คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : บทวิเคราะห์ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ตามบันทึกทางพุทธศาสตร์
ปรากฏการณ์นี้เริ่มขึ้นภายหลังไฟ น้ำ ลม ประลัยกัลป์ได้ทำลายโครงสร้างของมิติเวลาในไตรภูมิฯเดิม แล้วหลอมรวมขึ้นใหม่ เกิดเป็นดวงดาวและเทหวัตถุต่างๆในจักรวาลทั้งแสนโกฏิ(ซึ่งกว่า๘๐%คือสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า"สสารมืด")
เมื่อครั้งไฟประลัยป์ไหม้(โครงสร้างมิติเวลา)จักรวาลนั้น พลังไฟได้มาหยุดที่เชิงขอบจักรวาลของชั้นอาภัสสรพรหม(พรหมไร้ลักษณ์ผู้ดำรงแสงสว่างในตนเอง*พระเจ้า ตามนิยามของนามว่า GOD?!*)และพรหมชั้นนี้เองที่เป็นจุดกำเนิดของมนุษย์ในครั้งปฐมกัป
หลังจากไฟประลัยป์มอดดับลง ทำให้เกิดความมืดในอวกาศ หลังจากดำณงสภาวะนั้นตลอดอสงไขย ฝน(น้ำโลหะธาตุ?)จึงเริ่มตก(เกิดจากความร้อนสะสม?) ตำราว่า"เหมือนหิมะตกอยู่ในกาล"ซึ่งอาจเป็นกลุ่มละอองสสารที่เริ่มสังเคราะห์ใหม่ รึ กลุ่มหมอกเนบิวล่าเรืองแสงก็ได้ ฝนนั้นตกมากขึ้นจนกลายเป็นสายน้ำ ขนาด(ความหนา/ความสูง/ปริมาตรของระดับน้ำ?)เท่ารำ เท่าข้าวสาร เท่าถั่วเขียว เท่าถั่วราชมาส เท่าพุทรา เท่าฟักเหลือง เท่าฟักเขียว เท่าน้ำเต้า ประมาณเท่า๑อุสภะ ๒อุสภะ กึ่งคาวุต ๑คาวุต กึ่งโยชน์ ๑โยชน์ ๒โยชน์ เรื่อยไปจนถึง(หลัก)ร้อยโยชน์ (หลัก)พันโยชน์ ท่วมไปถึงชั้นอาภัสสรพรหมเลยขึ้นไปจนเต็มทั้งจักรวาล(ภายในเขตกำแพงจักรวาล?) นี้คือ น้ำประลัยกัลป์ หลังจากน้ำท่วมทั้งจักรวาลแล้ว ลมประลัยกัลป์(มหาพายุ) ๓ อย่าง คือ ปรจิตวาต ภัทรวาต และ จักราวาต จะกวนกลุ่มน้ำที่เกิดจากฝนนั้นให้รวมเป็นก้อนกลม เหมือนหยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัว และกลุ่มก้อนน้ำนั้นก็(ตกตะกอน?)งวดลง-งวดลง กลายเป็นดวงดาวเต็มห้วงอวกาศดังเดิม
แผ่นดิน(ดวงดาว)ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ถึงพร้อมด้วยกลิ่นและรสกลุ่มพรหมในชั้นอาภัสสรบางกลุ่มจึงอุบัติลงมา(เป็นพลวัตรขับเคลื่อนสสาร)ในสภาวะโอปปาติกะ(เข้าไปควบคุมสสารละเอียดโดยตรง?)
แรกเริ่มนั้นกลุ่มที่โอปปาติกะลงมานี้ยังมีรัศมีและเที่ยวไปมาในอากาศได้(เนื่องจากอัตราผสมของสสารในกายยังมีปริมาณต่ำ?) และอาจเป็นเพราะพื้นผิวของดวงดาวนั้นยังไม่แห้งสนิทและมีสภาวะเป็น"ง้วนดิน(น้ำนมของพระแม่ธรณี?)"อยู่ เมื่อพลวัตอย่างอาภัสสรพรหมเริ่มกินง้วนดิน(สะสมสสารมากขึ้น) แสงสว่างก็หายไป(เหมือนผสมสีลงในน้ำๆมันก็ขุ่นลง)
(*จุดนี้ขออนุญาตนอกตำราและเอาตำราอื่นมาผสมนะครับ ขอเย็บข้อมูลหน่อย*)เมื่อแสงสว่างในกายหายไป มนุษย์จึงเกิดความหวาดกลัวในความมืด เนื่องจากไม่เคยตกอยู่ในสภาวะนี้มาก่อน(เพราะแต่เดิมเป็นแสงสว่าง) จึงพากันตั้งจิตอธิษฐานขอให้บังเกิดแสงสว่างขึ้น ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นมาในช่วงนี้เอง(มนุษย์ยุคแรกใช้อำนาจจิตสังเคราะห์ระบบนิวเคลียร์ฟิวชั่นเพื่อสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาใช้งาน!!!) กำเนิด(วิธีการสร้าง!?!)ดวงอาทิตย์อยู่ในตำนานดาวของโหราฯ ระบุว่า
สุริยะ เกิดขึ้นตอนที่ ๓ มหาวาตะ พัดกวนก้อนน้ำ(น้ำโลหะ/น้ำแร่/แม็คม่า?) โดยกลุ่มน้ำนี้ถูกกระแสลมต้นกำเนิดพัดโคจรผ่านเส้นทักษิณ หรดี พายัพ อุดร ไปสิ้นสุดที่ อีสาน ของกำแพงจักรวาล เกิดเป็นดวงอาทิตย์ จากแรงอธิษฐาน
แต่เมื่อสิ้นดวงอาทิตย์ความมืดก็ชัดเจนขึ้น เหล่าปฐมมนุษย์จิตอธิษฐาน(สร้าง)แสงที่สว่างรองจากดวงอาทิตย์ คือ ดวงจันทร์ขึ้น กำเนิด(วิธีการสร้าง!?!)ดวงจันทร์อยู่ในตำนานดาวของโหราฯ ระบุว่า
ดวงจันทร์เกิดจากแหล่งน้ำทิศใต้ของมหาดาราจักรวาล ขณะที่มหาจักรวาลเริ่มก่อตัวให้อุบัติดาวใหม่หลังเกิดไฟประลัยกัลป์แล้ว ตอนเกิดใหม่ๆดวงจันทร์ถูกแรงดึงดูดเหวี่ยงหมุนวนรับแสงจากดวงอาทิตย์ ๒ รอบ นับเส้นทิศทั้ง ๘ ที่โคจรผ่านซ้อน ๒ รอบนั้นได้ ๑๕ จึงได้เป็นค่ากำลังดาวในโหราศาสตร์
เมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏชัด ดาวฤกษ์ต่างๆ กลางวัน กลางคืน เดือน กึ่งเดือน ฤดู ปี จึงปรากฏ และในวันที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏ ภูเขาสิเนรุ ภูเขาจักรวาล ภูเขาหิมพานต์ ทวีป(บนแผ่นดิน?) สมุทร ก็ปรากฏ(ทวีปและสมุทรเกิดเพราะน้ำขึ้นน้ำลงและดาวเริ่มแห้ง?) ตำราว่า ตรงไหนสูงก็เป็นภูเขา ตรงไหนลุ่มก็เป็นสมุทร ตรงไหนเสมอก็เป็นทวีป
กลับมาที่เรื่องอาหาร พอกินง้วนดินมากเข้า นอกจากแสงจะหายไปแล้ว ความสามารถในการไปมาในอากาศของชาวโอปปาตกะก็หายไปด้วย เราคาดว่า เป็นเพราะมีธาตุหยาบผสมในกายมากขึ้นทำให้สุดท้ายแล้วความเป็นทิพย์ก็หายไป(นึกถึงเวลาผสมปูนขาวกับน้ำนะ สุดท้ายทิ้งนานไปสภาวะความเป็นของเหลวก็หายไปกลายเป็นของแข็ง คือปูนหนักๆโดยสมบูรณ์แทน)
เมื่อผืนดินเริ่มแห้งง้วนดินก็หายไป กลายเป็นกลีบดินลักษณะเหมือนดวงตม น่าจะคล้ายตะกอนดินที่จับกันเป็นก้อน(คล้ายเกล็ดเกลือ) การเปลี่ยนแปลงตรงจุดนี้น่าจะเกิดจากน้ำที่แห้งลงและดินเริ่มแข็งตัว เครือเชือกเขาเถาวัลย์ลักษณะคล้ายผักบุ้ง เรียกว่า ภัทธาลดา มีดอกหลายสี ขึ้นมาเป็นอาหารตามลำดับ จากนั้นจึงเกิดข้าวสาลีที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มีผลเป็นข้าวสารที่ไม่มีรำแกลบ(ไร้เปลือกไม่ต้องขัดสี?) และมีกลิ่นหอม เรียกว่า ข้าวสัญชาติสาลี ตามด้วยเกิดภาชนะบรรจุข้าว ซึ่งชาวอุตตรกุรุทวีปเรียกภาชนะนี้ว่า ตุณหิรกะ(บ้างว่า คุทิ) เป็นลูกไม้ชนิดหนึ่ง ใช้ใส่และหุงข้าวแทนหม้อ(เปลือกคงหนา) เวลาจะกินก็ใส่ข้าวลงไปแล้วยกตั้งบน ๓ ก้อนเส้า ที่เรียกว่า โชติกปาสาณ ก็เกิดพลังงานความร้อนลุกขึ้นเป็นไฟ(พลังความร้อนจากการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นแม่เหล็ก?)หุงข้าวสาลีนั้นจนสุกเหมือนดอกมะลิ(ข้าวพองและปริแตกออกเหมือนทรงดอกมะลิบาน?) ซึ่งข้าวนี้กินเปล่าๆได้ไม่ต้องมีแกงรึกับข้าวเพราะมีทุกรสชาติในตัว
ระหว่างช่วงนี้เองเราคาดว่า มนุษย์น่าจะกลายพันธุ์จากการเกิดแบบโอปปาติกะลงมาเป็นสังเสทชะไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากสสารมีความหยาบมากขึ้น การสังเคราะห์จึงกินเวลานานและไม่สมบูรณ์เท่า จึงต้องรวบรวมอณูธาตุหยาบนั้นให้ได้ปริมาณแล้วค่อยสังเคราะห์(เลยหลบเข้าไปสังเคราะห์และฟักตัวจากละอองเรณูในดอกไม้แทน)
หลังจากบริโภคอาหารที่เป็นธาตุหยาบมากเข้าธาตุไฟที่ใช้ย่อยสลายก็ย่อยไม่หมดทำให้เหลือกากอาจมทำให้ต้องมีการระบายออก จึงเกิดเป็นปากแผลแตกออกเพื่อประโยชน์ในการปัสสาวะ อุจจาระ ขับถ่าย จึงเกิดการแบ่งเพศเป็น ปุริสภาวะ(ชาย) และ อิตถีภาวะ(หญิง) ซึ่งแต่แรกนั้นยังไม่เกิดกามราคะในสันดานเพราะอำนาจอุปจารฌานดำรงอยู่(และยังเกิดแบบสังเสฯอยู่ด้วย) แต่เมื่ออุปจารฌานหายไป(อาจเป็นเพราะอาหารที่กินหยาบขึ้น) กามราคะจึงกำเริบขึ้น เริ่มจากหญิงและชายต่างเริ่มเพ่งกันเกินขอบเขตจนเกิดความเร่าร้อนขึ้นในกายและเริ่มเสพเมถุนธรรม เมื่อมีการเสพเมถุนธรรม(ในที่สาธารณะ)จึงถูกผู้รู้ติเตือนเบียดเบียนให้เกิดยางอาย จึงเริ่มสร้างเรือนขึ้นเพื่อปกปิดอสัทธรรมนั้น หญิงชายที่เข้าครอบครองเรือน(แบบสามีภรรยา)จึงเริ่มเกียจคร้าน และเริ่มทำการสะสมข้าวสัญชาติสาลีเพื่อเก็บไว้กินหลายๆวัน(จะได้ไม่ต้องออกนอกบ้านบ่อยๆ ทำอะไรกันในบ้านคงไม่ต้องอธิบายนะ) และอาจรวมถึงจุดเริ่มต้นในการเพาะปลูกด้วย ข้าวที่เก็บกินเวลาเช้าและพอเวลาเย็นก็งอกขึ้นดังเดิมก็เริ่มกลายพันธุ์จากพฤติกรรมที่ส่งผลต่อธรรมชาติของมนุษย์ เริ่มจากเมล็ดข้าวเริ่มมีเปลือกห่อหุ้ม และเริ่มออกรวงช้าลง
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้มนุษย์จึงประชุมกันรำลึกถึงอดีตที่ไม่มีวันหวนคืนและคิดหาทางแก้ปัญหา โดยเริ่มมีการกำหนดขอบเขตแบ่งที่ดิน แต่ก็เกิดมีพวกที่โลภเข้าไปแย่งชิงที่ดินคนอื่น เจ้าของไม่พอใจขัดใจก็ไล่ด่ากันไปมา พอมากครั้งเข้าก็เริ่มใช้มือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ลงไม้ลงมือกันจนถึงตายก็มี(ปาณาฯ/อทินนาฯ/กาเมฯ/มุสาฯ ก็เริ่มขึ้น)
จากความขัดแย้งเรื่องที่ดินที่เกิดขึ้นนำไปสู่การประชุมในวาระที่ ๒ เพื่อหาตัวบุคคลที่จะมาตัดสินความต่างๆ พึงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้อย่างถูกต้อง โดยให้ข้าวสาลีส่วนหนึ่งแก่ผู้นั้น(เป็นการตอบแทน)
ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เองก็จุติในที่นั้นด้วย ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นผู้มีรูปงามน่าดูยิ่ง มีศักดิ์ยิ่งใหญ่ในหมู่สัตว์ ถึงพร้อมด้วยปัญญา สามารถข่มและยกย่อง(ผู้อื่น?) หมู่มนุษย์ในครั้งนั้นจึงเข้าไปวิงวอนให้เป็น"สมมติ" พระโพธิสัตว์จึงปรากฏนาม ๓ ประการ คือ
๑.มหาสมมติ(คือ พระมนู)-เพราะมหาชนแต่งตั้ง(สมมติ)ให้เป็น(สมมุติเทพ)
๒.ขัตติยะ(กษัตริย์)-เพราะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน(ผืนนา)
๓.ราชา-เพราะเป็นผู้ที่ทำให้ผู้อื่นยินดีใน(คุณ)ธรรมโดยสม่ำเสมอ
สิ่งใดเป็นฐานอัศจรรย์ในโลก พระโพธิสัตว์เองเป็นบุรุษคนแรกในสิ่งนั้น(คือดำรงตำแหน่งพระมหาจักรพรรดิ์เป็นพระองค์แรก)
เมื่อได้ตั้งขัตติยมณฑลขึ้น โดยเริ่มเอาพระโพธิสัตว์เป็น(เกณฑ์)เบื้องต้น และได้ตั้งวรรณะทั้งหลาย มีพราหมณ์เป็นต้นโดยลำดับ(เริ่มแบ่งวรรณะเพราะความทรามของผิวพรรณเป็นเหตุ?)
ครั้งปฐมกัปนั้น มีราชาพระนามว่า พระเจ้ามหาสมมติราช(เป็นองค์แรก) โอรสของพระองค์พระนามว่า โรชะ โอรสของพระเจ้าโรชะ พระนามว่า วรโรชะ โอรสของพระเจ้าวรโรชะ พระนามว่า กัลยาณะ โอรสของพระเจ้ากัลยาณะ พระนามว่า วรกัลยาณะ โอรสของพระเจ้าวรกัลยาณะ พระนามว่า อุโปสถ โอรสของพระเจ้าอุโปสถ พระนามว่า วรอุโปสถ โอรสของพระเจ้าวรอุโปสถ พระนามว่า "มันธาตุ"
จากประวัติ พระเจ้ามันธาตุประกอบด้วย รัตนะ ๗ และอิทธิฤทธิ์ ๔ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่ยังคงสามารถสังเคราะห์ธาตุได้เช่นพรหมอยู่แต่ทว่าหยาบกว่า คือ เมื่อปรบมือ ฝนรัตนะ ๗ จะตกลงมาจนสูงถึงเข่า(ซึ่งมนุษย์ทั่วไปในสมัยนั้นทำไม่ได้แล้ว) และยังมีอายุยืนยาวอีกเป็นอสงไขย(วีรกรรมท่านยาวมาก ไปหาอ่านใน"มันธาตุราชชาดก"เอาเองนะ) ลูกหลานพระเจ้ามันธาตุ ก็มี พระเจ้าวรมันธาตุ พระเจ้าอุปวร(อุปจิร-ผู้ถูกธรณีสูบเพราะกล่าวมุสาวาจาเป็นคนแรกในโลก!)
ซึ่งอายุขัยมนุษย์หลังจากนี้ได้ลดลงอีกเรื่อยๆและปรากฏอยู่ตามชาดก(แว๊บๆ)หลายเรื่อง ระหว่างนั้นเองก็มีการปรากฏของสัตว์เดรัจฉานที่ทางเราเห็นว่าอ้างอิงซ้อนกับฟอสซิลที่ยุคนี้เรียกตามยุโรปว่า"มนุษย์ดึกดำบรรพ์"ได้ นั่นคือสิ่งที่ชาดกเรียกว่า "วานร(ลิง)"
วานรนั้น ความโดยรวมหมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีรูปพรรณสัณฐาน"คล้าย"มนุษย์(นร) ซึ่งความหมายนี้อิสระและครอบคลุมมากๆ ก่อนที่จะมาถูกจำกัดความหมายโดยพวกที่ไม่เคยรู้อหิวาห์อะไรเลยเกี่ยวกับรากคำศัพท์แต่แสลนตั้งหน่วยงานรวบรวมคำศัพท์หนาเป็นเล่มๆปาหัวหมาตายได้!(วุ๊ย!หลุด)
มีหลายๆชาดกที่ทางเราเริ่มเอะใจสงสัยในแง่ของพฤติกรรมและด้านอื่นๆ จึงขอยกบางส่วนจากบางชาดกพร้อมคำวิเคราะห์จากเหล่าภูตเฝ้าคัมภีร์มาเป็นตัวอย่าง ดังนี้
๑.มักกฏชาดก-ฤๅษีท่านหนึ่งพาบุตรไปอยู่"ป่าหิมพานต์" วันหนึ่งในฤดูฝนมีฝนตก ฤๅษีนั้นจึงก่อไฟนอนบนเครื่องลาดอยู่ภายในบรรณศาลา โดยมีบุตรคอยนวดเท้าให้ วานรป่าตัวหนึ่งถูกความหนาวเบียดเบียนเห็นแสงไฟในบรรณศาลา มันจึง"คิด"ว่า ถ้าเข้าไปในบรรณศาลาตรงๆ จะถูกตีถูกไล่ และไม่ได้ผิงไฟ มันจึงหาอุบาย"ปลอมเป็นดาบส"โดยการนุ่งผ้าเปลือกไม้ของดาบสที่ตายแล้วคนหนึ่ง ถือกระเช้า ขอ และ ไม้เท้า ไปหลบยืนสั่นที่ต้นตาลใกล้ประตูบรรณศาลา
ดาบสกุมารเห็นเข้า"ไม่รู้ว่าเป็นวานร"(คงฟ้ามืดฝนด้วย) จึงบอกบิดาว่า มี"ดาบสแก่"รูปหนึ่งยืนหนาวสั่นคงจะมาขอผิงไฟ ให้บิดาอนุญาตให้เข้ามาในเรือนนั้น
ดาบสบิดาจึงลุกขึ้นไปดูที่ประตูบรรณศาลา ก็รู้ว่าเป็นวานร จึงบอกบุตรว่า ลูกเอ๋ย ธรรมดามนุษย์หน้าตา"ไม่เป็นแบบนี้" ไม่ควรเรียกมันเข้ามา เพราะวานรสามารถทำลายเผาบรรณศาลาซึ่งสร้างได้ลำบากนี้เสีย รึถ่ายอุจจาระเป็นต้นรดเรี่ยราด
เมื่อบอกบุตรแล้วจึงคว้าดุ้นคบไฟขึ้น ตวาดไล่วานรนั้นแล้วขว้างคบไฟ(ไปกลางฝน)ให้วานรหนีไป วานรนั้นก็ทิ้งผ้าเปลือกไม้ วิ่งขึ้นต้นไม้เข้าป่าไป
*วิเคราะห์*
ประการแรก สมอง ลิงที่มีความคิดถึงขั้นหาอุบายหลอกมนุษย์ได้คือลิงอะไร
ประการที่ ๒ ลักษณะการกระทำตามอุบาย ลิงอะไรที่สามารถสวมชุด(ที่น่าจะขโมยมาจากศาลาร้าง)และติดอุปกรณ์ดาบสแทบครบเซ็ตได้โดยไม่ต้องฝึกฝนใดๆ(เพราะเป็นลิงป่า) และการสวมชุดให้เข้ารูปได้นั้นการทำงานของสมองต้องสัมพันธ์กับแขนและขา ซึ่งชิมแพนซีในปัจจุบันยังทำได้ลำบากเพราะลักษณะทางกายภาพไม่เอื้อ
ประการที่ ๓ ดาบสกุมารทำไมแยกแยะลิงกับมนุษย์ไม่ออก การที่เด็กคนหนึ่งซึ่งรู้เดียงสาแล้วแต่กลับแยกลิงกับมนุษย์ไม่ออก น่าจะมาจาก ลิงนั้นมีส่วน"คล้ายคนมาก"และในเรื่องก็ไม่ได้บอกว่าลิงนั้นมีหางรึเปล่าด้วย อนึ่งการที่เด็กเห็นลิงเป็นดาบสชราแสดงว่า ลิงนั้นต้องมีส่วนสูงเทียบเท่ามนุษย์วัยผู้ใหญ่ และอาจมีขนบนใบหน้าจนดูคล้ายหนวดกลายเป็นที่มาของดาบสชรา(อยาลืมนะว่า ตัวดาบสบิดาเองยังต้องลุกไปมองให้เห็นชัดๆเลย แสดงว่าคล้ายกันมาก)
ประการที่๔ เป็นลิงแต่ทำไมไม่กลัวไฟเลย?
สุดท้าย ลิงนั้นยังปีนต้นไม้ได้ แสดงว่ารูปร่างต้องเปรียวและมีน้ำหนักเบาอยู่ แต่ก็ต้องสลัดเครื่องแต่งกายออกเพื่อให้ปีนสะดวก(แต่ก็ไม่แน่หรอก ต้นไม้ในป่าหิมพานต์ก็ใช่ว่าจะเล็กซะที่ไหน)
๒.กปิชาดก-คล้ายมักกฏชาดก
๓.คามณิจันทชาดก-มีกล่าวถึงในช่วงแรกๆของชาดก กล่าวคือ พระเจ้าชนสันธะ ผู้ครองราชย์ในนครพาราณสี ได้สวรรคตลงเมื่อพระโอรสพระนามว่า อาทาสมุขกุมาร มีอายุได้ ๗ ขวบ(พระบิดาให้พระกุมารศึกษาพระเวทและสิ่งผ่างที่พึงทำในโลกภยใน ๗ ปีนั้น เราคาดว่าพระองค์คงรู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นานจึงเตรียมการไว้) หลังเหล่าอำมาตย์ถวายพระเพลิงพระศพอย่างยิ่งใหญ่และถวายทานแก่ผู้ตายครบ ๗ วัน จึงหาลือกันหน้าพระลานหลวงว่า พระกุมารเด็กเกินไป ไม่อาจอภิเษกแต่งตั้งให้ครองราชย์ได้ จึงคิดทดสอบปัญญาพระกุมารหากสามารถจึงทำการอภิเษก
วันหนึ่งเหล่าอำมาตย์นั้นจึงสั่งให้ตกแต่งพระนคร จัดสถานที่วินิจฉัย(ตัดสินความ) แล้วเชิญพระกุมารมาประทับนั่งบนบัลลังก์ จากนั้นเหล่าอำมาตย์จึงนำวานรที่"เดิน ๒ เท้าได้" มาแต่งแปลงเป็นอาจารย์ผู้ดูมีวิชา มาเข้าเฝ้าพระกุมาร แล้วทูลว่า บุรุษ(วานร)นี้เคยเป็นอาจารย์รู้วิชา"ดูที่"ในสมัยของพระเจ้าชนสันธะ อาจารย์ท่านนี้ย่อมรู้ถึงคุณ-โทษในที่มีรัตนะ ๗ ภายในดินด้วยวิชาอันคล่องแคล่ว(น่าจะเกี่ยวกับพวกสายโบราณคดีและหาขุมทรัพย์) สถานที่ตั้งวังของราชตระกูลนี้ก็ได้อาจารย์นี้จัดการ(น่าจรวมฮวงจุ้ยกับการวัดที่ดิน ฯลฯ ด้วย) ขอให้พระองค์(พระกุมาร)เสงเคราะห์บุรุษนี้โดยกาสถาปนไว้ในฐานันดรเถิด
พระกุมารแลดูวานรนั้นทั้งเบื้องล่างและเบื้องบนก่อนตอบว่า นี่เป็นลิงมิใช่มนุษย์ แล้วดำริว่า สัตว์นี้รู้แต่การทำลายสิ่งของที่เขาทำไว้ ไม่รู้จักการทำรึจัดการในสิ่งที่เขายังไม่ได้ทำ ไม่ฉลาดในการทำเรือน มี(พฤติกรรม)ปกติหลุกหลิกโลเล หนังที่หน้าย่น พึงประทุษร้ายของที่เขาทำไว้แล้วให้พินาศ
เหล่าอำมาตย์จึงนำลิงนั้นออกไป ผ่านไปอีกวันสองวัน ก็ประดับลิงตัวเดิมนำไปที่วินิจฉัยอรรถคดีอีก แล้วกราบทูลว่า ผู้นี้เป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดีในสมัยพระเจ้าชนสันธะ กระบวนการวินิจฉัยอรรถคดีของท่านผู้นี้เป็นไปเรียบร้อยดี ควรที่พระองค์จะทรงอนุเคราะห์ให้ทำหน้าที่วินิจฉัยคดีต่อไป
พระกุมารแลดูแล้วคิดว่า มนุษย์นั้นไม่มีขน จึงตรัสว่า ขนหยาบในสรีระนี้ไม่ใช่ขนของสัตว์ที่มีความคิดอันประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจรณา ลิงตัวนี้ทำให้ผู้อื่นปลอดโปร่งใจ(โดยการวินิจฉัยคดี)เป็นที่พึ่งอาศัย รึทำการพร่ำสอนให้ผู้อื่นเบาใจไม่ได้ พระบิดาเคยตรัสสอนไว้ว่า ธรรมดาลิงย่อมไม่รู้จักเหตุอันใดอันหนึ่ง ไม่รู้ทั้งเหตุและมิใช่เหตุ
เหล่าอำมาตย์จึงนำลิงนั้นออกไป แล้ววันหนึ่งก็ประดับประดาลิงตัวเดิมนำมาที่วินิจฉัยอรรถคดีอีก แล้วกราบทูลว่า สมัยที่พระชนสันธะยังครองราชย์ บุรุษนี้ได้บำเพ็ญหน้าที่บำรุงบิดามารดา อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พระองค์ควรอนุเคราะห์บุรุษนี้
พระกุมารมองดูลิงนั้นแล้วตรัสว่า สัตว์นี้จิตใจกลับกลอกไม่สามารถทำการงานรึเลี้ยงดูบิดามารดา พี่ชายพี่สาวของตนได้ พระบิดาเราสอนไว้
หมู่อำมาตย์จึงนำลิงนั้นออกไป จากนั้นจึงประชุมกันว่าพระกุมารเป็นบัณฑิตมีปัญญา จึงทำการภเษกเป็นราชา ฯลฯ
*วิเคราะห์*
ลิงอะไรเดิน ๒ ขาได้ ลิงอะไรที่ทำให้ผู้ใหญ่คิดว่า สามารถหลอกให้เด็ก ๗ ขวบเชื่อว่าเป็นคนได้ ลิงอะไรมีส่วนสูงเทียบเท่ามนุษย์
จากลักษณะจากทุกชาดกข้างต้นนี้ ทำให้เราคาดว่า ลิงเหล่านี้คือ เจ้าของซากฟอสซิลที่ฝรั่งมันเรียกว่ามนุษย์โบราณ พวกคนครึ่งลิง(ในคามณิจันทชาดกทีแรกเรานึกว่าเป็นพวกเอป แต่พี่ปู่ฯแกยังไม่ให้ฟันธง) ทีนี้ก็เหลือแค่ขั้นตอนการออกแบบเท่านั้น(ชาดกอื่นที่กล่าวถึงพวกนี้ก็มี แล้วจะนำมาเสริมเพิ่มภายหลัง)
กำเนิด ๔ ของมนุษย์ เรียงตามหลักอาทิกัลยาณัง/งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง/งามในท่ามกลาง ปริโยสานกัลยาณัง/งามในบั้นปลาย
ไข่ดาราจักร กำเนิดจักรวาลทั้งแสนโกฏิ
กำเนิดมนุษย์ในไตรภูมิ
ความคิดเห็น