ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fallng for a prince (Justin Bieber fanfic)

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 : บ้าน (หรือคฤหาสถ์ ?)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 59


    Chapter 5 


    3 เดือนต่อมา

                “นี่ๆ วันนี้ฉันได้จดหมายจากสถานทูตบาร์ตันด้วยหละ”

                ฉันชูจดหมายให้จัสตินดูผ่านทางกล้องหน้า

                ฉันไปสอบมาเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แล้วข้อสอบก็...ไม่ยากและก็ไม่ง่ายมาก จริงๆถ้าจัสตินไม่ช่วยติวให้ฉัน ฉันคงทำไม่ได้เหมือนกัน

                (เป็นไงๆ)

                “นายอย่าเร่งสิ ฉันก็ตื่นเต้นนะยะ”

                ฉันค้อนเขาพลางแกะจดหมายที่ทางสถานทูตส่งมา ฉันมือสั่นเบาๆทั้งตื่นเต้น และก็กลัว เพราะจดหมายฉบับนี้คือใบประกาศผลน่ะสิ

                ฉันค่อยๆอ่านทุกตัวอักษรอย่างใจจดใจจ่อ และคนที่ตรงหน้าที่สไกป์มาจากบาร์ตันอย่างจัสตินก็คงจะตื่นเต้นพอๆกับฉัน

                (เป็นไงบ้าง)

                เขาถามอีกรอบ

                ฉันเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆฉีกยิ้ม

                “ฉันสอบผ่าน เย่ๆๆๆๆๆๆ จะได้ไปเรียนบาร์ตันแล้วววววววววว”

                ฉันตะโกนดังลั่นบ้าน โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น กระโดดโลดเต้นได้สักพักฉันก็กลับมาคุยกับจัสตินทั้งๆที่รอยยิ้มก็ยังคงเบื้อนบนใบหน้า

                “นายๆๆๆๆ ขอบใจนายมากๆเลยนะ ฉันดีใจม๊ากมากกกกก”

                (ไว้เจอกันเธอค่อยมาเลี้ยงข้าวฉันก็แล้วกันนะ)

                จัสตินพูดกลั้วหัวเราะ พลางยิ้มให้กับฉัน ฉันยิ้มตอบ ถ้าฉันทะลุกล้องนี้ไปได้ ฉันจะกระโดดกอดเขาให้เต็มแรงเลย

                (ไปบอกแม่กับพี่เธอเถอะ เดี๋ยวฉันจะบอกคุณย่าให้)

                “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันส่งจดหมายหาคุณย่ามารีก็ได้ แต่ถ้านายเกริ่นๆไว้ก่อนก็ดีนะ”

                (ได้เลย)

                “ไปก่อนนะ ไว้คุยกัน”

                ฉันวางสายไปก่อนจะวิ่งไปบอกแม่และพี่

     

              6 เดือนต่อมา

                “โหย...สวยมากๆเลยอ่า”

                ฉันอุทานขึ้นเมื่อมองเห็นวิวประเทศบาร์ตันจากบนเครื่องบิน น้ำตาฉันเล็ดออกมาเบาๆ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ

                ฉันเหมือนจะอ้วกเลย....

                เสียงล้อเครื่องบินที่แตะพื้นเป็นสัญญาณว่าเครื่องแลนดิ้งอย่างสวัสดิภาพ ฉันใส่เสื้อกันหนาวแล้วก็สะพายกระเป๋า ก่อนจะเดินออกจากตัวเครื่อง เข้าสู่ท่าอากาศยานเพื่อไปเอากระเป๋าที่โหลดใต้เครื่อง หลังจากที่ฉันได้กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เข็นรถเข็นกระเป๋าออกมา เพื่อมาเจอกับ...

                โอ๊ะ... อยู่นั่นไง

                รอยยิ้มของคนคุ้นตาที่เห็นกันผ่านสไกป์อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เขาใส่เสื้อสีขาวข้างในและแจ็กเก็ทสีดำ กางเกงยีนส์สีดำยี่ห้อดัง และรองเท้าผ้าใบอดิดาสสีดำแต่ตัวโลโก้เป็นสีขาว

                แต่งตัวดูดีเหมือนนายแบบเลยแฮะ...

                ฉันแอบชมเขาในใจพลางยิ้มตอบ

              “จัสตินนนนนนนน”

                ฉันลากเสียงยาวพลางวิ่งไปกอดเขาอย่างเต็มแรง ระหว่างที่อยู่บนเครื่อง ฉันคิดว่า ถ้าเจอเขาแล้วฉันจะกอดเขา เพราะเขาทั้งช่วยติวสอบชิงทุน และยังให้ที่พักพิงระหว่างที่ฉันเรียนที่นี่อีกด้วย

                “โอ้ยยยย พอแล้ว ฉันหายใจไม่ออก”

                จัสตินบ่น พลางคลายอ้อมกอด

                “นี่มันยังไม่ถึงครึ่งกับที่นายช่วยฉันไว้เลย ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายอย่างใหญ่หลวงเลยหละ”

                ฉันบอกเขาอย่างดีใจ ในที่สุด ฉันก็ได้มายืนอยู่ที่นี่ ประเทศที่ฉันอยากมามากที่สุดในชีวิต

                “ไปกันเถอะ”

                จัสตินยิ้มพลางลากรถเข็นกระเป๋าให้ฉัน เขาเดินนำฉันออกจากสนามบิน แต่พอเท้าฉันก้าวออกจากสนามบินเท่านั้นแหละ

                “หนาวจังงงงงง”

                ถึงตอนนี้มันจะเป็นช่วงซัมเมอร์สำหรับประเทศนี้ แต่เท่าที่ฟังข่าวมา ตอนนี้สภาพอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง เลยทำให้บาร์ตันมีอากาศหนาวเล็กน้อย ซึ่งสำหรับคนบาร์ตันนั้นถือว่าอากาศช่วงนี้นั้นแค่เย็นๆ แต่สำหรับคนไทยที่เจออากาศร้อนมากกว่าอากาศหนาว เจอแบบนี้ก็คงหนาวจนขนลุก

                “เดินอีกนิดเดียวนะ เธอไหวหรือเปล่า”

                ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะกอดตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

                “คันนี้แหละ เธอเข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันขนกระเป๋าให้”

                จัสตินพูดพลางเปิดประตูให้ฉันเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ แล้วเขาก็เดินมาฝั่งคนขับเพื่อสตาร์ทรถแล้วก็เปิดฮีทเตอร์ให้

                “รถทุกคันที่นี่มีฮีทเตอร์ให้ เพราะถึงหน้าหนาวมันจะหนาวมาก”

                ฉันพยักหน้ารับ พลางเอามือไปอังกับฮีทเตอร์เพื่อคลายความหนาว ขณะรอจัสตินขนของขึ้นรถ

                ไม่กี่อึดใจต่อมาจัสตินก็เข้ามานั่งในรถ

                “คาดเข็มขัดด้วย”

                ฉันพยักหน้ารับ แล้วก็คาดเข็มขัดตามที่เขาบอก หลังจากที่ฉันคาดเข็มขัดแล้ว เขาก็ออกรถ

                ระหว่างทาง

                “บ้านฉันกับสนามบินห่างกันเกือบๆ 30 นาที นี่ไม่รวมรถติดนะ ถ้ารถติด แนะนำให้เผื่อเวลาไว้สัก 15 นาทีนะ”

                ฉันพยักหน้ารับเป็นคำตอบ พลางมองวิวข้างทางไปด้วย

                สวยมากจริงๆ...

                วิวข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากเมืองใหญ่เป็นแถบชานเมือง ที่มีทุ่งหญ้าสีเขียว และปกคลุมด้วยดอกไม้สีเหลือง บางทุ่งก็เป็นสีขาว สวยมากจนฉันอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้

                จนกระทั่งจัสตินเลี้ยวรถเข้ามาในซอยเล็กๆ ที่พอมองเข้าไปก็เป็นรั้วที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปคล้ายๆนกยูง แล้วจัสตินก็กดบางสิ่งบางอย่างคล้ายๆรีโมท พอเขากด ประตูรั้วก็เปิดออก ฉันขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถาม

                ทั้งสองข้างทางเป็นต้นไม้ มองเข้าไปข้างในอีกหน่อยเป็นสวนดอกไม้ ดูร่มรื่นเหมือนสาธารณะเลย ทำไมเขาต้องพาฉันมาที่สาธารณะด้วยนะ หรือว่าเป็นทางผ่านไปบ้านเขา แล้วความคิดของฉันก็หยุดลงเมื่อจัสตินตอดรถอยู่ที่หน้าบ้าน...

                บ้านหรอ ฉันว่าฉันใช้คำว่าคฤหาสถ์น่าดีกว่านะ

                “นี่...คฤหาสถ์ เอ้ย บ้าน บ้านนายหรอ”

                “ใช่”

                ตอบได้หน้านิ่งมากค่ะพ่อคุณ

                “นายไม่ได้แบบ...แบบว่า...เอ่อ....”

                “นี่เธอเริ่มกลายเป็นคนอ้ำๆอึ้งๆตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ฉันรอได้ถึงแค่บ่าย 1 นะ ฉันหิวข้าวแล้ว”

                จัสตินพูดพลางอมยิ้ม เขากำลังพูดล้อเลียนฉันตอนนั้นหรอ

                “คือแบบ...นี่บ้านนายจริงๆหรอ”

                “แน่นอนสิ เธอคิดว่าฉันทำงานเป็นพ่อบ้านที่นี่หรือไง”

                 ใช่...ฉันตอบในใจ ก่อนจะพยักหน้า แล้วก็เดินตามเขาเข้าบ้าน(หรือคฤหาสถ์)ไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×