ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) BTS | AllV | Lareina Seven Wings #ลาเรียน่าออลวี

    ลำดับตอนที่ #10 : #ลาเรียน่าออลวี | CHAPTER X [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 979
      61
      3 ส.ค. 62

    10





    ฤดูกาลบนโลกใบนี้ผันผ่านเวียนว่ายไปอีกครั้ง เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ย่อมเปลี่ยนไปตามวันเวลา เธอเฝ้ามองฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครั้ง ฉันไม่เข้าใจว่าเหตุผลใดทำไมเธอถึงชื่นชอบฤดูนั้นหนักหนา

    เธอบอกฉันว่า ฤดูใบไม้ผลิคือฤดูกาลที่มีดอกไม้อันสวยงามผลิดอกออกมา เป็นการเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การเจริญเติบโต อีกทั้งรวมไปถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกด้วย

    ตอนแรกฉันคิดว่าสิ่งที่เธอบอกฉันนั้นมันเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง แต่ฉันเพิ่งมาคิดได้ว่ามันก็เป็นจริงอย่างที่เธอพูด มันช่างสวยงาม ฤดูกาลที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ลมอ่อนๆที่พัดผ่านมานั้นทำให้กลีบดอกสีชมพูปลิวลงมากระทบร่างของเธอ ฉันหลงใหลภาพนั้นของเธอ เธอช่างสวยงามในสายตาของฉันเสียจริง ฉันอยากจะกอดเธอให้แน่นและก้มลงจูบเธอด้วยความรักที่มีต่อเธออย่างสุดหัวใจ

    เธอชอบฤดูใบไม้ผลิมาก เนื่องด้วยเป็นฤดูแห่งความสวยงามของดอกไม้ที่ผลิบานแย้มรับแสงอาทิตย์ แต่เหตุไฉนทำไมเธอถึงเศร้าราวกับฤดูฝนกันนะ ฉันไม่ชอบแบบนั้นเลยจริงๆ ฉันไม่ชอบเห็นเธอเศร้าและร้องไห้แบบนี้


    ดอกไม้ที่บานในฤดูใบไม้ผลินั้นช่างงดงามยิ่งนัก

    แต่เธอนั้นงดงามและเปล่งประกายยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆบนโลกใบนี้


    ได้โปรด เธออย่าทำให้ฤดูใบไม้ผลิของเธอต้องบอบช้ำอีกเลยนะ





    กลางดึกคืนหนึ่ง แทฮยองฝันร้าย เขาฝันว่าตนเองกำลังวิ่งหนีใครบางคนที่ตามอยู่ด้านหลัง เจ้าสิ่งนั้นวิ่งตามมาด้วยความรวดเร็วมาก ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเข้ามาจับตัวเขาได้เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆก็คือเขาต้องหนีมันให้ได้ ไม่ว่าแขนขาของตนเองจะขาดไปมากหรือน้อยเท่าไหร่ก็ตาม ถึงแม้ว่าแขนขาจะถูกตัดไปเหลือเพียงลำตัวก็ตาม เขาก็ต้องหนีไปให้ได้


    ขาทั้งสองวิ่งไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ความรู้สึกเหนื่อยถูกลืมไปจนหมด ตอนนี้มีความคิดเพียงหนึ่งเดียวอยู่ในหัวของแทฮยองก็คือ หนีให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาต้องหนีเจ้านั่นให้ได้ เขาต้องทำให้ได้ หากถูกจับได้ ทุกอย่างก็คือจบ



    แต่ดูเหมือนว่าอย่างหลังนั้นจะศักดิ์สิทธิ์มากกว่า



    แทฮยองชะงัก รู้สึกว่ามีใครสักคนมาคว้าต้นคอด้านหลังของตนเองอย่างรวดเร็ว พอมารู้ตัวอีกทีก็ถูกกระชากและล้มลงบนพื้นไปเรียบร้อยแล้ว หมอกในศีรษะของเขานั้นมีมากจนมองไม่เห็นว่าคนๆนั้นคือใครกัน เป้าหมายที่ไล่ตามเขานั้นคือใคร แล้วต้องการอะไรจากเขากันแน่


    ไม่ทันที่จะได้ตั้งสติและออกวิ่งต่อ แทฮยองก็รู้สึกถึงสิ่งของบางอย่างแทงเข้าที่ท้องอย่างแรง ร่างบางกรีดร้องอย่างสุดเสียง แต่ถึงกระนั้นเขากลับไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ไม่รู้สึกถึงสิ่งใดอีกต่อไป หลังจากนั้นร่างบางก็เด้งขึ้นมาจากเตียง ท่ามกลางเหงื่อกาฬที่ไหลออกมาราวกับว่าเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ


    สองมือกุมอกแน่น หอบหายใจเสียงดังด้วยความโล่งอกที่เหตุการณ์เมื่อกี้เป็นความฝัน แต่หากความฝันนั้นมันเหมือนจริงจนน่ากลัวมาก มือข้างที่ถนัดนั้นคว้าโทรศัพท์ของตนเองเปิดดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งห้านาที หากจะให้นอนต่อนั้นก็แทบจะเป็นไม่ได้อีกต่อไปเลย เพราะว่าเขากลัว กลัวที่จะกลับไปฝันแบบนั้นอีกครั้ง และเขาเองก็เกลียดตัวเองที่นอนไม่หลับและมักจะตกใจตื่นตอนดึกๆแบบนี้ทุกครั้งคราว


    หากให้เทียบกับสิ่งที่ตนเองพบเจอกับหลายชั่วโมงที่ผ่านมา แน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งสองนั้นมีความกลัวที่เหมือนกันมาก นอกเหนือจากการที่มีความกลัวเหมือนแล้ว ยังทำให้อาการแพนิคของร่างบางกลับมาเหมือนเดิมอีกด้วย


    มือบางคว้าเอาขวดยาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาอย่างรวดเร็ว เปิดฝาหยิบยาและใส่ปากกลืนน้ำในแก้วลงไปอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ก่อนนอนเขาเตรียมยาและน้ำเผื่ออาการมันจะกลับมาอีกครั้ง ต้องขอบคุณแนวคิดของนัมจุนกับจองกุกทันทีเลยล่ะที่ออกไอเดียนี้ขึ้นมา


    ปวดท้องจังเลย ไปเข้าห้องน้ำดีกว่า แทฮยองคิดในใจก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเดินออกจากห้องนอนตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นล่าง ในห้องนอนที่ทั้งหกคนจัดให้เขานั้นไม่มีห้องน้ำในตัว หากคิดที่จะเข้าห้องน้ำนั้นก็ต้องเดินลงไปชั้นล่างแทน


    ภายในใจแทฮยองเองก็ไม่อยากจะลงไปชั้นล่างหรอก ทำไมถึงไม่สร้างห้องน้ำในตัวไปเลยเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินเข้าห้องน้ำ ใจจริงแล้วร่างบางไม่อยากจะเดินลงบันไดไปมาให้เมื่อยขาหรอก แต่เนื่องด้วยไม่มีทางเลือก อีกทั้งตอนนี้ก็ปวดท้องด้วย เขาก็เลยต้องเดินลงมาด้วยความไม่สบอารมณ์


    แทฮยองทำธุระในห้องน้ำเกือบๆสิบนาทีก่อนจะเดินออกมาด้วยสภาพอิดโรย เขาไม่ชอบตัวเองอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเครียดหรือคิดมากทีไรก็จะปวดท้องอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นก็เกิดมหกรรมการวิ่งมาราธอนเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น


    เนื่องด้วยการทำธุระในห้องน้ำนั้นทำให้เรี่ยวแรงของคนตัวเล็กถูกสูบออกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้การเดินออกมาจากห้องน้ำนั้นอยู่ในสภาพจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ เขาคิดในใจว่าหากดื่มน้ำสักแก้วสองแก้วก็คงจะดีขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว


    มือบางจับหูของเหยือกและค่อยๆรินน้ำลงไปในแก้ว เมื่อน้ำอยู่ในระดับที่ตนเองต้องการแล้งจึงวางเหยือกลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะคว้าแก้วน้ำและกระดกน้ำดื่มเข้าไป อีกทั้งดื่มน้ำจนหมดแก้วด้วยความหิวกระหายด้วยล่ะ


    แทฮยองรู้สึกว่าน้ำในร่างกายของตนเองนั้นกลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้วก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ที่ตนเองถือลงมาด้วยในตอนแรกก็สั่นจนเกิดเสียงดัง เรียกร้องความสนใจของแทฮยองให้เปิดอ่านข้อความหรือการแจ้งเตือนอะไรบางอย่างที่สั่นเข้าโทรศัพท์ของตนเอง


    นิ้วมือจิ้มๆลงมาหน้าจอโทรศัพท์เพื่อปลดล็อครหัสที่ตนเองตั้งเอาไว้เพื่อความปลอดภัยให้เรียบร้อย หน้าหลักของโทรศัพท์มีการแจ้งเตือนมาจากแอปพลิเคชันส่งข้อความชื่อดังของเกาหลีใต้ แทฮยองย่นคิ้วลงเล็กน้อยและคิดในใจว่าใครกันจะส่งข้อความมาหาเขาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยรับข้อความและบอกไอดีบัญชีของเขาให้ใครได้ง่ายๆหรอก แถมยังมีข้อความที่ส่งมาตั้งสามถึงสี่ข้อความอีกด้วย



    ใครกันที่ส่งมา



    ใครกันที่รู้ไอดีบัญชีของเขา



    ความฉงนสงสัยของคนตัวเล็กนั้นมีมากล้น มันดลใจให้นิ้วมือบางต้องลงน้ำหนักกดลงไปที่โลโก้ของแอปพลิเคชันส่งข้อความ แทฮยองรู้สึกว่าน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาบนคออีกครั้ง ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขาทานยาแก้โรคแพนิคมาแล้ว ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงหรือมีอาการเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย


    ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง เมื่อเห็นข้อความเหล่านั้นที่ถูกส่งมาหาเขา



    ฉันเห็นว่าไฟในห้องครัวของเธอยังเปิดอยู่ เธอนอนไม่หลับใช่ไหมนะ สงสัยเธอคงฝันร้ายก็เลยลงมาดื่มน้ำและมาอยู่ชั้นล่างของบ้านแล้วล่ะมั้ง ฉันมองเห็นเธอจากที่ไกลๆ มองเห็นเธอกำลังมีสีหน้าทุกข์ใจกับความฝันเหล่านั้น ฉันรู้ที่รัก ฉันรู้ดีว่าเธอนั้นต้องพบกับอะไรมาบ้าง โธ่...สโนว์ไวต์ที่น่าสงสารของฉัน

    เธอไม่ยอมไปโรงเรียนก็เพราะว่าเธอจะพบกับจดหมายที่ฉันส่งมาให้เธอสินะ ไม่เอาน่าสโนว์ไวต์ของฉัน อย่าทำหน้าตกใจแบบนั้นสิ แต่ไม่เป็นไร ฉันจะส่งข้อความทักมาหาเธอผ่านโทรศัพท์แทนก็แล้วกัน เพื่อที่ฉันจะได้อยู่ใกล้ๆเธอยังไงล่ะ เจ๋งไปเลยใช่ไหมที่รัก :)

    เรื่องที่ฉันอยากจะบอกเธอในตอนนี้ก็คือ เธอต้องมาหาฉันที่สวนสาธารณะ หาฉันให้เจอภายในสิบนาที ไม่งั้นฉันจะแบล็กเมล์เธอพร้อมกับเรื่องราวในอดีตของเธอเหล่านั้น อ้อ! แล้วอย่าคิดที่จะพาไอ้พวกนั้นมาด้วยล่ะ เพราะเรื่องเหล่านี้เฉพาะแค่เธอกับฉันเท่านั้น หากเธอขัดคำสั่งของฉัน เธอจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น


    อย่าลืมนะ ฉันจะรอเธออยู่ตรงนั้น

    อ่านแล้วก็อย่าลืมมาด้วยล่ะ :)


    - เงาของเธอ -



    แทฮยองรู้สึกว่ามือทั้งสองของตนเองนั้นเย็นเฉียบและสั่นเทา เหงื่อเย็นๆไหลลงมาตามกรอบหน้า เม้มปากแน่นเพื่อระงับความกลัวเอาไว้ในใจ อีกทั้งตอนนี้หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ พยายามหายใจอย่างช้าๆแต่ก็รู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ดี


    ร่างบางเดินไปที่หน้าต่างและมองออกไปทันที มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด ไม่มีบ้านหลังไหนที่เปิดไฟเลยแม้แต่หลังเดียว แถมบ้านที่เขากำลังอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็อยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆค่อนข้างมาก เป็นไปได้หรือเปล่านะว่าเงายืนอยู่บนถนน แล้วกำลังมองมาที่ผ่านหน้าต่างที่เขากำลังมองออกไปอยู่


    ทางเลือกสองทางผุดเข้ามาในหัวของร่างบางอีกครั้ง หนึ่ง เลือกที่จะไม่เชื่อฟังสิ่งที่ข้อความส่งมาและอยู่เฉยๆ คิดเสียว่าเป็นเพียงแค่จดหมายลูกโซ่ไร้สาระที่ส่งมาข่มขวัญคนอื่นเท่านั้นแหละ และสอง เลือกที่จะเชื่อฟังในสิ่งที่จดหมายบอก เพื่อปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของตนเองที่ถูกรุกล้ำจนน่ากลัว


    เขาคิดว่าหากเขารู้ว่าไอ้หมอนี่มันคือใครล่ะก็ เขาไม่ปล่อยให้เหาะเหินเดินอากาศในสังคมไปมาอย่างเฉิบๆแบบนี้ได้หรอก จะแจ้งตำรวจมาจับเข้าคุกเข้าตะรางเลยล่ะ ใครจะยอมเล่าในเมื่อความเป็นส่วนตัวของตนเองถูกคุกคามจนน่ากลัวแบบนี้


    ถึงจะคิดอาฆาตแค้นกับเงามากแค่ไหนก็เถอะ เขาก็ต้องเลือกตัวเลือกที่สองอยู่ดี เพราะไม่อย่างนั้นถูกแบล็กเมล์แน่นอน ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก เขาก็ต้องปกป้องสิทธิส่วนตัวของตนเองให้ได้ เขาไม่ยอมให้อนาคตของตัวเองต้องมาดับเพราะไอ้เวรนั่นที่รู้ข้อมูลของเขาคนเดียวแน่นอน


    แทฮยองคว้าเสื้อโค้ตมาสวม สวมหมวกไหมพรม รองเท้าคอมแบท ผ้าพันคอกับถุงมือและรีบออกจากบ้านของชายทั้งหกคนทันที หิมะยังคงตกอยู่เช่นเคย และมันได้ทิ้งร่องรอยของร่างบางเอาไว้ชัดเจน ทุกครั้งที่เขาวิ่งและเดินไปทางไหน มันก็จะบอกตำแหน่งเส้นทางที่เขากำลังไปทันที แล้วตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่านี่คือโชคดีหรือว่าโชคร้ายของเขากันแน่ที่หิมะมันไม่ยอมตกลงมากลบร่องรอยของเขาแบบนี้


    ในตอนนี้คนตัวเล็กไม่สนแล้วว่าใครจะมาเห็นหรือใครจะเข้ามาถามไถ่อะไรกับตัวเอง เขาก็จะไม่สนใจและไม่หยุดด้วย จุดหมายที่เขาจะต้องไปให้ถึงก็คือสวนสาธารณะที่เป็นศูนย์กลางของคนในละแวกนี้ แทฮยองวิ่งเลี้ยวซ้าย ขวาและตรงไปอย่างไม่หยุดหย่อน หวังเอาไว้ในใจว่าหากเขาไปที่นั่นแล้วจะพบกับเงา คนที่คุกคามชีวิตของเขาจนไม่มีความเป็นส่วนตัว


    การวิ่งในตอนกลางคืนแบบนี้ทำให้ใบหน้าหวานของคนตัวเล็กนั้นเย็นขึ้นมาด้วยไอความเย็นของหิมะและบรรยากาศในตอนนี้ ทั้งจมูกและพวกแก้มทั้งสองต่างก็แดงเพราะกระทบกับความเย็นมากพอสมควร แทฮยองสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆเพราะรู้สึกว่าน้ำมูกกำลังไหลออกมาจากจมูก


    หัวใจสูบฉีดอย่างรวดเร็วเนื่องจากการวิ่ง ความกระฉับกระเฉงและการออกกำลังในเวลานี้มันทำให้ความง่วงงุนของแทฮยองนั้นหายไปหมด อีกทั้งมันยังถูกแทนที่ด้วยความเหนื่อยจากการวิ่งเป็นระยะไกลอีกด้วย


    ตามความเป็นจริงแล้วเขาไม่ค่อบชอบออกกำลังกายหรอก เพราะนอกจากจะเหนื่อยและมันยังทำให้เขามีกลิ่นตัวอีกด้วย มันเป็นสิ่งที่แทฮยองไม่ชอบมากที่สุด แต่ในตอนนี้แทฮยองก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันทีว่าการออกกำลังกายนั้นสำคัญมากแค่ไหน เพราะในขณะที่เขากำลังวิ่งอยู่นั้นก็รู้สึกเหนื่อยและเริ่มวิ่งไม่ไหวแล้ว


    ไม่ได้เด็ดขาด หากเขาหยุดตอนนี้มันจะทำให้แย่ลงไปอีก เพราะฉะนั้น เขาต้องวิ่งต่อไปให้ได้ รองเท้าคอมแบทคู่นี้ที่พ่อซื้อให้ มันจะพาเขาวิ่งไปหาเงาได้ ตราบใดที่เขายังไม่ยอมแพ้และไม่ยอมหยุดตอนนี้


    คนตัวเล็กหยุดวิ่งทันทีเมื่อมายืนอยู่กลางสวนธารณะที่เป็นจุดนัดหมายระหว่างเขากับเงา มือทั้งสองกำแน่นด้วยความโมโห สายตาก็มองไปรอบๆและคิดในใจว่าเงานั้นหายไปไหน หรือว่ากำลังจะโผล่ออกมาภายในไม่ช้านี้กันนะ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดไปลึกๆ ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง


    "ฉันอยู่ที่นี่แล้ว!" แทฮยองตะโกน "ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!"


    ความเงียบงันเข้าปกคลุมพื้นที่โดยรอบหลังจากที่ร่างบางตะโกนท้าทายออกมา ฟันบนล่างกัดกันแน่นจนเป็นสันนูนขึ้นมาด้วยความโมโห เขาคิดว่าเสียงตะโกนของตัวเองนั้นจะดังมากๆ มากจนที่ว่าจะทำให้คนในละแวกนั้นที่กำลังหลับอยู่ได้ยินแน่นอน รวมไปถึงคนที่แทนตัวเองว่าเงา คนที่กำลังจะปั่นประสาทเขาด้วยแน่นอน


    ทันใดนั้นเองก็มีเสียงข้อความเข้าดังมาจากกระเป๋ากางเกงของคนตัวเล็ก มันเรียกร้องให้แทฮยองต้องส่งมือบางล้วงเจาไปในกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูข้อความทันที เขาคิดได้แล้วเชียวว่าต้องเป็นคนนี้ และเป็นคนเดิมที่ส่งข้อความแบบนี้มาตลอดเวลา



    อ่า...เธอมาตามที่ฉันบอกจริงๆด้วยสินะ ช่างเป็นเด็กดีจังเลยล่ะ นี่แหละที่ฉันชอบในตัวของเธอ เชื่อฟังผู้ใหญ่และทำตามที่บอกแบบนี้มันทำให้เธอมีเสน่ห์อีกหลายเท่าเลยนะ :)

    เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันอยากจะให้เธอเดินเข้าไปในบ้านปราสาทที่ตั้งอยู่ตรงนั้น อย่ากลัวไปเลยสโนว์ไวต์ของฉัน ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของเธอที่หนีออกมาจากปราสาทนั้นเธอจะรู้สึกยังไง



    แทฮยองขมวดคิ้วเป็นปม กะอีแค่ให้เดินเข้าไปในบ้านปราสาทเล็กๆตรงนั้นมันจะเป็นอะไรไป ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะต้องมาทำตามตำสั่งของคนที่คุกคามเรื่องส่วนตัวและน่าจะมีปัญหาทางจิตเพิ่มมาด้วยเช่นกัน แต่ก็ทำๆไปเถอะ ถือว่าเอาอกเอาใจคนที่ไม่รู้จักโตดีกว่า


    บ้านปราสาทตั้งอย่างเงียบสงบและนิ่ง ราวกับว่ามันกำลังรอให้ร่างบางเดินเข้าไปหามัน แทฮยองรู้สึกว่าบ้านปราสาทนี้แปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก คิดแต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอมันหรือเปล่า แต่เขาเองก็เดินเข้าไปหามันและมุดเข้าไปข้างในบ้านปราสาทที่มีทางเข้าอยู่ด้านหลัง


    ภาพสะท้อนในความทรงโลดแล่นเข้ามาอีกครั้ง เขาจำได้แล้วว่าบ้านปราสาทนี้ที่ตัวเองคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนนั้นกลับกลายเป็นเรื่องจริง บ้านปราสาทเล็กๆนี้เป็นบ้านของเล่นที่พ่อกับแม่ของเขาซื้อมาให้ ราคาเองก็ไม่ค่อยแพงนัก แถมบ้านของเล่นนี้เป็นสิ่งที่เขากับพี่สาวนั้นได้ใช้เวลาด้วยกันอีกด้วย


    ทันใดนั้นเองแทฮยองก็เบิกตากว้างเพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เมื่อเห็นบ้านปราสาทหลังนี้ เพราะเขาจำได้ว่าบ้านปราสาทเล็กๆนี้พ่อกับแม่ของเขาทิ้งเอาไว้ที่บ้านในเมืองคอชัง ไม่ได้เอามันมาด้วยหลังจากที่ย้ายออกมาจากที่นั่น



    แล้วเงาไปเอามาได้อย่างไรกัน



    ไม่ทันที่ตนเองจะคลานเข้าไปหรือทำอะไรต่อไป เงาก็ส่งข้อความเข้ามาอีกครั้งราวกับว่ารู้ใจว่าตอนนี้คนตัวเล็กกำลังทำอะไร และกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่



    เธอจำบ้านของเล่นหลังนี้ได้ไหม มันเป็นบ้านที่เธอกับพี่สาวของเธอใช้เวลาด้วยกันในวัยเด็ก น่าเสียดายนะที่บ้านหลังนี้เป็นสถานที่ที่เธอกับพี่สาวของเธอใช้เวลาด้วยกันไม่ถึงปีก็เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา ถ้าหากว่าเธออยากจะรู้อีกล่ะก็ ลองค้นหาสมบัติที่อยู่ในนั้นดูสิ :)



    แทฮยองรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเป็นบ้าขึ้นมาอย่างดื้อๆ นี่เขากำลังทำตามคำสั่งบ้าๆของเงาแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ใจหนึ่งก็รู้สึกรำคาญ ทว่าอีกใจหนึ่งกลับไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว เพราะมันทั้งเจ็บปวดและรวดร้าวใจมากแค่ไหนที่ต้องรื้อฟื้นความทรงจำอันเลวร้ายเหล่านั้นขึ้นมาเพียงเพราะทำตามความสั่งของอีกฝ่ายแบบนี้


    ทันใดนั้นเองคนตัวเล็กก็ดันไปเห็นรูปภาพรูปหนึ่งที่ถูกแปะด้วยสก๊อตเทปใสอยู่บนผนังของบ้านของเล่น รูปนั้นสีตกและกลายเป็นสีน้ำตาลไปเสียแล้ว แต่แทฮยองเองก็รับรู้สีหน้าของเด็กทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข


    มันเป็นรูปของเด็กผู้หญิงและชายสองคนที่กำลังจับมือกัน เด็กผู้หญิงสูงกว่าเด็กผู้ชายมาก ในมือของเธอนั้นถือสายป่านของว่าวเอาไว้ในมือ ส่วนตัวว่าวนั้นก็ตกอยู่ข้างตัวของเธอ สวมชุดกระโปรงสีชมพูลายจุดสีขาว ส่วนเด็กผู้ชายสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์



    เด็กในภาพนั้นคือแทฮยองและแทยอน



    ร่างบางเอื้อมมือไปลูบมันอย่างช้าๆ รับรู้ถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นที่แสนมีความสุขเหลือล้น เขาจำได้ว่าตอนนั้นพ่อกับแม่นั้นพาเขาและแทยอนไปเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อพักผ่อนจากการทำงาน และอยากจะลูกของตัวเองได้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานตามวัยด้วย



    คนตัวเล็กหายใจเข้าปอดลึกๆ หลับตาและดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำในรูปภาพที่ถูกแปะติดอยู่บนผนัง



    แทฮยองจำได้ว่าตอนนั้นเป็นตอนที่เขากับพี่สาวกำลังวิ่งเล่นอยู่บนสนามหญ้าขนาดปานกลางพอที่จะวิ่งเล่นได้ ในขณะที่เขากำลังวิ่งเล่นกับพี่สาวอยู่นั้น แทฮยองก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า มันมีสีสันมากมายหลายเฉดสี โดยมีเด็กๆหลายคนกำลังจับเชือกอยู่ เขาไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นที่กำลังลอยอยู่นั้นมันคืออะไร แล้วทำไมเด็กเหล่านั้นต้องจับเชือกด้วย จึงเอาความสงสัยเหล่านี้ไปถามแทยอน พี่สาวของเขาเอง


    "พี่แทยอน" เขาเรียกพี่สาวพลางชี้ไปบนท้องฟ้า "ตัวที่ลอยๆอยู่บนนั้นคืออะไรเหรอ"


    "มันคือว่าวน่ะ" เธอตอบในขณะที่เงยหน้ามองเจ้าสิ่งนั้น "เราอยากเล่นเหรอ"


    แทฮยองพยักหน้า


    "เดี๋ยวพี่จะขอแม่ให้เอง" แทยอนตอบน้องชายและเดินจูงมือน้องเดินเข้าไปหาผู้เป็นมารดา เธอเอ่ยปากขอคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงสดใสและร่าเริงตามวัยของเด็ก "แม่ขา แทฮยองอยากจะเล่นว่าวค่ะ"


    เธอพูดพลางชี้ไปบนท้องฟ้า คนเป็นแม่ยิ้มหวานส่งมาให้ก่อนจะพูดต่อ


    "ได้สิจ้ะ งั้นเดี๋ยวแม่จะเตรียมของให้นะ"


    "เราต้องทำเองเหรอฮะ" แทฮยองถาม "ทำไมไม่ซื้อล่ะฮะ"


    "มันแพงล่ะลูก แถมคุณภาพไม่ดีด้วย" คนเป็นแม่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม เธอพูดพลางชี้ไปที่เด็กชายคนหนึ่งที่วิ่งอยู่บนสนามหญ้า เด็กคนนั้นพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้ว่าวที่อยู่ในมือนั้นติดลม แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เพราะวิ่งไปเท่าไหร่ว่าวก็ไม่ติดลม แถมโครงว่าวพังอีกด้วย "นั่นไง เด็กคนนั้นก็ซื้อว่าวมาเล่น วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ไม่ติดลมแถมยังพังอีกด้วย"


    เด็กทั้งสองพยักหน้าด้วยความเข้าใจ


    "งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเล่นก็แล้วกันนะ" แทยอนหันไปพูดกับน้อง "พี่ว่าวันนี้เราต้องทำว่าวให้สุดฝีมือเลย เอาชนะเด็กคนนั้นให้ได้!"


    แทฮยองเห็นด้วยกับความคิดของพี่สาว หลังจากนั้นพ่อแม่ลูกก็กลับบ้านอันแสนสุข ในระหว่างนั้นเองทั้งพ่อและแม่นั้นก็เตรียมวัสดุกับอุปกรณ์ทำว่าวให้กับเด็กทั้งสองด้วย แทยอนและแทฮยองต่างรู้สึกลุ้นไปในเวลาเดียวกันว่าจะครบไหม สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้


    เมื่อได้วัสดุและอุปกรณ์ครบแล้ว ทั้งแทยอนและแทฮยองก็พยายามทำว่าวด้วยฝีมือของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ก็พบบางครั้งก็ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อกับแม่ด้วยเช่นกัน


    วันต่อมาเด็กทั้งสองก็กลับไปที่สวนสาธารณะอีกครั้ง และเริ่มทดลองเล่นว่าวที่ตนเองลงมือทำอย่างสุดฝีมือ ถึงแม้ว่าจะล้มและไม่ติดลมบ้างก็มี แต่สุดท้ายแล้วว่าวของเด็กทั้งสองนั้นก็ติดลมในที่สุด สิ่งนั้นคือความภาคภูมิใจที่ได้ลงมือทำด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองอีกด้วย


    "พี่แทยอนๆๆ!" แทฮยองตะโกน "มันติดลมแล้ว!"


    "ว้าว! สุดยอดไปเลย!"


    หลังจากนั้นเด็กทั้งสองก็วิ่งเล่นไปมาอย่างสนุกสนาน ใบหน้าเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความสุขของพี่น้อง ก่อนที่พ่อกับแม่จะเรียกเด็กทั้งสองให้มาถ่ายรูป จึงได้บังเกิดเป็นรูปภาพนี้ขึ้นมา



    แทฮยองลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาจำที่มาที่ไปของรูปภาพรูปนี้ได้แล้ว พลางยิ้มแย้มในใจให้กับความทรงจำเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยความสุข แต่ก็รู้สึกใจหายเช่นกันว่าเวลามันผ่านมานานเหลือเกิน วัยเด็กทำไมมันช่างผ่านไปเร็วเช่นนี้กันนะ ไม่เข้าใจเลย


    ขณะเดียวกันนั้นเอง เงาก็ส่งข้อความเข้ามาอีกรอบ ทำให้ร่างบางต้องขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความรำคาญที่เข้ามาขัดจังหวะในตอนนี้ เขาเปิดอ่านข้อความจากเงาว่าเขียนอะไรมาบ้าง



    สงสัยเธอคงกำลังรื้อฟื้นความทรงจำเหล่านั้นอยู่สินะ มันเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดเลยใช่ไหมล่ะ เอาละ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันอยากจะให้เธอออกมาจากบ้านปราสาทแล้วปีนขึ้นไปบนเหล็กเหล่านั้น เธออาจจะจำเรื่องบางเรื่องได้



    แทฮยองมองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวเงา เขาอยากจะเดินไปกระทืบและโยนชิ้นเนื้อของเจ้านั่นให้จระเข้กินเพื่อให้หายแค้นสักที แต่สุดท้ายแล้วก็หาไม่เจอเลย ทั้งถนน ทั้งบริเวณโดยรอบของสวนสาธารณะนั้นเงียบกริบ ไร้สุ้มเสียงใดๆ มีแต่ความเงียบ หิมะที่ตกลงมาและลมอ่อนๆเท่านั้น


    ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธแค้นอย่างรุนแรง มือทั้งสองก็กำแน่นจนโทรศัพท์ที่อยู่ในมือนั้นสั่นไปมา ทว่าเขาเองก็ต้องทำตามคำสั่งของหมอนั่นอยู่ดี ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องถูกแบล็กเมล์และต้องอับอายไปชั่วชีวิต เขาล่ะเกลียดตัวเองที่คิดหน้าระวังหลังมากเกินไปจนเกิดเป็นความระแวงเสียอย่างนั้น


    มองซ้ายมองขวาเพื่อหาเหล็กที่เงาบอกไปในข้อความ แทฮยองพบว่ามีรถไฟเหาะที่เต็มไปด้วยเหล็กเหล่านั้นที่แสดงให้เห็นว่ามันกำลังปรับปรุงอยู่ อีกทั้งรถไฟเหาะแห่งนั้นเป็นเพียงแค่ที่เดียวที่มีเหล็ก แทฮยองคิดในใจว่าอาจเป็นรถไฟเหาะก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นเงาก็คงไม่ระบุชัดเจนหรอกว่าปีนขึ้นไปบนเหล็กเหล่านั้น


    คนตัวเล็กเดินลัดเลาะเพื่อไปที่รถไฟเหาะ มือบางดันรั้วออกอย่างช้าๆและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาระแวงว่ามันต้องมียามหรือมีใครสักคนที่เข้ามาเฝ้ารถไฟเหาะที่กำลังปรับปรุงนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะยังไม่เห็นป้อมยามหรือเห็นเป็นตัวเป็นตนก็ต้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่า วัวหายแล้วมาล้อมคอก*แบบนี้มันก็กระไรอยู่


    แทฮยองมองขึ้นไปยังด้านบนของรถไฟเหาะแล้วรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองได้ย้ายมาอยู่ที่ตาตุ่มทั้งสอง แท้จริงแล้วเขากลัวความสูงอีกด้วย จะขึ้นไปมันก็รู้สึกกลัวๆอยู่ หากตกลงมาเล่าจะทำเช่นไร ที่แน่ๆก็คือมันต้องเจ็บอย่างแน่นอน หลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที


    สูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอื้อมือทั้งสองไปจับเหล็กเย็นๆ ดีดตัวขึ้นและใช้เท้าข้างขวาเหยียบ ดีดตัวขึ้นอีกก็ใช้เท้าข้างซ้ายเหยียบ ทำแบบนี้สลับไปมา ในใจของร่างบางนั้นก็รู้สึกหวั่นๆขึ้นมาบ้างแล้ว พยายามที่จะไม่มองลงไปด้านล่างให้รู้สึกกลัว หลับตาแน่นและปีนต่อไปโดยไม่สนใจอะไร


    ลมเริ่มแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเริ่มเย็นลงเนื่องจากลมที่พัดผ่านมา แทฮยองกัดฟันแน่นเพื่อระงับความหนาวเย็นและความกลัวของตนเอง เสื้อโค้ตที่สวมมานั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยในตอนนี้ อีกทั้งเขายังรู้สึกว่ามีเข็มนับร้อยนับพันกำลังทิ่มแทงใบหน้าอยู่จนมันทั้งชาทั้งเจ็บไปในเวลาเดียวกัน ริมฝีปากแห้งผากและเริ่มแตกมีเลือดซึมออกมา


    แทฮยองเม้มปากแน่นและใช้ลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองเพื่อให้ปากมีความชุ่มชื่น แต่นั่นก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะทำอีกกี่รอบมันก็ยังมีเลือดซึมออกมาและยังแห้งมากขึ้นไปอีก เขาล่ะเกลียดอะไรแบบนี้เสียจริงๆ แถมมันยังน่ารำคาญอีกด้วย


    "แทฮยอง! นายขึ้นไปทำอะไรบนนั้นน่ะ! ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!"


    เสียงของใครสักคนดังมาจากด้านล่าง ทำให้แทฮยองชะงักและเผลอมองลงไป พบว่าคนๆนั้นคือชายทั้งหกคนที่กำลังเงยหน้ามองมาที่เขานั่นเอง ถึงแม้ว่าจะโล่งใจที่เห็นคนเหล่านั้น แต่เขาเองก็ลืมไปว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่สูง มองลงไปก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างสั่นไปหมดจนควบคุมไม่ได้


    "ลงมาสิแทฮยอง! มันอันตรายนะ!" จีมินตะโกนบอก "ถ้านายไม่ลงมาเดี๋ยวเราจะขึ้นไปแล้วนะ!"


    แทฮยองกัดฟันแน่นด้วยความรำคาญ เขารู้แล้วและกำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้ตามที่อีกฝ่ายบอกนั่นแหละ แต่มันก็ติดตรงที่ว่าเขาสั่นและกลัวความสูง ก็เลยทำให้การลงไปด้านล่างเกิดความล่าช้า ถ้าหากถามว่าเขาอยากจะลงไปไหม บอกเลยว่ามากๆเลยล่ะ


    ร่างบางเดินลงไปอย่างช้าๆ พยายามไม่มองไปยังพื้นด้านล่าง หากแต่มองลงไปที่เหล็กที่ตนเองจะต้องเหยียบลงไปเท่านั้น ถึงสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นมันเป็นผลดี แต่แล้วสายตาก็ดันมองลงไปยังด้านล่างโดยอัตโนมัติตามสัญชาตญาณของตัวเอง ทำให้ขาทั้งสองของคนตัวเล็กสั่นไปหมดจนแทบจะทรงตัวไม่ได้


    "ทำไมเขายังไม่ลงมาอีกล่ะ" นัมจุนถามขึ้นมาลอยๆ


    "ก็มันสูงไงเล่า" ยุนกิตอบ "ถ้าแทฮยองรีบลงมาแล้วตกลงจากเหล็กพวกนั้นล่ะ จะทำยังไง"


    "ดูท่าทางไม่ดีแล้วล่ะ"


    จองกุกพูดจบและวิ่งไปที่รถไฟเหาะทันที มือทั้งสองคว้าเข้าที่เหล็กและดีดตัวปีนขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว การปีนป่ายของเขานั้นทั้งเร็วและดีด้วย ทำให้คนที่รอลุ้นอยู่ด้านล่างนั้นกลัวหดตดหายเลยทีเดียว เพราะกลัวว่าทั้งสองคนนั้นจะร่วงลงมาจากบนเหล็กเหล่านั้นและศพก็จะไม่สวย


    แทฮยองจับเหล็กแน่นเพราะกลัว ฟันบนล่างกัดแน่นจนเป็นสันนูนที่ขมับ ขาทั้งสองสั่นเทาไปหมด รู้สึกว่าเหล็กเหล่านี้กำลังสั่นไปมาและมันจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมากขึ้น เหงื่อกาฬเริ่มผุดออกมาทุกอนูขุมขน อีกไม่นานเขาก็จะร่วงลงมาจากเหล็กเหล่านี้แล้ว ความคิดเหล่านี้วกไปวนมาจนทำให้อาการแพนิคนั้นเริ่มกลับมาอีกแล้ว


    "กึกๆๆๆ" ฟันบนล่างกระทบกันด้วยความเร็วในระดับหนึ่ง จะว่าหนาวก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเพราะอุณหภูมิลดลงก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆก็คือตอนนี้หัวใจของคนตัวเล็กเต้นเร็วมาก มากเสียจนร่างทั้งร่างสั่นไปมาด้วยความหวาดกลัว และอาจจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ


    "พี่แทฮยอง!" จองกุกเรียก "พี่ขึ้นมาทำอะไรบนนี้ มันอันตรายนะครับ!"


    คนตัวเล็กไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย รู้สึกว่ามีแขนแกร่งของคนตัวสูงกำลังโอบเอวของตนเองเพื่อไม่ให้ตกลงไป อีกทั้งในตอนนี้แทฮยองกลัวเสียจนไม่กล้าลืมตามองอีกฝ่าย เขาไม่อยากจะรับรู้ ไม่อยากจะเห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะในตอนนี้เขากลัว กลัวมากๆเลยด้วย


    แทฮยองหายใจแรงจนตัวโยน จองกุกพยายามพาร่างบางลงไปยังด้านล่างได้อย่างปลอดภัย โดยมือหนาจับเสื้อของร่างบางแน่นและค่อยๆดึงลงไปด้านล่าง คนตัวเล็กเองก็ปีนลงไปด้านล่างโดยอัตโนมัติ ทั้งๆที่ดวงตาทั้งสองของตัวเองนั้นปิดแน่น ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


    "ถะ ถึงหรือยัง" ร่างบางถาม


    "อีกนิดเดียวครับ" จองกุกตอบ "ระวังด้วยนะครับ ค่อยๆปีนลงไป"


    ขาทั้งสองถอยสลับซ้ายขวาไปมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าความกลัวของตัวเองได้หายไปเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆก็คือเขารู้สึกอุ่นใจแล้วที่มีคนมาช่วยแบบนี้ ใช้เวลาไม่นานเท้าขวาก็แตะลงบนพื้นหิมะนุ่มๆแล้ว ทำให้ร่างบางทรุดนั่งลงทันทีเมื่อลงมาถึงด้านล่างอย่างปลอดภัย


    "ให้ตายเถอะ แทฮยอง" โฮซอกอุทาน "ทำไมนายถึงออกมาเดินตอนกลางดึกได้ล่ะเนี่ย"


    "อย่าเพิ่งถามดีกว่านะ หายใจแรงแบบนี้แสดงว่าโรคแพนิคกลับมาอีกแล้ว" ซอกจินปรามโฮซอก "เอาน้ำกับยามาเร็ว ดีนะที่หยิบก่อนออกมาจากบ้านด้วย"


    นัมจุนเดินเข้ามาหาแทฮยองที่นอนอยู่บนแขนแกร่งของจองกุก ร่างบางหายใจแรงจนไอร้อนๆออกมาจากร่างกาย เหงื่อกาฬไหลออกมาทุกอนูขุมขน อาการแบบนี้คืออาการของโรคแพนิคที่กลับมาอีกแล้ว นัมจุนเปิดฝาขวดยาและน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นให้แทฮยองทานยาเพื่อระงับอาการแพนิค


    มือบางรับมันมาอย่างรวดเร็ว รีบกลืนน้ำกลืนยาลงไปก่อนที่อาการมันจะเรื้อรังไปมากกว่านี้ ทันทีที่ทานยาไปเรียบร้อยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจก็กลับมาเป็นปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็น เขาเกือบตายเพราะอาการแพนิคแล้วไงล่ะ โชคดีที่ทานยาทันอย่างหวุดหวิด


    "ทำไมนายถึงต้องปีนขึ้นไปบนเหล็ก แทฮยอง" ยุนกิดุ "ใครสั่งให้นายทำแบบนั้น มันอันตรายนะรู้ไหม"


    คนที่ถูกถามไม่ตอบหากแต่ยื่นโทรศัพท์ของตนเองให้ยุนกิดู มือขาวรับมัยมาอย่างรวดเร็วก่อนจะอ่านข้อความในนั้น โดยความอยากรู้อยากเห็นของคนที่เหลือนั้นมีมาก เลยทำให้นัมจุน ซอกจิน โฮซอกและจีมินกรูเข้ามาอ่านอย่างมิได้นัดหมาย


    "เงาเหรอ" ซอกจินเลิกคิ้วและพูดเสียงสูง "ใครวะ"


    "ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆก็คือมันใช้จิตวิทยาในการหลอกให้คนมาฆ่าตัวตาย" นัมจุนตอบ "น่าจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยามากพอสมควรเลยล่ะ ใช้กลยุทธ์ที่ว่าให้เหยื่อรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าโดยการขูดคุ้ยเรื่องราวในอดีตอันเลวร้ายออกมา นอกจากจะเชี่ยวชาญแล้วยังเรียกได้ว่าโรคจิตไปขั้นหนึ่งเลยล่ะ"


    "นายรู้ได้ไงเนี่ย"


    "ดูลักษณะการพูดหรือการพิมพ์สิครับ" นัมจุนยื่นโทรศัพท์ให้ซอกจินดู "คำพูดที่มีกลยุทธิ์ในการหลอกล่อและมีข้อมูลของแทฮยองอะไรทำนองนั้นน่ะ แบบนี้น่าจะเป็นคนที่เล่นกับความคิดของคนอื่นเก่ง หรือไม่ก็เป็นนักจิตวิทยา"


    "เงา" จีมินพูด "ไอ้หมอนั่นที่ส่งข้อความมาก่อกวนแทฮยองตั้งแต่โรงเรียนแล้ว ยังมีหน้าส่งข้อความมาทางโทรศัพท์อีกเหรอ หน้าด้านชะมัด กัดไม่ปล่อยจริงๆ"


    "มันส่งมาหาพี่ด้วยนี่" จองกุกแทรกตอบ "เอาให้พี่ๆที่เหลือดูด้วยสิครับ"


    "โทรศัพท์อยู่บ้านโน่น ไม่ได้หยิบมาด้วย"


    "ให้ตายเถอะ" นัมจุนสบถ "ก่อนอื่นเลยเราต้องรีบพาแทฮยองกลับก่อน ในสภาพแบบนี้ไม่น่าจะลุกเดินไหว จองกุก! อุ้มแทฮยองหน่อยสิ"


    จองกุกไม่ได้ตอบอะไร มือหนาช้อนร่างของแทฮยองขึ้นมาก่อนจะเดินตามพี่ๆของตนเองที่เหลือไป แทฮยองไม่ได้ตอบ ไม่ได้แสดงสีหน้าว่าไม่พอใจหรืออะไรเหล่านี้ หากแต่ตอนนี้สติสัมปชัญญะของร่างบางนั้นล่องลอยไปหมดแล้วเนื่องด้วยความหวาดกลัวสุดขีด


    ราวกับว่าวิญญาณได้ล่องลอยออกจากร่างไปไกลจนไม่รู้หายไปไหน เขารู้สึกว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ไร้ซึ่งอารมณ์ ไร้วิญญาณและไร้การเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนเป็นหุ่นกระบอกตัวหนึ่งที่ลากไปไหนก็ไป เนื้อตัวจะบอบช้ำหรือเจ็บมากแค่ไหนก็อย่าริอาจพูดออกมา


    ภาพสุดท้ายของแทฮยองที่มองเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะมีแต่ความมืดมิด คือร่างของชายคนหนึ่งที่แต่งเนื้อแต่งตัวด้วยชุดสีดำทั้งตัว ชายคนนั้นกำลังหลบอยู่หลังต้นไม้และมองมาที่ชายทั้งหกคนที่เร่งรีบจนไม่ทันได้สังเกต สายตาของเขานั้นจ้องมาที่แทฮยองอีกทั้งยังแสยะยิ้มออกมาอีกด้วย ร่างบางรู้ดีว่าการไล่ล่านั้นมันยังไม่จบ ตราบใดที่เขายังไม่รู้ว่าคนที่แทนตัวว่าเงานั้นคือใคร


    ฝากไว้ก่อนเถอะ แทฮยองคิดในใจก่อนที่จะไม่รับรู้อะไรอีกหลังจากนั้น







    #ลาเรียน่าออลวี







    ____________________

    *วัวหายล้อมคอก (สำนวน) เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจึงหาทางป้องกัน



    TBC. [04/05/2019]

    สั้นจังเว้ยตอนนี้ 55555 อีกอย่างอากาศตอนนี้มันก็ร้อนสุดๆ ทำไมโลกมันร้อนปานดวงอาทิตย์เยี่ยงเน้ // โบกพัด

    คืออยากจะบอกว่าช่วงนี้เราอาจอัพฟิคช้าหน่อยนะคะ พอดีว่ามาเที่ยวที่กรุงเทพค่ะ เดินเที่ยวหาประสบการณ์ ตื่นเต้นและดี้ด้ากับความบ้านนอกเข้ากรุงของเราค่ะ 5555555 ถ้าหากว่าหายไปยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ มันแบบสนุกจนลืมวันลืมปีไปเลย ไปที่ไหนก็สนุกได้ตลอดเวลา พาไปเดินโน่นนี่นั่นนู้นนนนน ก็สนุก พาไปใต้ดินหรือจะไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหนมันก็สนุก บ้านนอกเข้ากรุงที่แท้ทรู 5555555

    พูดแล้วคันปากอยากเล่าความบ้านนอกเข้ากรุงของเรามากเลย 555555 เรื่องมันเป็นงี้เว้ยแก! //นั่งลง เราอ่ะขึ้นเครื่องบินมาที่กรุงเทพคนเดียว คือแบบเปิดเพลง SOLO ได้เลยอะ เหงามากเว่อร์ 55555 มันเหงาแบบ...ฮัลโหลทุกคน ใครได้ยินฉันช่วยตอบกลับมาด้วยค่าาาาา

    อีกทั้งยังเราเองก็มีประสบการณ์หลุดคำเมืองของตัวเองออกมาด้วยค่ะ คืออายมาก 55555 เรากับพี่ชายไปเดินซื้อแตงโมที่ตลาดใกล้ๆกับห้องพักของพี่ (อยากบอกว่าอากาศร้อนมากค่ะ จะไหม้แล้ว...) แล้วคือแตงโมอะเขายังไม่ผ่าครึ่งมาให้ พี่ชายก็ให้แม่ค้าเลือกแตงโมลูกโตๆ สวยๆ มีเนื้อแน่นๆ พอเลือกได้แล้วเค้าก็ถามเรากับพี่ชายแบบนี้ค่ะ


    แม่ค้า : ลูกนี้สวยและเนื้อแน่นนะหนู (เอามือตบแตงโมเบาๆ) เอาลูกนี้ไหม


    พี่ชาย : ครับๆ เอาลูกนี้ครับ (เปิดกระเป๋าเงิน) โลละเท่าไหร่ครับ


    แม่ค้า : โลละ XX บาทจ้ะหนูจ๋า


    เรา : โอเคค่ะ งั้น 'โบ๊ะโขบ' (ผ่าครึ่ง) เลยค่ะ


    #หลังจากนั้นก็เกิดมหากรรมประสานเสียงหัวเราะทั้งพี่ทั้งแม่ค้า #อายเห้ๆ 55555555+


    อีกอย่างเราเองก็ไม่คุ้นกับการเปลี่ยนที่นอนใหม่มากกกกกก มาอยู่ห้องพักของพี่ชายกับอาเรานี่คือแบบ....นี่ฉันไม่ได้ดื่มกาแฟมานะยะ ทำไมมันไม่ยอมหลับยอมนอนสักที สรุปคือเมื่อถึงตอนเช้าขอบตาเราดำเหมือนคนไม่ได้นอนมาเป็นสิบๆวัน ให้ตายเหอะ 5555555


    ท้ายที่สุดแล้วเราก็ขอฝากติดตามเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ อย่าลืมเฟบ โหวต กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์และคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ

    ฟีดแบคดีเท่ากับเรามีกำลังใจและตอนต่อไปนาจา...


    ปล. เออๆๆ เกือบลืมๆ ถ้าเราหายไปอีกก็อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ พอดีว่าช่วงนี้นอกจากจะมาเที่ยวแล้วยังติด Netflix เช่นกันค่ะ ประเด็นคือติดเรื่อง Kingdom ด้วยนะเออ...

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×