ายๆปานนี้เลยนะ ตัวเจ้าน่ะ เบาอย่างกับนุ่น อายุก็สิบสี่แล้ว รีบๆกินรีบๆโตขึ้นมาได้แล้ว"
"ท่านพี่คะ" เซียว่าร้องขึ้นพลางทำหน้างอใส่ เวลิหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าน้องสาว
"ดูสิ แม้แต่นิสัยก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย งอนแก้มป่องอีกแน่ะ" สิ้นคำพูดก็มีเสียงตุบตับดังขึ้นอันเกิดจากการที่เด็กสาวผู้ถูกหยอกล้อรัวมือทุบลงไปที่หลังอีกฝ่ายที่หัวเราะไม่หยุด จนกระทั่งเขายอมวางตัวเธอลงกับพื้น
"ท่านพี่ไปอ่านหนังสือของตัวเองต่อให้จบเถอะค่ะ ข้าจะขึ้นห้องแล้ว" เซียว่าพูดพร้อมกับค้อนใส่พี่ชายตนก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองแล้วเข้าห้องปิดประตูไป
เวลิมองตามหลังน้องสาวของตนพลางอมยิ้ม เขาฮัมเพลงอย่างมีความสุขระหว่างที่เดินไปหยิบเอาตำราเวทมนตร์ที่อ่านค้างอยู่เมื่อครู่ไปเก็บ ด้วยความที่ว่าพ่อแม่ของทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว เวลิจึงมีเซียว่าเป็นครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวในปัจจุบัน ดังนั้นสำหรับตัวเขาเองเซียว่าจึงเป็นแทบทุกสิ่งทุกอย่างเลยก็ว่าได้
ตระกูลของทั้งคู่เป็นผู้คอยดูแลแท่นบูชาโลอิคาร์เมร์มาหลายชั่วอายุ ดังนั้นตอนนี้ทั้งคู่จึงเป็นเหมือนผู้สืบช่วงต่อจากพ่อแม่นับจากที่ทั้งคู่จากไป เวลินั้นมีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์อันเป็นสิ่งที่สืบทอดมาภายในสายเลือด ตามตำนานที่เล่าสืบทอดกันมาภายในตระกูลที่ว่า เพราะพวกเขารับใช้มังกรโลอิคาร์เมร์ มังกรจึงได้แบ่งพลังส่วนหนึ่งมอบให้แก่ตระกูลเพื่อเป็นการตอบแทน ด้วยเหตุนี้ตระกูลของทั้งคู่จึงสามารถใช้เวทมนตร์ของมังกรได้
แต่กับเซียว่านั้นเธอแตกต่างออกไป แม้ว่าเธอจะมีพลังเวทที่อยู่ในขั้นสูงแต่กลับนำออกมาใช้ไม่ได้ เพราะร่างกายของเธอกลับต่อต้านพลังเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงส่งผลให้เธอมักจะเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอๆ แต่อาจจะด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอมีพลังในการที่จะพบเห็นในสิ่งที่คนโดยทั่วไปมองไม่เห็น
เมื่อครั้งที่เซียว่ายังอายุได้ราวๆสองสามขวบ เธอมักจะเล่นคนเดียวที่บริเวณแท่นบูชาและพูดคุยกับใครบางคนที่คนรอบข้างมองไม่เห็น ทุกครั้งที่คนรอบข้างถามเธอในสิ่งที่เกิดขึ้นเธอมักจะตอบอยู่เพียงประโยคเดียวเหมือนๆกัน
"เซียว่าพูดกับพี่ชายผมเงินตัวสูงๆไงคะ" เด็กหญิงพูดขึ้นพลางชี้มือไปยังด้านข้างไกลๆประหนึ่งว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ณ ที่นั้น แต่ทว่าทางที่เด็กหญิงชี้ไปนั้นกลับไม่มีใครยืนอยู่เลย เป็นเพียงกำแพงว่างเปล่าเท่านั้น
"แต่ข้าไม่เห็นใครเลยนะ เซียว่า เจ้าแน่ใจเหรอว่าพี่ชายที่เจ้าพูดถึงเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ" เด็กชายผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถามขณะที่พยายามจะมองหาคนที่เป็นพี่ชายที่เซียว่าบอกว่าเขาเล่นและพูดคุยกับเธอ หากแต่เด็กหญิงยังคงพยักหงึกๆและยืนยันทิศทางเดิม
"เขายืนอยู่ตรงนั้นไงคะ ท่านพี่ไม่เห็นเหรอ.." เธอพูดพลางชี้นิ้วไปยังจุดเดิม แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตางุนงงเซียว่าจึงร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
"ซ.. เซียว่า เจ้าร้องไห้ทำไมล่ะ" เวลิรีบปลอบแต่เซียว่าส่ายหน้า
"เซียว่าไม่ได้โกหกนะ พี่ชายเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ"
หลายต่อหลายครั้งที่บทสนทนาเรื่องพี่ชายลึกลับนั้นจะจบลงในรูปแบบนี้ ไม่มีใครเห็นพี่ชายที่เซียว่าพูดถึงเลยแม้แต่คนเดียว พวกผู้ใหญ่จึงนึกว่าเขาเป็นเพียงจินตนาการของเซียว่าเท่านั้นเอง แต่ตัวเด็กหญิงยืนยันตลอดมาว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขานึกคิด
และเมื่อเธอโตขึ้นก็ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้จะหายไป เซียว่าไม่พูดถึงพี่ชายคนนั้นอีก เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่นึกสรุปกันว่าพี่ชายคนนั้นคงเป็นเพียงจินตนาการของของเด็กหญิงเอง เซียว่าไม่เถียงเรื่องพี่ชายคนนี้อีกต่อไป เธอบอกกับเวลิเพียงแค่ว่า ตอนนี้เธอไม่เห็นพี่ชายคนนั้นแล้วเท่านั้น แล้วเธอก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
เวลินึกมาถึงตรงนี้ก็อมยิ้มให้กับตัวเอง มันผ่านมาหลายปีแล้ว หลายปีที่เปลี่ยนเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนั้นให้โตขึ้น เขาจะยังคงดูแลเธอตลอดเรื่อยไป ตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับพ่อแม่ และตัวเขาเอง...
"ทีเมื่อยามคนเรารู้สึกสุขใจ เวลามักจะโผบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งในความทุกข์เศร้า กาลเวลานั้นราวถูกตรึงชั่วกาลนาน" บทเพลงดังแว่วออกมาจากห้องของเซียว่า เธอมักจะร้องเพลงที่มีเนื้อหาแปลกไปจากเพลงที่มักจะถูกขับร้องเพื่อเป็นที่บันเทิงใจ สำหรับเธอ เพลงเป็นเพียงสิ่งที่ไว้เตือนใจในหลายสิ่ง แม้ว่าบางสิ่งในบทเพลงนั้นจะเริ่มปรากฏชัดขึ้นในความเป็นจริงก็ตาม...
ความคิดเห็น