The Nightmare
เทล ดิไนท์แมร์ ผู้เสกสรรฝันร้ายได้ใช้ชีวิตในโลกปิศาจมานานแสนนาน แต่โลกปิศาจนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดหรอก ทิ้งความเชื่อเก่าๆ ไปได้เลย แล้วคุณจะได้พบกับความรักที่ไม่อาจจดจำ
ผู้เข้าชมรวม
227
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
The Nightmare
ติ๊ง ตึง ตะลึง~! ติ๊ง~
เสียงประหลาดๆ ที่ได้ยินอยู่ทุกวัน มันเป็นเสียงที่ดังเวลาเดิมซ้ำๆ ทุก 12 ชั่วโมง เสียงที่บอกว่าหมดเวลาทำงานของพวกเราแล้ว
“เฮ้ เทลไปหาอะไรดื่มหน่อยไหม?”
“ไม่ต้องไปชวนหรอก ไอ้เทลน่ะมันเคยไปไหนกับใครที่ไหนล่ะ วันๆ ก็บ้าทำงานอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จะกลัวตายไปไหน”
“สรุปว่าไม่ไปหรอเทล?”
“เห็นไหม ถามไปมันยังไม่ตอบเลย”
นั่นคือเสียงของบูกี้บูกี้และสครีม ผมต้องยอมรับว่าบูกี้บูกี้มีน้ำใจที่อุตส่าห์ชวน แต่ทางกลับกันเจ้าสครีมที่ดูเหมือนจะเหม็นขี้หน้าผมกลับเข้าใจผมมากกว่า
ผมไม่คิดจะไปสังสรรค์กับใครให้เสียเวลาหรอก เพราะอะไรน่ะหรอ? ง่ายจะตายไป เพราะนี่คือโลกปิศาจยังไงล่ะครับ
โลกปิศาจที่ผมอยู่นี่ดีกว่าโลกมนุษย์มากมายนัก หากเราอยากได้อะไรก็เพียงแค่เสกมันขึ้นมา อยากได้บ้านใหม่ก็สามารถเปลี่ยนบ้านได้วันละหลังเลยด้วยซ้ำ แถมโรคภัยไข้เจ็บในโลกนี้ก็ไม่มี อายุของปิศาจทั้งหลายก็ไม่เคยขยับ แต่ถึงพวกเราจะไม่แก่ก็ต้องพานพบกับความตายอยู่ดี
แล้วคงงงใช่ไหมครับว่าที่สครีมพูดว่าผมกลัวตายไปไหนมันเกี่ยวอะไรกับการทำงาน
การตายบนโลกปิศาจนี้มันเป็นอะไรที่ง่ายดายกว่าที่คิด...
แอ๊ดแอด!!
นั่นไง... ว่าแล้วก็ได้เวลาพอดี นี่เป็นเสียงสัญญาณอีกเสียงหนึ่งที่จะดังหลังจากออดเลิกงาน ด้านหน้าของปิศาจทุกตัวจะมีกระดานไฟปรากฏขึ้นมาไม่เว้นแม้แต่ผมด้วยเช่นกัน จากนั้นบนกระดานก็จะมีอักษรเลือดสีแดงค่อยๆ เขียนชื่อของปิศาจที่จะต้องตายในวันนี้ลงไป 2 รายชื่อ
“สครีม ดิเฟียร์ กับ อาเนส ดิเฟียร์หรอ… น่าเบื่อจัง”
ผมอดที่จะพึมพำกับตัวเองไม่ได้เมื่อชื่อของสครีมคนรู้ใจถูกสลักขึ้นในกระดานนั้น ความจริงแล้วผมได้มันช่วยออกปากแทนมาหลายครั้งเลยไม่ต้องปฏิเสธคำชวนไร้สาระด้วยตัวเอง ถึงสิ่งที่มันพูดจะเป็นการเหยียดผมก็ตามทีแต่ก็ช่วยประหยัดน้ำลายไปได้เยอะทีเดียว
หลังจากรายชื่อปรากฏตรงหน้า กระดานเพลิงก็จะฉายให้เห็นปิศาจทั้ง 2 ที่ปรากฏชื่อในวันนี้
ด้านซ้ายคืออาเนส ส่วนด้านขวาก็สครีมแน่แล้ว ไอ้หน้าตาที่บิดเบี้ยวดูอัปลักษณ์นั่นผมจำได้ดีเชียวล่ะ
ตัวเลขค่อยๆ หมุนวนลงไปประทับบนหัวของทั้งคู่แล้ว...
5 9 4 8 คือตัวเลขที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของสครีม
5 9 4 4 คือตัวเลขที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของฮาเนส
ตัวเลขที่ปิศาจทุกตัวได้เห็นผ่านกระดานไฟนี่คือตัวเลขการทำงานประจำชีวิต หากปิศาจตัวไหนยิ่งทำมากก็จะยิ่งมีค่าตัวเลขนี้มาก และเพื่อความเท่าเทียมของโลกปิศาจระบบการเกิดใหม่นี้จึงคัดสรรค์เฉพาะปิศาจที่ทำหน้าที่เดียวกันมาตัดสินกันเท่านั้น เพราะถ้าเอาพวกปิศาจที่ทำงานง่ายๆ อย่างพวกสกุลดิบลัดมาเทียบกับสกุลดิฮอร์โลวเนสแล้วล่ะก็ ไม่ต้องพูดถึงเลย ค่าการทำงานต้องต่างกันราวฟ้ากับเหวแน่ๆ แถมยังอาจเกิดการเสียสมดุลการเกิดการตายของโลกปิศาจอีกด้วย
อ่า... ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว ภาพของฮาเนสที่จอซ้ายก็เกิดแสงวาบขึ้นบนตัวเขาแล้ว และไม่นานร่างของฮาเนส ดิเฟียร์ก็ลงไปกองกับพื้นเหลือไว้เพียงลูกแก้วแห่งชีวิตเป็นเม็ดประกายจ้าลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศรอให้ผู้ชนะมาใช้ต่อชีวิต
“ฮ่าๆๆ ไอ้ฮาเนสตายแล้วแฮะ แหม่... ขอให้เด็กใหม่นิสัยดีกว่ามันก็พอ”
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ไนท์ โอแลนเทิร์นมายืนข้างหลังผม ไอ้ตัวหน้ากากเหล็กกำลังหัวเราะชอบใจจนแสงไฟในหัวของมันส่องสว่างลอดช่องหน้ากากออกมามากเป็นพิเศษ การตายของปิศาจ 1 ตนใน 1 วันจะถูกแทนที่ด้วยวิญญาณที่มาจากโลกมนุษย์ 1 ดวงเสมอ และเมื่อวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเข้ามาสวมใส่ร่างกายของปิศาจตัวเลขการทำงานของทั้งคู่ก็จะถูกรีเซ็ตใหม่อีกครั้ง
เพียงไม่นานฮาเนส ดิเฟียก็ลุกขึ้นมายืนด้วยสีหน้างงๆ ไม่สิจะเรียกว่าฮาเนสก็คงไม่ถูกเพราะฮาเนสเพิ่งตายไป และชื่อของผู้ที่มาสถิตร่างก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาเป็นควันขาวบนหัว
มากาเล็ต
“ยินดีต้อนรับ มากาเล็ต ดิเฟียร์!”
เสียงของปิศาจตนหนึ่งที่อยู่แถวๆ จุดที่ฮาเนสตายดังออกมา ก่อนที่พวกปิศาจตนอื่นๆ ในบริเวณนั้นจะกรูเข้าไปแสดงการต้อนรับอย่างเป็นมิตร เหอะ... ก็แค่ไอ้พวกใส่หน้ากากกันทั้งนั้น...
ไม่สิ ปิศาจอย่างพวกเราก็มีใบหน้าเป็นหน้ากากอยู่แล้วนี่นา
ในที่สุดกระดานไฟก็มอดดับไป การตัดสินความตายของดิเฟียร์วันนี้จบลงด้วยการหายไปของฮาเนส การต้อนรับมากาเล็ตน้องใหม่และการคงอยู่ของสครีม คงไม่ต้องเปลืองน้ำลายไปอีกนานเลยงานนี้
ผมว่าตัวเองควรจะเลิกยุ่งกับเรื่องของคนอื่นสักที มันเสียเวลาไปมากพอสมควรแล้ว
ผมตั้งหน้าตั้งตามองเข้าไปที่ลูกแก้วในมือ ลูกแก้วค่อยๆ ปรากฏภาพของผู้คนที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา ใช่แล้วครับ มันคืองานของผมเทล ดิไนท์แมร์ผู้เสกฝันร้าย
ทุกๆ วันผมจะต้องเข้าไปเสกฝันร้ายให้แก่ผู้คนที่กำลังหลับอยู่แบบที่เห็นในลูกแก้วนี่ และแม้จะเป็นเวลาเลิกงานแต่ผมก็ไม่เอาเวลาไปเที่ยวเล่นเหมือนพวกตนอื่นๆ ปิศาจอย่างเราไม่ต้องพักผ่อน ดังนั้นเวลาอีก 12 ชั่วโมงที่เหลือจากงานจึงเป็นอิสระของพวกเราเอง จะว่าผมบ้างานก็ได้นะแต่ผมกลัวมากกว่า... กลัวที่จะต้องตายแล้วกลายเป็นมนุษย์ที่อยู่อีกโลกหนึ่ง
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนตัวเองเป็นมนุษย์นั้นเป็นยังไง แต่พอได้มาเป็นปิศาจแล้วผมเลยได้รู้ว่าพวกมนุษย์ต้องทนอยู่กับการแข่งขัน การแก่งแย่งชิงดีและความกดดันต่างๆ มากมายที่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ‘กิเลส’ แถมนี่ยังไม่รวมถึงการแก่และการเป็นโรคที่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกด้วย
แค่พูดก็ขนลุกไปหมดแล้ว ผมว่าผมรีบทำงานต่อดีกว่า
“วาริน”
ปากของผมพึมพำพูดชื่อของงานที่กำลังจะทำออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนตัวแล้วผมว่ามันก็เป็นชื่อที่เพราะดี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปเสกฝันดีให้เขาแทนหรอกนะ
ช่างเถอะ... ไปเลยดีกว่า
รอบกายของผมเต็มไปด้วยความมืดและความว่างเปล่าที่ผมคุ้นชิน จิตของมนุษย์แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นห้องว่างเช่นนี้ และหลังจากนั้นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในห้วงความคิดของคนๆ นั้นจะค่อยๆ เติมแต่งห้องอันว่างเปล่านี้เอง
สิ่งที่เข้ามาเติมแต่งนั้นจะมีทั้งสีสันแตกต่างกันไปตามจิตอันไม่อาจปฏิเสธของคนๆ นั้น แน่นอนว่าหน้าที่ของผมก็คือการหยิบจับวัตถุสีดำอันเป็นบ่อเกิดแห่งความโสมมในจิตใจผู้คนต่างๆ มาเสกสรรฝันร้ายอย่างมีศิลป์
ตอนนี้ผมก็เข้ามาอยู่ในห้วงจิตนานพอสมควรแล้ว คงใกล้ได้เวลาแล้วล่ะ
มาแล้ว... ห้องที่เคยว่างเปล่าและมืดสนิทค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย เริ่มด้วยการฉาบพื้นด้วยสีขาวและปูหน้าด้วยผืนดินสุขภาพดีก่อนที่หญ้าสีเขียวจะขึ้นมาทับอีกชั้นหนึ่ง ด้านบนเปิดกว้างเป็นฟ้าครามราวกับความฝันของเด็กน้อย ภูเขาหลายลูกโอบล้อมอยู่ห่างๆ ตัวผม และที่สำคัญทุ่งดอกไม้หลากสีค่อยๆ ผุดขึ้นมาพร้อมสายลมโบกโบยที่โชยพัดกลิ่นละอองเรณูของพวกมันเข้ามา
ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ โลกแห่งจินตนาการของยัยผู้หญิงโลกสวยนี่ทันที มอง มอง มอง และก็มองหาไม่หยุด ทว่า...
“ไม่จริงน่า…”
ไม่รู้ว่าเสียงของผมยังนิ่งเรียบอยู่เหมือนเดิมไหม ตอนนั้นผมตกใจจนหูไม่ได้ยินแม้เสียงที่ตัวเองบ่นออกมาด้วยซ้ำ
ไม่น่าเชื่อเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ผมได้รับหน้าที่ดิไนท์แมร์มา ในโลกจินตนาการของผู้หญิงคนนี้ไม่มีวัตถุสีดำเลยสักชิ้นเดียว!
“สวัสดีจ้ะ”
ทันใดนั้นเสียงที่อ่อนนุ่มราวกับขนนกก็ไล้เข้ามาที่หูข้างซ้ายของผมทำเอาสะดุ้งตัวกลับแทบไม่ทัน ผมเดินถอยหลังหนีอย่างรวดเร็วจนขาพันกันและล้มลงกระแทกพื้น
“อุ๊ย! เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
“เอ๊อะ...”
เธอตรงดิ่งเข้ามาหาผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยจนผมพูดอะไรไม่ออก พอได้ลองสังเกตดูที่ร่างกายของตัวเองดีๆ ก็ได้รู้ว่าทำไมผมถึงขาพันกัน
สิ่งแรกที่ผมเห็นคือมือ 2 ข้างและเท้า 2 ข้าง ผมเอามือมาจับใบหน้าด้วยความงุนงง มันคือใบหน้าของ ‘มนุษย์’ แถมยังเป็นมนุษย์ที่หน้าตาดีเสียด้วย
ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมกำลังอึ้งอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์เพศหญิงผู้นี้ไม่เคยจินตนาการถึงปิศาจเลยหรือยังไงกัน?
ถึงจะตกใจอยู่มากแต่ผมก็ค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืนจนได้ บอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง นี่เป็นห้วงจิตที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว และผมจะต้องหาจุดมืดในดวงจิตของเธอให้จงได้
“คุณเป็นใครหรอคะ?”
“เอ๊อะ... เอ่อ... ชื่อ...เทลน่ะ เทล ดิไนท์แมร์”
อะไรกัน! ผมยังไม่ทันจะได้เค้นความลับของเธอก็ถูกยิงคำถามมาก่อนซะแล้ว ไม่ยอมหรอก ผมจะต้องเค้นจนกว่าจะเจอความลับอันมืดมนในจิตใจของเธอ
“ฉันชื่อวาริน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อ่ะ... ยินดี... ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เธอยื่นมือมาจับมือกับผมอย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมประหม่า พอได้มองดูดีๆ แล้วดวงตากับเส้นผมดำยาวที่ดูตัดกับผิวกายของเธอช่างทำให้เธอดูแตกต่างจากพวกมนุษย์ผู้หญิงทั่วๆ ไปอย่างบอกไม่ถูก
นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!? รีบเข้าประเด็นดีกว่า
“วาริน วาริน วาริน... จงบอกมาว่าสิ่งที่เจ้าคับแค้นใจที่สุดในชีวิตคือสิ่งใด ข้าจะชำระแค้นให้เจ้าเองจงเชื่อใจ”
“สิ่งที่คับแค้นใจที่สุดในชีวิตหรอ... ไม่รู้สิ”
“อะ เอ๋?”
“ขอโทษจริงๆ นะคะ คือฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองคับแค้นใจอะไร”
เธอก้มหัวขอโทษด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ นี่มันอะไรกัน!? ในห้วงจิตนี้ไม่มีใครสามารถโกหกได้ นั่นหมายความว่าเธอไม่เคยคับแค้นใจสิ่งใดในโลกเลยอย่างนั้นหรอ ฮึๆ ไม่มีทางหรอก ฉันเห็นจากลูกแก้วส่องโลกหรอกน่าว่าเธอเป็นพวกคนจน เตียงฟูกบางๆ ที่เธอใช้นอนมันเป็นตัวบ่งบอกอย่างดีเชียวล่ะ
“เงินไง เธอไม่เหม็นขี้หน้าไอ้พวกเศรษฐีที่ทำตัวอวดร่ำอวดรวย ไอ้พวกที่เดินกร่างอยู่เต็มถนนพวกนั้นบ้างรึไง? ฉันสามารถเสกสรรให้เธอมั่งคั่งยิ่งกว่าเจ้าพวกนั้นได้นะ เพียงแค่ขอร้องฉันมา”
วารินเอียงคอถามกลับมาอย่างสงสัย
“คุณเทลสามารถเสกเงินทองได้ด้วยหรอคะ?”
“ใช่ๆ ฉันสามารถเสกได้”
“ดีจังเลย น่ายินดีด้วยจริงๆ นะคะ”
อ๊ะ... เธอจับมือผมด้วยสองมือแล้วยิ้มปราบปลื้มเสียจนผมทำหน้าไม่ถูกเลย อะไรของแม่นี่กันนะ ไม่เคยรู้จักคำว่าอิจฉารึยังไง
“แล้วสรุปว่าเธอจะเอาเงินไหม ฉันจะเสกให้เธอเองเพียงแค่เธอบอกมาสิ พ่อแม่พี่น้องของเธอจะอยู่สุขสบายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หลายขุมเชียวนะ”
วารินส่ายหน้าทั้งที่รอยยิ้มฉีกกว้างยังคงไม่จางหายไป
“ญาติพี่น้องของฉันไปสบายกันหมดแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเลยไม่มีอะไรต้องห่วงเลย”
โอ้... เยี่ยมเลย
“ถ้าอย่างนั้นอยากให้ฉันคืนชีวิตให้กับเขาเหล่านั้นไหม?”
“ไม่ต้องหรอกคะ พวกเขาได้พบทางสงบแล้ว อย่าไปรบกวนเลยจะดีกว่า”
เธอพูดออกมาโดยไม่มีท่าทีที่จะเศร้าหมองเลยสักนิด คนแบบนี้ก็มีอยู่ในโลกด้วยงั้นรึ
“ว่าแต่คุณเทลเป็นใครหรอ ทำไมถึงสามารถเสกอะไรต่อมิอะไรได้อย่างใจนึกแบบนี้ล่ะคะ?”
“ฉะ ฉันเป็น... เทพน่ะ เทพ ใช่ ฉันเป็นเทพไง”
ไม่ถือว่าโกหกใช่ไหม ก็เรียกว่าเทพปิศาจก็ได้นี่นา
วารินดูเหมือนจะตกใจจนดวงตาเบิกโพลง มือทั้งสองของเธอกุมปากก่อนจะเอื้อมมาจับมือผมไว้แน่น
“ดีใจจังเลย ฉันคิดอยู่แล้วว่าคุณเทลต้องเป็นเทพแน่ๆ”
ผมไม่รู้จะตอบรับความคาดหวังของเธอยังไงดี แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมชักรู้สึกเหนื่อยที่จะค้นหาความมืดมิดในจิตใจของยัยคนนี้ซะแล้ว
ลองกวาดสายตามองดูรอบกาย สิ่งที่อยู่ตรงนี้ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันคือความฝันอันแสนสวยหรู เลื่อนสายตาไปมองเจ้าของฝันนี้ก็ได้เห็นใบหน้าอันสดใสที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเข้ากับสิ่งแวดล้อมแบบนี้อย่างมาก
ผมนั่งลงบนพื้นหญ้านุ่มๆ ถอนหายใจสักหนึ่งเฮือกและเหม่อมองไปยังก้อนเมฆที่ล่องลอยไร้ทิศทาง
“แล้วเธอใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นไปเพื่ออะไรกันในเมื่อไม่เห็นจะมีจุดหมายปลายทางเลยสักนิด”
งวดนี้วารินทำหน้าดุผมจนได้
“มีสิคะ ทุกชีวิตบนผืนโลกล้วนมีจุดหมายปลายทางของตัวเอง และฉันเองก็มีด้วยเช่นกัน”
“งั้นหรอ น่าแปลก ลาภยศสรรเสริญก็ไม่เอา ความผูกมัดก็ไม่เอา แล้วจุดหมายของเธอคืออะไรกัน?”
“การเชื่อมต่อจุดหมายค่ะ”
คำตอบนั้นทำเอาผมงงจนต้องหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
“การเชื่อมต่อจุดหมายหรอ?”
“ใช่ค่ะ อย่างที่ฉันบอก คนทุกคนล้วนมีจุดหมายเป็นของตัวเอง และจุดหมายของฉันก็คือการมีชีวิตเพื่อจะผลักดันใครสักคนให้เขาไปถึงจุดหมายของเขาเอง แม้มันจะไม่ได้รับอะไรตอบแทน แต่เพียงเศษเสี้ยวความสุขเล็กๆ น้อยๆ และรอยยิ้มแห่งความสำเร็จนั้นก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ”
เชื่อไหมครับว่าเธอทำให้ผมอึ้งอีกแล้ว อึ้งยิ่งกว่าที่ตอนนี้ตัวผมเองกำลังพูดคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างไม่ติดขัดเสียอีก
ติ๊ง ตึง ตะลึง~! ติ๊ง~
เสียงที่แสนคุ้นหูดังลั่นออกมา โลกอันสวยงามของเธอค่อยๆ หายวับไปเหลือเพียงตัวผมเองในร่างปิศาจที่กำลังยืนถือลูกแก้วส่องโลกค้างอยู่อย่างนั้น
“ต้องทำงานอีกแล้ว เบื่อโว้ย”
เจ้าสครีมบ่นมาแต่ไกล นี่มันครบ 12 ชั่วโมงแล้วหรอเนี่ย ทำไมเวลามันผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้นะ
เมื่อถึงเวลาทำงานปิศาจแต่ละตัวก็ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองตามเคย ใช่แล้ว! เวลาทำงานนี่นา
ผมรีบจ้องมองไปยังลูกแก้วส่องโลกอีกครั้ง ปากก็พึมพำไม่หยุด
“วาริน วาริน วาริน”
โชคดีที่เธอยังไม่ตื่น ผมรีบเข้าไปในฝันของเธออีกครั้งทันที
ติ๊ง ตึง ตะลึง~! ติ๊ง~
“อ้า... เลิกงานสักที เทลไปหาอะไรดื่มกันไหม?”
“ไม่ล่ะ ขอโทษด้วยนะ”
“เอ๋!?”
ไม่รู้ว่าหยอกกันเล่นหรือเปล่าที่บูกี้บูกี้มาถามผมแบบนั้นทุกวันหลังเวลาเลิกงาน แต่วันนี้เขาต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อผมไม่ต้องรอให้สครีมปฏิเสธแทนอีกแล้ว
“เฮ้ย... เห็นเปล่าวะ เมื่อกี้ไอ้เทลมันยิ้ม”
“เออ ยิ้มไปเดินไปคนเดียว สงสัยจะบ้าไปแล้วแน่ๆ”
เสียงซุบซิบนินทาของคู่หูคู่เก่าไม่เข้าหูผมเลยสักนิดเดียว
ผมไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไรที่ผมต้องรีบมองหาวารินในลูกแก้วหลังเลิกงาน ภาวนาให้เธอหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราอย่างสงบเพื่อจะได้เข้าไปในมิติปิดกั้นที่มีเพียงเราสอง
แต่เหมือนว่าวันนี้จะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับผมเสียแล้ว
แอ๊ด! แอด!
กระดานไฟแห่งความตายผุดขึ้นมาตรงหน้า และชื่อที่สลักอยู่บนนั้นก็...
เทล ดิไนท์แมร์ และ แจ๊ค ดิไนท์แมร์
น่าแปลกใจ ทั้งที่ชื่อของตัวเองกำลังประทับอยู่บนกระดานแห่งความตาย ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่หวั่นเกรงมาตลอด แต่ตอนนี้ผมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น หรือบางทีอาจเรียกว่าผมกำลังรอคอยมันอยู่เลยก็ว่าได้ ความตายจากโลกปิศาจ เพื่อได้คืนวิญญาณสู่ร่างมนุษย์ สู่โลกมนุษย์ สู่การพูดคุยแบบมนุษย์ด้วยกันกับวาริน
ไม่รู้ว่าความคิดแบบนี้มันค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวของผมเมื่อไร แต่มันก็ค่อยๆ ลุกลามจนกลายเป็นตัวผมไปแล้ว
ตัวเลขบนหัวของผมค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาแล้ว
1 0 5 8 9 9 4 5 เทล ดิไนท์แมร์
บ้าชะมัด นี่มันเป็นตัวเลขที่สูงขนาดเป็นสถิติใหม่ของโลกปิศาจเลยก็ว่าได้ ผมลืมไปสนิทเลยว่าช่วงเวลาที่ผมเข้าฝันของวารินหลังเลิกงานก็ถูกนับเป็นการทำงานเพิ่มเติมด้วย
5 9 5 4 แจ็ค ดิไนท์แมร์
ยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่เมื่อคู่แข่งของผมดันเป็นไอ้แจ็คจอมขี้เกียจ บัดโธ่เอ้ย!
วิญญาณของแจ็คปลิวหายไปพร้อมแสงขาวและกระดานเพลิงที่มอดดับ ลูกแก้วแห่งชีวิตเรืองแสงประกายจ้าลอยเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ
ใช่! จริงสิ... ถ้าเราไม่กินลูกแก้วแห่งชีวิต วันนี้เมื่อเวลากลายเป็น 0 วิญญาณของเราก็จะมอดไหม้ไปเช่นกัน
ผมรีบเก็บลูกแก้วแห่งชีวิตที่ลอยอยู่ตรงหน้าลงในร่างกายโดยไม่กินมัน ควักลูกแก้วส่องโลกขึ้นมากวาดตาควานหาวารินอย่างขะมักเขม้น
ทว่าไม่รู้ว่าทำหาเท่าไรก็หาไม่เจอเสียที ไม่เจอ ไม่เจอ ไม่เจอ!
“ยินดีต้อนรับ วาริน ดิไนท์แมร์”
เสียงที่แว่วเข้ามานั่นทำเอาผมชาไปทั้งตัว ไม่จริงใช่ไหม...
ผมรีบวิ่งไปหาร่างเก่าของแจ๊ค ดิไนท์แมร์ที่เพิ่งจากไป และวินาทีนั้นเองผมก็ถึงกับเข่าอ่อน
วาริน ดิไนท์แมร์
เป็นเธอจริงๆ หน้ากากของเธอดูงดงามถึงแม้จะเป็นปิศาจฝันร้าย การเป็นปิศาจไม่ได้หมายความว่าเธอทำสิ่งที่ไม่ดีไว้บนโลกมนุษย์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหมดแรงนั่นคือการจุติเป็นปิศาจจะถูกลบความทรงจำทั้งหมดไปต่างหาก
เมื่อความทรงจำถูกลบไปก็ไม่อาจจะจดจำตัวตนเดิมของตัวเองได้ นั้นหมายความว่าเธอก็ไม่มีทางเป็นวารินคนเดิมอีกต่อไป
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือการต้อนรับน้องใหม่สู่โลกปิศาจ กิจกรรมที่เหล่าปิศาจทำกันเป็นประจำทุกวันจนชินตา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้สิ่งที่กำลังเห็นอยู่มันช่างดูมืดมนจนพูดไม่ออก เสียงที่เอะอะโวยวายอึกกระทึกคึกโครมกลับไม่ได้ยินเลยสักนิด
ผมเหม่อมองขึ้นไปบนหอนาฬิกาใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางโลกปิศาจ เหลือเวลาอีก 15 นาทีก่อนที่เวลาจะกลับไปเป็น 0 อีกครั้ง
มันไม่ใช่เวลาที่จะมามัวนั่งอยู่แบบนี้ ผมค่อยๆ ลุกยืนขึ้นอย่างยากลำบาก เดินโซซัดโซเซราวกับไร้วิญญาณไปร่วมวงกับพวกที่กำลังฉลองรับน้องใหม่อยู่ข้างหน้า
“เฮ้ย เทล”
“เอ๋!? เทลนิหว่า”
ปิศาจตัวอื่นๆ ต่างพากันแปลกใจเมื่อผมเดินเข้ามาในที่ที่มีปิศาจตนอื่นอยู่มากแบบนี้ พวกเขาพากันแหวกทางจนโล่งเป็นเส้นตรงทำให้ผมมองเห็นวารินอย่างชัดเจน
“คุณเทล ดิไนท์แมร์?”
วารินดูไร้อารมณ์กว่าที่เคยเมื่อเขาเอ่ยชื่อของผมในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกวาบๆ ที่เกิดขึ้นมานี่มันคืออะไร เมื่อปิศาจอย่างผมนั้นไร้ซึ่งหัวใจ
ผมหยิบบางอย่างออกมาจากด้านในหน้าอกและค่อยๆ ยื่นมันไปให้วาริน อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมกำลังทำสักเท่าไร แต่ความหมายของมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
“คุณเทลให้ลูกแก้ววิญญาณกับฉันทำไม?”
เธอถามออกมานิ่งๆ เรียบๆ ในขณะที่ปิศาจตนอื่นพากันแตกตื่นจนหน้าเปลี่ยนสี บ้างก็ว่ามันเป็นความบ้าของผม บ้างก็บอกว่าผมโง่ที่ทำอย่างนี้ แต่สำหรับตัวผมแล้วมันเป็นอะไรที่สำคัญมากทีเดียว
“เพื่อเชื่อมต่อจุดหมายยังไงล่ะ”
คำตอบของผมไม่ได้ทำให้วารินรู้สึกรู้สาอะไรไปมากกว่าเดิมเลยสักนิด เธอยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงเฉกเช่นอากาศในโลกปิศาจที่ไม่เคยมีสายลมหรือแสงแดด ไร้ซึ่งกลางวันและกลางคืน
สิ่งสุดท้ายที่ผมมองเห็นไม่ใช่ร่างเทียมของวาริน ดิไนท์แมร์ตรงหน้าอีกต่อไป แต่มันคือเลขนาฬิกาที่กำลังนับถอยหลัง 3... 2... 1...
ร่างของผมค่อยๆ ถูกโอบอุ้มด้วยแสงสู่สุขคติ ดวงจิตของผมกำลังจะค่อยๆ ถูกล้างความทรงจำและกลายเป็นมนุษย์
ไม่รู้ว่าผมจะได้เกิดเป็นใคร เกิดที่แห่งไหน จะรวยหรือจะจนเพียงใด แต่สิ่งที่ผมอยากจะรู้คือ...
ผมจะสามารถเป็นคนที่พร้อมจะต้อนรับปิศาจฝันร้ายอย่างที่เธอเคยเป็นได้หรือไม่
ผลงานอื่นๆ ของ Hokzee ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Hokzee
ความคิดเห็น