ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1D: Still the one (One direction fanfic)

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ค. 56


    Prologue
     

              บรรยากาศยามเย็นของวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าสีทองที่บ่งบอกว่าอีกไม่นานค่ำคืนจะมาเยือน มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งอายุประมาณ 5 ขวบ กำลังปีนไปนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่เพื่อชมความงามของท้องฟ้ายามเย็น นัยน์ตาสีฟ้าขุ่นๆที่มาพร้อมกับผมสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้ามอมแมมที่ไม่ช่วยให้ความน่ารักของเธอลดน้อยลงไปเลย เธอปีนขึ้นมาบนกิ่งไม้ที่เป็นที่ประจำของเธอ โดยไม่รู้เลยว่าเธอจะเจอกับอนาคตของเธอที่นี่

                    และสิ่งที่เธอเจอเมื่อเธอปีนขึ้นมาบนกิ่งไม้ใหญ่ นั่นก็คือ เด็กผู้ชายนัยน์ตาสีฟ้าสวยที่มาพร้อมกับผมสีน้ำตาลเข้ม

                    “นายเป็นใคร”

                    เธอถาม

                    “แล้วเธอหละเป็นใคร”

                    เด็กชายถามกลับ

                    “นี่เป็นที่ประจำของฉัน ฉันไม่คิดว่าจะเจอใครบนนี้”

                    เธอทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อที่ที่เป็นของเธอกลับมีคนมานั่งโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากเธอ

                    “อ่อ ขอโทษทีนะ”

                    “ไม่เป็นไรหรอก นั่งไปเถอะ ฉันอยากมีเพื่อนคุยอยู่พอดีเลย”

                    เมื่อรู้ว่าเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของเด็กชายแสดงความผิดหวังออกมา เธอก็พูดแบบนั้นออกไปเพื่อรักษาน้ำใจ แต่จริงๆแล้วเธอก็อยากมีเพื่อนคุยนั่นแหละ

                    “วิวสวยจังเลย”

                    เด็กชายพึมพำเบาๆ หลังจากที่เด็กหญิงปีนมานั่งข้างๆเขาเรียบร้อยแล้ว

                    “ใช่ ฉันมาดูทุกวันเลยหละ ฉันชอบวิวตรงนี้ที่สุดแล้ว”

                    เสียงใสๆของเด็กหญิงตอบไป

                    “อ่อ ฉันลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อแอมเบอร์ลีย์ แคลร์ กรีนส์”

                    เธอหันไปบอกเด็กชาย

                    “ชื่อเธอน่ารักจังเลย ฉันชื่อ ลูอิส ทรอย ออสติน”

                    เด็กชายหันไปตอบเด็กหญิง และยิ้มให้เธอ

                    เด็กสองคนยิ้มให้กันอย่างเนิ่นนานบนต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางท้องฟ้าสีทองยามเย็นในฤดูใบไม้ผลิ

     

                    ฉันลืมตาขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง บิดขี้เกียจ ลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัวและออกไปทำงานเหมือนทุกวัน

                    ฉันชื่อ แอมเบอร์ลีย์ แคลร์ กรีนส์ หรือแอมเบอร์ลีย์ หรือแอมเบอร์ แล้วแต่คนจะเรียก ฉันเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ อันที่จริงแล้ว พ่อกับแม่ฉันเป็นลูกครึ่งอังกฤษทั้งคู่ นั่นหมายความว่า 50% ในตัวฉันเป็นอังกฤษ ยังไงซะฉันก็เป็นลูกครึ่งอังกฤษนั่นแหละ ฉันเป็นหมอเฉพาะทางในรพ.ที่หนึ่งในลอนดอน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ประเทศไทย และก็ทำเรื่องมาเป็นหมอที่ลอนดอนเพราะอยากอยู่ใกล้บ้าน จริงๆแล้วบ้านฉันก็ไม่ได้อยู่ที่ลอนดอนหรอกนะ แต่อยู่ดอนแคสเตอร์ แต่ที่นี่เค้าต้องการหมอเฉพาะทางแบบฉัน ฉันก็เลยย้ายมาที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวยังไงก็ค่อยย้ายไปที่ดอนแคสเตอร์อีกทีนึง

                    “อุ้ม เดี๋ยวพี่กำลังจะไปทำงานแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันนะน้องรัก”

                    (จ้ะ ตั้งใจทำงานนะพี่ฟ้า เดี๋ยวอุ้มกลับคอนโดก่อน)

                    “ย่ะ บาย”

                    ฉันวางสายจากน้องสาวสุดที่รักของฉันที่ทำงานอยู่ที่ไทย ยัยแคร์รอไลน์ หรือแครรี่ หรือชื่อไทยก็คือ อุ้ม แม่ฉันเป็นคนที่ชอบตั้งชื่อเล่นลูกเป็นชื่อไทย เพราะมันเท่มั้ง แม่บอกว่า เอาไว้เรียกกันในครอบครัวดูอบอุ่นดี ส่วนชื่อไทยของฉันก็คือ ฟ้า

                    ฉันเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มองเห็นสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆรพ. ฉันเป็นหมอที่นี่มา 5 เดือนแล้ว ฉันยังไม่เคยมาเดินเล่นที่นี่เลย

                    โครม!

                มีรถคันหนึ่งสวนมาทำให้ชนรถฉัน รู้สึกว่าไฟหน้าจะแตกนะ

                    ม่ายยยยยยย !!! น้องบีเอ็มของฉัน ไม่นะ ฉันเพิ่งถอยมาไม่ถึงเดือนเลย โธ่...น้องบีเอ็มของพี่ฟ้า

                    ฮึ่ย! ใครมันกล้าชนรถฉัน แม่จะเหวี่ยงให้เต็มที่เลย

                    “นี่นาย ขับรถภาษาอะไรเนี่ย!

                ฉันลงไปด่าเจ้าของรถที่ชนรถฉัน หลังจากที่เราทั้งคู่เลื่อนรถมาที่ข้างทาง

                    “แล้วเธอหละ ขับมายังไงเนี่ย ไม่เห็นไฟแดงหรือไง”

                    เขาลงรถมาสวนฉันกลับ เขายังคงใส่แว่นกันแดดไว้เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แดดก็ไม่มี

                    “ก็มันยังไฟเหลืองตั้ง 3 วิ นายนั่นแหละทำไมกล้าฝ่าไฟแดงมา ห๊ะ!

                “ก็มันจะเขียวแล้ว”

                    เขาเสียงอ่อยๆลงเมื่อรู้ว่าฉันเป็นฝ่ายถูก

                    ฉันเลยโทรไปเรียกประกันให้เอารถฉันไปซ่อม 

                    “ให้ตายเหอะ คนอะไรทำผิดแล้วไม่รู้จักขอโทษ”

                    ฉันสบถขึ้นมาเบาๆระหว่างรอประกันมาเอารถไปซ่อม แต่เหมือนว่าคู่กรณีฉันจะได้ยินซะด้วย

                    “นี่เธอ ฉันก็ไม่ผิดคนเดียวหรอกนะ”

                    “แต่นายก็ควรจะขอโทษบ้างนะ”

                    กริ๊งงง กริ๊งงงง

                    เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ฉันทำให้ฉันละความสนใจจากคนตรงหน้ามารับโทรศัพท์

                    “ฮัลโหล”

                    (หมอแอมเบอร์ลีย์อยู่ที่ไหนแล้วค่ะ อีก 10 นาทีมีผ่าตัดนะค่ะ)

                    เสียงคุณพยาบาลมาเรียทำให้ฉันเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าอีกไม่นานฉันต้องไปผ่าตัด

                    “โอ๊ะ ตายแล้ว ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ อีกไม่เกิน 10 นาทีถึงแน่นอนค่ะ”

                    (ค่ะหมอ)

                    หลังจากที่คุณพยาบาลกลอเรียวางสายไปแล้ว ฉันหันหลังจะวิ่งไป แต่ก็มีมือใหญ่มาคว้าฉันซะก่อน

                    “เดี๋ยว นี่เธอไม่ได้เสียหายคนเดียวนะ รถฉันก็บุบเหมือนกัน”

                    “รถนายไม่มีประกันหรือไง”

                    “มี แต่ฉันก็ต้องรอเหมือนกัน”

                    “แต่ฉันต้องไปทำงาน”

                    ฉันพูดเน้นๆ เพราะจากการแต่งตัวด้วยเสื้อลายทางและกางเกงยีนส์ของเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นคนว่างงาน

                    “ฉันก็ต้องไปธุระเหมือนกัน”

                    “ฉันไม่สน แต่งานของฉันสำคัญกว่า”

                    “ธุระของฉันก็สำคัญเหมือนกัน”

                    ฉันเบื่อที่จะเถียง ฉันเลยรีบๆตัดบทให้จบๆ

                    “ฉันต้องรีบไปทำงาน แค่นี้หละ บาย”

                    ฉันโบกมืออย่างรวดเร็วและวิ่งพรวดพราดออกไปจนเขาตะโกนอะไรก็ไม่รู้มาตามหลังแต่ฉันก็ไม่ได้ยิน

                    ระหว่างที่วิ่งฉันก็โทรไปบอกประกันของฉันว่า ให้เอารถฉันไปซ่อมได้เลย ฉันต้องรีบไปทำงาน ทางประกันเค้าบอกว่า เดี๋ยวจะติดต่อฉันมาอีกทีนึง

                    ฉันรู้สึกอารมณ์เสียสุดๆเลย แต่งานฉันมันสำคัญกว่า ฉันต้องรีบไปช่วยชีวิตคนไข้ของฉัน


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×