ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Princess of Rossignol

    ลำดับตอนที่ #2 : ร้านอาหารยูโทเปีย

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 47




                        ที่นี่ที่ไหนกัน   ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างมันมืดไปหมดเลย…







              สาวน้อยจ้องมองหาแสงสว่างที่จะทำให้เธอสามารถมองสิ่งต่างๆในความมืดมิดนี้ได้   ทันใดนั้นเบื้องหน้าของเธอก็มีภาพ



    ชายวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งหนีอะไรบางอย่างเข้ามา  มือของเขากุมมือเด็กน้อยซึ่งวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าตามมาด้วย  เบื้องหลังเขามีแสง



    ประกายวาวขึ้นมาและมีเสียงอะไรบางอย่างแหวกผ่านอากาศลงมาลงมาที่กลางหลังชายผู้นั้น





              “ฉั๊วะ !!”  ชายคนนั้นชะงักงันไปชั่วครู่ก่อนที่จะค่อยๆทรุดล้มลงกับพื้น   ลมหายใจรวยรินบ่งบอกถึงความตายที่คืบคลานเข้า



    มาใกล้ทุกขณะจิต  แต่เขายังคงใช้พลังเฮือกสุดท้ายผลักเด็กหญิงตกลงหน้าผาเบื้องหน้าไป  ด้านหลังชายหนุ่มผู้ลงดาบเมื่อครู่ก้าว



    เข้ามาพร้อมกับเงื้อดาบขึ้นสูงก่อนจะแทงอีกร่างให้หมดลมหายใจ





              “เสด็จพ่อ…!!!”  เสียงตะโกนดังไปทั่วห้องนอนชั้นสองของร้านอาหารยูโทเปียแห่งเมืองไฮบีซคัส  สาวน้อยเจ้าของเสียงนั่ง



    หอบอยู่บนเตียงของตน  ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกับความฝันเมื่อครู่   เหงื่อกาฬไหลเต็มทั่วใบหน้า  แต่ก่อนที่เธอจะได้ทัน



    คิดอะไรไปกว่านั้นก็มีน้ำสาดโครมเข้าหาเธอเต็มๆ  เธอมองหาที่มาของน้ำผ่านปอยผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ   ที่ประตูห้องนั้นมี



    หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมกับถังน้ำในมือ   ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเจ้าหล่อนบ่งบอกถึงความระอาเต็มทน  ซึ่งตอนนี้สาวน้อยใน



    ชุดที่เปียกชุ่มเพราะน้ำในถังนั้นก้าวลงจากเตียงและจ้องมองมาที่หล่อนด้วยสายตาที่มีแววแห่งความไม่พอใจฉายชัด







              “เอทัวล์   เธอทำอะไรของเธอน่ะ”  เสียงหวานใสที่แฝงไปด้วยอารมณ์โกรธเอ่ยถามบุคคลที่ทำให้ตัวเธอต้องอยู่ในสภาพเช่น



    นี้  อีกฝ่ายเอามือปัดเล่นผมสีทองของตนอย่างไว้ท่าก่อนที่จะตอบกลับไป





              “ก็ใครไม่รู้   นอนไม่ยอมตื่น   แถมยังตะโกนอะไรลั่นห้องอีก   นี่น่ะตะวันโด่งแล้วนะ   รีบๆแต่งตัวแล้วลงไปช่วยงานด้านล่าง



    ได้แล้ว”  เมื่อพูดจบก็เดินออกจากห้องไป  ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนอารมณ์เสียเนื่องด้วยเถียงไม่ขึ้นก่อนที่จะหันไปเก็บข้าวของและเปลี่ยน



    เสื้อเตรียมลงไปช่วยงานร้านอาหารด้านล่าง





              ร้านอาหารยูเทเปียเป็นร้านอาหารขนาดเล็กแต่ขึ้นชื่อของเมืองไฮบีซคัส   เจ้าของร้านเป็นหญิงสาววัยกลางคนชื่อเม



    เรีย  เธอเป็นคนอัธยาศัยดีทุกๆคนจึงชอบที่จะมาทานอาหารที่นี่   เธอมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนซึ่งนั่นก็คือเอทัวล์นั่นเอง   สามีของเธอ



    เสียไปนานแล้ว   ส่วนสาวน้อยอีกคนที่อาศัยอยู่กับเธอที่ทุกๆคนรู้กันว่าเป็นหลานสาวคนหนึ่งของเธอ





              “เอ้า   ซาย่าจ๊ะ  ช่วยเอาถาดนี้ไปเสิร์ฟที่โต๊ะเจ็ดทีนะจ๊ะ”  เมเรียพูดกับสาวน้อยตรงหน้าที่ตอนนี้ลงมาช่วยงานเรียบร้อย



    แล้ว  ผมของเธอถูกรวบไว้ด้านหลังเพื่อให้สะดวกในการทำงาน   เมื่อซาย่ารับถาดเดินไปลูกค้าที่อยู่โต๊ะใกล้ๆกันนั้นก็พูดขึ้นว่า







              “หนูซาย่านี่เป็นเด็กดีจังนะคะ   ช่วยงานตั้งหลายอย่าง   เอทัวล์เองก็เป็นเด็กดี  ทั้งคู่ต้องช่วยบริหารงานร้านในอนาคตได้ดี



    เยี่ยมแน่ๆค่ะ”  เมเรียยิ้มรับกับคำพูดนี้  และเธอก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งตั้งแต่ซาย่าเข้ามาอยู่ที่นี่  







              เรื่องมันผ่านไปราวๆสิบปีได้แล้ว  ตั้งแต่เมื่อครั้งที่สามีของเธอนำเด็กหญิงที่ตกลงมาจากหน้าผามาที่บ้าน   น่าแปลกที่ตาม



    เนื้อตัวเธอไม่มีบาดแผลแสดงถึงว่าตกลงมาจากหน้าผาที่สูงออกปานนั้นให้เห็นเลย   แต่มานึกดูตอนนี้ก็ไม่แปลกถ้าเป็นซาย่า  ต่อ



    ให้บาดเจ็บเพียงใดบาดแผลนั้นจะหายได้รวดเร็วเสมอ  เด็กน้อยที่ยืนสะอื้นไห้ตลอดคนนั้นใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นไปบ้างจากการเกี่ยว



    กระแทกแต่ก็ยังบ่งบอกว่าเป็นอาภรณ์อย่างดี  มีแม้กระทั่งตราของราชวงศ์พกซ่อนอยู่ด้านในเสื้อของเธอ  จนถึงวันนี้เด็กหญิงคน



    นั้นเติบโตขึ้นกลายเป็นสาวน้อยน่ารักอยู่ตรงนี้







              “คุณเมเรียคะ   อีกสามวันก็จะถึงงานฉลองครบรอบการครองราชย์ขององค์กษัตริย์แล้วนะคะ”  ลูกค้าคนเดิมพูดขึ้น  เมเรีย



    พยักหน้ารับรู้คำพูดนั้น  “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ  ว่าตั้งแต่กบฏเมื่อครั้งนั้นก็ผ่านมาสิบปีแล้ว   แต่กษัตริย์องค์นี้ก็ครองราชย์ด้วยดีนะ



    คะ  ไม่เรียกภาษีแพงด้วย  ดีสำหรับพวกเราจริงๆค่ะ”  น้ำเสียงชื่นชมด้วยความจริงใจ  แต่เมเรียนึกอยากให้ซาย่ายังไม่เดินเข้ามา



    ฟังบทสนทนานี้







                        เธอจะนึกอย่างไรกัน  ในเมื่อกษัตริย์องค์ก่อนน่ะเป็นพ่อแท้ๆของเธอ







              “จะว่าไปนะคะ   ไม่รู้ว่าธิดาของกษัตริย์องค์ก่อนเป็นอย่างไรบ้าง   ฉันว่าเธอก็น่ารักดีแท้ๆ  ถึงแม้พ่อของเธอกษัตริย์องค์



    ก่อนจะรีดไถภาษีมากไปหน่อย  แต่เธอยังเล็กอยู่แท้ๆ  ไม่น่าจะโดนเอี่ยวเข้าไปในการกบฏหนนั้นด้วยเลย  แต่เห็นว่าไม่มีการยืน



    ยันว่าเธอตายจริงๆ   บางทีตอนนี้อาจจะเติบโตเป็นสาวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้นะคะ   ว่าไหมคะคุณเมเรีย”  ลูกค้าช่างพูดคนนี้ยังคง



    พูดต่อไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว   เมเรียพยักหน้ารับคำพร้อมกับรอยยิ้ม







                        แน่สิ  เติบโตเป็นสาวน้อยและน่ารักอีกด้วย   แถมยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนนี่แหละ  องค์หญิงรัชทายาทเพียงองค์เดียว



    แห่งราชวงศ์แซคซิฟริจที่หายสาบสูญไปเมื่อครั้งกบฏเมื่อสิบปีที่แล้ว







              “คุณป้าเมเรียคะ  เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยทักทำให้เมเรียตื่นจากภวังค์  เธอมองมาที่เจ้าของเสียงหวานใสที่



    เอ่ยทักเธอเมื่อครู่  ซาย่ามีแววตาแปลกใจเมื่อเห็นเธอดูผิดปกติ   เมเรียยิ้มและเอ่ยบอกซาย่าว่า





              “ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ  ป้าเผลอหลับในไปหน่อยน่ะ   เราไปทำงานต่อดีกว่าเนอะ..”  ซาย่ายิ้มหวานรับคำพูดของเธอและนำถาด



    อาหารไปเสิร์ฟที่โต๊ะอื่นต่อไป







                        องค์รัชทายาทเพียงองค์เดียวของราชวงศ์แซดซิฟริจ





                        เธอต้องทวงเอาบัลลังค์ของเธอคืนจากบุคคลที่แย่งเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากตัวเธอเมื่อสิบปีที่แล้ว





                        อีกไม่นานก็จวนถึงเวลาแล้ว





                        เวลาที่องค์หญิงจะต้องกลับคืนสู่สิ่งที่พระองค์ควรจะเป็น







              เมเรียคิดในใจ  ส่วนหนึ่งเธอก็ยินดีที่จะให้ซาย่ากลับคืนสู่สภาพเดิมของเธอ  นั่นก็คือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์  แต่สิ่งที่สร้างความ



    แปลกใจให้เจ้าตัวเล็กน้อยนั่นคือ  เธอรักซาย่าเช่นลูกแท้ๆของเธอ  ถ้าเธอต้องจากไปคืนสู่ฐานะเดิม  คงสร้างความเศร้าใจให้กับ



    คนที่ยืนอยู่ตรงนี้แน่







              เย็นนั้น  เมื่อร้านอาหารชั้นล่างของบ้านได้ปิดลงแล้ว  ซาย่ากับเอทัวล์ต่างก็เก็บกวาดและจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เข้าที่  ระหว่างที่



    แต่ละคนกำลังทำงานของตนอยู่นั้น   เอทัวล์ก็เอ่ยถามซาย่าขึ้น





              “เมื่อเช้าเธอฝันถึงอะไรกันแน่   ซาย่า”  สิ้นเสียงคำถามซาย่าหันกลับไปมองบุคคลที่มีศักดิ์เป็นพี่เธอในที่นี้   ชั่งใจว่าควรจะ



    ตอบกลับไปด้วยความเป็นจริงที่เป็นหรือไม่   คนถามเห็นเจ้าตัวเงียบไปจึงเงยหน้าจากงานที่ทำมามองท่าทีของเธอ   สายตา



    จากดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีแววครุ่นคิดโดยการอ่านท่าทางของอีกฝ่าย  ก่อนที่ซาย่าจะได้เอ่ยปากตอบอะไรไปนั้น  ฝ่ายที่อ่านภาษา



    ท่าทางของคนที่ยังไม่ตอบคำถามทะลุปรุโปร่งได้พูดขึ้นก่อน





              “ฝันเรื่องสมัยก่อนอีกแล้วล่ะหรือ   โธ่เอ๋ย  เด็กน้อย…” เจ้าหล่อนไม่พูดเฉยหากแต่ยังเดินตรงเข้ามากอดแล้วเอามือลูบๆ



    หัวอีกฝ่ายที่ยังอ้ำอึ้งกับการกระทำนี้ก่อนที่จะรีบผลักพี่สาว(?!?)ออกไปอย่างแรงแล้วจ้องกลับไปด้วยแววตาไม่พอใจ





              “อย่าทำอย่างกับฉันเป็นเด็กทารกเช่นนี้สิ”  คำประกาศกร้าวดังขึ้นจากปากคนที่ถูกกระทำเมื่อครู่





              “มีแต่เด็กน้อยเท่านั้นแหละ  ที่ฝันร้ายแล้วร้องโยเยเสียงลั่นแบบนั้น”  อีกฝ่ายยังไม่ลดละ  การเถียงกันของสองพี่น้อง(?!?)คู่



    นี้คงยืดยาวไปอีกนาน   และเนื่องด้วยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีไม้ถูพื้นเป็นอาวุธ(?!?)อยู่ในมือ  ฝ่ายที่เถียงแพ้นั้นเป็นฝ่ายที่จับไม้ขึ้นมา



    สู้ก่อน  ไม้ถูพื้นในมือของซาย่าถูกจับกระชับและฟาดลงไปตรงที่ๆเอทัวล์ยืนอยู่





              “โป๊ก..!!”







                        เอ๋…  โป๊กงั้นเหรอ…?







              เอทัวล์ที่หลบการโจมตีของซาย่าเมื่อครู่ทันหันกลับไปจ้องมองภาพด้านข้างตัวเธอด้วยความแปลกใจระคนตกใจเล็กน้อย  



    เพราะไม้ถูพื้นที่ซาย่าตั้งใจจะฟาดลงมาหาเธอนั้น   ตอนนี้กลับถูกฟาดลงบนหัวสีทองเป็นประกายของชายหนุ่มผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่



    เปิดประตูเข้ามา  เจ้าตัวคนฟาดเองก็ยืนชะงักงันตกใจนิ่งไปพักหนึ่ง  จ้องมองภาพบุคคลที่ถูกเธอน็อคลงไปกับพื้นเบื้องหน้า





              “อเล็กซ์..!!!”





    ==================================================



              “ความเย็นแห่งวารี  ความอ่อนโยนแห่งพฤกษา  ขอจงช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของบุคคลตรงหน้าด้วยเถิด”  สิ้นเสียงร่าย



    เวทย์ของซาย่า  ก็บังเกิดแสงสว่างเรืองรองห่อหุ้มร่างกายของชายหนุมที่สลบไปด้วยแรงฟาดเมื่อครู่   เอทัวล์จ้องมองภาพตรงหน้า



    ด้วยความเฉยชินเสียแล้ว







                        เวทย์แห่งการรักษาเป็นสิ่งแสดงว่าเป็นสายตรงของเหล่าราชวงศ์แซคซิฟริจ





                        เวทย์ที่ไม่มีผู้อื่นใช้ได้อีกในรอซินยอลนี้







                        แต่ทุกสิ่งทุกอย่างของซาย่าถูกเก็บเป็นความลับอย่างสุดยอด  มีเพียงน้อยคนที่จะรู้ที่มาที่ไปของเธอ  สำหรับที่เมืองนี้



    มีเพียงแค่พ่อแม่ของเธอ  ตัวเธอเอง  และชายหนุ่มที่ถูกน็อคอยู่







              เมื่อแสงเรืองที่ห่อหุ้มร่างเบื้องหายไปพร้อมกับนำรอยแผลที่ศีรษะหายไปด้วย   เจ้าตัวค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเอามือคลำ



    บริเวณท้ายทอยป้อยๆ  ดวงตาคู่เขียวมรกตฉายแววแห่งความสงสัยเล็กน้อยและครุ่นคิดเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ก่อนพูดขึ้น





              “ซาย่าครับ  ไม่น่าเล่นแรงขนาดนี้เลยนะครับ” เสียงชายหนุ่มว่าตัดพ้อถึงการกระทำที่ทำให้เขาต้องเจ็บตัวเมื่อครู่ของเพื่อน



    สาว  เจ้าตัวต้นเรื่องอึกอักอยู่ชั่วครู่ก่อนจะโยนความผิดให้เขา





              “เมื่อกี้ฉันตั้งใจจะให้เอทัวล์นี่  แล้วนายเข้ามารับเองทำไมล่ะ”  คนถูกโบ้ยความผิดให้สะดุ้งกับคำพูดนี้ก่อนหันมามองคนที่



    แสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่ผิด  เจ้าตัวยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปก่อนความผิดจะถูกโยนระลอกสองให้คนที่เหลือในห้อง





              “แล้วเมื่อกี้เอทัวล์ก็หลบด้วย   ถ้าไม่หลบก็ไม่โดนอเล็กซ์หรอก”  คนที่ถูกโยนความผิดระลอกสองหันกลับมามององค์หญิง



    ตัวดี







                        ถ้ายัยนี่กลับคืนเป็นองค์หญิงเมื่อไร…มีหวังที่วังได้วุ่นตาย…







              “ถ้าไม่หลบฉันก็โดนฟาดน่ะสิ   จะมีใครบ้าไปยืนรอรับไม้ที่ถูกฟาดมาเต็มแรงบ้างล่ะ”  คนถูกโบ้ยความผิดไม่ยอมรับข้อ



    หา   คนถูกว่าเองก็ยังคงไม่ยอมรับผิดพูดย้อนกลับไป





              “ก็…อเล็กซ์ไง   มารอรับเต็มที่เลย”  คนโดนลูกหลงเมื่อครู่สะดุ้งสุดตัวกับคำพูดที่ลากเขาไปเอี่ยวอีกเข้าจนได้ก่อนจะส่าย



    หัวด้วยความปลงตกกับนิสัยไม่ยอมแพ้ใครของเพื่อนของเขาคนนี้





              “นั่นเขาเปิดประตูเข้ามารับลูกหลงไปเต็มๆโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต่างหากล่ะ”  เอทัวล์ย้อนกลับ  อเล็กซ์ก็พยักหน้าหงึกหงัก



    ด้วยว่าเห็นด้วย  ทิ้งให้คนก่อเรื่องฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งเนื่องด้วยเถียงไม่ขึ้น  ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์เสีย  ทิ้งให้สองคน



    ที่เหลือนั่งถอนใจอยู่ในห้องอย่างรู้กันแล้วว่าต้องจบในรูปแบบนี้  ก่อนที่อเล็กซ์จะพูดทำลายความเงียบขึ้น





              “นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยนะครับ  ซาย่าเนี่ย..” อเล็กซ์เปรยขึ้นเบาๆ  เอทัวล์หันกลับมามองเพื่อนชายของเธอชั่วครู่  ก่อนที่จะ



    เอ่ยปากถามขึ้น





              “แล้วนายมาทำอะไรที่นี่น่ะ…อเล็กซ์   คงไม่ได้มาเพียงเพื่อให้ซาย่าเอาไม้ฟาดใส่หัวแน่” คนถูกถามยิ้มในช่วงแรกของคำ



    ถามแต่ก็ม่อยลงไปกับวรรคสุดท้าย  คนถามยังคงยิ้มที่มุมปากรอคอยคำตอบจากชายหนุ่ม  เขาถอนหายใจกับนิสัยของเพื่อนสาว



    ทั้งคู่ของเขา







                        คนหนึ่งไม่ชอบยอมแพ้ใครง่ายๆ  กับอีกคนหนึ่งที่อ่านท่าทางของอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่งด้วยการมองเพียงแวบเดียว







              “ก็เรื่องงานฉลองในอีกสามวันข้างหน้าน่ะสิครับ   ทั้งคู่ไม่คิดจะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองบ้างหรอกหรือครับ”  สิ้นคำพูดของ



    ชายหนุ่ม  สาวเจ้าจ้องมองหน้าคนตรงหน้าชั่วครู่ก่อนเอ่ยแหย่อีกฝ่ายเล่น





              “ทำไมนายไม่ไปชวนซาย่าเอาล่ะ”  เอทัวล์กล่าวยิ้มๆก่อนจะนั่งดูหน้าชายหนุ่มที่ค่อยๆเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเรื่อๆ  ก่อนที่เจ้า



    ตัวจะรีบดึงสติกลับมาและพูดต่อ





              “อย่ามาล้อเล่นแบบนั้นสิครับ   ผมตั้งใจจะชวนพวกเธอไปทั้งคู่นั่นแหละ  แต่สำหรับซาย่าวันนั้นออกจะเป็นวันครบรอบใน



    หลายๆเรื่องของเธอ”  เอทัวล์มองหน้าอีกฝ่ายและนึกทบทวนคำพูด







                        วันฉลองครบรอบการครองราชย์ของกษัตริย์องค์ปัจจุบันนี้  นั่นหมายถึงวันครบรอบการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์องค์



    ก่อนซึ่งเป็นพ่อของซาย่าด้วย







                        และยิ่งกว่านั้นยังเป็นวันครบรอบวันเกิดของเจ้าตัวเสียด้วย  กบฏเมื่อสิบปีก่อนเลือกเอาวันฉลองครบรอบราชสมภพ



    ของเธอเองด้วย







              “ผมตั้งใจแค่ว่าจะชวนไปเดินเที่ยวงานเท่านั้น  แต่ไม่รู้ว่าซาย่าจะยอมออกไปเที่ยวด้วยกับพวกเราหรือไม่  ก็เลยบอกพี่สาว



    ที่แสนดีก่อนนี่ไงครับ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับยิ้มให้พี่สาวที่แสนดีคนนั้นค้อนขวับเข้าให้ก่อนที่เอ่ยปากรับคำขึ้น





              “ได้  แล้วฉันจะทำให้ซาย่าตกลงใจไปเอง   คอยดูนะ” คำพูดมุ่งมั่นถูกเอ่ยขึ้นมาจากปากของหญิงสาวโดยที่ชายหนุ่มด้าน



    ข้างงุนงงกับคำพูดที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวต้องการสื่อความหมายว่าอย่างไร  เขามองเพื่อนสาวของตนเองอย่างสงสัยว่าเธอมีแผนการณ์



    อะไรในใจ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×