ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) BTS | AllV | Lareina Seven Wings #ลาเรียน่าออลวี

    ลำดับตอนที่ #11 : #ลาเรียน่าออลวี | CHAPTER XI [100%] (HopeV)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 702
      47
      3 ส.ค. 62

    11





    "เงื้อมมืออันตราย"



    คำนี้ฉุดแทฮยองให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากโต๊ะเรียน เมื่อกี้เขาฟุบหลับไปกับโต๊ะเท่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็ตื่นขึ้นมาในคาบเรียนของวิชาจิตวิทยาแล้ว  เสียงของคุณครูผู้สอนนั้นปลุกเขาให้ตื่นมาจากการงีบหลับเพียงระยะสั้นๆ การวิ่งไปที่สวนสาธารณะและปีนขึ้นไปบนเหล็กรางของรถไฟเหาะนั้นมันเป็นฝันร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ ถึงแม้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม


    แทฮยองไม่เข้าใจเลยว่าเงาต้องการอะไรจากเขากันแน่ สั่งให้เขามุดบ้านของเล่นและปีนป่ายเหล็กรางจนแทบจะเป็นจะตาย อีกทั้งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมจะต้องทำตามคำสั่งที่ห้ำหั่นและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของเงาด้วย ทว่าก็พูดอะไรออกมาไม่ได้เช่นกัน


    วันนี้เป็นวันที่เขาต้องมาโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ หลังจากเมื่อวานที่ลาป่วยและพบเจอกับเรื่องเสี่ยงตายแล้ว การลากสังขารของตัวเองมาเรียนในสภาพเหมือนศพนั้นก็ไม่น่าจะเป็นผลดีเสียเท่าไหร่นัก เขาจำไม่ได้แล้วด้วยว่าวันนี้ฟุบหลับไปกับโต๊ะเรียนและหลับในไปกี่ครั้ง แต่ที่แน่ๆก็คือมีเพื่อนร่วมห้องมาสะกิดให้ตื่นอยู่หลายครั้งเช่นกัน


    อย่างน้อยการมุดออกจากบ้านนั้นมันก็เป็นผลดีอย่างหนึ่งของตัวเขาเองเช่นกัน เพราะการเอาแต่คุดคู้อยู่ในบ้านโดยที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก นอกจากจะถูกคนอื่นมองว่าเขาเข้าสังคมไม่เก่งแล้ว ยังทำให้โลกส่วนตัวยิ่งสูงอีกด้วย แทฮยองรู้ดีว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ย่อมต้องมีพวกและกลุ่มเป็นของตัวเองที่สามารถพูดคุยเรื่องราวอะไรก็ได้ให้ฟัง


    "ความกลัวนั้นเป็นพื้นฐานทางจิตใจของคนเรา มันเป็นการป้องกันตัวอย่างหนึ่งเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก ความกลัวนี้นอกจากจะเป็นพื้นฐานทางจิตใจของเราแล้ว มันยังทำให้มนุษย์เรานั้นแสดงพฤติกรรมออกมาด้วย"


    เสียงของคุณครูฮาซองแทก คุณครูประจำวิชาจิตวิทยานั้นดังออกมาจากหน้าห้องเรียน เสียงของเขานั้นทุ้มและน่าฟัง ทำให้นักเรียนหญิงหลายๆคนในห้องเรียนของแทฮยองนั้นต่างก็ชื่นชอบ แต่กับแทฮยองนั้นก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกว่าคุณครูคนนี้จะพิเศษพิโสอะไรมากมายนัก แค่เรียนๆไปเท่านั้นก็จบแล้วล่ะ


    "สำหรับครูนะ ครูว่าความกลัวมันทำให้พวกเราเติบโตขึ้น"


    "ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะครู" เพื่อนร่วมห้องผู้หญิงคนหนึ่งยกมือถามด้วยความสงสัย


    "เพราะความกลัวมันทำให้เรากลัวในสิ่งที่เราควรกลัวและไม่ต้องไปเข้ายุ่งกับสิ่งอันตรายเหล่านั้น หากกาลเวลาผันผ่านไปแล้ววันใดวันหนึ่งเราย้อนกลับมามองถึงสิ่งนั้น มันก็ทำให้เราคิดได้ว่ายังดีที่เราไม่เข้าไปยุ่งกับมัน ไม่เข้าไปยุ่งให้เราเจ็บตัวเสียเปล่าๆนั่นเอง"


    นักเรียนคนนั้นพยักหน้าเบาๆเพื่อแสดงความเข้าใจ


    "ใครมีความคิดเห็นหรือมีอะไรจะถามไหม" คุณครูฮาซองแทกเอ่ยปากถามนักเรียนทั้งห้อง แต่ก็ไม่มีนักเรียนคนไหนยกมือถามคำถามเขาเลยคนเดียว "ไม่มีงั้นเหรอ งั้นเลิกชั้นได้ แล้วก็อย่าลืมทำการบ้านตาสที่ครูสั่งด้วยล่ะ หัวหน้า!"


    หลังจากที่หัวหน้าห้องกล่าวให้นักเรียนทั้งห้องขอบคุณคุณครูประจำวิชาแล้ว ทุกๆคนต่างก็เก็บข้าวของของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ยังดีที่วิชาจิตวิทยาเรียนเป็นคาบสุดท้าย แทฮยองจะได้กลับไปนอนอย่างสบายใจเสียที ก่อนหน้านี้เขาด้วยสภาพเหมือนศพตั้งแต่เช้า การเลิกเรียนวิชาสุดท้ายนั้นเป็นเหมือนเสียงสวรรค์สำหรับเขามากๆเลยล่ะ


    ไม่ทันที่แทฮยองจะก้าวขาออกจากห้องเรียนไป ครูฮาซองแทกสั่งให้เขาอยู่ต่อ จีมินที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมชั้นและคนที่คอยคุ้มครองนั้นก็ไปยืนรออยู่ด้านนอกห้องเรียน


    "ครูแค่อยากถามให้แน่ใจว่าเธอจะสอบเข้าคณะจิตวิทยาเมื่อจบมัธยมปลายแล้ว" ครูฮาซองแทกกล่าว "เพราะว่าครูแนะแนวนั้นมีข้อมูลในการเข้าคณะจิตวิทยาของมหา'ลัยโซล อีกอย่างทั้งชั้นก็มีแค่เธอคนเดียวที่สนใจทางด้านนี้ด้วย"


    "คงอย่างนั้นล่ะครับ" แทฮยองตอบ


    "ครูคงไม่ถาม ถ้าหากเธอไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งที่สุดของห้องและเท่าที่ครูเคยสอนมาหลายๆปีที่ผ่านมานี้ ครูว่าครูนั้นไม่ควรแนะแนวอะไรให้กับเธอแบบนี้ แต่ครูอยากให้เธอรู้ไว้"


    "ครับ ขอบคุณครับ"


    แทฮยองส่งยิ้มให้กับครูฮาซองแทกและโค้งตัวให้เพื่ออำลาหลังจากที่บทสนทนาจบลงแล้ว ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปหาจีมินที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องเรียนคนเดียว


    ทุกๆวันของแทฮยองก็เป็นเช่นนี้ จากหอพักก็เดินทางมาเรียนหนังสือ พอเรียนเสร็จแล้วก็เดินกลับหอ ชีวิตวนไปวนมาแบบนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว แต่ที่แน่ๆก็คือเขาไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวย่านศูนย์การค้าอะไรพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ใช้ชีวิตเพียงแค่สองสถานที่นี้ในแต่ละวันเท่านั้น


    เขารู้ดีว่าอย่างน้อยก็ควรหาความสุขใส่ตัวเองบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คุดคู้อยู่ในห้องพักจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนี้ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ เพราะว่าเขาต้องประหยัดเงินในการใช้จ่ายสิ่งของต่างๆ แม่ก็โอนเงินเข้าบัญชีมาทุกๆเดือน ถึงแม้จะไม่มากนักแต่ก็ทำให้เขามีเงินซื้ออาหารทานในแต่ละมื้อได้แล้ว หากอยากได้อะไรที่นอกเหนือจากนี้และเกินงบที่แม่โอนมาให้ เขาก็จะเก็บเงินเพื่อซื้อมัน เงินเหลือในแต่ละวันก็จะเก็บๆแบบนี้จนกระทั่งมีเงินพอและซื้อของเหล่านั้นมาได้


    สิ่งเหล่านั้นที่เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาแก่ร่างบาง ส่งผลทำให้บ่มเพาะนิสัยการเก็บเงินและอดเปรี้ยวไว้กินหวานของเขาไปโดยปริยาย เขาต้องประหยัดและอดออมเพื่อให้ตัวเองมีกินมีใช้อย่างพอดี หากเขาเจียดเงินโดนไม่คิดหรือเกินงบ บัดนั้นมันทำให้เขาไม่มีเงินซื้อข้าวมื้อนั้นทานได้เลย ถึงแทฮยองจะไม่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์อย่างหลัง แต่เขาก็จินตนาการได้ว่ามันจะต้องเลวร้ายมากแน่นอนถึงขนาดที่ว่าไม่มีเงินซื้อข้าวมาทาน


    ทั้งจีมินและแทฮยองต่างก็เดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับกลุ่มของนักเรียนหลายๆคนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ร่างบางคิดว่าตอนนี้หนึ่งวันของเขานี้ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีข้อความจากเงา ไม่มีความรู้สึกที่หวาดระแวง ไม่มีความกลัวอะไรใดๆในวันนี้เลยแม้แต่น้อย



    ตื้ด!



    คนตัวเล็กย่นคิ้วลงมาเล็กน้อยกับเสียงข้อความเข้าจากในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามาโดยใครคนนั้น



    คนที่แทนตัวเองว่า 'เงา' นั่นเอง



    ชำเลืองมองคนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆเล็กน้อยก่อนจะปลดล็อกมือถือ นิ้วมือกดเข้าไปในไอคอนของโปรแกรมแชต ข้อความใหม่ที่ถูกส่งมาถูกดันไปอยู่ด้านบนของประวัติการสนทนาทั้งหมด มีประโยคหนึ่งประโยคถูกส่งเข้ามาและถูกใส่เครื่องหมายจุดสามจุด ประโยคนั้นทำให้ร่างทั้งร่างของคนตัวเล็กสะท้าน



    สโนว์ไวต์ของฉัน เธอเลิกเรียนแล้วใช่ไหม เอาละ ได้เวลาสนุกต่อจากเมื่อวานแล้ว มาหาฉัน...



    ร่างบางพยายามแข็งใจไม่กดเข้าไปอ่านข้อความข้างในที่ถูกส่งเข้ามา แต่แล้วก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หากเขาไม่ยอมทำตามคำสั่งของเงา ไม่อย่างนั้นเขาต้องถูกแบล็กเมล์และเรื่องราวของตัวเองจะต้องถูกประกาศต่อหน้าสาธารณชน สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะเจอเลย มันทั้งน่ากลัวและน่าขยะแขยงยิ่งนัก


    นิ้วมือกดเข้าไปในห้องแชต บัดนั้นดวงตาทั้งสองของคนตัวเล็กเบิกกว้าง



    สโนว์ไวต์ของฉัน เธอเลิกเรียนแล้วใช่ไหม เอาละ ได้เวลาสนุกต่อจากเมื่อวานแล้ว มาหาฉันที่ห้องพักของเธอ แล้วฉันกับเธอก็จะได้เล่นเกมด้วยกัน เธอคงอยากรู้ใช่ไหมว่ามันคืออะไร ฉันรับรองได้เลยว่าทั้งเธอและฉันต้องมีความสุขกับมันแน่นอน

    เอาละ เกมนี้ต้องมีผู้เล่นเพียงคนเดียวก็คือเธอ อย่าคิดพาเจ้าพวกนั้นมาด้วยล่ะ ไม่งั้นเธอแพ้เกมนี้แน่นอน งั้นเราสองคนไว้เจอกันนะที่รัก



    "จีมิน" แทฮยองเอ่ยปากเรียกอีกฝ่าย "เราขอกลับไปหอก่อนนะ เราลืมของเอาไว้ เดี๋ยวเรากลับมา"


    "แทฮยอง เดี๋ยวก่อน..."


    ไม่ทันที่จีมินจะได้เอื้อนเอ่ยประโยคต่อไป แทฮยองก็รีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเสียงร้องของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขามีสิ่งๆหนึ่งที่สำคัญมากๆที่ต้องจัดการให้เสร็จสรรพ หากช้าแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหากไม่ทำตามที่บอกนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่มันต้องแย่มากถึงมากที่สุดแน่นอน


    ร่างบางวิ่งผ่านร้านค้า ถนนและผู้คนมากมายที่อยู่รอบๆ เขาวิ่งตาหลีตาเหลือกโดยที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะเดินชนอะไรบ้าง หิมะที่กองอยู่บนพื้นนั้นไม่ได้ทำให้เขาวิ่งได้เร็วขึ้นเลย หากแต่ช้าลงเรื่อยๆ ในเวลานี้เขาเกลียดหิมะเหล่านี้มากถึงมากที่สุด อยากจะดีดนิ้วและหายไปเหมือนภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องนั้นมากจริงๆ แต่ก็ทำได้แค่ฝันเท่านั้น ความจริงก็คือความจริง


    ยิ่งวิ่งไปเรื่อยๆก็เหมือนเป็นการทำให้เรี่ยวแรงลดลงเท่านั้น จึงทำให้แทฮยองต้องหยุดพักบ้าง กึ่งเดินกึ่งวิ่งบ้างแบบนี้วนไปวนมา ระยะทางที่เขาวิ่งมานั้นรู้สึกยาวขึ้นมาอย่างดื้อๆ โดยปกติแล้วมันรู้สึกว่าครู่เดียวก็ถึงแล้ว แต่บัดนี้ทำไมมันยาวขึ้นและมีอุปสรรคมากขึ้นกว่าเดิมเช่นนี้ เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ


    หัวใจเต้นรัวและสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายอย่างรวดเร็ว สารอะดรีนาลีนถูกหลั่งออกมาจากสมอง มันกระตุ้นให้คนตัวเล็กวิ่งกลับไปที่ห้องพักต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งเครียดว่ามันจะถึงเมื่อไหร่ เพียงแต่คิดว่าเท้าทั้งสองนั้นจะวิ่งไปที่ห้องพักได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ และนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคาดคะเนเอาไว้


    แทฮยองโผล่พรวดพราดเข้ามาด้านในของหอพัก ลิฟต์ที่เขาเคยใช้แทนบันไดนั้นกลับชำรถดกะทันหัน ร่างบางสบถออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์มากๆ แต่การมาอารมณ์เสียแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นเลย เขาจึงตัดสินใจไปใช้บันไดแทนลิฟต์


    บันไดสูงจะมีกี่ชั้นร่างบางก็ไม่สน ขาทั้งสองก้าวข้ามบันไดไปสองขั้นและดีดร่างตัวเองเหยียบสองขั้นถัดไปสลับไปมาแบบนี้ กัดฟันและกำมือแน่น ฝืนพยุงร่างของตัวเองไปยังห้องพักซึ่งเป็นจุดหมายของทุกสิ่ง มือบางรีบคว้ากุญแจมาจากกระเป๋าเรียนออกมาจากรวดเร็วและไขให้มันปลดล็อก ประตูถูกผลักออกไปอย่างรวดเร็วจนมันแทบพัง


    สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นทำให้คนตัวเล็กตกใจเป็นอย่างมาก ข้าวของภายในห้องของตัวเองล้มระเนระนาดไม่เป็นระเบียบ เก้าอี้ โต๊ะ ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอนและทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็เละไม่มีชิ้นดี เป็นอย่างที่นัมจุนบอกเอาไว้จริงๆด้วย ว่าการกลับไปที่ห้องพักนั้นมันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดอีก เพราะข้าวของทุกอย่างของเขานั้นถูกรื้อจนล้มระเกะระกะไปหมดเลย


    ขาทั้งสองทรงตัวไม่อยู่และทรุดล้มลงไปกลางพื้นห้องหลังจากที่เดินเข้ามาดูสิ่งของในห้องของตัวเอง แทฮยองรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองนั้นไม่ปลอดภัยแล้ว ตราบใดที่กลุ่มคนที่สืบเชื้อสายโรเวนนาตามล่าหาตัวเขาอยู่แบบนี้ และตราบใดที่เขายังไม่ถอนคำสาปนี้ออกไปให้หมด ออกไปจากชีวิตของเขา


    แต่อย่างน้อยเขาเองก็รู้สึกโล่งอกที่ขอไปอาศัยอยู่กับชายทั้งหกคนเหล่านั้นก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ร่างบางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากหลังจากที่ได้ยินเสียงข้อความดังขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง


    แทฮยองไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว แต่ก็ต้องดูข้อความที่เงาส่งมาว่าจะต้องให้เขาทำอะไรบ้าง ตอนแรกเขาไม่อยากจะเห็นไม่อยากจะอ่านข้อความเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ทำก็เหมือนฆ่าตัวเองให้ตายเปล่าๆ ในตอนนี้เขาอะไรก็ได้แล้ว เพียงแต่ขอให้เรื่องนี้มันจบๆไปเสียที


    มือบางยกมันขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาและอ่านข้อความที่ส่งมา ข้อความในนั้นถูกระบุด้วยตัวหนังสือที่ยาวประมาณเจ็ดบรรทัด แทฮยองพยายามตั้งใจอ่านข้อความทุกบรรทัดอย่างละเอียดทั้งๆที่มือของตัวเองสั่นเทาด้วยความกลัว



    ตอนนี้เธอคงจะจิตตกอยู่สินะสโนว์ไวต์ของฉัน ฉันเข้าใจเธอดี ว่าการที่เธอไม่ได้กลับมาที่ห้องพักมานานแล้วมาเจอในสภาพเละเทะเหมือนของรักของหวงถูกขโมยแบบนี้ มันน่าใจหายและคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงใช่ไหมล่ะ

    ฉันบอกเลยว่านี่มันคือคำเตือนจากฉัน คำเตือนจากทุกๆคนที่เธอยังคิดที่จะหนีอยู่ เธอหนีไม่พ้นโชคชะตาของเธอหรอก อ้อ! ฉันเกือบลืมบอกเธอไป เธอลองไปดูของที่อยู่ใต้หมอนของเธอสิ อยากให้ดูอะไรหน่อยน่ะ



    แทฮยองทำตามที่ข้อความนั้นบอก พยุงร่างของตัวเองขึ้นและเดินโซซัดโซเซไปที่เตียงของตัวเอง ผ้าห่มกระจัดกระจายไม่เรียบร้อย ผ้าปูที่นอนยับอยู่ยี่ มือก็สอดเข้าไปใต้หมอน สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่างที่มันแข็งและเย็น เขาคว้าเจ้าสิ่งนั้นอย่างรวดเร็วและดึงมันออกมา พบว่านั่นคือกุญแจทองเหลืองนั่นเอง


    เอาไปทำอะไร ร่างบางคิดในใจหลังจากที่หยิบมันออกมาจากใต้หมอนแล้ว มือก็กำกุญแจทองเหลืองดอกนั้นแน่นจนสั่น ดวงตากลอกไปมองเตียงของตัวเองที่เละเทะไม่เรียบร้อยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ซึ่งขัดกับสิ่งที่กำลังคิดในตอนนี้


    ในความคิดของร่างบางตอนนี้อยากจะล้มตัวนอนลงไปกับพื้นเตียง กอดผ้าห่มและกอดหมอนให้แน่น ปล่อยให้น้ำตาเจ้ากรรมนั้นไหลออกมาเลอะปลอกหมอน หรืออะไรก็ตามที่อยู่บนเตียงให้หมด เขาอยากนอนขดตัวอยู่บนเตียงนุ่มๆนี้โดยที่ไม่ไปไหนอีกต่อไปแล้ว


    เขาอ่อนแอ เขาอยากจะร้องไห้ด้วยความเหนื่อยและเครียดของตัวเองที่ประสบพบเจอในช่วงนี้ เขาไม่อยากจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาอยากจะหลับตาแล้วหลับไปตลอดกาลโดยที่ไม่มีวันตื่นอีก อยากจะล้างสมองของตนเองให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมทั้งความทรงจำอันเลวร้าย ลืมเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่ตัวเองรับรู้และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ลืมไปให้หมด อย่าได้นึกถึงมันอีก


    แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อตอนนี้เขาเดินทางมาไกลมากแล้ว จะตัดสินใจจะจบทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่คุ้มกับสิ่งที่พบเจอมาทั้งชีวิต แล้วไหนจะภาพของแม่ที่ร้องไห้หลังจากที่สูญเสียเขาไปล่ะ เขาไม่อยากให้แม่ของเขาต้องมานั่งร้องไห้แก่ลูกแบบนี้หรอก แค่เรื่องของพี่สาวก็หนักหนาสาหัสมามากพอแล้วล่ะ เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับร่วมปีหลังจากเหตุการณ์นั้น หากสูญเสียเขาไปอีกคนก็ไม่เสียสติไปแล้วหรือ


    ขอเพียงแค่ตอนนี้เขาได้ร้องไห้ ขอให้ได้ระบายออกมาเป็นน้ำตา ทำอย่างไรที่ทำให้ความรู้สึกที่อึดอัดนั้นได้บรรเทาลงบ้าง ไม่หนักหนาเหมือนที่ผ่านมา ขอแค่ให้เขาได้ร้องไห้ออกมาดังๆต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้ก็พอแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกต่อไป


    "ฮึก...ฮือๆๆ"


    คนตัวเล็กสะอื้นไห้และฟุบใบหน้าของตัวเองลงบนพื้นเตียงทันที ปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลออกมาเลอะผ้าปูที่นอนและกลายเป็นคราบน้ำตา เขาแบกรับสิ่งเหล่านี้เอาไว้บนบ่าไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาร้องไห้ ร้องไห้แด่นิสัยที่ชอบแบกรับความเจ็บปวดของตัวเอง ร้องไห้แด่การสรรเสริญตนเองที่ใช้ชีวิตผ่านมาจนถึงตอนนี้ ร้องไห้แด่แม่และพี่สาว ร้องไห้ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาประสบพบเจอ



    เขาอยากตาย แต่ทำไม่ได้ ในเมื่อสัญญากับแม่แล้วว่าจะไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจและร้องไห้อีกต่อไป



    วันนี้เขาขออ่อนแอหนึ่งวัน พรุ่งนี้เขาจะกลับมาสู้ใหม่อีกครั้ง



    ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กร้องไห้ไปนานแค่ไหน รู้เพียงแต่ว่าอีกทีตนเองก็ไม่ได้สติแล้ว








    ++








    สิ่งๆใดที่เป็นของเธอ สิ่งๆนั้นก็เป็นของฉันด้วย

    เหตุใดฉันถึงคิดแบบนั้นหรือ ก็เพราะว่าเธอนั้นพิเศษ เธอคือคนสำคัญของฉัน เธอคือคนๆนั้นของฉัน สิ่งใดที่เธอรักและชอบมาก ฉันก็จะชอบตามเธอด้วย สิ่งใดที่เธอไม่ชอบหรือเกลียดมัน ฉันก็จะไม่ชอบนามเธอด้วย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลใดทำไมฉันถึงรักและหลงเธอถึงเพียงนี้ แต่ที่แน่ๆก็คือ เธอคือแสงสว่างในใจของฉันเสมอมา

    อดีตของเธออันปวดร้าว สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วล้วนหวนกลับคืนมาไม่ได้ มีเพียงหนึ่งเดียวที่ละทิ้งความเจ็บปวดนั้นได้ เธอต้องเข้มแข็ง เธอต้องปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นออกไปให้หมด แล้วจงมากุมมือฉันให้แน่นเถอะนะ

    ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร ไม่ว่าเธอจะพบเจอกับเรื่องอะไรที่ทำให้เสียน้ำตา แต่เธอก็คือตัวของเธอเอง เป็นคนๆนี้และคนเดียวบนโลกใบนี้ที่เบ่งบานได้งดงามที่สุดยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ เธอสวยงามในอย่างที่เธอเป็น อย่าเอนเอียงไปตามคำพูดของคนอื่นเลยนะ


    คนๆที่สวยงามที่สุดนั้นก็คือเธอ คือเธอเท่านั้น

    เธอคือแสงสว่างของฉัน เธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน และจะไม่มีใครแยกเธอไปจากฉันได้





    เข้มแข็ง



    กล้าหาญ



    เชื่อมั่นในหัวใจของตัวเองในการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ



    สามคำเหล่านี้ดังก้องอยู่ภายในใจของร่างบางซ้ำไปซ้ำมาหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่อีกครั้ง พร้อมกับคลื่นความรู้สึกเดิมๆที่ซัดและถาโถมใส่อย่างแรงแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกลายเป็นความชินชาไปเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ชินอยู่ดีกับสภาพจิตใจแบบนี้


    เมื่อสิบนาทีที่แล้วหลังจากที่แทฮยองตื่นนอนด้วยความวิตกกังวล รับรู้ว่าสถานการณ์ว่าตอนนี้เงาเริ่มคุกคามความเป็นส่วนตัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหนึ่งในกลุ่มของจองกุกเองนั้นก็ต้องไปหาผู้ที่อาวุโสกว่าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งตามคำสั่งที่เขาได้ยินมาจากชั้นล่าง ซึ่งเป็นตอนที่เขาลงไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำชั้นล่างให้เสร็จสรรพ ก่อนจะขึ้นมานอนคลุมโปงบนห้องนอนเช่นเดียวกันกับตอนนี้


    ร่างบางรู้สึกว่าที่ไหนก็ไม่สามารถเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว จะไปนอนโรงแรมเงาก็ต้องสะกดรอยตามไปและส่งข้อความมาคุกคาม ไปโรงเรียนถึงจะพบจะเจอกับเพื่อนๆมากมายก็ตามเถอะ แต่ก็ต้องระวังว่ามีใครกำลังแอบมองหรือเปล่า แถมที่หอพักของเขาเองนั้นก็ถูกค้นห้องไปเรียบร้อยแล้ว


    แทฮยองนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง พลางหายใจแรงจนตัวแทบโยน ไอร้อนๆพ่นออกมาจากจมูกเสียงดัง เหงื่อกาฬไหลลงมาตามกรอบหน้าเนื่องจากอุณหภูมิในร่างกายที่เพิ่งสูงขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังรู้สึกกระสับกระส่ายและรู้สึกไม่สบายใจด้วย


    ในใจนึกพยายามไม่ให้ตัวเองยื่นมือไปคว้าขวดยาแก้โรคแพนิคที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาทาน ตอนนี้แทฮยองไม่อยากจะทานยาพร่ำเพื่ออีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจในการทานเข้าไปแล้ว ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายาตัวนี้จะเหมาะสำหรับเขาหรือเปล่า เพราะยานี้เขาได้มันมานานแล้วและอาการก็ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนตอนนี้


    นอนพลิกไปพลิกมาก็รู้สึกว่าร้อนขึ้นมาจริงๆ แทฮยองตัดสินใจถีบผ้าห่มออกไปไกลๆจากร่างกายของตัวเอง รูขุมขนปิดลงและเหงื่อก็เริ่มซึมเข้าไปในผิวหนังเมื่อได้รับความเย็นของอุณหภูมิห้อง ร่างบางนอนแผ่หราอยู่บนเตียงและพ่นลมหายใจเข้าออกเสียงดัง ไม่ทันได้สังเกตว่าโฮซอกยืนอยู่ข้างเตียงของตัวเอง


    "เหวอ!" แทฮยองร้องเสียงดังเนื่องจากตกใจ "ตกใจหมดเลย มาทำอะไรในห้องผมเหรอครับ"


    "มาดูอาการของนาย" โฮซอกตอบ "หายใจแรงแบบนี้แสดงว่าโรคแพนิคกลับมาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย นายรู้อะไรไหม เมื่อวานนี้จีมินกับจองกุกไปหานายที่ห้องแล้วพบว่านายสลบไป พวกนั้นก็เลยพานายกลับมาที่นี่"


    คนตัวเล็กเงียบกริบ มองไปที่ขวดยาของตนเองและไม่ได้เอื้อมมือไปหยิบมันมาแต่อย่างใด เขาจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าจีมินกับจองกุกพาเขามาที่นี่ แต่ที่แน่ๆก็คือเขาหลับสนิท ไม่ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะเขานอนไม่หลับติดต่อหลายคืนกระมัง เลยทำให้เขารู้สึกง่วงและหลับไปโดยที่ไม่รับรู้อะไรเลย


    "ถ้ามันทำให้นายทรมานนัก นายก็ควรกินมันนะแทฮยอง อย่างน้อยมันก็ทำให้มันทุเลาลง"


    โฮซอกพูดพลางหย่อนสะโพกนั่งลงบนเตียงของร่างบางอย่างช้าๆ


    "ผมไม่อยากกินมันเลยครับ" คนตัวเล็กตอบ "ผมไม่แน่ใจว่ามันจะมีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้นกับผมหรือเปล่า อีกอย่าง ยานี้ผมไม่ได้แตะมันมาตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่โซลแล้วด้วย"


    "แล้วตอนแรกที่นายได้ยามาจากจองกุก ทำไมนายยังถึงกินมันอยู่อีกล่ะ"


    อีกฝ่ายยิงคำถามไปอย่างรวดเร็วจนทำให้คนตัวเล็กนั้นสะอึก พูดอะไรไม่ออก เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาต้องการขวดยานี้มากแค่ไหนจนถึงขนาดที่ว่าอาลัยอาวรณ์หามันอยู่อย่างนั้น เมื่อมันอยู่ในมือของจองกุกแล้ว อีกทั้งช่วงเวลานั้นเขาต้องการมันเป็นอย่างมาก จึงคว้าขวดยามาอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้เกิดการยืดเยื้อเสียเวลาเลย


    เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการยาขวดนั้นหนักหนา พอมารู้ตัวอีกทีเขาก็เอามันเข้าปากไปหลายเม็ดแล้ว อีกทั้งเขายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทานไปกี่เม็ดแล้ว


    "ผมไม่รู้ครับ" แทฮยองตอบเสียงอ่อยพลางยันร่างลุกขึ้นนั่งบนเตียง "รู้แค่ว่าก่อนหน้านั้นผมต้องการมันมากจริงๆ"


    "นายน่ะกินยาพร่ำเพื่อนะแทฮยอง" อีกฝ่ายปราม "ฉันสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่านายกินยาบ่อยทั้งๆที่ยังไม่ได้ไปพบหมอด้วยซ้ำ ยาตัวนี้น่ะนายได้มาก่อนที่อาการของนายจะเรื้อรัง มันก็บรรเทาอาการของนายได้น้อยนิด เมื่อเจออะไรกระทบกระทั่งจิตใจอาการของนายก็กลับมาแล้ว"


    คนตัวเล็กไม่ตอบ เขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถูกดุอยู่


    โฮซอกมองหน้าแทฮยองด้วยสีหน้าจริงจัง "ถ้าจะให้ดี นายไปหาจะดีกว่านะ หมอเขาจะให้ยาตัวใหม่กับนาย ฉันว่านะ ถ้านายได้ยาตัวใหม่มามันอาจจะช่วยรักษาอาการแพนิคของนายก็ได้"


    "ผมไม่ไปได้ไหมครับ" ร่างบางเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน "มันต้องใช้ลายเซ็นต์ของพ่อกับแม่ในการเซ็นต์ยืนยันว่าผมได้รับการรักษาจริง ผมไม่อยากให้แม่รู้ว่าผมไปหาหมอและได้ยาใหม่มา แค่การที่แม่ขอร้องผมไม่ให้กินยามันก็รู้สึกแย่แล้ว"


    "แม่นายขอร้องนายไม่ให้กินยาเหรอ"


    แทฮยองพยักหน้า


    "ทำไมถึงทำแบบนั้น แม่นายเองก็น่าจะรู้ดีนะว่าลูกป่วย"


    "ผมเข้าใจความรู้สึกของแม่นะครับ" คนที่ตัวเล็กกว่าพูดอย่างเป็นกลาง "ผมมองสีหน้าของเธอออกเมื่อเธอเห็นผมกินยาต่อหน้าต่อตา ผมรู้สึกว่าแม่กำลังโทษตัวเองว่าไม่ดูแลลูกให้ดีๆจนลูกต้องได้รับการกระทบกระทั่งจิตใจแบบนี้ เธอก็เลยขอให้ผมเลิกกินยานั่นซะ"


    "เรื่องนี้มันก็พูดยากนะ" โฮซอกมีสีหน้าหนักใจ เขาเพิ่งรู้จริงๆว่าแทฮยองต้องเผชิญกับเรื่องอะไรมาบ้างมาตั้งแต่เด็ก นอกเหนือจากที่พี่สาวของแทฮยองเสียชีวิตแล้วยังจะต้องแบกรับคำพูดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นอีก "ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าลึกๆในใจของนายนั้นเจอกับอะไรบ้างที่ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้ แต่ฉันยอมรับเลยนะว่านายเก่งมากๆที่ผ่านอะไรแบบนี้มาได้ แต่เอาเถอะ อย่ามานั่งเศร้าตรงนี้เลยดีกว่า เราออกไปหาอะไรทำดีไหม อย่างน้อยมันก็ทำให้นายได้ผ่อนคลายไปอีกวันนะ"


    อีกฝ่ายกล่าวเชื้อเชิญหลังจากที่สาธยายตั้งนาน เขายื่นมือไปตรงหน้าของแทฮยองเพื่อรอให้มือบางมาจับ คนตัวเล็กมองมือที่ใหญ่กว่าและเรียวยาวกว่าของตัวเองอยู่สักพักเพื่อครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง คิดว่าถ้าหากเขาจับมือของโฮซอกนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากนี้จะเป็นเช่นไร แล้วอีกฝ่ายจะพาไปไหน ไปทำอะไรกันแน่


    ด้วยความที่ตัวเองก็อยากจะรู้อยากจะเห็นจึงส่งมือไปจับมือของอีกฝ่าย สองมือกุมแน่นราวกับเชื่อใจว่าจะพาไปสถานที่เหล่านั้น โฮซอกเผยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนส่งให้กับแทฮยอง ก่อนจะดึงร่างบางให้ลุกขึ้นมาจากเตียงช้าๆและพาเดินออกจากห้องไปที่ใดที่หนึ่ง


    วันนี้โชคดีที่เขาไม่ต้องไปโรงเรียน เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดที่แทฮยองเฝ้าถวิลหามานาน หลังจากนี้เขาก็จะได้อยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องคิดมากกับเรื่องพวกนั้น ปล่อยเนื้อปล่อยหัวใจให้ได้พักผ่อนหลังจากที่พบเจอกับความเครียดมาหลายวันที่ผ่านมานี้


    โฮซอกพาเขามาที่ห้องนอน ภายในห้องนั้นค่อนข้างกว้างพอสมควร มีตู้เสื้อผ้า โต๊ะอ่านหนังสือ เก้าอี้ มีเตียงตั้งและมีโปสเตอร์อีกมากมายถูกติดอยู่บนผนังห้อง แทฮยองคิดในว่าถ้าหากเขากลับไปที่อินชอน เขาก็จะแต่งห้องนอนของตัวเองให้คล้ายๆกับของโฮซอกนี่แหละ เพราะนอกจากจะง่ายแล้วยังดูเรียบๆในแบบของมันอีกด้วย


    "คุณชอบอะไรที่เป็นแบบนี้เหรอครับ" แทฮยองถาม


    "ใช่ ฉันชอบแนวแบบนี้แหละ" โฮซอกตอบ "ทำไมเหรอ"


    "ผมว่ามันดูเรียบๆ แล้วก็สวยงามในแบบของมันน่ะครับ ผมเองก็อยากจะแต่งห้องเป็นแนวแบบนี้แหละ แต่ว่านานๆทีผมจะได้กลับบ้าน แถมก็ไม่ค่อยมีเวลาด้วย ต้องไปช่วยน้าขายกาแฟอีก"


    "หื้ม นายทำกาแฟเป็นด้วยเหรอ"


    อีกฝ่ายถาม


    ร่างบางพยักหน้า "ได้ไม่มากน่ะครับ บางครั้งก็ลืมสูตรด้วย"


    "ดีจังเลย คราวหน้าถ้าฉันกับคนอื่นๆไปเที่ยวที่อินชอน นายช่วยชงกาแฟให้หน่อยได้ไหมล่ะ"


    "ได้ครับ" แทฮยองยิ้ม ทันใดนั้นเองสายตาก็ดันไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลังของคนที่ตัวสูงกว่า สายตาของร่างบางมองข้ามไหล่ไปมองเจ้าสิ่งนั้น มันมีสีดำและมีสองอันด้วย มีปุ่มกดมากมาย สายของมันเชื่อมต่อกับตู้บางอย่างที่วางด้านข้างโทรทัศน์จอแบนขนาดปานกลาง ทำให้แทฮยองรู้ทันทีว่ามันคืออะไร "นั่นใช่จอยเกมหรือเปล่าครับ"


    โฮซอกหันหลังไปมองตามนิ้วที่ร่างบางชี้ "ใช่ นายอยากเล่นเหรอ"


    "เปล่าฮะ" แทฮยองบ่ายเบี่ยง "แค่เห็นว่ามันสวยดี"


    "ลองเล่นดูก็ได้นะ สักเกมก็ได้"


    ในเมื่ออีกฝ่ายเชื้อเชิญให้เล่นแล้วก็ยอมทำตามในที่สุด โฮซอกเองก็รู้เรื่องราวของแทฮยองมามากพอสมควร ว่าฐานะทางบ้านของร่างบางนั้นต้องกินอยู่อย่างอัตคัต บางครั้งก็ต้องอดมื้อกินมื้อด้วย เนื่องจากภาระหนี้สินที่ค่อนข้างมากและช่วยแม่ประหยัด ในตามความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้ร้องขอให้ลูกชายให้อดอยากปากแห้งแบบนี้หรอก แต่เนื่องด้วยร่างบางสังเกตเห็นอะไรหลายๆมาหลายครั้งด้วย จึงทำให้ต้องประหยัดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ


    โฮซอกเองก็รู้สึกสงสารแทฮยองเช่นกันที่ต้องแบกรับอะไรหลายๆอย่างมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวก็ไม่ค่อยดีนัก ยิ่งเหล่าญาติโกโหติกาก็แล้วใหญ่ ไม่ค่อยสนิทเลยด้วยซ้ำ


    สาเหตุที่เขารู้เรื่องราวทั้งหมดไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เขาสังเกตเห็นสีหน้าของคนตัวเล็กที่ซึมๆ อมทุกข์และดูหม่นๆอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังได้ข้อมูลบางส่วนมาจากเงาอีกด้วย ทำให้เขานั้นรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขั้นกับแทฮยอง ไม่ใช่แค่เขา พี่ๆน้องๆที่เหลืออีกด้วย


    เวลาผ่านไปเกือบๆสองชั่วโมง คนตัวเล็กรู้สึกว่าการนั่งเล่นเกมผ่านจอยเกมแบบนี้มันรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวขึ้นมาอย่างดื้อๆ อาจเป็นเพราะเขานั่งนานโดยที่ไม่ได้ลุกเดินไปที่ไหนเลยก็เป็นได้ แต่เขาก็รู้สึกว่าการเล่นเกมนั้นมันเร็วจริงๆ ไม่ทันไรก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว


    แทฮยองโยนจอยเกมทิ้งไปข้างตัวของตนเอง เงยหน้าพ่นลมหายใจเพราะรู้สึกเมื่อย โฮซอกที่เห็นว่าร่างบางนั้นเบื่อกับการเล่นเกมแล้ว เขาจึงเอ่ยปากชวนทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการเล่นเกม


    "เราลองมาเต้นด้วยกันไหม"


    "เต้นเหรอฮะ" แทฮยองเลิกคิ้ว "เต้นแบบไหนล่ะฮะ"


    "เดี๋ยวก็รู้ แต่ตอนนี้นายทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกันนะ"


    โฮซอกเปิดเพลงจากโทรศัพท์ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาเอื้อมมือมาจับแขนข้างขวาของแทฮยองและยกขึ้นมากอดคอของเขาเอาไว้ มือซ้ายของร่างบางก็ประสานและกุมมือขวาของเขาแน่น ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่นั้นก็รั้งเอวบางเอาไว้แน่น ทำให้ร่างทั้งสองร่างแนบอยู่ในระยะประชิดมาก จะขยับไปไหนก็ไม่ได้ด้วย



    คนตัวเล็กรู้ทันทีเลยว่าการเต้นแบบนี้คือ 'ลีลาศ'



    ถึงแม้ว่าในตอนนี้แทฮยองจะรู้ดีว่าไม่สามารถวาดแขนไปที่ไหนได้แล้ว ทว่าเขาก็ต้องตามน้ำตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบๆ หากวู่วามหรือทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรนั้นก็อาจจะถูกมองด้วยสายตาที่ตำหนิก็ได้ ใครจะรู้ ที่แน่ๆก็คือทำๆไปเถอะ เดี๋ยวมันก็สนุกเอง อีกอย่างเขาเองก็พอจะมีความรู้ในเรื่องนี้ด้วย


    "ก้าวขาแบบนี้ จับจังหวะให้ถูก ก้าวไปข้างหน้าสามก้าว ถอยหลังไปสามข้าว ทำแบบนี้สลับไปมาห้าครั้ง..."


    เสียงของอีกฝ่าบปะปนไปกับท่วงทำนองเพลงที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ เอื่อยๆ คนตัวเล็กเองก็รู้สึกว่าการเต้นลีลาศนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเอาไว้เลย มันต้องจับจังหวะอะไรหลายๆอย่างให้แม่นยำเพื่อที่จะก้าวขา ถอยหลัง ไปทางซ้ายและทางขวาได้อย่างคล่องแคล่ว


    แทฮยองไม่ค่อยชอบการลีลาศเสียเท่าไหร่นัก แต่การเรียนลีลาศของเขาจากในโรงเรียนนั้นมันก็ทำให้เขาพอถูๆไถๆและพอเป็นพิธีได้ เกรดการเรียนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นัก แต่การทิ้งระยะห่างยองมันนั้นมีมาก ทำให้เขาก็หลงๆ ลืมๆ บางท่าไปโดยปริยาย


    ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลิ่นกายของอีกฝ่ายนั้นมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดออกมาไม่ถูกเลยแม้แต่น้อย คนตัวเล็กจำกลิ่นของน้ำหอมหรือโคโลญไม่ได้ แต่กลิ่นนี้มันจะต้องตราตรึงติดใจเขาไปตราบนานเท่านานเลยก็ว่าได้


    ขาทั้งสองขยับขึ้นลงตามจังหวะของเพลงที่เปิด ตั้งแต่ต้นนั้นคนตัวเล็กไม่มองหน้าของฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย หากแต่มองผ่านไหล่ไปเสมอๆ เขารู้ดีว่านี่มันไม่ใช่มารยาทที่ดีในการลีลาศตามกฎระเบียบที่เขาตั้งเอาไว้ แต่รู้ไหมว่าการลีลาศกับคนที่ตัวเองกำลังหวั่นไหวแบบนี้ย่อมไม่กล้าสบตาแน่นอน มันคือหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่มนุษย์เรา เป็นอย่างที่เขาได้เรียนมาในห้อง


    เมื่อเพลงใกล้จะจบและเป็นช่วงที่ต้องหมุนตัว เป็นช่วงที่แทฮยองค่อนข้างกดดันมากที่สุด เพราะจังหวะนั้นเป็นจังหวะที่สายตาของทั้งสองฝ่ายสบตากันแบบตรงๆ ใจจริงก็อยากจะหลับตาหรอก แต่อย่าทำแบบนั้นเลยจะดีกว่า เพราะไม่มีมารยาทในการลีลาศเป็นอย่างมาก



    แค่การลีลาศแบบไม่จริงจังอะไร แต่ไหงเขาคิดมากและกลายเป็นความกดดันไปได้ล่ะเนี่ย...



    มาแล้ว... แทฮยองคิดในใจพลางหลับตาแน่น มือขวาของเขาปล่อยมือออกจากคอของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่า หมุนตัวหนึ่งครั้งก่อนจะรู้สึกว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองนั้นเข้ามาใกล้ ใช้มือข้างที่ร่างบางปล่อยนั้นโอบเอวเอาไว้ ในจังหวะนั้นเองร่างบางเผลอลืบตาและสบตากับอีกฝ่ายทันที


    ร่างบางย่นคอลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามีลมหายใจอุ่นๆเป่ารดใบหน้าของตนเอง ใบหน้าก็พยายามหันไปมองทางอื่นด้วยความเขินอาย แต่ก็ถูกจับให้หันมาสบตาเหมือนเช่นเคย


    "คะ คุณ...อื้อ!" ไม่ทันทีที่คนตัวเล็กกำลังจะพูดอะไรออกมา เขาก็รับรู้ได้ถึงริมฝีปากของตัวเองที่ถูกปิดแน่น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างได้เพียงครู่เดียวก่อนจะปิดลงอย่างช้าๆ พลางคิดในใจว่ามิน่าล่ะทำไมถึงชวนเขามาเต้นลีลาศแบบนี้



    หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้


    "โดนเรียกไปคุยอีกแล้วว่ะ" นัมจุนพูดหลังจากที่วางสายโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว "เหมือนทุกครั้งที่เราตกลงกันในตอนแรก ครั้งที่แล้วจีมินเฝ้าดูแลแทฮยอง แล้วใครคนต่อไปนะ"


    "ผมดิ" จองกุกยกมือ "คิวผม"


    "อย่ามาลักไก่โว้ยจองกุก ตอนที่แทฮยองมาที่นี่ครั้งแรกมึงก็ดูแลเขาไปแล้ว ฉะนั้นตอนนี้มึงหมดโควตาแล้ว" ยุนกิพูดขัดเสียงดัง


    "ลักไก่ทำไมพี่ เจ้าของเขาก็ดุหรอก"


    "ไอ้ห่านี่! กวนส้นพี่เหรอฮะ!"


    ยุนกิพูดเสียงดุและกำกำปั้นพร้อมกับยกขึ้น เป็นการบอกกลายๆว่าถ้าหากกวนประสาทเขาอีกล่ะก็จะชกหน้าให้ฟันหักไปเลย เห็นเขามีสีหน้าตาหน้าตายเหมือนทองไม่รู้ร้อนแบบนี้เขาเองก็กัดไม่ปล่อยนะ


    "เฮ้ยๆๆ อย่าเพิ่งตีกันดิ!" ซอกจินเข้ามาปราม "จองกุก นายหมดโควตาจริงๆแล้ว ถอยปายยย"


    "ชิ" คนเป็นน้องจี้ปากด้วยความไม่พอใจ


    "สรุปคิวใคร" นัมจุนถามอีกรอบ "ถ้าไม่มีเดี๋ยวให้..."


    "คิวผมว่ะพี่"


    "เออ คิวพี่โฮซอก" จีมินพูดพลางยกนิ้วโป้งชี้ข้ามไหล่ของตนเองและเกร็งแขนเล็กน้อย "เห็นบ่นมานานแล้วว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวของตัวเอง ตอนนี้ก็สมปรารถนาแล้ว เชิญ"


    "ทำไมเงียบวะ มึงเป็นผู้โชคดีของวันนี้แล้วนี่นา เสียใจหรือไงที่ต้องมาเฝ้า..."


    "ดีใจ แต่เก็บอาการ"


    โฮซอกตอบยุนกิทันควันและกระตุกยิ้มมุมปากออกมาแกมเยาะเย้ยจองกุกเล็กน้อย แต่คนเป็นน้องนั้นมีสีหน้านิ่งๆ ไม่ได้แสดงอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นยิ้มแบบนั้นก็กอดอกและมองไปทางอื่นแทนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


    "เออๆ ยังไงก็ฝากดูแลแทฮยองด้วยนะ"


    "ครับผม" โฮซอกตอบนัมจุน "จะดูแลให้ดียิ่งกว่าจีมินเลยล่ะ"


    "อย่าพาดพิงคนอื่นดิพี่"


    "เชื่อกูเหอะ อีกไม่นานแทฮยองก็จะต้องรำคาญเสียงหัวเราะของมันเองแหละ" ยุนกิพูดอย่างไม่แยแส พลางยกมือขึ้นมาประสานที่ท้ายทอยของตัวเองและเดินออกไป ทิ้งให้โฮซอกจิกตามองตามหลังอยู่ตรงนั้น


    "ยังดีกว่าพี่ที่นอนกรนเสียงดังก็แล้วกัน" โฮซอกพูดพลางยกมือมาแคะขี้มูกของตัวเอง ยิ้มเย้ยๆให้กับยุนกิ "คนบ้าอะไรตัวผอมลีบแต่กรนเสียงดังเหมือนหมี ไม่ใช่พี่เหรอเองครับคุณพี่มินยุนกิ"


    "ไอ้โฮซอก! มึงอยากตายดีไหมวะ!"


    "อย่าตีกันดิเว้ยเฮ้ย!"


    นัมจุนและจองกุกร้องออกมาเสียงดัง พลางพุ่งเข้าไปห้ามทั้งสองคนไม่ให้เปิดศึกดวลหมัดดวลมวยกันตอนนี้ แต่คู่กรณีทั้งสองนั้นไม่ยอมแพ้กันง่ายๆ พยายามแลกหมัดใส่กันโดยที่ทั้งนัมจุนและจองกุกล็อกแขนแต่ละคนเอาไว้ นัมจุนล็อกแขนของโฮซอก ส่วนจองกุกก็ล็อกแขนของยุนกิ


    "วุ่นกันแต่เช้าเลยนะเนี่ย..." ซอกจินพูด







    #ลาเรียน่าออลวี







    TBC. [12/05/2019]

    โอ้ยยยยยยย ร้อนเว้ยยยยย ร้อนนนนนนน ร้อนจนร่างแทบไหม้ ร้อนแบบร้อนจนตับจะระเบิด ทำไมมันร้อนเยี่ยงเน้

    หวัดดีค่าทุกคน สบายดีไหมคะ ตัวเราเองก็สบายดีค่ะ สบายดีในท่ามกลางอากาศร้อนที่สุดๆไปเลยค่ะ ฮือออออ ร่างแทบไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่านและปลิวไปตามสายลม เรามีความคิดว่าจะขึ้นจรวดของนาซ่าไปยังดวงอาทิตย์แล้วก็เอาถังน้ำไปรดให้ไฟมันเบาลงด้วยค่ะ แต่นั่นมันเพ้อเจ้อสิ้นดี นี่ชั้นคิดไปได้ไงวะเนี่ย บ้าจริง 5555555

    จะว่าไปเราเองก็กลับมานั่งคิดอีกแล้วค่ะ อัพเรื่องนี้เรื่องเดียวมันรู้สึกว่าน่าเบื่อยังไงก็ไม่รู้ ประกอบกับช่วงนี้เรากำลังคึกกับเรื่องบัลลังก์เลือดกุกวีด้วย เราคิดว่าจะอัพสองเรื่องนี้สลับกันไปมาค่ะ เพื่อให้ทุกคนได้อ่านฟิคสลับไปมาเพื่อคั่นเวลาด้วยค่ะ อัพเรื่องเดียวแล้วมันรู้สึกเบื่อๆและจำเจยังไงก็ไม่รู้ 55555+ ยังไงก็อย่าลืมไปอ่านเรื่องใหม่ของเราด้วยนะคะ ขอบคุณค่า

    เช่นเคยค่ะ...พิเจคะ พิเจ พิอย่าทำกับนุ๊บับเน้นะคะ ชวนน้องแทมาเต้นลีลาสบับนี้ นุ๊หยักบอกว่านุ๊ไม่โอเค ไม่โอเคมากข่ะพิ พิจะเท่จะหลัวบับนี้ไม่ได้นะคะ มันผิดกฎหมายยยยยยย!!!!! ;-; อิสสายัยแทที่ทั้งหกคนประคบประหงมดุจดั่งไข่ในหินอย่างดี ทำไมไม่เป็นชั้นแทนนนน!! ทำไม!! ทำมายยยยยย!! (ตะกุยกำแพง) ;-;


    ท้ายสุดแล้วเราก็ขอฝากติดตามเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ อย่าลืมเฟบ โหวต กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์และคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ

    ฟีดแบคดีเท่ากับเรามีกำลังใจและตอนต่อไปนะฮ้าฟฟฟฟฟ // ส่งจูบ



    ปล. หลังจากตอนนี้เป็นต้นไปจะเป็นช่วงที่น้องแทของพวกเราได้รับการฟื้นฟูสภาพจิตใจกับทั้งหกคนอย่างเต็มที่แล้วนะคะ รักใครเชียร์ใครก็อย่ามาลืมติดตามกันนะคะว่าใครจะทำให้น้องแทรู้สึกดีขึ้นและจะมีวิธีการอะไรบ้าง แต่ละคนก็จะมีวิธีในแบบของตัวเอง ถ้าถามว่าจะไปถึงขั้นนั้นไหม ต้องรอดูนะคะ :) แต่รับรองได้เลยว่าทุกคนต้องจิกหมอนแน่นวลลลลล (หรอม)

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×