ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) BTS | AllV | Lareina Seven Wings #ลาเรียน่าออลวี

    ลำดับตอนที่ #16 : #ลาเรียน่าออลวี | CHAPTER XVI [100%] ♫

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 471
      23
      8 ก.ย. 62

     BGM : Dark Deception OST - Last Day of School


    16





    สโนว์ไวต์กับคนอื่นๆออกเดินทางไปเรื่อยๆสู่อาณาจักรของดยุกแฮมมอนส์ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ทุกคนต่างก็กำจัดโคลล์ไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็ไร้เสี้ยนหนามของการเดินทางและไม่ต้องหวาดระแวงอีกต่อไปว่าจะมีผู้ใดหาเจอหรือไม่ หิมะสีขาวก็ตกลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง มันทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวสะอาดตา และมันก็พ้องกับชื่อของนาง 'สโนว์ไวต์'


    การเดินทางนี้ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ทว่าท้องฟ้ากลับไม่เป็นใจเพราะดันมืดสนิทเสียก่อน ทำให้พวกเขาตัดสินใจตั้งแคมป์ไฟอีกครั้งเพื่อพักผ่อนจากการเดินทางและการต่อสู้ เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง พวกเขาก็จะออกเดินทางสู่อาณาจักรของดยุกแฮมมอนส์อีกครั้งโดยจะไม่หยุดพักอีกต่อไปแล้ว


    ในระหว่างทางนั้นเอง สโนว์ไวต์กับวิลเลียมต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนอย่างในวันวาน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของนางที่เกิดขึ้นนั้นทำให้พรานป่าเอริครู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก นางกล้ามากที่บังอาจยิ้มและหัวเราะกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา ทว่าเขาเองก็รู้สึกว่าเขาสำคัญตัวเองผิดไป นางเป็นถึงเจ้าหญิงและย่อมมียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่า จะเอาสิ่งใดมาเทียบกับพรานป่าต่ำต้อยอย่างเขาเล่า


    ทุกๆคนหยุดพักอยู่ตรงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งพร้อมกับก่อกองไฟและซุกตัวอยู่ในผ้าขนสัตว์นุ่มและหนาเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนอนพักผ่อนเพื่อเก็บแรงที่จะออกเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ สโนว์ไวต์มองไปบนท้องฟ้าที่มีดวงดาวและกิ่งไม้ประดับประดาอยู่ นางยิ้มแย้มในใจเพราะรู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นผ่อนคลายและเบาหวิวดุจขนนก ก่อนที่จะปิดตาของตนเองอย่างช้าๆเพื่อด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทรา



    นางจมสู่ความมืดมิด โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าวันที่กำลังจะมาถึงนั้นมันมืดมิดเสียยิ่งกว่าทัศนวิสัยที่นางมองเห็นในตอนนี้เสียอีก



    ตอนเช้าของวันถัดมานั้นก็มาถึง สโนว์ไวต์ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับในยามค่ำคืนเพียงคนเดียว พรานป่าเอริค วิลเลียมและเหล่าคนแคระยังไม่ตื่น อีกทั้งนางเองก็รู้สึกเบื่อๆอีกด้วย การที่นอนไปมาโดยไม่มีสิ่งใดให้ทำนั้นมันแสนน่าเบื่อยิ่งนัก ทำให้นางตัดสินใจที่จะออกไปเดินเล่นในป่าแห่งนี้เพียงคนเดียวเพื่อฆ่าเวลาเล่น


    ป่าแห่งนี้เงียบกริบ ท้องฟ้าเป็นสีเทาหม่นหมอง หิมะสีขาวปกคลุมอยู่บนพื้นและกิ่งไม้ สโนว์ไวต์รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนักที่เห็นเหล่าต้นไม้ที่เคยมีชีวิตชีวานั้นเหลือเพียงแต่กิ่งไม้ ลมอ่อนที่พัดมานั้นทำให้ไรผมบางๆของนางนั้นปลิวไสวตาม นางไม่คิดที่จะเอื้อมมือมาลูบหรือจัดแจงให้มันอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย เพราะนางชอบแบบนี้ ชอบที่ตนเองอยู่ในสภาพที่สามารถปลดปล่อยหัวใจของตนเองจากโซ่ตรวนให้ล่องลอยไปตามสายลม


    ถึงแม้ว่าบรรยากาศในตอนนี้มันจะดูหม่นหมอง แต่นางเองก็รู้สึกว่าอย่างน้อยนางก็ไม่ได้หวาดระแวงอีกต่อไป โคลล์สิ้นชีพไปแล้ว ที่เหลือหลังจากนี้ก็คือเดินทางสู่ปราสาทของดยุกแฮมมอนส์และกรีธาทัพสู่ปราสาทของโรเวนนาเพื่อแก้แค้นและทวงบัลลังก์สู่ทายาทที่แท้จริง โดยบัลลังก์นี้คู่ควรกับแสงสว่างแห่งความหวังและความสิริรุ่งโรจน์ของทายาทที่แท้จริงเช่นนาง หาใช่ความดำมืดทมิฬไม่


    ดอกไม้บางชนิดผลิดอกท้าไอหนาวสะท้าน สโนว์ไวต์เอื้อมมือไปแตะดอกไม้ดอกนั้นเพื่อขับไล่หิมะที่ปกคลุมอยู่บนกลีบดอก ทันทีที่ปลายนิ้วของนางแตะลงไปบนพื้นผิวของหิมะ มันก็ละลายกลายเป็นน้ำที่ติดอยู่บนปลายนิ้วเรียวยาว เผยให้เห็นกลีบดอกของมันที่ผลิออกอย่างสวยงามเหมือนอย่างที่มันเป็น


    "สโนว์ไวต์ เจ้าออกมาเดินเล่นคนเดียวได้เยี่ยงไร มันอันตรายนะ"


    เสียงของใครสักคนที่แสนจะคุ้นหูดังมาจากด้านหลังของนาง ทำให้นางต้องหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ามีคนที่จ้องจะจับตัวนาง แต่แล้วนางเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เพราะคนที่เรียกนางนั้นไม่ใช่ผู้ใดเลย วิลเลียม สหายของนางในวัยเยาว์นั่นเอง


    "เจ้าตื่นแล้วหรือ" สโนว์ไวต์เอ่ยขึ้นมา "ข้าแค่รู้สึกเบื่อๆก็เลยออกมาเดินเล่นน่ะ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม"


    "ข้าหรือ แน่นอนอยู่แล้ว" วิลเลียมตอบพลางยิ้มบางๆออกมา เขาเดินผ่านร่างของสโนว์ไวต์และเริ่มพูดเมื่อมองไปรอบๆตัวเอง "ข้าล่ะคิดถึงช่วงเวลาตอนเด็กของพวกเราเหลือเกิน ตอนนั้นมันช่างแสนสุข ปราศจากความเคลือบแคลงใจถึงภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ"


    "ข้าก็ด้วย"


    "ว่าแต่นางราชินีนั่นทำอะไรกับเจ้าบ้างไหม ทำร้ายเจ้าหรือเปล่า"


    สโนว์ไวต์ส่ายหน้าไปมา


    "หากเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินว่านางจะทำร้ายเจ้า หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าจะฆ่านางเสีย เพื่อแลกกับการที่นางทำร้ายเจ้า"


    "แต่นางน่ากลัวจะตาย เจ้าจะต่อกรกับนางไหวหรือ" สโนว์ไวต์กล่าวพร้อมกับเดินผ่านร่างของวิลเลียมเพื่อเดินชมนกชมไม้ต่อ ชายหนุ่มเองก็เดินตามนางไปและพูดคุยกันในระหว่างที่เดินด้วย


    "ประชาชนต่างก็เกลียดโรเวนนาเข้ากระดูกดำ แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย ข้าล่ะสงสารพวกเขาจริงๆที่ไม่มีข้าวปลาอาหารแล้วก็ต้องจมอยู่กับความทมิฬนี้ ตั้งแต่ที่โรเวนนาปกครองแผ่นดินต่อจากบิดาของเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทมิฬมืดกันไปหมด"


    "อย่างนั้นหรือ! ไม่อยากจะเชื่อเลย!" นางหมุนตัวหันมาตอบวิลเลียมด้วยน้ำเสียงตกใจ "ข้าเองก็สงสารพวกเขาเช่นกันที่ต้องมาพานพบกับเรื่องแบบนี้ ข้าไม่รู้เลยว่าทุกๆคนจะลำบากกันหมดเพราะนาง"


    วิลเลียมพยักหน้าเพื่อเป็นการบอกว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของนาง และแล้วสโนว์ไวต์ก็พูดต่อไปโดยที่ไม่ได้มองหน้าของชายหนุ่มแม้แต่น้อย


    "แต่ข้าเองก็สงสารนางเช่นกันนะที่นางต้องมีปมด้อยและคลั่งความงามเข้าขั้นวิปริตเช่นนั้นน่ะ นางมีความคิดที่อยากจะมีความงามอยู่ตลอดเวลา แต่หารู้ไม่ว่าความงามนั้นไม่ได้อยู่กับคนเราไปตลอด มันย่อมโรยราและแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลา มีคนกล่าวขานกันมาว่าข้านั้นคือผู้ที่จะมาปลดปล่อยนาง มันจริงหรือไม่กันนะ"


    "จริงสิ เจ้าคือคนที่ปลดปล่อยนาง" วิลเลียมพูดด้วยน้ำเสียงติดๆขัดๆ "เห็นเขากล่าวขานกันเช่นนี้นะ แต่ข้าเชื่อเต็มอกว่าเจ้าคือคนนั้น"



    หลังจากนั้นสโนว์ไวต์และวิลเลียมต่างก็เดินพูดคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เดินไปไกลจากแคมป์ไฟแค่ไหนแล้ว



    ทางด้านกลุ่มคนที่เหลือที่อยู่แคมป์ไฟนั้นต่างก็ตื่นขึ้นมา มูเออร์ลุกขึ้นมาจากผ้าคลุมขนสัตว์และบิดขี้เกียจไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า ทันทีที่เขาลุกขึ้นมาขยี้ตาทั้งสองเพื่อไล่ความง่วงงุนออกไปนั้น เขาก็มองเห็นว่าผ้าคลุมขนสัตว์ซึ่งเป็นที่นอนของสโนว์ไวต์นั้นมีแต่ความว่างเปล่า ไม่พบร่างของสโนว์ไวต์เลย มูเออร์รู้สึกว่ากำลังจะเกิดอันตรายขึ้นกับนาง เขาจึงรีบคว้าอาวุธขึ้นมาและปลุกคนที่เหลือ



    ปั่ก!



    "โอ้ย! ข้ากำลังจะจูบน้องนางของข้าอยู่เลย!" กอธพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อถูกปลุกในขณะที่กำลังฝันหวาน เขาลุกขึ้นมาจากผ้าคลุมขนสัตว์ด้วยความครุกครุ่นและพร้อมที่จะบ่นไฟแลบใส่คนที่ปลุก แต่ก็ถูกมูเออร์สั่งให้ปลุกคนอื่นเสียก่อน


    "เรียกคนอื่นๆเดี๋ยวนี้!" มูเออร์บอก "องค์หญิงหายตัวไปแล้ว! บัดนี้นางกำลังตกอยู่ในอันตราย!"


    "จริงด้วย! ทุกคนตื่นเร็วเข้า!"


    กอธเรียกทุกคนด้วยเสียงอันดังและทำให้ต่างคนต่างก็ลุกขึ้นมาในสภาพที่ง่วงเต็มทน แต่เมื่อฟังเหตุผลนั่นแล้วจึงทำให้รีบหยิบอาวุธและออกตามหาสโนว์ไวต์ทันที ซึ่งพรานป่าเอริคกับวิลเลียมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องออกตามหานางทันที พวกเขาต่างก็รู้โดยที่ไม่ต้องพูดหรือลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่าตกอยู่ในอันตรายอย่างไร


    ทั้งคนแคระ พรานป่าเอริคและวิลเลียมต่างก็รีบวิ่งออกไปจากแคมป์ไฟอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอาวุธที่อยู่ในมือเพื่อตามหาสโนว์ไวต์ ยิ่งรีบเร่งมากเท่าใดพวกเขาก็ตามหาเจอเร็วมากขึ้นเท่านั้น



    "ข้าคิดถึงวัยเด็กของเราสองคนเหลือเกิน" วิลเลียมบอก "ข้าจำได้ว่าข้าเป็นผู้ตามเจ้ามาโดยตลอด เจ้านั้นดูสง่างามเมื่อเจ้านำข้า"


    "เอ่อ...วิลเลียม" นางเรียกวิลเลียม "แต่สิ่งที่ข้าจำได้ก็คือเจ้าชอบแกล้งข้าตลอดนี่นา แล้วเจ้าเองก็วิ่งนำหน้าข้าด้วย ข้าคงไม่สามารถเป็นผู้นำเจ้าในวัยเยาว์ได้หรอก"


    วิลเลียมชะงัก ก่อนจะพูดด้วยพร้อมกับยิ้มบางๆออกมาให้กับหญิงสาวเพื่อเป็นการบอกว่าเขานั้นจำผิดไปแล้ว "นั่นแหละ ข้าเคยแกล้งเจ้า ทว่าข้าเองก็รู้สึกผิดเช่นกันที่ทำแบบนั้น เจ้ารู้ไหมว่าการที่เจ้ากับข้านั้นใกล้ชิดกันในวัยเยาว์ มันทำให้ข้ารู้สึกอยากจะปกป้องเจ้าจากโรเวนนา เจ้าคิดว่านี่มันคือความรู้สึกสิ่งใดกัน"


    สโนว์ไวต์เงียบกริบพลางมีสีหน้าหนักใจอยู่เล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าสิ่งที่วิลเลียมหมายถึงนั้นมันคือสิ่งใดกันแน่ ความเป็นมิตรภาพหรือ ก็คงไม่ใช่ หรือว่าเป็นเพียงเพราะปณิธาณความต้องการที่ชายหนุ่มต้องการจะมอบให้นางกันแน่ ก่อนที่นางจะคิดสิ่งใดต่อไป วิลเลียมก็เดินเข้ามาหานางพร้อมกับแอปเปิลลูกหนึ่ง


    "เจ้าลองทานดูสิ" เขาเอ่ยเชิญชวน "ข้าว่ามันอร่อยดีนะ"


    "แอปเปิลหรือ" นางเลิกคิ้ว "ข้าจำได้ว่าฤดูหนาวมันไม่ออกดอกออกผลนี่"


    "เสบียงของเสด็จพ่อข้าเก็บเอาไว้ ข้าจึงไปหยิบมาหนึ่งลูกเพื่อเป็นเสบียงระหว่างการตามหาเจ้าน่ะ เจ้าควรทานนะ มื้อเช้านั้นสำคัญแก่เจ้ามาก"


    หญิงสาวชั่งน้ำหนักในใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อตอนนี้นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว บวกกับวิลเลียมเป็นสหายในวัยเด็กของนางและนางเองก็เชื่อใจเขามากด้วย นางจึงรับแอปเปิลมาจากมือของเขาและกัดมันเข้าไปเป็นคำใหญ่ ทันทีที่นางกลืนลงไป นางก็รู้สึกว่าอกของตนเองนั้นแน่นขึ้นมาจนแทบจะระเบิดและแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ นางล้มลงไปนอนกับพื้นและดีดดิ้นไปมานทีด้วยความทรมาน



    ตุบ!!



    "วะ...วิลเลียม...อั่ก! หะ...เหตุใดเจ้าถึง...ฮะ เฮือก! เจ้าเอาอะไร...อึก! ให้ข้ากิน..."


    ใบหน้าของวิลเลียมบูดเบี้ยว ศีรษะส่ายและบิดไปมาจนแทบจะหลุดออกมาจากบ่า ทั้งตา จมูกและปากนั้นก็ยุบหายไป เส้นผมสีน้ำตาลของเขานั้นเปลี่ยนเป็นสีบลอนด์และยาวลงมาถึงกลางหลัง ดวงตา จมูกและปากก็โผล่ออกมาแทนทีอีกครั้งหลังจากที่โครงหน้าเปลี่ยนไป สโนว์ไวต์เบิกตากว้างทันทีที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองภาพนั้น คนๆนั้นมิใช่วิลเลียม สหายรักของนางอีกต่อไปแล้ว



    แต่เป็นราชินีทมิฬที่นางรู้จักดี โรเวนนา



    "ฮึก!...อะ อั่ก เฮือก!" สโนว์ไวต์ดีดดิ้นไปมาบนพื้นด้วยความทรมาน พยายามตะเกียดตะกายพื้นหนีโรเวนนาและพยายามร้องขอความช่วยเหลือ ทว่ามันกลับเป็นไปได้ยากนัก ความรู้สึกของนางในตอนนี้มันหายใจไม่ออก อึดอัดจนแทบจะเป็นบ้า แรงสะพัดในอกนั้นทำให้ความรู้ว่ามันกำลังจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ "ระ...อะ อึก! โรเวนนา!"


    "ความรักของคนเรามันทำให้ตาบอด เช่นเดียวกับเจ้า" โรเวนนาเดินเข้ามาใกล้ๆสโนว์ไวต์ ก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างๆนาง "เจ้าไม่มีวันเอาชนะข้าได้ สโนว์ไวต์ เจ้าเป็นทายาทที่แท้จริงของบัลลังก์แต่ใช่ว่าจะโค่นล้มอำนาจของข้าได้ ดูเจ้าตอนนี้สิ เจ้าทั้งอ่อนแอ รอแต่ให้พวกนั้นมาปกป้องเจ้า เจ้ามันชั้นต่ำ"


    สโนว์ไวต์กัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น ทว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นมันทำให้นางทำสิ่งใดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หากแต่มีหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากเบ้าตาลงมาถึงใบหูทั้งสองข้างต่างหาก มือทั้งสองพยายามตะเกียดตะกายขยับร่างหนีออกจากเงื้อมมือของโรเวนนา เล็บแหลมๆสีดำของราชินีทมิฬนั้นไล้ไปตามใบหน้าของนางอย่างช้าๆ รางกับว่าจะกรีดผิวของนางให้แยกออกมาเป็นสองส่วน


    "ความงามของเจ้ามันเป็นยาพิษสำหรับข้า คิดว่าข้าสนใจหรือที่เจ้าเป็นผู้ที่ปลดปล่อยข้า ข้าเพียงแค่ต้องการดูพลังวิญญาณจากเจ้าก็เท่านั้น และเจ้าไม่มีวันครอบครองบัลลังก์ของข้าได้หรอก เพราะเจ้ามันเป็นเพียงแค่หญิงสาวชั้นต่ำคนหนึ่งที่มีชายหนุ่มล้อมรอบราวกับสุนัข"


    "ฮะ...อึก! อะ อั่ก!...เฮือก!"


    คำพูดของโรเวนนานั้นกรีดแทงหัวใจของสโนว์ไวต์อย่างแรง นางเจ็บปวดและรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยเป็นอย่างมากที่ถูกดูหมิ่นด้วยคำพูดแบบนี้ ฉับพลันนั้นเองโรเวนนาก็อ้าปากกว้าง สโนว์ไวต์รู้สึกว่าวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่างของตนเอง บวกกับความเจ็บปวดรวดเร็วที่สะบัดในอกจนแทบจะร้าวรานนันทำให้เรี่ยวแรงเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ นางกำลังหมดลมหายใจ กำลังจะรู้สึกดวงวิญญาณของตนเองที่จะหลุดออกจากร่างกายนี้


    สติทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้นั้นก็มองไปที่ท้องฟ้า เชยชมถึงสิ่งสวยงามของมันก่อนที่จะคุกเข่ายอมสยบแด่ความพ่ายแพ้ในตอนนี้ ใช่ นางมิอาจเอาชนะโรเวนนาได้เลย นางอ่อนแอและไร้ซึ่งกำลังใดๆที่จะต่อต้านความตายนี้ อีกไม่นานนักดวงวิญญาณก็จะหลุดออกมาจากร่าง หลังจากนั้นก็ได้พบกับพระบิดาและพระมารดาที่สวรรคตไปแล้ว นางก็จะมีความสุขอยู่ในแดนสวรรค์ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว



    ฟึ่บ!!



    ฉึก!!



    "ถอยห่างจากองค์หญิงเดี๋ยวนี้! นางราชินีลูกหมา!"


    เบ็ธประกาศกร้าวด้วยเสียงอันดังหลังจากที่วิลเลียมยิงธนูต้องแขนของโรเวนนาอย่างแรง ทุกๆคนต่างก็วิ่งเข้ามาช่วยเหลือสโนว์ไวต์อย่างรวดเร็ว พรานป่าเอริครู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นสโนว์ไวต์อยู่ในสภาพใกล้จะหมดลมหายใจ เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมากจึงรีบกวัดแกว่งขวานไปมา ทำให้โรเวนนานั้นบาดเจ็บสาหัสและรีบแปลงกายเป็นนกกาสีดำบินหนีไปทันที ทิ้งให้สโนว์ไวต์นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นด้วยความทรมานตรงนั้น


    "สโนว์ไวต์!" วิลเลียมร้องเสียงดังเมื่อเห็นสโนว์ไวต์อยู่ในสภาพใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว เขารีบช้อนร่างของนางขึ้นมาและเรียกชื่อของนางซ้ำๆเพื่อไม่ให้นางหลับตา "มองหน้าข้า! สโนว์ไวต์! มองหน้าข้า!"


    "ใครก็ได้ช่วยนางด้วย! คนแคระมีวิชารักษามิใช่หรือ! ช่วยนางสิ!"


    "คำสาปของราชินีโรเวนนาเรารักษาให้ไม่ได้" ดิวเอร์ส่ายหน้าไปมาเพื่อตอบพรานป่าเอริค เขามองไปที่สโนว์ไวต์พลางส่ายหน้าไปมาเนื่องจากไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น "เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้..."


    วิลเลียมเรียกชื่อของสโนว์ไวต์ซ้ำๆไปมา ทว่ากลับช้าไปเสียแล้ว หญิงสาวส่งยิ้มบางให้กับเขาก่อนจะปิดตาลงอย่างช้าๆ ทันทีที่สโนว์ไวต์ปิดตาของตนเองลงไปแล้วเขาก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง ทำให้พรานป่าเอริคและเหล่าคนแคระนั้นต่างก็รู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน


    วิลเลียมตัดสินใจกดริมฝีปากของตนเองลงไปแนบชิดกับริมฝีปากสีแดงดุจโลหิตของนาง หวังว่านางจะฟื้นขึ้นมาห้วงนิทรานี้ ทว่ามันกลับมิใช่อย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย เขาจึงถอนริมฝีปากออกและกอดร่างของนางแน่น พร้อมกับปล่อยน้ำตาแห่งลูกผู้ชายไหลออกมา กล่าวตำหนิตนเองซ้ำๆว่าเพราะเหตุใดถึงมิสามารถปกป้องนางจากความตายได้



    สายลมแห่งความเยือกเย็นพัดผ่านร่างของพวกเขา ท่ามกลางความโศกเศร้าที่สูญเสียสโนว์ไวต์ไปโดยไม่หวนกลับคืนมา







    ++







    แทฮยองรีบกลับมาที่โซลทันทีในสามวันหลังจากนั้น เขาซื้อตั๋วก่อนเดินทางออกเพียงหนึ่งวันและรีบกลับมาด้วยความรีบร้อน ทางแม่ของเขาเองก็แปลกใจว่าทำไมลูกชายของเธอถึงรีบกลับโซล ซึ่งยังไม่ครบกำหนดที่จะต้องกลับเลย แทฮยองให้เหตุผลกับแม่เพียงแค่ว่ามีงานที่โรงเรียนเข้า เพื่อนเรียกให้ไปช่วยกันทำงาน ฉะนั้นเขาจึงต้องจำเป็นรีบกลับโซลและจะกลับมาเที่ยวหาแม่อีกครั้งในวันข้างหน้า


    ถึงแม้ว่าจะพูดแบบนั้นให้แม่รู้สึกสบายใจว่าตัวเองต้องไปทำงาน หลังจากที่ตนเองกำลังนั่งรถโดยสารอยู่นั้นก็รู้สึกผิดที่ต้องโกหกเธอเช่นนั้น แต่ที่จริงแล้วเขากำลังจะไปเผชิญความจริงของชีวิตต่างหากล่ะ ซึ่งนั่นก็คือการถูกสังเวยเลือดต่อราชินีโรเวนนาและยังต้องปกป้องสิทธิส่วนตัวของตัวเองจากเงาอีกด้วย ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากนี้ที่เขารีบบึ่งกลับมาโซลด้วยความรวดเร็ว


    แอร์เย็นๆที่อยู่เหนือศีรษะของแทฮยองนั้นทำให้ความวิตกกังวลนั้นมีมากขึ้น ภาวนาขอให้รถโดยสารนี้ไปถึงสถานีขนส่งของโซลเสียที หากไม่อย่างนั้นเขาคงต้องแข็งตายเพราะแอร์เย็นๆที่เป่าอยู่เหนือศีรษะ หรือว่าจะขาดใจตายเพราะความกลัวที่เงาส่งข้อความมาหาเขา ไม่ทั้งสองอย่างนี้ก็อย่างใดอย่างหนึ่งจะพุ่งทะลุออกมาเชือดคอเขาเสียก่อน แทฮยองนั่งกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุข พยายามมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง ร่างบางเคยได้ยินมาว่าการมองสีเขียวจากต้นไม้นั้นทำให้รู้สึกใจเย็นและผ่อนคลายมากขึ้น แต่นั่นก็ช่วยได้อยู่ไม่มากนัก


    พยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้หยิบยาแก้โรคแพนิคที่อยู่ในกระเป๋าของตัวเองมาทาน คนตัวเล็กเกลียดอาการแพนิคของตัวเองเป็นอย่างมากที่ทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มราวกับนั่งบนกองไฟสลับกับหิมะไปมา ยังโชคดีที่มันเกิดขึ้นได้ไม่นานนัก เพราะว่าร่างบางตัดสินใจหยิบหูฟังกับโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อฟังเพลงคลาสสิกที่ตนเองชื่นชอบ อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและช่วยทำให้จิตใจสงบลงเป็นกอง


    เพลงคลาสสิกของฟรานซ์ โยเซฟ ไฮเดิน*ดำเนินไปเรื่อยๆ สลับกับเพลงของโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค** ซึ่งเป็นสองคีตกวีที่ประพันธ์บทเพลงเปียโนคลาสสิกให้กับชาวโลกได้ชื่นชมและได้สดับฟังถึงท่วงทำนองอันแสนไพเราะที่สามารถสะกดทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในความผ่อนคลายและความสุข แทฮยองเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันที่ชอบฟังเพลงคลาสสิกเหล่านี้ เพราะนอกจากจะทำให้เขานั้นรู้สึกผ่อนคลายได้แล้ว มันยังทำให้เขามีสมาธิในการจดจ่อกับสิ่งๆหนึ่งได้ เช่นการอ่านหนังสือเป็นต้น


    อย่างน้อยบรรยากาศในรถโดยสารนั้นก็ไม่ได้อึดอัดและน่ากลัวเสมอไปหากได้ฟังเพลงคลาสสิกจากคีตกวีชื่อดังก้องโลกนี้ตลอดทาง แทฮยองอยู่ในสภาพหลับๆตื่นๆแบบนี้ไปมาตั้งหลายครั้ง เพราะเนื่องจากว่ารถโดยสารนั้นมักจะจอดที่สถานีขนส่งแต่ละจังหวัดบ่อยๆเพื่อส่งและรับผู้โดยสาร นั่งก็ถือว่าโชคดีอีกครั้งที่ที่นั่งของแทฮยองนั้นไม่มีใครมานั่งข้างด้วย ทำให้เขาสามารถยกขาและเท้าเปลือยทั้งสองขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอายใคร โดยแทฮยองคิดว่าตนเองนั้นกำลังวิ่งเล่นอยู่ในดินแดนของมูมิน มูมินที่ไม่ใส่รองเท้าและอาศัยอยู่ที่หุบเขาอันแสนสุข


    ชีวิตอันแสนคับแคบของแทฮยองที่อยู่ในรถโดยสารมาเกือบสิบชั่วโมงนั้นวนเวียนไปมาอย่างน่าเบื่อ อย่างมากที่ทำได้ก็คือหลับ ฟังเพลง เล่นเกม เดินไปเข้าห้องน้ำและกลับมานั่งที่เหมือนเดิมวนไปเวียนมาแบบนี้ นอกเหนือจากนั้นก็คือรออาหารหรือขนมที่พนักงานจะเสิร์ฟให้กับผู้โดยสาร และนั่งทานอย่างเงียบๆเพื่อให้หายหิว ร่างบางคิดว่ากลายเวลานั้นมันช่างเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน ทว่าเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


    และแล้วกาลเวลาที่แสนยาวนานก็สิ้นสุดลง คนตัวเล็กโทร.หาให้ชายทั้งหกมารับที่สถานีขนส่งมวลชนและนั่งรถกลับไปที่บ้านพร้อมกับพวกเขา ซึ่งทุกๆคนนั้นต่างก็แปลกใจมากว่าทำไมแทฮยองถึงรีบกลับมาแบบนี้ อีกทั้งยังไม่ครบกำหนดที่ได้นัดหมายเอาไว้เลย ทำให้แทฮยองรีบหยิบมือถือออกมาและกดเข้าโปรแกรมรูปภาพที่ตนเองแคปรูปหน้าจอเอาไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากว่าข้อความที่ส่งมานั้นถูกยกเลิกไปแล้ว ยังดีที่แคปรูปหน้าจอเอาไว้ให้พวกเขาดูเพื่อเก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน


    "ไอ้ห่านั่นอีกแล้วเหรอ" ซอกจินถอนหายใจ "ส่งมาอยู่ได้ น่ารำคาญ"


    "ทำยังไงดีครับ" แทฮยองเอ่ยปากถามอย่างหวั่นๆ


    "กลับไปที่บ้านก่อนแล้วคุยกันเถอะ"


    นัมจุนเอ่ยปากบอกแทฮยองก่อนจะยกกระเป๋าลากใบขนาดปานกลางขึ้นมาและเอาไปวางในรถ ทุกๆคนต่างก็เดินตรงมาที่รถและจับจองที่นั่งของตนเองพร้อมกับปิดประตู อีกไม่นานนักซอกจินก็สตาร์ทรถและขับออกไปจากสถานีขนส่งมวลชนของโซลตรงไปที่บ้าน


    บรรยากาศภายในรถนั้นก็เหมือนเดิมและไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แทฮยองคิดว่าการที่มาพบเจอกับชายทั้งหกนั้นมันรู้สึกอบอุ่นใจมากจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เฉกเช่นกับการที่ถูกเซอร์ไพรส์ด้วยการให้ของขวัญแก่เขา ซึ่งของขวัญนั้นเป็นสิ่งที่เขาอยากจะได้หรือต้องการมันมานานแล้ว เมื่อมันปรากฏอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ความรู้สึกตื้นตันใจที่มีอยู่เต็มอกนั้นมันกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาแห่งความดีใจ หาใช่ความโศกเศร้าไม่


    รถเลี้ยวไปมาจนกระทั่งมาถึงบ้านหลังนั้น บ้านอันแสนคุ้นเคยของร่างบางที่เคยพักอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งสัปดาห์ หรืออาจมากกว่านั้น เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่มานานเพียงใด ทว่ามันมีความทรงจำมากมายที่ที่ตรงนี้ รู้สึกอบอุ่นและอุ่นใจทุกครั้งที่ก้าวขาเข้ามา อีกทั้งที่แห่งนี้เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของเขา ไม่ใช่ห้องพักห้องนั้นอีกต่อไปแล้ว


    แทฮยองคิดติดตลกกับตนเองเหมือนเป็นชนเผ่าหนึ่งที่ย้ายที่อยู่อาศัยไปมาและหาหลักแห่งของตัวเองไม่ได้สักที โดยได้ย้ายจากคอชังมาอยู่ที่อินชอน หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ในห้องพักที่โซล จนมาถึงบ้านหลังนี้ สรุปคือคนตัวเล็กย้ายไปมาแบบนี้มาตั้งสี่ครั้งด้วยกัน ซึ่งนั่นเองก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควรเลยล่ะ


    จองกุกเปิดประตูให้กับแทฮยองเพื่อให้เดินเข้าไป ส่วนตัวเองนั้นก็ยกกระเป๋าลากขนาดปานกลางเข้ามาพร้อมกับคนอื่นๆ คนตัวเล็กนั่งลงบนโซฟาอย่างช้าๆหลังจากที่ได้ยินจองกุกบอกว่าจะอาสายกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปเก็บบนห้องให้ ทว่าด้วยความเกรงใจของตัวเองที่เป็นนิสัยหรือความเคยชินไปแล้วจึงห้ามเอาไว้และบอกว่าจะเอาไปเก็บเอง แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเพราะจองกุกก้าวฉับๆและยกกระเป๋าลากเดินขึ้นบันไดไปแล้ว


    ร่างบางรู้สึกอึ้งกับพละกำลังของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก พลางคิดในใจว่ามิน่าล่ะทำไมถึงมีกล้ามแขนใหญ่แบบนั้น ก็เป็นเพราะชอบยกของเยอะๆ หนักๆ อีกทั้งยังยกเวทบ่อยครั้งจนทำให้ร่างบางรู้สึกกลัวว่าเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อของจองกุกนั้นจะฉีกไปเสียด้วยซ้ำ ทว่าคนที่เหลือก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง จองกุกมีวิธีออกกำลังกายของตัวเองอยู่ จึงทำให้แทฮยองรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยล่ะ


    "ระหว่างที่นายอยู่ที่อินชอน พวกเราเองก็พยายามตามตัวเงาเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดที่ว่าจับตัวได้ว่าเป็นใคร ฉันรู้สึกว่าตอนนี้เงาอาจเป็นคนใกล้ตัวนายก็เป็นได้ คนที่รู้เรื่องทั้งหมดของนายเป็นอย่างดี"


    แทฮยองนั่งฟังในสิ่งที่นัมจุนกำลังพูดอย่างตั้งใจ โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย


    "มีใครบ้างที่นายพอจะสงสัยว่าเป็นเงาบ้างไหม ขอเป็นคนใกล้ตัวเช่นเพื่อนๆนะ ญาติไม่นับเพราะนายไม่ค่อยสนิทกับญาติฝั่งพ่อกับแม่อยู่แล้ว" ยุนกิถามขึ้นมาหลังจากที่นัมจุนพูดเสร็จแล้ว เขาขยับร่างของตัวเองให้พิงกับผนักโซฟา ยกมือขึ้นมากอดอกและนั่งไขว่ห้างเพื่อรอฟังแทฮยองพูด "ลองไล่ชื่อมาก่อนก็ได้ เผื่อมีหนึ่งในนั้น"


    ร่างบางมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยกมือขึ้นมาไล่หนึ่ง สอง สามและไปเรื่อยๆพร้อมกับไล่ชื่อคนที่อยู่ใกล้ตัวเขา


    "คิมมินกยู คิมยูคยอม คิมชองฮา เฉินเลี่ยงหลิน..." แทฮยองพูด "คนที่อยู่ใกล้ตัวผมก็มีประมาณนี้แหละครับ นอกนั้นก็เป็นเพื่อนร่วมห้องก็คุยๆกันได้ แต่ก็ไม่ได้สนิทกันเหมือนอย่างสี่คนที่ผมบอก"


    "เพื่อนของนายก็มีประมาณนี้แหละ ฉันรู้" โฮซอกกล่าว "นายเป็นคนรักสันโดษและไม่ค่อยสุงสิงกับใครนี่ ไม่แปลกใจเลยว่านายจะเลือกคบเฉพาะกลุ่มน่ะ ฉันว่านะ หนึ่งในนั้นจะต้องมีคนที่เป็นเงาแน่นอน"


    "ไม่ใช่หรอกมั้งครับ" ร่างบางแย้ง "พวกนั้นไม่ขายผมให้กับคนที่จะฆ่าผมหรอกครับ เพื่อนที่ไหนจะหักหลังกันได้ ถ้าหากว่าทำได้นี่คือโหดเหี้ยมและเลือดเย็นผิดมนุษย์มากเลย เป็นผมผมก็คงไม่ทำหรอกครับ มันเป็นอะไรที่แย่มากจริงๆ"


    "แต่ยังไงนายเองก็อย่าปักใจเชื่อมากเกินไปนะ บางคนคบเราแค่หวังผลประโยชน์บางอย่าง พอได้สิ่งที่อยากจะได้ไปแล้วก็ทิ้งเราเหมือนหมูเหมือนหมา ปล่อยให้เราอยู่กับสิ่งที่ก่อเอาไว้เพียงคนเดียว การถูกหักหลังนี่มันเป็นอะไรที่เจ็บใจที่สุดแล้วล่ะ แต่อย่างน้อยนายก็ทำใจหรือเผื่อใจเอาไว้ด้วยนะ สมมุติว่าหากมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นายจะเป็นคนที่เสียใจและเจ็บใจที่สุดเลยล่ะ"


    นัมจุนพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟังและมีเหตุผลหนักแน่นมากพอจนทำให้แทฮยองเงียบกริบจนพูดอะไรออกมาไม่ได้ น้ำหนักของคำพูดของนัมจุนนั้นมีมากจนชนะขาดลอย ทำให้ร่างบางรู้สึกลังเลและทำอะไรไม่ถูก เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าหากเรื่องมันเป็นอย่างที่นัมจุนพูดจริงๆแล้วหลังจากนี้เขาเป็นอย่างไรกันแน่


    "เอาเป็นว่าเรื่องของเพื่อนนายนั้นเอาไว้ทีหลังก่อนก็แล้วกัน ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกนั้นมีแนวโน้มว่าจะเป็นเงาเหมือนอย่างที่คิดหรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจอย่างหนึ่งก็คือ เงาเป็นคนที่มีจิตวิทยา สามารถโน้มน้าวหรือพูดให้คนอื่นคล้อยตามได้"


    "ใช้จิตวิทยาเก่งเหรอครับ?"


    คนตัวเล็กทวนคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ทำให้คนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็ลุ้นจนตัวโก่งว่าคนตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆก็คือตอนนี้แทฮยองอาจจะนึกชื่อของคนใกล้ตัวหรือคนที่รู้จักที่มีความสามารถทางด้านโน้มน้าวใจ พูดให้คนอื่นๆคล้อยตามและมีจิตวิทยา ใช้เวลาไม่นานนักแทฮยองก็บอกทุกคนด้วยประโยคเหล่านี้


    "คนที่ผมคิดว่าคนใช้จิตวิทยาเก่งน่าจะเป็นคนที่อายุมากกว่าผมนะครับ ไม่มีเพื่อนในห้องของผมคนไหนสักคนที่ใช้จิตวิทยาเก่งเลยสักคนเพราะยังไม่มีประสบการณ์มากนัก ถ้าให้ฝึกมันก็นานอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่มีคนไหนที่น่าสงสัยเลยสักคนเดียว เพราะทุกวันนี้พวกเขาก็ยังทำตัวเหมือนเด็กที่เล่นซนไปมา"


    "มีใครที่น่าสงสัยนอกเหนือจากนี้ไหม"


    จีมินถาม


    แทฮยองขมวดคิ้ว


    "ไม่มีเลยอ่ะ ไม่มี"


    ทุกคนก้มหน้าลงอย่างช้าๆพลางถอนหายใจออกมา บางคนก็เดินไปมา บางคนก็ยกมือขึ้นมากุมศีรษะของตัวเองเพื่อเป็นการบอกกลายๆว่าหนักใจกับเรื่องแบบนี้มาก ไม่ใช่เพียงแต่แทฮยองเท่านั้นที่หนักใจกับเรื่องแบบนี้เพียงคนเดียว ทว่าทุกๆคนต่างก็หนักใจเรื่องนี้เช่นกัน การตามหาคนๆหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใครนั้นมันยากยิ่งกว่าการแก้สมการที่ยาวเหยียดเกือบครึ่งกระดาษเสียอีก


    "แล้วทีนี้เราจะทำยังไงดี ตอนนี้ก็ยังตามหาเงาไม่ได้สักที"


    แทฮยองกล่าว


    "ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้า ไม่มีร่องรอยและไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลอะไรใดๆเลย หากจะให้ตามหาเงานั้นก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละ ตอนนี้คือเรามืดแปดด้านไปหมดเลย" ยุนกิพูดพลางเอนกายของตัวเองให้พิงกับผนักโซฟา เงยหน้าถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้ากับการตามหาเงา ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่คืบหน้าเลยแม้แต่น้อย


    "แต่เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนจะมีคนหนึ่งที่รู้จัก"


    "ใครเหรอแทฮยอง ใคร"


    จีมินรบเร้าให้แทฮยองพูดออกมาถึงคนที่ร่างบางนึกถึงออกมา ความเงียบบังเกิดขึ้นมาทันทีหลังจากที่พูดจบประโยคนั้น ทุกคนต่างก็ลุ้นจนตัวโก่งว่าร่างบางนั้นจะพูดชื่อของใครออกมาให้ได้ยิน และจะเป็นคนที่เข้าข่ายว่าเป็นเงาหรือไม่ หัวใจเต้นแรงเพราะความลุ้นที่รอคำตอบจากร่างบาง อีกทั้งตอนนี้มันดังกว่าเสียงลมหายใจเสียด้วยซ้ำ


    "คนนั้น..."



    หลังจากนั้นไม่นานแทฮยองก็ออกมาเดินอยู่ด้านนอกบ้านเพียงคนเดียว เสื้อโค้ตหนาๆที่สวมอยู่นั้นไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอุ่นเลยแม้แต่น้อย มันทำให้ร่างทั้งร่างเย็นยะเยือกจนแทบจะแข็งตายท่ามกลางอากาศที่หนาวติดลบแบบนี้ ทว่าการที่คนตัวเล็กเดินออกมาอยู่ด้านนอกเพียงคนเดียวนั้นมันทำให้รู้สึกสงบขึ้นมาเป็นกอง เฝ้ามองปุยนุ่นสีขาวของหิมะที่ตกลงมากระทบร่างนั้นสุดแสนจะใจหาย


    คนตัวเล็กเปรียบเทียนตนเองเหมือนกับหิมะเหล่านั้นที่ตกลงมากระทบร่างของตัวเอง ว่าหิมะนั้นมันช่างแสนสวยงามยามที่มันตกลงมาสู่พื้นโลก ทว่ามันก็ต้องละลายกลายเป็นน้ำเมื่ออุณหภูมิร้อนขึ้นหรือฤดูหนาวอันแสนยาวนานจบลงไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จีรังยั่งยืนไปชั่วกาลนาน อีกไม่นานเขาก็ต้องมีชะตาชีวิตเช่นเดียวกันกับหิมะเหล่านี้ที่ต้องละลายกลายเป็นน้ำไป และไม่มีสิ่งใดสามารถหลีกหนีโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตมาได้เลยสักคน ทุกคนล้วนมีจุดเริ่มต้นและจุดจบเสมอ


    รอยเท้าเล็กๆเกิดขึ้นบนพื้นหิมะสีขาวสะอาดเป็นทางยาวและจมลึกไปตามน้ำหนักที่เหยียบลงไป มันทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างชัดเจนเหมือนอย่างทุกครั้ง ร่างบางเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งมาถึงที่ป่าไร้ใบไม้ที่อยู่หลังบ้านของชายทั้งหกคน กิ่งก้านและลำต้นของมันนั้นเป็นสีดำ ให้ความฉงนสงสัยแก่แทฮยองเป็นอย่างมากว่าเป็นเพราะเหตุใดทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ ทว่าก็มิอาจไถ่ถามกับผู้ใดได้เลย ตอนนี้เขาเดินอยู่เพียงคนเดียว และไม่มีใครตามมาด้วย


    ป่านี้เป็นป่าของแทฮยอง กิ่งก้านสาขาของมันนั้นไร้ใบและไร้ผล ลำต้นและกิ่งไม้นั้นเป็นสีดำดุจดั่งไม้มะเกลือที่ถูกเผา รากของมันขดและม้วนตัวราวกับงูตัวใหญ่ ภายใต้โคนรากนั้นกำลังดูดกลืนถึงพลังงานที่อยู่ใต้พิภพเดียวกัน ดุจดั่งเส้นเลือดที่อยู่ในร่างกายของเขาที่วิ่งวนไปมาเพื่อสูบเลี้ยงร่างกายและชีวิต กิ่งไม้เหล่านั้นแผ่สาขาขจรขจายเฉกเช่นกลิ่นหอมที่ตลบอบอวล ปรารถนาที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดินและท้องฟ้า แม้ว่ามันจะไร้ซึ่งใบไม้สีเขียว แต่มันก็ยังคงสง่างามและดูแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ


    นึกในใจอยากจะล้มตัวนอนลงบนพื้นหิมะสีขาว โดยไม่สนใจว่าร่างกายจะเปรอะเปื้อนไปด้วยหิมะหรือดินสีน้ำตาลเข้มมากแค่ไหน อยากจะกดฝ่ามือลงไปกับพื้นดิน ปรานารถอยากจะให้ร่างกายนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวต้นไม้และพื้นดิน แทรกกายถลำลึกลงไปยังใต้พิภพเพื่อตามหาพลังงานแห่งหัวใจ


    "พี่แทฮยองครับ"


    ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอันคุ้นหูเรียกชื่อของเขาดังมาจากด้านหลัง เสียงที่เรียกชื่อนั้นดึงความสนใจจึงทำให้แทฮยองต้องหันหลังไปมอง พบว่าจองกุกกำลังยืนเอามือซุกกระเป๋ากางเกงขายาวหนาๆของตัวเอง อีกฝ่ายนั้นสวมเสื้อโค้ตสีดำและผูกผ้าพันคอสีแดง จึงทำให้ดูสูงกว่าแทฮยองหลายเท่า


    ทว่าสิ่งที่แปลกไปก็คือเสียงของจองกุก ซึ่งเสียงของจองกุกนั้นจะทุ้มและมีเอกลักษณ์ เทียบกับเสียงที่เขาได้ยินในตอนนี้นั้นกลับทุ้มและแหบเกินกว่าที่จะเป็นเสียงของอีกฝ่าย ถึงแทฮยองจะรู้สึกสงสัยมากเพียงใดแต่ก็มองในแง่ดีว่าจองกุกอาจไม่ชอบอากาศหนาวก็ได้ เสียงถึงได้แหบและทุ้มกว่าปกติแบบนี้


    "จองกุก นายมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย"


    "เมื่อกี้แล้วครับ" จองกุกตอบ "พี่ออกมาเดินคนเดียวแบบนี้ไม่กลัวเหรอครับ มันอันตรายด้วยนะ"


    ร่างบางส่ายหน้าไปมา "ไม่หรอก แค่อยากจะสูดอากาศเฉยๆน่ะ เดินอยู่ท่ามกลางป่าเหล่านี้มันทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นที่ได้ปลีกวิเวกออกมาเพียงคนเดียวแบบนี้"


    จองกุกยิ้มบางๆและเอามือไพล่หลังเดินผ่านแทฮยองพร้อมกับพูดไปด้วย


    "ผมเองก็ชอบการที่จะเดินไปมาแบบนี้เหมือนกันนะ แต่ผมไม่ชอบหิมะสีขาวเหล่านี้เลย มันเปียก เดินลำบากและน่ารำคาญ มันทำให้ผมหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากผมได้ออกมาเดินกับพี่ มันเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดเลยล่ะ"


    แก้มทั้งสองของแทฮยองแดงเรื่อๆขึ้นมาเนื่องจากความเขินอาย เพราะเขาไม่เคยพบเห็นจองกุกในลักษณะแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้งเดียว ทุกวันที่เห็นนั้นจะเป็นคนที่นิ่งๆ ชอบเล่นเกมและปากไม่ตรงกับใจแบบนี้มาโดยตลอด แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับมีลักษณะแปลกๆ หว่านเสน่ห์เก่งและมีวาทะศิลป์ขึ้นมาเป็นกอง แต่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่แทฮยองเพิ่งรู้เช่นกัน


    "งั้นเหรอ" คนตัวเล็กตอบพลางยิ้มน้อยๆออกมา มือบางจับและดึงผ้าพันคอขึ้นมาเพื่อปิดปากกับจมูกของตัวเองเพื่อกลบความเขินอายของตัวเอง เท้าทั้งสองก็เดินตามอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว


    "พี่เอามือออกก่อนได้ไหมครับ ผมไม่เห็นใบหน้าของพี่ให้ชัดๆเลย"


    จองกุกกล่าวและเดินตรงมาหาแทฮยองพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาจับแก้มทั้งสองที่แดงระเรื่อ ลมหายใจอุ่นๆของร่างบางนั้นเป่ารดผ้าพันคอก่อนที่จะกระทบกับคางของอีกฝ่าย ดวงตาทั้งสองของร่างบางนั้นจับจ้องไปที่สันกรามที่คมได้รูป จมูกที่เป็นสันนูนจนสวยงาม อีกทั้งสายตาที่ร้อนแรงจนร่างกายของร่างบางนั้นแทบจะหลอมละลาย


    ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันมากจนริมฝีปากเกือบจะแนบชิดติดสนิทกัน คนตัวเล็กเม้มปากของตัวเองทันทีเพื่อสกัดกลั้นความเขินอายเอาไว้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้จะรุกจนเขาทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าส่งเสียงร้องขอ ไม่กล้าผลักร่างออกไป อีกทั้งยอมให้แขนแกร่งนั้นโอบร่างกายบางนี้ให้แน่นๆจนความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไปในหัวใจ แทฮยองรู้สึกดีมากๆ และมันดีจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยด้วย


    "พี่สวย..." ร่างสูงกล่าว "สวยมากๆเลยครับ"


    "พูดอะไรเนี่ย..." แทฮยองหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนความเขินอายของตนเองเอาไว้ เขารับรู้ได้เลยว่าใบหน้าของตนเองนั้นร้อนผ่าวและแดงซ่านไปหมด หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงจนมันแทบจะหลุดออกมาจากอกได้ทุกเมื่อ มือทั้งสองก็กำเสื้อของอีกฝ่ายแน่น จองกุกนั้นทั้งร้อนแรง ทั้งร้ายกาจและดูมีเสน่ห์ขึ้นมาทันทีเมื่อใช้คำพูดหว่านล้อมเหล่านี้ให้คนตัวเล็กรู้สึกเคลิบเคลิ้ม


    ทันใดนั้นเองจองกุกก็ดันแทฮยองออกอย่างช้าๆและเดินผ่านร่งบางตรงไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง บนกิ่งไม้นั้นมีลูกแอปเปิลลูกหนึ่งที่มีสีแดงฉานดุจดั่งสายโลหิต มันออกผลท่ามกลางไอหนาวและมีอยู่เพียงลูกเดียบเท่านั้นที่อยู่บนต้นไม้ทั้งหมด แทฮยองรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าเป็นเพราะเหตุใดทำไมต้นไม้มันถึงออกผลอย่างผิดธรรมชาติเช่นนั้น มือหนาเอื้อมไปเด็ดมันและเดินถือมาให้แทฮยองดูใกล้ๆ


    "แอปเปิลลูกนี้สวยมากๆนะครับ" ร่างสูงกล่าว "มันแดงสดเหมือนเลือดเลย ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ"


    แทฮยองเงียบและไม่ได้พูดอะไรออกมา หากแต่จับจ้องไปที่แอปเปิลลูกนั้นด้วยความฉงนสงสัยที่มีมากล้น


    "พี่ลองชิมดูไหมครับ" จองกุกเชื้อเชิญ "มันน่าจะอร่อยนะ"


    ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปรับแอปเปิลจากร่างสูง พลิกซ้าย ขวา หน้าและหลังเพื่อตรวจดู ถึงแม้ว่าจะสงสัยมากเพียบใดแต่ก็มิอาจหาข้อสรุปได้เลยว่าทำไมแอปเปิลลูกนี้ถึงออกผลท่ามกลางไอหนาวแบบนี้ หรืออาจเป็นจองกุกเองที่แขวนแอปเปิลเอาไว้กันนะ แทฮยองทำตามที่จองกุกบอกอย่างว่าง่ายเพราะเชื่อใจอย่างเต็มอก ทันทีที่ร่างบางกัดแอปเปิลไปหนึ่งคำ เคี้ยวให้ละเอียดและกลืนลงไปนั้น ฉับพลันนั้นเองก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้น


    "ทะ...ทำไมมันแน่นอกแบบนี้...อะ อึก! ฮะ...เฮือก!"



    ตุบ!!



    "อะ...อึก...ฮะ ฮึก...อึก!" แทฮยองล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างแรง มือทั้งสองกำหิมะที่อยู่บนพื้นแน่น แรงบีบบวกกับอุณหภูมิร้อนๆของกำปั้นเล็กนั้นทำให้หิมะที่อยู่ในมือของตนเองนั้นละลายกลายเป็นน้ำ ขาทั้งสองพยายามตะเกียดตะกายหนีไปไกลๆ แต่ทว่าแรงสะพัดในอกนั้นมันกลับมีมากและรู้สึกอึดอัดไปหมด ฟันบนล่างกัดกันแน่นเพื่อฝืนตัวเองให้ทนอีกนิด ทว่ามันกลับเป็นไปได้ยากเหลือเกิน "จะ...จองกุก...ทำไมถึง..."


    หางตาของร่างบางเหลือบไปเห็นจองกุกแสยะยิ้มร้ายออกมา เขาก้าวขาเข้ามาใกล้แทฮยองเรื่อยๆจนทำให้คนที่ตัวเล็กกว่านั้นถอยกายหนีจากเงื้อมมืออันตราย แต่มันก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน จองกุกหยุดการก้าวเท้าอยู่ตรงหน้าของร่างบาง ย่อตัวนั่งยองๆอย่างช้าๆก่อนจะยกมือขึ้นมาจับที่คางและดึงขึ้น เนื้อที่อยู่บริเวณนั้นแหวกออกมาจนทำให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคนนั้นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้า แทฮยองเบิกตากว้างเมื่อพบว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นคนที่เขารู้จัก



    ฮาซองแทก คุณครูประจำวิชาจิตวิทยาของเขาเอง



    "คะ...ครู!" แทฮยองร้อง "ครูคือเงาที่ตามตัวผมมาโดยตลอด! อะ...อึก! นึกไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นครู!"


    "ใช่แล้วแทฮยองที่รักของฉัน" ฮาซองแทกกล่าว "ฉันคือเงาของเธอ ฉันเฝ้าติดตามเธอมาโดยตลอด ตอนนี้เธอติดหลุมพรางของฉันแล้ว แต่เธอไหวตัวช้าไปหน่อยนะ เอ๊ะ! หรือว่าเห็นจอนจองกุกแล้วหัวใจเต้นระส่ำระสายไม่เป็นท่าน่ะ"


    "ฮึก! ฮะ เฮือก! ออกไปนะ! ออกไป!"


    "เธอกับฉันนั้นเหมือนกัน แทฮยอง เธอเป็นนักสู้มาทั้งชีวิต เธอไม่เคยยอมแพ้ ฉันมั่นใจว่าฉันรู้เรื่องของเธอมาสักระยะหนึ่งแล้ว ฉันติดตามเธอ ศึกษาและคุ้มภัยเธออยู่ห่างๆ ในขณะที่เธอกำลังมีความสุขกับไอ้พวกนั้น และเธอก็เห็นไอ้พวกนั้นดีกว่าฉัน"


    แทฮยองอยากจะร้องไห้ออกมาเหลือเกิน ความอึดอัดที่กลายเป็นแรงสะพัดในอกนั้นมีมากจนทำให้พูดหรือขยับตัวได้ยากลำบากมาก มือทั้งสองตะเกียดตะกายและยัดร่างหนีไปจากเงื้อมมือของคนอันตรายคนนี้ ร่างบางคิดไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง วันที่เขาจะต้องถูกส่งตัวไปให้กับยมทูตเพื่อเดินไปยังดินแดนแห่งความตาย


    "ดูเธอสิแทฮยอง หน้าของเธอซีดเซียวไปหมดแล้ว เธอน่ะเป็นคนที่ฆ่าพี่สาวกับมือ เธอใช้มีดกระซวกเข้าไปที่หน้าอกของพี่สาวเต็มๆและเฝ้ามองจนพี่สาวหมดลมหายใจไป เธอเองก็ไม่ได้เรียกให้พี่เลี้ยงมาช่วยดูเลยแม้แต่น้อย"


    "ยะ...อย่ามาทำเป็นรู้เรื่อง!" แทฮยองพูดด้วยความทรมานที่มีมากล้น


    "เธอจำได้แล้วอย่างนั้นเหรอ ที่ผ่านมาทำเป็นรับไม่ได้และทำเป็นลืมมัน ทั้งๆที่เรื่องนั้นฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอ ในความทรงจำของเธอ ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ล่ะ หื้ม?"


    ร่างบางหันใบหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่ต้องการเห็นหน้าของคนๆนี้ คนๆที่เขาเคยนับถือมาโดยตลอด แต่ทว่าตอนนี้มันกลับไม่หลงเหลือถึงความนับถือและความเคารพแล้ว หากแต่ว่าเป็นมัจจุราชคนหนึ่งที่จ้องจะเอาชีวิตของเขา ถึงใบหน้าของฮาซองแทกนั้นจะดึงดูดนักเรียนหญิงในห้องเรียนของเขามากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าได้กับใบหน้าที่เขาเกลียดชังนักหนาในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย


    "เธออ่านจดหมายในห้องสมุดเมื่อตอนนั้น เนื้อในกระดาษบอกว่า 'วิธีแก้คำสาปนั้นก็คือ...จุมพิตจากรักแท้ หรือทานแอปเปิลสีแดงสดจากต้นไม้ภายในเจ็ดวันหลังจากที่อายุครบสิบหกปีแล้ว' เธอแก้คำสาปช้าไปนะแทฮยอง วันเกิดของเธอคือวันที่สามสิบ เดือนธันวาคม เธออายุสิบหกปีเมื่อปีที่แล้ว เลยขอบเขตของการแก้คำสาปเกือบๆปีเลยแน่ะ


    แต่นั่งก็ยังโชคดีนะที่เธอยังไม่อายุสิบเจ็ดเมื่อวันที่สามสิบที่จะถึงนี้ หากเลยเมื่อไหร่ล่ะก็ เลือดของเธอไม่สามารถสังเวยได้อีกต่อไป กว่าพวกเราจะตามหาเธอจนเจอก็ใช้เวลาเกือบปีเลยนะที่รัก ช่วงเวลาเกือบๆปีที่ผ่านมานั้นมันช่างคุ้มค่าเหลือเกินเมื่อเทียบกับตอนนี้ แอปเปิลที่เธอทานเข้าไปนั่นน่ะ มันกลายเป็นแอปเปิลอาบยาพิษแทนการแก้คำสาปไปแล้วล่ะ"


    แทฮยองรู้สึกว่าน้ำย่อยของตัวเองนั้นไหลย้อนเข้ามาที่หลอดอาหาร เขาสะอิดสะเอียนกับคำพูดของฮาซองแทกเหลือเกิน น้ำเสียงที่ใช้พูดกับเด็กเมื่อเทียบกับตอนนี้นั้นมันแตกต่างกันไปเลย ในตอนนี้มันทั้งเลี่ยนจนไม่น่าฟัง แถมสุดแสนจะรำคาญอีกด้วย


    ฮาซองแทกยืนขึ้นและมองแทฮยองด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาได้ เขาหันไปด้านหลังของตัวเองก่อนจะเรียกใครสักคนออกมา


    "องค์ราชินี กระหม่อมจับตัวได้แล้วพะย่ะค่ะ"


    โรเวนนาเดินออกมาจากต้นไม้และย่างก้าวเข้ามาหาแทฮยองอย่างช้าๆ ก้มมองร่างบางที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ในตอนนี้นางเหนือกว่าผู้ใด  ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่สืบเชื้อสายของสโนว์ไวต์ ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของนางมากว่าหลายพันปีแล้ว ไฟแค้นของนางยังลุกโชน และจะไม่มีทางมอดดับลงไปอย่างแน่นอน


    "วิเวียน ลาเรียน่า ดีใจจังที่ได้เจอเจ้า เจ้าผู้สืบทอดเชื้อสายสกปรกเช่นนางสโนว์ไวต์" ราชินีทมิฬเรียกแทฮยองด้วยชื่อและนามสกุลภาษาอังกฤษ "มันทำให้ข้าต้องถูกจองจำอยู่ในกระจกวิเศษเป็นเวลากว่าพันๆปี โดยที่ข้าไม่ได้ไปผุดไปเกิด เวลานับพันปีที่ข้าเฝ้ารอและมองเห็นลูกหลานของมันตายด้วยลูกหลานของข้า มันยังไม่สาแก่ใจข้าเลยสักนิด"


    "ฮะ...ฮะ เฮือก! อะ อั่ก!"


    "เจ้าควรดีใจนะที่เจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งในความงามอันนิรันดร์ของข้า และได้สละชีวิตเพื่อตระกูลชั้นต่ำของเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัย" นางกล่าวพลางเดินไปรอบๆตัวของแทฮยอง "อีกทั้งเจ้าควรดีใจด้วยนะ ว่ารักแท้ของเจ้านั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ คนที่สืบสายเลือดสโนว์ไวต์อย่างเจ้าน่ะ..." นางเว้นคำพูดและย่อตัวนั่งยองๆข้างแทฮยอง "อย่างมากก็เป็นได้แค่ลูกหมาเท่านั้นแหละ"


    แทฮยองส่ายหน้าไปมาเป็นพัลวัน ดวงตาทั้งสองมีหยาดน้ำสีใสเอ่อล้นออกมาเบ้าตาทั้งสอง จะพูดก็พูดออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว ราวกับว่าร่างนี้กำลังจะระเบิดและแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่สามารถประกอบกลับมาเหมือนเดิมได้ ภายในใจของคนตัวเล็กในตอนนี้มีแต่กล่าวลาคนที่รักและอยู่รอบข้างตัวเองมาโดยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆและคนที่รู้จัก เหนือสิ่งอื่นใดที่อยู่ในใจของเขามาโดยตลอด คือแม่และชายทั้งหกคนที่คอยปกป้องเขามาโดยตลอด


    "ร่ำร้องขอปาฏิหาริย์เสียซะสิ ร่ำร้องขอให้ทั้งหกคนมาช่วยเจ้าซะสิ"


    "...อะ...อื้อ...ฮะ อึก! ฮึก!"


    นางยิ้มร้าย "ฉะนั้น เรามาเริ่มต้นพิธีกรรมกันเถอะ หากชักช้าเดี๋ยวหมดสนุก"


    โรเวนนาลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายของนางคนอื่นๆวิ่งผ่านร่างตรงมาที่ร่างบาง พวกเขาช้อนตัวร่างบางขึ้นมาและนำไปไว้ที่รถตู้สีบลอนด์เงินที่จอดอยู่ด้านล่างของป่า ส่วนนางเองก็ยกผ้าคลุมของนางขึ้นมาพร้อมกับสะบัดเป็นวงกลม ก่อนที่ร่างของโรเวนนานั้นจะกลายเป็นนกกาฝูงหนึ่งบินออกไปจากตรงนั้น


    ส่วนทางด้านแทฮยองเองก็เริ่มตกอยู่ในสภาพเคลิ้มหลับ สิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้นั้นคือเป็นคำพูดในใจที่กู่ร้องเรียกหาชายทั้งหกให้เข้ามาช่วยเขา อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าทำใจให้สบายเถอะ เพราะหลังจากนี้เขาจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที จะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยกับเรื่องอะไรแบบนี้อีกแล้ว สองความคิดนี้สลับกันไปมาจนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลายเป็นหมอกสีดำ และจมลงสู่ห้วงแห่งความมืดมิดทันที



    "พี่แทฮยองหายไปไหนเนี่ย" จองกุกเอ่ยปากถามขึ้นมาในขณะที่ด้อมๆมองๆออกไปนอกหน้าต่างเพื่อมองหาแทฮยอง


    "ไปเดินเล่นหรือเปล่า" นัมจุนตอบ "เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วแหละ"


    "แต่มันสิบนาทีแล้วนะนัมจุน กูว่ามันแปลกๆว่ะ"


    ยุนกิตอบในขณะที่ตัวเองกำลังนอนบนโซฟาอยู่ เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่จองกุกกำลังสงสัยอยู่ในตอนนี้ เพราะว่าจากตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็ล่วงเลยมาเกือบสิบนาทีแล้ว แทฮยองออกไปเดินข้างนอกนานเกินไปจนผิดปกติ แถมตอนนี้หิมะก็ตกหนักกว่าเดิมอีก


    ทันใดนั้นเองก็มีเสียงข้อความดังเข้ามาในกระเป๋ากางเกงของจองกุก มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเปิดข้อความดู หวังเอาไว้ว่ามันเป็นข้อความจากแทฮยอง ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นคนที่แทนตัวเองว่าเงา พร้อมข้อความและรูปถ่ายที่ส่งมาจนทำให้ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้าง


    มันเป็นรูปภาพของแทฮยองที่หลับไม่ได้สติ อีกทั้งมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่รอบๆร่างบางด้วยสีหน้ายากที่จะคาดเดาได้ พื้นหลังเป็นหิมะสีขาวและเป็นป่าไร้ใบไม้ ข้อความที่เขียนส่งมานั้นมีเพียงคำสั้นๆ แต่มันน่าขนลุกจนทำให้สันหลังนั้นเย็นวาบ



    เงา : สโนว์ไวต์กำลังนอนหลับอยู่ล่ะ กำลังรอเจ้าชายมาจุมพิศอยู่นะ :) 10:00 น.



    หัวใจของจองกุกกระตุกวูบเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกๆ เขารีบหยิบผ้าพันคอ เสื้อโค้ตและหมวกเข้ามาสวมเพื่อป้องกันอากาศหนาว หลังจากนั้นเขาก็เปิดประตูวิ่งออกไปด้านนอกบ้านอย่างรวดเร็ว จนทำให้ทุกๆคนต่างก็ตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจแต่งตัวให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นและวิ่งตามจองกุกไป ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักจนทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาว


    ร่างสูงวิ่งไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าตนเองจะเหน็บหนาวเพราะอุณหภูมิติดลบมากแค่ไหน เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาต้องไปช่วยแทฮยองให้ได้ ไม่ว่ามันจะยากลำบากเพียงใด ไม่ว่าเขาจะต้องตายเพราะความหนาวตอนไหน ไม่ส่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับโรเวนนาเมื่อไหร่ เขาต้องพาแทฮยองกลับมาให้ได้ นี่คือปณิธาณอันสูงสุดของเขา


    เขาวิ่งตามรอยเท้าที่แทฮยองทิ้งเอาไว้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมาหยุดตรงที่ต้นไม้ในป่าแห่งหนึ่งที่ไร้ซึ่งใบไม้ เขาไม่พบแทฮยอง เงาและกลุ่มคนเหล่านั้น ร่องรอยที่ปรากฏอยู่ใต้ต้นไม้นั้นมันยุ่งเหยิง เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีคนหลายคนตรงเข้ามาหาแทฮยอง ส่วนแทฮยองเองก็ถดกายหนีเท่าที่จะทำได้แต่ช้าไป ทว่ามีสิ่งๆหนึ่งทำให้ร่างสูงต้องรู้สึกว่าหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มของตัวเองและทรุดตัวนั่งลงบนพื้น คือการที่เห็นผลแอปเปิลลูกหนึ่งที่ตกอยู่และมันมีรอยกัด รู้เลยว่าแทฮยองต้องเป็นคนกัดแอปเปิลลูกนี้อย่างแน่นอน


    "จองกุก! เจอแทฮยองไหม!" โฮซอกกับคนอื่นๆวิ่งเข้ามาหาจองกุกและถามออกมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พวกเขามองเห็นร่องรอยที่อยู่ตรงหน้าและผลแอปเปิลที่อยู่ในมือของจองกุก พวกเขาก็เข้าใจเลยว่าแทฮยองนั้นถูกจับตัวไปแล้ว "ไม่นะ..."


    "ไม่นะ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้" จีมินพูด


    "สุดท้ายแล้วเราก็ปกป้องแทฮยองไม่ได้..." นัมจุนทรุดนั่งลงบนพื้นหิมะ "ฉันขอโทษนะแทฮยอง ที่ฉันปกป้องนายเอาไว้ไม่ได้..."


    ทุกคนในตอนนี้ต่างก็มีสีหน้าอยากจะร้องไห้ หิมะที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้หัวใจชาจนด้านไปเสียแล้ว พวกเขาเสียแทฮยองไปให้กับเงื้อมมือของคนเหล่านั้นไปแล้ว และมันเป็นเรื่องยากนั้นที่จะพากลับมาได้ รอยยิ้มที่ร่างบางเคยยิ้มออกมานั้นกลับแตกสลายกลายเป็นผุยผงและปลิดปลิวไปตามสายลม ช่วงเวลาที่เคยใช้ด้วยกันนั้นมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็หายไป และยากที่จะกลับมาฝันต่อ


    หัวใจของพวกเขาในตอนนี้ถูกกรีดเป็นทางยาวซ้ำๆและมันแสนเจ็บปวด บางคนก็แอบปล่อยให้น้ำตามันไหลอาบแก้ม เดินไปเดินมาเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง บ้างก็ยกมือขึ้นมาเช็ดหยาดน้ำที่อยู่บนดวงตาซ้ำๆ แทฮยองคือคนสำคัญของพวกเขา เป็นทั้งแสงสว่าง เพื่อน พี่น้อง และคนที่เยียวยาหัวใจให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ตอนนี้แสงสว่างนั้นได้จางหายไปแล้ว


    "แทฮยอง..." จีมินพูดพลางปาดน้ำตาของตัวเองออก "เราขอโทษที่ทำให้นายโมโหนะ...เราขอโทษจริงๆ"


    จองกุกลุกขึ้นมาจากพื้นและกำแอปเปิลสีแดงที่ถูกกัดอยู่ในมือแน่น พร้อมกับพูดบางอย่างออกมาจนทำให้ทุกคนต้องหันมาสนใจ


    "ไปช่วยพี่แทฮยองกันเถอะครับ"


    "เราจะไปช่วยแทฮยองได้ยังไง" ยุนกิบอก "เราสู้คนพวกนั้นไม่ได้หรอก มันมีมากกว่าตั้งเยอะ"


    "พี่แทฮยองคือคนสำคัญของพวกเรา ถ้าผมจะเป็นจะตายยังไงผมก็ต้องไปช่วยพี่แทฮยองให้ได้ ชีวิตของพวกเรานั้นจมอยู่กับจักรวาลนี้มามากพอแล้ว พ่อกับแม่ของพวกเราก็โดนไอ้พวกนั้นฆ่าเพราะผิดกฎที่แอบช่วยเหลือคนที่สืบเชื้อสายของสโนว์ไวต์ให้รอด พวกเราทั้งหกคนที่มาอยู่ด้วยกันก็มีปณิธาณด้วยกันคือการช่วยเหลือและปกป้องพี่แทฮยอง ถ้าหากว่าผมจะตายเพราะเพียงแค่การช่วยพี่แทฮยองล่ะก็ ผมก็ไม่เสียดายชีวิตเลย อีกทั้งพวกเราก็รู้แล้วนี่ครับว่าเงาคือใคร"


    จองกุกพูดด้วยถ้อยคำที่ยาวเหยียดและมีความหมาย เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกมือของซอกจินจับไหล่ให้หยุดเสียก่อน


    "ถ้านายจะไป พี่ขอไปด้วยคน" ซอกจินบอก "พี่ไม่ยอมให้ไอ้หน้าไหนมาฆ่าคนของเราแบบนี้หรอก"


    "ผมไปด้วย" จีมินตอบ


    "กูด้วย" นัมจุนเดินเข้ามาหาและพูด


    "กูด้วยคน" ยุนกิกับโฮซอกบอก "ไอ้ห่าพวกนั้นมันต้องโดนรุมตื้บบ้างแล้วล่ะ"


    จองกุกมองหน้าพี่ชายทุกคนไปสักพักก่อนจะตอบด้วยประโยคนี้กลับมาด้วยสายอันมุ่งมั่น


    "ลุยกันเลยครับ"








    #ลาเรียน่าออลวี








    ______________________

    *คีตกวีชาวออสเตรียในยุคคลาสสิก (ค.ศ.1732-1809)

    **คีตกวีและนักออร์แกนชาวเยอรมนี (ค.ศ.1685-1750)



    TBC. [08.09.2019]

    สวัสดีค่าทุกคน สบายดีไหมเอ่ยยย ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือนนึงเลยแน่ะ รู้สึกว่ามันนานมากเลย เนื่องด้วยว่างานของเรามันเยอะมากเลยค่ะทุกคน ไม่กี่วันที่ผ่านมานั้นเราเพิ่งพ้นจากการแสดงละครมา ซึ่งมันแสนจะทรหดและเหนื่อยเหมือนหมาหอบแดดเลยทีเดียวค่ะ ไหนจะการบงการบ้านอีก กว่าจะทำเสร็จได้ก็เกือบไม่รอดเช่นกันค่ะ จะบ้าตาย55555

    ตอนนี้ก็เฉลยแล้วนะคะว่าเงานั้นคือใคร พีคไหมคะทุกคน555555 บทออกมานิดเดียวแต่มีข้อความที่สามารถทำให้ประสาทหลอนและจิตตกไปพร้อมๆกัน เราเองเขียนไปก็ตัวสั่นไปด้วยเลยค่ะ คือมันทั้งลุ้นและกลัวไปในเวลาเดียวกัน หัวใจก็เต้นเร็วจนมันจะหลุดออกมาแล้วด้วยซ้ำ มันจะลุ้นอะไรขนาดนี้วะเนี่ย55555

    ยัยแทของแม่โดนจับตัวเข้าให้แล้ว!!!! อย่าทำอะไรกับลูกชั้นนะยะโรเวนนา ไม่งั้นชั้นเอาหล่อนถึงตายแน่!!! (เกียมลับมีด) แล้วคือตอนนี้ทุกคนหล่อโฮกกกกกกก!! จะตายแล้ววววว!! ตีมันเรยรูกแม่! อย่าให้ใครหน้าไหนมาทำยัยแทได้นะ!!


    ความสนุก ความตื่นเต้นและความเร้าใจยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ อย่าลืมติดตามเรื่องนี้เพื่อรออ่านเนื้อเรื่องตอนต่อไปด้วยนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมเฟบ โหวต กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์และคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนร๊ะค๊ะ 55555

    ฟีดแบคดีเท่ากับเรามีกำลังใจและตอนต่อไปน้า อยากบอกว่าเรานี๊ดเมนต์ของทุกคนมากๆเลย สักเมนต์หนึ่งเราก็มีกำลังใจในการทำงานและเขียนฟิคต่อไปแล้วค่า เมนต์ให้เราหน่อยน้าตะเอง ;-; (แบมือทั้งสอง)

    พบกับตอนใหม่ในเดือนหน้านะคะ สวัสดีค่าาาาา ^3^


    ปล. ในขณะนี้เราโดนจ้านเกอตกแล้วจ้าาาาาาาา หากเราหายไปเมื่อไหร่โปรดเข้าใจด้วยนะคะว่าเรากำลังหวีดป๋อจ้านอยู่...

    ปล2. การบ้านเยอะมากเวอร์แต่ไม่ทำ ไม่งั้นครูเราคงไม่โผล่มาด้านหลังแล้วตบหัวเราทิ่มคีย์บอสฟสดฟาดแแปพหไห


    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×