ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fallng for a prince (Justin Bieber fanfic)

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 : ทุน

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 59


    Chapter 4

     

              2 เดือนต่อมา

                “งานเยอะมากกกกกกกกกกก แถมพรุ่งนี้ก็มีสอบอีก ฉันเรียนแทบจะไม่เข้าใจเลย โดยเฉพาะคณิตศาสตร์อ่ะ”

                ฉันกรอกเสียงลงบนหูฟังให้ใครบางคนฟังผ่านแอปพลิเคชั่นยอดฮิตที่เรียกว่า สไกป์

                (แล้วเธอมัวคุยกับฉันทำไมหละ ก็ไปอ่านหนังสือซะสิ)

                เสียงคนปลายสายที่ตอนนี้กำลังนอนบนเตียงอย่างสบายอารมณ์ เพราะเขาเรียนจบแล้ว และตอนนี้ก็กำลังรอทางบริษัทที่ไปสมัครงานติดต่อกลับมา

                “นี่ จัสติน บีเบอร์ นายเป็นคนอยากคุยกับฉันเองนะ”

                (ขอโทษที แฮะๆ งั้นฉันควรวางดีไหม เธอจะได้ไปทำงานกับอ่านหนังสือไง)

                “ยังก่อนก็ได้ ตอนนี้เพิ่ง 6 โมงเย็นเอง พี่ฉันไปเข้าค่าย แม่ก็ไม่อยู่บ้านด้วย อยู่ด้วยกันก๊อนนนน พลีสสสส”

                (ฮ่าๆๆๆ เอางั้นก็ได้)

                “ว่าแต่ ที่นั่นกี่โมงแล้ว”

                ที่นั่นที่ว่า ก็คือ ประเทศบาร์ตัน จัสตินกลับมาบ้านเขาได้ประมาณเดือนนึงแล้ว เขาเรียนจบหลังจากที่ฉันกลับมาถึงไทยได้เดือนนึง ฉันอยากไปถ่ายรูปกับเขาตอนเขาใส่ชุดครุยจัง

                (เพิ่ง 9 โมงเอง)

                “ว้า...ห่างกัน 9 ชั่วโมงเลยหรอ”

                (...)

                คนปลายสายยิ้มเป็นคำตอบ

                (เออนี่ ตอนนี้เธอเรียนเกรดเท่าไหร่แล้วนะ ? เกรด 11 ป่ะ ?)

                “อ่อ..ใช่ๆ ทำไมหรอ”

                (คือ... ฉันได้ยินญาติฉันพูดถึงทุนหลวงของบาร์ตันน่ะ ก็ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกนะ คือ...แบบว่า...เอ่อ...)

                “นายกลายเป็นคนพูดอ้ำๆอึ้งๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

                (ฉันก็ต้องคิดไหมหละ ตอนนั้นไม่ค่อยตั้งใจฟังอยู่ด้วย)

                “อ่ะจ้ะๆ รอได้ถึง 2 ทุ่มนะวันนี้”

                ฉันแกล้งประชด และก็ส่งยิ้มกวนๆให้

                (อ่อ คิดออกละ ทุนนี้น่ะ เขาจะส่งเรียนตั้งแต่ม.ปลายถึงปริญญาตรีเลยนะ เทียบโอนเกรดได้ แล้วเค้าก็เปิดรับประมาณ 10 คน รับชาวต่างชาติด้วยนะ  ค่าสอบไม่แพงหรอก เธอลองไปสอบดูสิ)

                “เค้าสอบอะไรมั้งอ่ะ”

                (ก็เลือกสอบ TOELF ไม่ก็ TOEIC หรือไม่ก็ข้อสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษของบาร์ตันก็ได้ แล้วก็สอบวิชาภาคบังคับ ก็มี เหตุการณ์ปัจจุบัน เรียงความ แล้วก็ความรู้ทั่วไปน่ะ ไม่ยากหรอกนะ)

                “แล้ว 10 คนจากไหนอ่ะ ทั่วโลกหรอ ?”

                (ไม่ทั่วโลกหรอก แค่ประเทศที่ในกลุ่มการค้าเสรี ก็มี 30 ประเทศเอง)

                “นี่นาย ตลกละ ประเทศในกลุ่มนอกจากไทยก็มีสิงคโปร์ คนสิงคโปร์น่ะเก่งจะตายไป ยังไม่รวมญี่ปุ่นกับเกาหลีอีกนะ ฉันเทียบไม่ติดหรอก”

                (เธออย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นสิ ฉันว่าเค้าคงวัดจากเรียงความ ดูว่าทัศนคติเราเป็นยังไง เราแก้สถานการณ์ได้ไหม ลองไปสอบดู)

                “ฉันจะลองคิดดูก็แล้วกัน”

                (นี่...ฉันต้องไปแล้ว พอดีว่า...ต้องไปซื้อของน่ะ)

                “โอเค เออนี่ ฉันได้จดหมายจากนายแล้วนะ ยังไม่อ่านหรอก เพิ่งได้วันนี้น่ะ”

                (จริงๆแล้วมัน...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่เธอลองอ่านดูก็แล้วกันนะ แล้วก็ อย่าลืมคิดเรื่องทุนหลวงหละ ฉันอยากให้เธอไปสอบดูจริงๆนะ)

                จัสตินพูดด้วยเสียงจริงจังมาก จนฉันเองก็ค่อนข้างแปลกใจ เพราะเขาดูจะอยากให้ฉันไปสอบมากๆ

                “อืม...เดี๋ยวคิดดูก่อน ถ้ายังไงจะบอกนะ”

                จัสตินยิ้มเป็นคำตอบ แล้วเขาก็กดวางสายไป

               

                ด้านจัสติน

                หลังจากที่จัสตินวางสายจากคนจากแดนไกล เขาก็เดินลงมาที่ครัวเพื่อหาอะไรกิน

                “อรุณสวัสดิ์ครับแม่”

                เขาเอ่ยทักแพทริเซีย หรือแพตตี้ แม่ของเขาซึ่งพระชายาองค์ที่สองของเจ้าชายเจเรมี่ หรือพ่อของจัสติน เจ้าหญิงแพตตี้เดิมทีเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา แต่พระองค์เป็นพระสหายกับเจ้าชายเจเรมี่ตั้งแต่ตอนที่ทั้งคู่ยังทรงพระเยาว์ พอเจ้าหญิงอลิเซีย พระมารดาของเจ้าชายเบนจามิน สิ้นพระชนม์หลังจากคลอดเจ้าชายเบนจามิน เวลาผ่านไป 3 ปี เจ้าชายเจเรมี่จึงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแพตตี้ และก็มีจัสตินในที่สุด

                “ตื่นสายเสมอเลยนะเราน่ะ คิดว่ากลับจากอังกฤษแล้วนิสัยจะเปลี่ยนซะอีก”

                “โธ่...แม่ครับ นี่มันวันหยุดนะครับ”

                จัสตินไม่เคยเรียกแม่เขาว่า เสด็จแม่ เพราะแม่ของเขานั่นโตมาอย่างสามัญชน จึงเลี้ยงจัสตินมาอย่างคนธรรมดาคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจัสตินจะเป็นถึงเจ้าชาย และแม่ของเขาก็เป็นเจ้าหญิง แต่แม่ของเขาก็คิดว่า ยังไงซะตนเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่โชคดีได้มาแต่งงานกับเจ้าชาย

                “เออนี่ เสด็จย่าน่ะทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าตอนเย็นนี้นะ อย่าลืมซะหละ”

                “คร้าบ...ไม่ลืมหรอกครับแม่”

                จัสตินสวมกอดผู้เป็นแม่ก่อนจะแอบหยิบเบคอนกิน

                “นี่!

              “ก็ลูกหิวนี่ครับแม่ แฮ่ๆ”

               

                ตกเย็น

                ณ วังแบริตัน วังหลวงแห่งบาร์ตัน

                จัสตินมองออกไปนอกหน้าต่างของกระจกรถประจำตำแหน่งของเขาที่ผู้เป็นย่าส่งมารับ ทางเข้าวังเป็นสวนสวยสไตล์อังกฤษ มีริมน้ำเล็กๆ และข้างๆริมน้ำนั้นก็เป็นศาลาสำหรับจิบชายามบ่าย เพราะประเทศบาร์ตันเป็นประเทศเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากอังกฤษเท่าไหร่นัก จึงทำให้ได้รับวัฒนธรรมจากอังกฤษมามาก ไม่เว้นแม้แต่ตัววังที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในอีกด้วย

                จัสตินก้าวลงมาจากรถประจำตำแหน่งของเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัววังสีงาช้าง และก็มีสไตล์คล้ายๆกับวังบัคกิงแฮมของอังกฤษ เพียงแต่วังแบริตันมีอาณาเขตกว้างขวางกว่า และก็พื้นที่ของวังนั่นอยู่บริเวณนอกเมืองหน่อยๆ

                “ทางนี้พะยะค่ะเจ้าชาย”

                เอ็ดเวิร์ด คนสนิทของพระนางเจ้ามารีอานน่าเดินนำจัสตินเข้าไปยังห้องทรงงานของพระราชินีของประเทศ ระหว่างทางจัสตินสัมผัสได้ถึงหลายสายตาจากคนในวัง บางคนก็มองเขาด้วยความเคารพ บางคนก็มองเขาอย่าง...รังเกียจ

                เอ็ดเวิร์ดเองก็สัมผัสถึงสายตาเหล่านั้นด้วย เขาลอบมองหลานชายองค์เล็กของพระราชินี แม้จะเป็นเจ้าชายเหมือนเจ้าชายเบนจามินผู้พี่ แต่ 30% ของคนในวังไม่ชอบเจ้าชายองค์เล็กของเจ้าชายเจเรมี่ อันเนื่องมาจากชาติกำเนิดที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรนัก เพราะแม่เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา ไม่ได้มีฐานะมั่งคั่งหรือมีนามสกุลที่เก่าแก่ แล้วไหนจะเรื่องเมื่อหลายปีที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของราชวงศ์ไม่น้อยนัก เอ็ดเวิร์ดนั่นก็อดไม่ได้ที่จะสงสารเจ้าชายองค์นี้ เพราะทำงานรับใช้พระราชินีมาหลายปี ทั้งยังเห็นเจ้าชายองค์นี้มาหลายครั้ง จึงมองออกว่า การกระทำครั้งนั้นตัวของพระองค์เองก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์

                “ไม่เข้าไปด้วยกันหรอเอ็ดเวิร์ด”

                คนเป็นเจ้าชายเอ่ยถาม เพราะปกติแล้วเอ็ดเวิร์ดจะเข้าไปด้วยทุกครั้งที่เขาต้องเข้าพบผู้เป็นย่า

                “ไม่หรอกพะยะค่ะ พระองค์ท่านรับสั่งว่าจะขอคุยกับเจ้าชายเป็นการส่วนตัวพะยะค่ะ”

                จัสตินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินเข้าไป เอ็ดเวิร์ดจึงปิดประตูตามหลัง แล้วรอที่หน้าประตู

                “สวัสดีตอนเย็นครับเสด็จย่า”

                “อ้าว มาแล้วหรือ ย่าไม่ได้ยินเสียงประตู พอดีมัวแต่อ่านจดหมายของ (y/n) อยู่น่ะ นั่งลงสิ”

                จัสตินค่อยๆนั่งลงพลางถามด้วยความสงสัย

                “เธอ...ส่งมาหาเสด็จย่าด้วยหรือครับ”

                “ส่งสิ ย่าเป็นคนให้ที่อยู่กับเธอตอนที่หลานไม่อยู่น่ะ”

                “อ่อ”

                “เธอเขียนจดหมายได้ดีนะ เขียนได้ตลกดี ย่าเองก็หัวเราะไปหลายครั้งแล้วเหมือนกัน เด็กอะไร เข้าหาผู้ใหญ่ได้เก่งจริงๆ”

                คนเป็นย่าพูดพลางอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี จัสตินยิ้มตาม เธอเองก็ทำให้เขายิ้มทุกครั้งที่คุยด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะผ่านทางจดหมายหรือสไกป์ก็ตาม

                “เสด็จย่าเรียกเกล้าฯมาวันนี้ มีอะไรหรือครับ”

                พออยู่ในวังจัสตินใช้คำพูดกึ่งราชาศัพท์กับผู้เป็นย่าของเขา เพื่อแสดงถึงความเคารพและ...สิ่งที่แตกต่างระหว่างเขากับเจ้าชายเบนจามิน ผู้เป็นพี่

                “อ่อ ใช่ ได้บอก (y/n) เรื่องทุนหลวงหรือยัง? ”

                “บอกแล้วครับ เธอบอกว่าเธอขอคิดดูก่อน”

                “อื้ม...ถ้าเธอไม่ไปสอบ เราคงต้องใช้แผนสอง แต่ก็ต้องดูก่อน”

                “แผนสองที่ว่าคือ...?”

                “แผนสองก็คือ ย่าจะไปประเทศไทย ไปให้ทุนนั้นกับเธอด้วยตัวเองเลย”

                “เสด็จย่า ทำไมเสด็จย่าถึงอยากให้เธอมาอยู่กับเราด้วยขนาดนั้นหรือครับ ?”

                คนเป็นหลานเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

                “ย่าแค่อยากตอบแทนเธอที่ช่วยชีวิตย่าไว้ เพราะเธอเคยบอกย่าว่าเธออยากมาที่บาร์ตันมาก และอีกอย่าง ย่าก็อยากรู้จักเธอมากขึ้นอีกหน่อย”

                “อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วถ้าเธอมาที่นี่ จะให้เธอพักที่ไหนหรือครับ ?”

                “ถ้าย่าอยากให้อยู่วังหลังกับจัสและแพทริเซีย จัสขัดข้องอะไรหรือเปล่า ?”

                “เปล่าเลยครับเสด็จย่า ดีซะอีกจะได้เป็นเพื่อนคุยกับแม่ด้วย”

                “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เอาตามนี้ก็แล้วกันนะ อ่อ แล้วอีกเรื่อง ทางนั้นเขาถามย่ามา”

                “ทางนั้น ?”

                “ก็ท่านลอร์ดโทมัส กู๊ดส์ไง”

                พอได้ยินชื่อก็ถึงบางอ้อ คุยเรื่องแต่งงานสินะ

                “เรื่องนั้น เกล้าฯว่ามันยังเร็วเกินไป เกล้าฯเพิ่งเรียนจบได้ 2 เดือนเอง ยังอยากเรียนรู้งานให้มากกว่านี้”

                “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ย่าจะคุยกับทางนั้นให้ก็แล้วกัน”

                “เป็นพระกรุณามากครับเสด็จย่า”

                “ไหนๆวันนี้จัสก็มาแล้ว ทานอาหารเย็นด้วยกันสิ นานๆทีจะได้ทานอาหารพร้อมกันย่าหลาน”

                “ได้ครับเสด็จย่า”

                จัสตินลอบถอนหายใจหลังจากที่ตอบรับคำของย่าของเขาไป

                คงต้องทนสายตาคนในวังนี้อีกแล้วสินะ... 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×