ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Princess of Rossignol

    ลำดับตอนที่ #14 : เวทย์คำสาป

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 47




              “เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ”  คำแรกที่ถูกเอ่ยมาจากปากองค์หญิงผู้ลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงรบกวนเมื่อครู่   ภาพตรงหน้าคือแรนดัล



    กำลังโดนเอริคจับตัวไว้อย่างแน่นหนา   อเล็กซ์ที่จับดาบขึ้นในท่าเตรียมพร้อมจะฟาดฟันลงมาที่ตัวเด็กชายตรงหน้า  มีดสีเงินวาว



    เล่มหนึ่งตกอยู่บนพื้นข้างเตียง





              “เด็กนี่มันจะทำร้ายเธอ”  อเล็กซ์ตอบขึ้นมาในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่คนต้นเหตุ  คนที่ตกเป็นผู้สงสัยในที่นี้ยังคง



    พยายามดิ้นให้หลุดจากมือของชายที่จับตนเองอย่างสุดกำลังแต่ก็ไร้ผล  ก่อนที่เขาจะขยับปากพูดขึ้นในที่สุด





              “ผมแค่พยายามจะปอกแอปเปิ้ลให้องค์หญิงเท่านั้นเอง  แล้วพวกท่านก็เข้ามาจับผมแบบนี้…”  แรนดัลพูดพลางเบะปากทำ



    หน้าราวกับจะร้องไห้  เขามองไปที่พื้นอีกจุดหนึ่ง  แอปเปิ้ลลูกหนึ่งที่ยังปอกไปได้แค่ครึ่งลูกกำลังกลิ้งไปตามพื้นห้อง  ซาย่าหันกลับ



    ไปมองหน้าทุกๆคนที่อยู่ในที่นั้นด้วยสายตาที่เค้นหาความจริงก่อนจะเอ่ยปากขึ้น





              “ปล่อยแรนดัลได้แล้ว  เอริค”  คำสั่งถูกเอ่ยขึ้นมาโดยที่คนรับมีสีหน้าไม่เห็นด้วยขึ้นทันทีที่ได้ฟัง  แต่เธอยังคงเน้นย้ำ



    เดิมเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมปล่อยตัวเด็กชาย  “ปล่อยเขาซะ”  เสียงคำสั่งที่เน้นย้ำขึ้นอีกทีคราวนี้ทำให้เอริคต้องปล่อยตัว



    แรนดัลอย่างเสียไม่ได้  เมื่อถูกปล่อยตัวเด็กชายก็เริ่มปล่อยโฮขึ้นมาทันที  ซาย่ามองหน้าคนที่เหลืออีกสามคนในห้องด้วยว่าต้อง



    การเหตุผลที่เข้ามาจับคนในห้องของเธอ





              “ทำไมอยู่ๆถึงต้องมาจับเด็กคนนี้”  เสียงที่กล่าวประโยคนี้สร้างบรรยากาศในห้องให้ดูเย็นเยียบขึ้นมาทันที  เอทัวล์ซึ่งทนไม่



    ไหวจึงโพล่งขึ้นมาก่อนคนแรก





              “เพราะเจ้าเด็กคนนี้น่าสงสัยน่ะสิ”  คำพูดที่ดังขึ้นจากปากหญิงสาวอีกคนในห้อง  เด็กชายผู้ถูกกล่าวหามองหน้าเอทัวล์ด้วย



    ความไม่พอใจก่อนที่จะพูดเถียงกลับ





              “ผมทำอะไรผิดอีกหรือครับ  ครั้งนี้ผมแค่จะปอกแอปเปิ้ลให้องค์หญิงเท่านั้นเอง”  เจ้าตัวพูดทั้งๆที่น้ำตายังนองหน้าอยู่  ในที่



    สุดอเล็กซ์ก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน





              “ในห้องนี้จริงๆแล้วไม่มีแอปเปิ้ลอยู่ในห้องเลยไม่ใช่หรือ   แล้วไปค้นแอปเปิ้ลมาจากไหน…”  ชายหนุ่มพูดมาได้ถึงตรงนี้ก็มี



    เสียงประตูปิดดังขึ้นจากด้านหลัง   ดอร์ร่าผู้ซึ่งก้าวเข้าห้องมาใหม่นั้นมีสีหน้างงงวยต่อภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าเป็นอย่างยิ่ง  ก่อนที่



    จะเอ่ยปากถามขึ้น





              “เกิดอะไรกันขึ้นหรือคะ   แล้วแรนดัลร้องไห้ทำไมกันน่ะ  ปอกแอปเปิ้ลให้องค์หญิงเสร็จแล้วหรือยัง”  ประโยคนี้ทำให้



    ซาย่าจ้องกลับไปยังผู้ที่กล่าวหาเด็กชายอยู่ชั่วขณะใหญ่ก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นต่อไป





              “ทีนี้ก็รู้กันแล้วนะว่าเด็กคนนี้ไม่น่าสงสัย   ถ้าจะสงสัยใครว่าจะทำร้ายฉันไปสงสัยเฟรเดคริกซ์ยังจะดีเสียกว่า   ทีหลังอย่าตี



    ความอะไรเอาง่ายๆสิ”  คำตัดสินสุดท้ายถูกเอ่ยขึ้นมาในที่สุด  และองค์หญิงผู้ตัดสินความในครานี้ก็เริ่มนอนลงอีกครั้งด้วยอารมณ์



    ที่ไม่ค่อยดีนัก  ในขณะที่คนที่เหลือมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยชอบใจในคำตัดสินขององค์หญิงเจ้าปัญหาเท่าไหร่นัก  แต่ก็ไม่



    สามารถขัดอะไรได้ในเมื่อเจ้าตัวหลับไปแล้ว  แรนดัลมองหน้าทุกคนก่อนจะเริ่มนั่งลงที่เก้าอี้และเริ่มปอกแอปเปิ้ลอีกครั้ง   เมื่อ



    เป็นเช่นนี้ทุกคนจึงต้องเดินออกจากห้องไปในที่สุด  เหลือไว้เพียงดอร์ร่ากับแรนดัลซึ่งยังคงอยู่ในห้องกับซาย่าต่อไป  







              “เจ้าเด็กนั่น…!!”  เสียงอเล็กซ์บ่นพึมพำระหว่างทางเดินหน้าห้อง  เอทัวล์ได้แต่มองเพื่อนชายของตนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดย



    ไม่ได้พูดว่าอะไร   เอริคมองไปมองมาระหว่างทั้งคู่ก่อนที่จะพูดเสนอความเห็นออกมา





              “พวกคุณสงสัยตัวเด็กคนนั้นว่าเป็นคนร้ายอย่างนั้นหรือ..??”  คำถามที่แทงใจดำคนแถวนั้นจนต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาชาย



    หนุ่มผู้ที่มักยิ้มเป็นเนืองนิจเบื้องหน้า  บัดนี้แววตาที่อยู่หลังกรอบแว่นที่เจ้าตัวมักสวมเฉพาะเวลาอ่านหนังสือมีแววประกาย



    ประหลาดออกมาอย่างที่อเล็กซ์บอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกเช่นไร  “ในเมื่อยังจับไม่ได้คาหนังคาเขาอย่างแท้จริงก็อย่าไปกล่าวหาอะไร



    กันเลยนะครับ”  คำกล่าวตัดให้เรื่องตรงนี้จบไปถูกเอ่ยดังขึ้นในที่นั้น  คนกล่าวยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะก้มหัวให้แล้วเดินจากไปตาม



    ทาง  เอทัวล์มองตามร่างนั้นก่อนที่จะเดินเข้ามาหาบุคคลอีกคนที่ยังยืนอยู่ในที่นั้น  อเล็กซ์ยังคงยืนเฉยอยู่ท่าเดิมก่อนที่จะรู้สึกตัว



    เมื่อเอทัวล์เอามือไปแตะไหล่  เขาบ่นอะไรพึมพำออกมาอีกสองสามคำก่อนที่จะเดินไปปักหลักนั่งอยู่ที่หน้าประตูห้องของซาย่า  



    เอทัวล์มองตามแล้วก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องเข้าไปด้านในโดยทิ้งให้คนคิดไม่ตกนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป…





    ====================================





              “อเล็กซ์…  มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ   ไม่กลับไปนอนดีๆที่ห้องล่ะ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นในยามดึกของค่ำคืนนั้น  เป็นคำถามที่ถาม



    กับราชองครักษ์ผู้ซึ่งมานั่งเฝ้าประตูจนถึงยามวิกาลเช่นนี้  ชายหนุ่มที่พยายามฝืนตาให้ลืมอยู่ทั้งๆที่ยังงัวเงียตอบกลับไปโดยไม่ได้



    คิดอะไร





              “มานั่งเฝ้าเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับซาย่าน่ะสิ”  เมื่อเขาตอบไปก็เริ่มรู้สึกตัวว่าเสียงที่ถามเขาเมื่อครู่นั้นช่างฟังดูคุ้นหูเกิน



    กว่าจะเป็นเสียงคนอื่น   นี่เขาง่วงจนจำเจ้าของเสียงนี้ไม่ได้แล้วหรือ…  เมื่อหันกลับไปพบสาวน้อยในชุดนอนสีขาวยาว  สีหน้าที่ดูแย่



    เพราะพิษไข้เมื่อตอนเย็นค่อยดูดีขึ้นเล็กน้อย  หากแต่ริมฝีปากยังคงแห้งผากอยู่เช่นเดิม นัยน์ตาคู่ฟ้าซึ่งตอนนี้มีแววสงสัยเต็มที่  



    อเล็กซ์จ้องมองคนตรงหน้าเขาก่อนที่จะเผลอตัวตะโกนออกไปเสียงดัง





              “ซาย่า..!!!”  คนถูกเรียกทำหน้าดุขึ้นมาทันทีและรีบทำมือเป็นสัญญาณให้เขาเงียบเสียงลง  ทำให้อเล็กซ์ต้องรีบเอามือปิด



    ปากทันทีเพราะเสียงเมื่อครู่ดังพอที่จะปลุกใครในบริเวณนั้นได้หมด  ก่อนที่จะมีคำถามด้วยความไม่พอใจดังขึ้น





              “ทำไมถึงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน   ถึงมีจริงๆฉันก็ป้องกันตัวได้หรอกน่ะ”  สาวน้อยพูดพลางขมวดคิ้ว  มือทั้งคู่ตอนนี้อยู่ใน



    ท่ากอดอกเรียบร้อยแล้ว  





              “ถึงอย่างไรก็เถอะ  ผมยังไม่ไว้ใจเด็กคนนั้นหรอกนะ”  อเล็กซ์พูดในขณะที่เงยหน้ามองซาย่า  เธอถอนหายใจแล้วสะบัด



    เดินกลับเข้าห้องไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย   เสียงประตูห้องปิดเบาๆพร้อมๆกับที่อเล็กซ์นั่งเอาหัวพิงกำแพงครุ่นคิดถึง



    เหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน







                        หรือต้องปล่อยให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนหรืออย่างไร  ถึงจะรู้สึกตัวเสียที…







              และเจ้าเหตุการณ์ที่ว่านั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่เขาคิด  เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นภายในห้องปลุกให้อเล็กซ์ซึ่ง



    เผลอหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวให้ตื่นขึ้นและรีบเปิดประตูห้องเข้าไปดูสาเหตุของเสียงเอะอะวุ่นวายนั้น  ภาพตรงหน้าทำให้ใครก็ตามที่



    มาเห็นคงต้องตะลึงไปแน่  เอทัวล์กับดอร์ร่ายืนล้อมรอบคนๆหนึ่งซึ่งดูร่างเล็กลงไปถนัดตา  ชุดนอนสีขาวที่เคยสวมใส่อยู่ได้พอดี



    เมื่อคืนตอนนี้หลวมโครกจนแทบจะลงไปกองที่พื้นได้หมด   ดวงหน้าซึ่งตอนนี้กลับดูเด็กลงไปมากมีสีหน้าตกใจในสภาพของตน



    เอง  ริมฝีปากที่ดูเหมือนจะขยับเพื่อพูดอะไรสักอย่างออกมา  หากแต่…ไม่มีเสียงหลุดลอดออกมาแม้สักนิด





              “เจ้าเด็กนั่น..!!”  คนแรกที่อเล็กซ์คิดถึงเมื่อต้องการจะรู้ตัวคนทำเรื่องแบบนี้   แถมตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ในที่นั้นเสียแล้ว  



    มันออกไปตั้งแต่เมื่อไรกันและแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วย







                        เป็นเรื่องขึ้นมาจนได้…  แล้วจะทำอย่างไรกันล่ะ…







              อเล็กซ์คิดในใจขณะมองภาพตรงหน้า   ใช่…แล้วจะทำอย่างไรกันดีในเมื่อองค์หญิงกลับกลายเป็นเด็กไปเสียแล้ว  แถมดูท่า



    จะโดนเวทย์ไซเลนซ์อีกต่างหาก   ดูท่าวันนี้คงจะวุ่นกันแน่ๆ (silence  n. vt. in.= เงียบ,ระงับเสียง,ห้ามไม่ให้พูด)





    ===========================================





              “เกิดเรื่องขึ้นจนได้…”  เสียงบ่นดังเล็ดลอดออกมาจากปากของเฟรเดคริกซ์ซึ่งตอนนี้มาดูอาการของคนโดนเวทย์ที่ยังไม่



    ค่อยจะยอมรับสภาพตนเองในตอนนี้  สีหน้าบูดบึ้งยังคงปรากฏขึ้นตลอดเวลาบนใบหน้าเด็กๆนั้น  ตอนนี้เจ้าตัวสวมชุดที่เคยใส่เมื่อ



    ครั้งตอนที่ยังอยู่ที่วังนี้ในสมัยก่อนซึ่งดอร์ร่าไปค้นมาให้  เฟรเดคริกซ์ถอนหายใจเบาๆกับภาพตรงหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ





              “เวทย์ไซเลนซ์ยังพอว่า   เพราะอีกไม่นานมันก็จะเสื่อมลงไปเองได้   แต่อีกเวทย์หนึ่งนี่สิ…”  เฟรเดคริกซ์หยุดพูดเล็ก



    น้อยก่อนจะชำเลืองไปดูร่างเด็กน้อยอีกที  “อันนี้ไม่รู้จะแก้อย่างไรเพราะไม่รู้ตัวบทคาถาที่ใช้   คงต้องปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้



    ไปจนกว่าจะหาวิธีแก้ได้”  คำตอบที่คนฟังแทบอยากจะฆ่าคนพูด  แต่ร่างนี้ก็ช่างเล็กเกินกว่าที่จะจับดาบที่มีอยู่ตอนนี้ได้ถนัดมือ



    นัก  ทำได้แค่ส่งแววตาโกรธเคืองไปให้เท่านั้นเพราะตอนนี้แม้แค่จะพูดยังทำไม่ได้





              “ข้าเคยบอกท่านแล้วใช่ไหมองค์หญิง  ว่ามีคนจ้องจะทำร้ายท่าน   ข้าขอให้ท่านระวังตัวให้มากกว่านี้  ก่อนที่ชีวิตของท่าน



    จะดับสูญเสียเอง”   พูดจบเจ้าตัวก็ยกมือขึ้นร่ายเวทย์อะไรบางอย่างออกมา   มีสีแดงเรืองๆปรากฏขึ้นล้อมรอบตัวซาย่าอยู่ครู่หนึ่งก็



    ที่จะหายไปโดยที่ดูคล้ายกับถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างของตัวเธอเอง





              “เวทย์นี้คงจะอยู่ได้ระยะหนึ่ง   ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นมันคงช่วยท่านได้บ้าง  แต่ทางที่ดีท่านอยู่เฉยๆคงไม่เกิดเรื่อง”  พูดจบ



    ก่อนที่จะเริ่มเดินออกจากห้อง  แต่ก็ชะงักก่อนที่จะเปิดประตูออกไปและหันกลับมาพูดกันไว้ก่อน  “แล้วอย่าทรงนึกว่าตัวท่าน



    เก่งกล้าสามารถพอที่จะสู้ศัตรูไหว  เพราะตอนนี้แม้แค่จับดาบยังไม่รู้ว่าท่านจะทำไหวหรือไม่เลย”  พูดจบก็มีเสียงปิดประตูดัง



    ขึ้น  คนๆนั้นเดินออกจากห้องไปแล้วและมีเสียงเดินแว่วมาให้ได้ยินและห่างออกไปเรื่อยๆ  





              องค์หญิงผู้ที่ต้องกลับกลายไปเป็นเด็กเพราะเวทย์คำสาปมองไปที่ประตูด้วยสายตาที่ไม่ค่อยยินดีกับคำพูดเมื่อครู่  คนๆนั้น



    เป็นใครและมีสิทธิ์อะไรมาว่าเธอ  คิดพลางเดินเข้าไปหยิบดาบของเธออย่างไม่ยอมรับในคำพูดเมื่อครู่ที่หาว่าเธอแม้จะจับดาบยัง



    ทำไม่ไหว  ตอนนี้ด้ามดาบอยู่ในมือเธอเรียบร้อยแล้ว  แต่ไม่ว่าจะพยายามยกขึ้นเท่าไรมันก็ลอยสูงเหนือพื้นไม่ถึงฟุต   ดาบเล่มนี้ที่



    เคยดูเบาเสมอ  ฟาดฟันได้รวดเร็วดุจสายลม  ตอนนี้แม้เพียงจะยกเธอยังไม่สามารถทำได้เลย  เวทย์ก็ใช้ไม่ได้  แล้วจะเชื่อใน



    เวทย์ที่คนๆนั้นร่ายใส่ตัวเธอได้แค่ไหนกัน  น้ำใสๆเริ่มคลอเต็มเบ้าตาก่อนที่จะไหลรินลงมา





              ด้านนอกหน้าต่างมีเงาๆหนึ่งที่จ้องมองภาพด้านในพร้อมกับรอยยิ้ม  ผ้าดำที่แฝงกายไปได้ดีไปกับเงามืดที่เกิดจากเมฆฝน



    ที่ตั้งเค้าพร้อมที่จะตกลงมาอีกระลอกใหญ่   ลมพัดแรงทำให้เส้นผมสีเงินพลิ้วไปบดบังตาสีดำมืดแห่งรัตติกาลบ้าง  แต่สายตาก็ยัง



    คงจับจ้องร่างด้านในอย่างสนอกสนใจ





              “องค์หญิงโซมารีน่า   ขอให้ท่านสนุกกับร่างนั้นนะ…  ก่อนที่ผมจะทำงานชิ้นนี้ต่อไป”  เสียงกระซิบเบาๆที่แทบจะถูกกลืนหาย



    ไปในสายลมที่พัดอย่างรุนแรง





    =======================================



              “องค์หญิงเสวยหน่อยเถิดนะเพคะ”  เสียงแม่นางกำนัลดอร์ร่าดังขึ้นเมื่อเห็นถาดอาหารที่ตนยกมาให้ซาย่าไม่ได้พร่องลงไป



    เลยแม้เพียงนิดเดียว  คนถูกร้องขอได้แต่มองหน้าคนขอด้วยสายตาแปลกๆที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่รู้จักคนตรงหน้านี่เลยสักนิด   ก่อนที่



    จะลุกขึ้นเดินออกไปที่ประตู  แต่มีมือมาขวางไว้เสียก่อน





              “จะไปไหนกันครับ   ซาย่า..??”  เสียงคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาทักเข้าพอดีและเอามือกดลงที่ไหล่  ซาย่ามองหน้าคนตรง



    หน้าด้วยความไม่เข้าใจ  คนพวกนี้เป็นใครกันสำหรับเธอแล้วเธอไม่รู้จักเลยสักคน





              “เวทย์นี้ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าที่เห็น  นอกจากร่างเธอจะกลายเป็นเด็กแล้ว  ความทรงจำของเธอก็ถูกย้อนเวลากลับไป



    ด้วย   ดังนั้นสำหรับตัวเธอพวกเราคือคนที่เธอไม่รู้จักมาก่อน”  เสียงเฟรเดคริกซ์ที่เพิ่งเดินเข้ามาตอบให้ทุกคนได้ยิน  ทุกคนต่างก็



    หนักใจกับสถานการณ์เช่นนี้   จะแก้เวทย์ก็แก้ไม่ได้เพราะไม่มีใครรู้ว่าที่แท้จริงแล้วเป็นเวทย์อะไรกันแน่





              “เท่าที่ทำได้ตอนนี้ก็คือคอยอยู่กับเธอไว้ตลอด  อย่าให้คนร้ายเข้าใกล้ตัวเธอได้จนกว่าเวทย์จะคลาย…”  เฟรเดคริกซ์สั่ง



    ทุกคนไว้ก่อนที่จะมองร่างเด็กหญิงตรงหน้า   ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัวเล็กน้อยเมื่อครั้งเขาเป็นคนสอนดาบให้เธอ  เวลาผ่านมา



    นานแสนนาน  ไม่คิดว่าจะต้องพบเจอร่างนี้อีกด้วยสถานการณ์เช่นนี้…





    ======================================





              ซาย่าในร่างเด็กน้อยนั่งแกว่งขาไปมาบนเตียง  สายตามองออกไปด้านนอกที่มีสายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง  



    แสงฟ้าแลบสว่างวาบขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังขึ้นครืนใหญ่





              “ว๊าย..!!”  เสียงร้องด้วยความกลัวดังมาจากดอร์ร่า   แต่บุคคลที่แสดงความกลัวออกมามากกว่ากลับเป็นซาย่า  เด็กหญิงเอา



    ผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวทันที   แววตาที่ดูหวาดกลัวปนสงสัยเล็กน้อย





                        เธอซึ่งไม่เคยกลัวฟ้าร้องมาก่อน…  แต่ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกกลัวขึ้นมานะ





                        เหมือนมีอะไรที่ฝังอยู่ในหัวแต่นึกไม่ออก   ในค่ำคืนที่มีฟ้าร้องมันเกิดอะไรขึ้นกัน….





              และแล้วอยู่ๆแสงเทียนทุกเล่มที่จุดในห้องก็พลันดับวูบลงอย่างไม่มีสาเหตุ    ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืดทันที   มีเสียงวูบ



    ดังอยู่ครั้งใหญ่ก่อนที่จะมีเสียงดอร์ร่าร้องกรี๊ดด้วยความตกดังขึ้นก่อนที่จะเงียบเสียงลง  ซาย่าเพ่งมองผ่านความมืดเพื่อหาต้นเสียง



    ที่ดังมานั้น  ตรงหน้าเธอมีผู้ชายร่างสูงคนหนึ่ง  ผมสีเงินสะท้อนกับแสงสายฟ้าที่สว่างขึ้นเป็นระยะๆ   นัยน์ตาคู่ดำซึ่งตอนนี้ดูเย็นชา



    เสียเกินกว่าที่จะมีในตัวคนๆหนึ่ง  ริมฝีปากซึ่งตอนนี้ขยับขึ้นลงเบาๆและด้วยเสียงที่เล็ดลอดออกมาดังเพียงแค่เสียงสายลมดังให้



    เธอได้ยิน





              “ถึงเวลาที่ผมต้องมาขอรับชีวิตท่านไปอย่างแท้จริงแล้วนะครับ…”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×