ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chess : [Lycanthrophy]

    ลำดับตอนที่ #4 : Chess : [Lycanthrophy] _ แขกผู้มาเยือนยามราตรีกาล

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 51



              ดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นหรากลางนภามืดกำมะหยี่  เสียงลมหวีดหวิวผ่านเป็นระลอกเรื่อยไป  ปัดให้กิ่งไม้ใบเสียดสีกัน  พร้อมพาใบแห้งลอยไปด้วย  ประดุจเป็นเสียงเพลงบรรเลงจากธรรมชาติ…  แล้วเสียงผู้ร้องไม่พึงประสงค์จะฟังก็ขับขานขึ้นตาม…

              “พี่อัฟฟาถึงรึยังอ่ะ~”  เด็กหนุ่มผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลเข้มซอยประบ่านาม ‘ราฟว์’ เอ่ยบ่นพรึมเป็นรอบร้อยกว่า  มือก็บ่ายเบี่ยงเหวี่ยงแหวกกิ่งต้นไผ่  แล้วช้อนขาเดินแทรกผ่าน
     
              “ใกล้แล้วน่า”  อัฟฟาตอบอย่างอิดหนาระอาใจ  เหนื่อยก็เหนื่อย  เหนื่อยที่จะเดิน เหนื่อยที่จะฟัง  เหนื่อยที่จะตอบ  รวมกันเป็นเหนื่อยยกกำลังสาม  คิดแล้วก็เหนื่อยอีกรอบ  จนจำต้องถอนหายใจระบายออกมา  ค่อยแหวกไม่ไผ่เดินเข้าไปต่อ

              “อีกนิดที่ว่าน่ะ  กี่กิโล  กี่เมตร  กี่เซน  กี่มิล  กันเล่า”  ราฟว์บ่นคราง

              “โว้ย !  พอเข้าไปถึงใจกลางดงไผ่นี่ก็ถึงแล้วน่า  มีแรงมาบ่นก็หัดแบ่งแรงมาเดินซะ !! “  น้ำเสียงตัดพ้อตวาดใส่ในรวดเดียว  เล่นเอาคนไร้แรงเงียบกริบไปฉับพลัน   แต่ยังมิวายส่งคำระคายหูบ่นงุงิแว่วมา  “ใจร้าย~”


    _______________________________________________________________________________________



    Chess : [Lycanthrophy]

                      แขกยามราตรีกาล


    _______________________________________________________________________________________



              นัยน์ตาน้ำตาลเข้มคมสำรวจสภาพอีโก้ตน  เสื้อตัวเก่งจากเคยยุ่งเหยิงอยู่แล้ว  ยิ่งเพิ่มดีกรีด้วยรอยข่วน  แถมใบไผ่เกาะซะเต็มตัวทั่วหัว  นึกพลางก็ปัดๆเอาเสื้อให้เรียบๆอย่างขอไปที  ค่อยแกะเศษใบไผ่ออก  ใจก็หวังแต่อย่าให้หนอนไผ่ติดมา  ไม่งั้นเขาคนหนึ่งล่ะที่จะไม่คิดเหยียบที่แห่งนี้เป็นครั้งที่สอง 

              ขณะนี้พวกเขาเข้ามาใจกลางของดงไผ่  สถานที่ซึ่งได้กางวงแหวนเวทไว้

             [วงแหวนเวท]  สำหรับความคิดของเด็กชาย  นั่นคือสิ่งช่วยลดระยะทางสถานที่ได้  หรือคล้ายประตูมิติอันจะโผล่ที่ไหนก็ได้  ติดก็แต่ต้องมี’ตัวเชื่อม’   และการที่ราฟว์จะไปต่างมิติได้  ในขณะที่คนอื่นไปไม่ได้นั้นไม่แปลก   เพราะ ‘ครึ่งร่าง’ ย่อมเรียกหา ’ครึ่งร่าง’ ด้วยกัน  ตัวเชื่อมคราวนี้คือร่างของเด็กชายนั่นเอง

              แต่สิ่งที่เขางงน่ะคือ...  ทำไมเขาถึงมีครึ่งร่างที่ต่างมิติล่ะ ?   ถามใครก็เอาแต่อมภูมิซะจนขี้เกียจซัก

              “เข้าใจรึยังราฟว์”   อัฟฟาเปรยเรียบๆขึ้น   ก่อนเดินไปอีกทาง

              ราฟว์พยักหน้า  ความหมายที่พี่อัฟฟาอยู่ๆก็พูดขึ้นเขาเข้าใจ  …ทำไมจึงมาตั้งไว้กลางดงไผ่

              ก็จะอะไรนอกจาก...  ที่นี่เป็นที่ราบกว้าง  แสงจันทร์ก็สาดส่องเข้าหาได้สว่างพอ  และพื้นที่ก็ใหญ่พอจะกางวงแหวนเวทย์รูปดาวห้าแฉกมีอักขระโบราณภายใน ทั้งนี้ทั้งนั้นคือกลางดงไผ่หนามันซ่อนความลับได้  หากไปกางที่อาณาจักรรั้นแต่จะยื่นข้อมูลให้ศัตรูที่ทำเนียนมาแฝงอยู่ด้วย  ซ้ำยังเนื้อที่คงไม่มากพอ 

              ถึงเหตุผลจะเข้าท่า  กระนั้นความคิดส่วนลึกของเด็กหนุ่มยังแย้งไม่เข้าที…

              “ว่าแต่ท่านอากับคนอื่นๆล่ะฮะ”  ราฟว์เอ่ยถามหลังจากไม่สังเกตเห็นใครนอกจากพวกเขา

               “กลับไปแล้วล่ะ”  อัฟฟาตอบ  ครั้นเห็นหน้ามุ่ยไม่พอใจของเด็กชายจึงรีบช่วยแก้ตัวให้  “พวกท่านก็มีงานของพวกท่านนี่ราฟว์”

               ราฟว์พยักหน้าน้อยๆ  ก่อนดักคอคนเป็นพี่  “ถ้าให้ผมเดาพี่ก็ต้องพูดว่า  ‘และพี่ก็มีงานของพี่  เพราะฉะนั้นรีบๆเข้า’  ใช่เปล่าฮะ  หึๆ”

               อัฟฟายิ้มหมั่นไส้  เอ่ย  “สู่รู้ “

              “แหม  เค้าเรียกว่ารู้เขารู้เราต่างหากฮะ”  ราฟว์แก้  จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าใจกลางวงแหวนเวทโดยดุษฎี  พร้อมยืนนิ่งๆอย่างรู้งาน

              “อวยพรให้โชคดีนะ”  อัฟฟากล่าว  ยิ้มให้

              “ฮะ”

              “แล้วอย่าไปร้องไห้นั่งเหงากอดเข่าจุ๊มปุ๊ล่ะ”

              ราฟว์หน้าบึ้งฉับพลัน  มองคนดีแตกตาเขียว  “สู่รู้”

              “อ่าว  เค้าเรียกรู้เขารู้เราไม่ใช่เรอะ” 

              ราฟว์แยกเขี้ยวใส่กับคำย้อนที่ไอ้พี่ตัวดีทำได้แสบพิลึก  แต่ก่อนจะได้เถียงกลับ…

              แสงเรืองรองสีทองก็สว่างจ้าขึ้นจากพื้นเป็นรูปวงแหวนเวท  เด็กชายยิ้มให้คนเป็นพี่  ก่อนใบหน้านั่นจะเลือนลางหายไปพร้อมกับแสงทอง

              ข้ามไปสู่มิติที่เด็กหนุ่มไม่รู้จัก….




              มืด…  ?

              แหงล่ะก็เปลือกตาเขายังประกบกันอยู่นี่  เตือนความจำจบก็เผยอเปลือกตาออก  หมายเหลือบแลสภาพแวดล้อมอีกครั้ง

              ก็ยังมืด…  ?

              ราฟว์หัวเราะแค่น  ชักหงุดหงิดทั้งขำขันในชะตา   …นี่ไอ้เจ้ามิตินี้มันเล่นละครจำอวดอะไรวะ

              เด็กชายหลับตาพริ้มลง  ก่อนจะปรือเปิดขึ้นมาอีกหนอย่างเอื่อยๆ  ปรับนัยน์ตาคมให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

              มันเป็นห้องมืดๆ  กลิ่นฝุ่นฟุ้ง  แถมยังมีลังกระดาษวางเอกเหรกเกะกะทางเดิน

              รำพันพลาง  ราฟว์ก็ค่อยก้าวข้ามลังกระดาษเข้าหาประตู

              “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด !!!!”

              เสียงกรีดร้องลั่นมามิได้นัดหมาย  จนเจ้าตัวเกือบร้องว๊ากตาม  กระนั้นหัวยังจำเซถลาเพราะเสียงแล้วโขกพื้นไป

              อ…ไอ้มิตินี่ !

              ราฟว์รำพึงเสียงสั่นด้วยความหงุดหงิดขณะกำลังพยุงตัว  ก่อนจะได้โพล่งพล่ามยาดเหยียด   เสียงเดิมก็แว่วเข้าหู

              “ทริชๆๆๆ  อยู่ไหนเนี่ย  มานี่หน่อย  อะไรก็ไม่รู้อยู่ใต้เวที  ทริช”

              ราฟว์ลุกขึ้นผ่อนลมหายใจ  คลำหัวปูดๆแล้วยิ่งหน้าบึ้ง   ตามปกติเด็กหนุ่มจะกระทึบเท้าเดินประชด  แต่ตอนนี้จำต้องเก็บไว้ก่อนหากยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาแอบเข้ามา (โดยไม่ได้ตั้งใจ)   แล้วใจฝ่ายดีก็ชักนึกสงสารเจ้าคนชื่อ ‘ทริช’  ต้องไปดูแลสาวเจ้า  น้ำเสียงงี้เสียดหูชะมัด   ตัดกับใจฝ่ายร้ายกำลังนึกสมน้ำหน้าไอ้เจ้านั่นอยู่ 

              ราฟว์หมุนลูกบิดประตูเบาๆ  แง้มไว้นิดๆ  นัยน์ตากวาดมองซ้ายขวา  ทางด้านหน้าสว่างด้วยหลอดไฟ

              ไม่มีใคร…

              เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มซอยประบ่าวิ่งออกไปจากห้องเก่า  เลี้ยวขวาหาหน้าต่าง




              เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นวิ่งออกมาจากห้องข้างๆ  ตรงเข้าหาเวที

              “มาแล้วครับๆ”  ผมร้องร้องขึ้นหลังจากได้ยินเสียงเจ๊หลี่  พร้อมๆกับการวิ่งหอบมาด้วยใจกลัวสาวเจ้าจะตะเบ็งเสียงอีกครั้ง  นึกใจชื้นเนื่องโรงละครกายกรรมแห่งนี้ไม่อยู่ในตัวเมือง  มิเช่นนั้นคงปลุกคนไปแล้วสามบ้านแปดบ้าน

              “มีอะไรเหรอครับเจ๊หลี่”  ผมถามมองไปยังสีหน้าซีดเซียวของคู่สนทนา

              “ก…ก็อะไรไม่รู้อยู่ใต้เวทีนั่นน่ะ   ทริชลองก้มดูซิ”  หล่อนพูดพลางชี้นิ้วอันยังสั่นระริกลงไปที่ใต้เวทีใหญ่เบื้องหน้า 

              ผมขมวดคิ้วมุ่น  รู้สึกงุนงงอยู่ซักพัก  ก็ยอมก้มลงมองตามเจ๊หลี่    มือกร้านเข้าถลกผ้าสีแดงออกเผยสถานที่ใต้เวทีหลงแดง

              [เวทีหลงแดง]   เป็นชื่อร้ายกายกรรมที่ผมทำงานอยู่  แม้ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง  แต่ผู้ชมก็นิยมชมชอบมาดูการแสดงร้านเรา  วันธรรมดาจะปิดกิจการสามทุ่ม  ในขณะที่ตอนนี้สามทุ่มกว่า  นักแสดงกายกรรมอย่างผมก็ช่วยทำความสะอาดโรงกายกรรมแห่งนี้ร่ำไป

              ผมมองเข้าไปในความมืดใต้เวที  เห็นแสงเหลืองนวลเล็กๆทำให้ผงะ  ก่อนเสียงขู่ฟ่อจะตามมา

              แมวนี่เอง…

              ทริชยื่นมือเข้าไปกวักเรียก  “จุ๊ๆมานี่เร็วเจ้าเหมียว”

              เจ้าแมวเดินตามมาอย่างว่าง่าย  เด็กชายอุ้มมันไว้ให้เจ๊หลี่ดู  “แค่แมวเองฮะ  ไม่มีอะไรหรอก”

              เจ๊หลี่ถอนหายใจโล่งอก  แต่ก่อนจะได้กล่าวขอบคุณ  เสียงแหบแห้งร้อนรนของชายชราก็ตะโกนขึ้นมาต่อ  “อาทริชอ่า  เห็งเจ้าเหมี๋ยวลูกอั๊วรึเปล่า”  สิ้นเสียงก็ปรากฏชายชราสวมแว่นเค้าหน้าจีน

              “เอ่อ  ใช่นี่รึเปล่าฮะลุงกี่หลิม”  ทริชว่าพลางชูเจ้าแมวกำลังร้องเหมี๋ยวรับ

              “โอ่  ใช่แล้วๆหาตั้งนาง  เจ้าเหมี๋ยวลูกรักเอ๊ย”  กี่หลิมว่าพลางเข้าไปฉวยแมวในมือทริชปานสายฟ้าแลบ  พร้อมร่ายคำคิดถึงหวานแหว๋วกอดแมวในมือแน่น  ในขณะที่คนชมนอกสนามเริ่มหนาวกับลมพัดเข้าแล้ว…

              “งั้นผมขอตัวกลับก่อนเลยนะฮะ   ลุงกี่หลิมจะไปด้วยกันไหม”   ทริชถามขึ้น

              “ไม่ล่ะๆ  ลื้อไปก่อนเถอะ  ไว้จัดการกวาดที่นี่อีกหน่อยอั๊วจะตามไป”  กี่หลิมว่า  ก่อนเสริมเตือนอย่างเช่นเคย  “ลื้อกลับไปก็รีบอาบน้ำนอนซะล่ะพรุ่งนี้ไปโรงเรียนจะได้ไม่ง่วง” 

              “ครับ”  ทริชโค้งคำนับ  ก่อนวิ่งออกจากโรงละครไป   




              ช่องทางสัญจรอันขนาบไปด้วยกำแพงสูงใหญ่  อีกด้านเป็นรั้วตื้นๆกั้นระหว่างป่าและถนน  เสียงเห่าหอนของสุนัขทำให้บรรยากาศราตรีนี้วิเวกวังเวงนัก  แม้ว่าเสาไฟฟ้ายังคงทำหน้าที่ให้แสงไฟของมันตามระยะห่างเรียงรายกันไปก็ตาม

              ถนนนี้ซึ่งตอนกลางวันมักครื้นคึกไปด้วยผู้คน  ช่างต่างกับกลางคืนราวพลิกฝ่ามือ  และวิเวกมากขึ้นเมื่อเสียงสะท้องของรองเท้าผ้าใบก้องขึ้น  แล้วเสียงหอบก็กระชันตาม

              ระยะทางที่เขาวิ่งมาก็ไม่น้อยแล้ว  ส่งผลให้เหงื่อไรไหลลงอาบเนื้อตัวซะเหม็นกลิ่น  เห็นทีงี้ต้องรีบอาบน้ำแล้วนอนเสีย  เพราะถึงยังไงพรุ่งนี้ยังต้องไปโรงเรียนอยู่ดี

              แล้วความคิดเด็กหนุ่มก็สะดุด…

              หลอดไฟนีออนเบื้องหน้าปรายแสงปรากฏกลุ่มบุคคลออกมาจากเงาสลัว

              “นี่ไอ้หนู  เลิกงานแล้วเหรอจ๊ะ”  น้ำเสียงที่จงใจดัดแหลมฟังอู้อี้เยาะเย้ยจากชายผิวสีโอวันติล

              และทริชก็จำคนๆนี้ได้  พวกมันคือคู่อริคณะโรงละครแสดงกายกรรมเรา  ซึ่งปัจจุบันถูกยุบไปนานแล้วเนื่องจากเคยเกิดเหตุวิวาทกันเองครั้งใหญ่  ลูกน้องจึงไม่พอจะเปิดการแสดงได้  ต่อมาพวกมันจึงมักสร้างความเดือดร้อนให้กับคณะเราไม่มากก็น้อย   แต่นี่ก็หายไปสองปีแล้วนี่  แล้วทำไมมาโผล่เอาตอนนี้   และเขานี่ช่างซวยจริงๆดันมาเจอในเวลาไร้คนข้างๆกายแบบนี้ซะได้   เห็นอยู่เต็มตาว่าเสียเปรียบเรื่องจำนวนคน   เด็กหนุ่มจึงไม่คิดมีเรื่อง…

              “ครับ"  ทริชเอ่ยตอบสุภาพ  จากวิ่งหนักๆกลายเดินเอื่อยๆ  ค่อยเลี่ยงเดินหนีไปอีกทาง

              ชายชราร่างบึกบึนหวดไม้เบสบอลในมือเข้าให้ !

              ปึก !

              ไม้เบสบอลเข้ากระแทกกับกำแพงส่งผลให้เศษคอนกรีตร่วงกราวอยู่ต่อหน้าทริช  และหากทริชไม่สายตาไวรับรู้ถึงมัน  เมื่อครู่หัวเขาคงได้เป็นอย่างกำแพงนี่แน่แท้ 

              “ถุย ! พลาดว่ะไอ้ผิวขี้โคลน”  บุคคลเบื้องหลังถ่มน้ำลายประณามใส่  หัวเราะสัพยอกหยามกันซึ่งหน้า  “ก๊ากๆๆ  ฮ่าๆๆๆ  กับแค่เด็กเมื่อวานซืนคนเดียวมันหนักหนานักรึไงไอ้โครตโง่ ! ไปกินหญ้าไป๊ !!”

              คิ้วทริชกระตุก  เริ่มมีอารมณ์ฉุน  เด็กหนุ่มไม่นึกถูกใจกลุ่มคนกักฬะเหล่านี้เลย  ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงแข็งเรียบกว่าเก่า  “ขอทางด้วยค… ”

              หมัดหนักซัดเข้าปากทริชจนหน้าหัน !   เกิดเสียงปะทะลั่นบ่งความแรง  ชายผู้ชกหัวเราะเยาะส่งสายตาดูแคลนใส่

              ทริชก้มหน้า  ขยับมือปาดเลือดบริเวณปาก  แล้วถมน้ำลายเจือกับเลือดลงพื้น

              ผวั๊ะ !   ไม่ทันให้ตั้งตัวทริชกระโจนตัวเข้าต่อยกลับ   ใส่แรงมากพออัดคนตัวโตล้มกระแทกพื้น   ก่อนงัดเท้าเข้าเตะศรีษะให้พลิกคว่ำอีกครั้ง  

              เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนตรงหน้า  อารมณ์กรุ่นภายในภายนอกยังคงไว้ซึ่งสีหน้าเรียบเย็นนัก  เด็กหนุ่มมองไปยังชายหลายคนเบื้องหน้า  ก่อนเบนกลับมามองยังชายผู้สลบเหมือดอยู่ข้างๆเท้าเขา   จากนั้นจึงมองกลับไปที่เดิม   ก่อนยักคิ้วยั่ว

              ซึ่งกระตุกเส้นอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามได้จังงัง !

              ชายหนุ่มร่างใหญ่เบิกตาโพลง   มันกัดฟันกรอด  แค่นเสียงรอดไรฟัน  “ไอ้เด็กอวดดี !!”   ท่าทางคุมเชิงราวหัวโจก  อึดใจต่อมาก็โพล่งขึ้นประกาศสั่งลั่น  “พวกมึง ! เล่นให้ไอ้เด็กบ้านี่รู้ฤทธิ์กู !!!”

              ลูกน้องข้างๆตัวชายผู้นั้นกังขาอยู่ชั่วครูก่อนออกตัววิ่งไป  เพราะหากพวกมันยังริคิดต่อต้านจะโดนเฆี่ยนเอาเสียเอง

              “ชิ”  ทริชเดาะลิ้นหงุดหงิด  ยามปกติเข้าเป็นคนไม่ต่อยตีใครง่ายๆ  แต่นี่เป็นถึงคู่อริของคณะกายกรรมที่กำลังทำงาน   รวมถึงการที่พวกมันมาแหย่งดึงหนวดเสือเล่นเข้าก่อนเอง  และดูท่าคงเป็นคนที่สร้างความเดือนร้อนให้สังคมอีก  เขาจะจัดการให้ตำรวจบ้างเสียหน่อยก็คงไม่ผิดหรอกนะ…    มั้ง ?
      
              ชายผมทรงแอร์โฟรว์วิ่งเข้าหา  ถึงระยะถนัดตัวก็หวดเท้าเข้าใส่ !  ทริชหงายหลังหลบพร้อมจับขาพลิกหมุนทันที   หางตาก็เหลือบแลเห็นหมัดขวาอยู่ลิบๆ   เด็กชายรีบพาร่างโยกตัวหลบ  แต่ก็มิวายหมัดเฉี่ยวหน้าไปเกิดรอยถากเลือดซิบเล็กๆ

              “ไอ้เด็กบ้าจับขากู !! ”  ชายทรงผมแอร์โฟรว์พล่ามออกมาพร้อมยืนขึ้น    

              รองเท้าผ้าใบเข้าปะทะหน้าเต็มแรง !   อย่างที่ชายคนนั้นต้องตาเหลือกขึ้นเลือดกำเดาไหล แล้วหงายหลังล้มลง

              “ไอ้โง่เอ๊ย !! ”  ชายผู้ส่งหมัดประณามด่า  ก่อนจะส่งหมัดเข้าลำตัวทริช   เด็กหนุ่มยกศอกขึ้นป้อง

              ปึก !  เกิดเสียงปะทะลั่น  ความรู้สึกเจ็บสะท้านเข้าตรึงใจกระนั้นก็ไม่ยอมหยุด  ทริชส่งหมัดเสยคางเข้าให้

              ฟึ่บ !

              เสียงวาดผ่านอากาศดังเขาหูเด็กชาย  ไม่รีรอให้สมองตรองไตร่ว่าเป็นอะไร 
    ทริชรีบฉุดชายคนที่เขาเสยคางหมุนไปทางที่เกิดเสียงนั่น

              เพี๊ยะ  !

              แส้ดำเข้าหวดสะบัดกับร่างชายผู้รองรับ  “อั่ก ! ”  มันครางพร้อมตาถลนออกมาด้วยความเจ็บ  ก่อนจะถูกทริชโยนทิ้งไปอีกด้าน  เมื่อพิจารณาถึงความคล่องตัวหากยังต้องแบกชายมากน้ำหนักไปแบบนี้

              “ไอ้หนู ! มึงหาเรื่องผิดคนแล้ว !!! ”  ชายผู้กุมแส้ และเป็นถึงหัวโจกเรื่องกล่าววาจาดังสะท้าน  พร้อมสะบัดแส้หวดเข้าให้ตรงหน้าทริช

              เด็กชายรีบกระโจนหลบไปอีกทาง  กระนั้นก็มิอาจหลบพ้นคมแส้ได้  มันถากเข้าไหล่ขวาเขาซะเสียการทรงตัว

              ร่างของเด็กหนุ่มสะบัดเข้าตามแรงปะทะ  ก่อนเซล้มลงหาพื้นคอนกรีต  ซึ่งยังดีที่ทริชเอาฝ่ามือยันกายไว้ก่อน  หน้าจึงไม่คะมำลงพื้น 

              ฉับพลัน !

              เงาดำตะคั่วผุดออกมาด้านหลังเด็กหนุ่ม !    ความมันวาวจากขวดเหล้าที่มันยกขึ้นประสานเหนือศรีษะล้อแสงจันทร์เล่น   ทริชสะดุ้งเบิกตาโพลง  กลอกนัยน์ตาไปสุดหางตาแลดูด้านหลังด้วยใจระส่ำ   ไม่ทันให้ทำอะไรต่อมันริดแรงกระชับขวดเข้าทุบหัวเด็กหนุ่มทันที !!

              เพล๊ง !  เสียงแก้วแตกดังมาพร้อมเศษแก้วปลิวว่อน  แอลกอฮอล์ถูกเทระลอกออกไหลลงสาดเปียกเสื้อทริช

              ยังดีแค่โดนสาด…  เมื่อช่วงวินาทีจับจิตเด็กหนุ่มดึงสายตากลับ กลิ้งตัวหลบไปกับพื้นทัน   เพียงไม่สามารถหลบน้ำเหล้ากระเซ็นได้ 

              เจ้าคนตัวเตี้ยผู้ฉวยโอกาศสถบอย่างเสียดายสุดซึ้ง

              แล้วเด็กหนุ่มก็จำต้องพลิกตัวหลบอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคมแส้แหวกผ่านอากาศแว่วหู   เพี๊ยะ !   แส้เข้าหวดใส่พื้นคอนกรีทแทน  

              ทริชรีบดีดตัวลุกขึ้น  ริมฝีปากเม้มแน่น  เขม้นตามองคนสองรุมหนึ่ง  ทั้งยังมีอาวุธ   ซึ่งตัวเขายามนี้ไม่มีแม้แต่ท่อนไม้สักท่อน  หากไม่นับ…

              “ช่วยไม่ได้แฮะ”  ทริชเปรยเสียงเบาราวกระซิบกับตนเอง

              “บ่นพึมพำอะไรว่ะ !!! ”  ชายร่างโตตะคอกพร้อมหวดแส้เข้าใส่ !

              ทริชเพ่งสายตาแน่วแน่  นิ้วมือกระตุกเล็กน้อย 

              หมับ !   ข้อมือทริชจับปลายแส้แน่น  เด็กหนุ่มไม่ปล่อยโอกาศให้ชายผู้ถือแส้ได้ตกใจนาน  เขารีบรุดเข้าวงใน  ก่อนชกเข้ากลางลำตัวเสียงสะท้าน !!

              “อุก ! ”  ชายร่างใหญ่คราง  พร้อมสำรอกน้ำลากออกมา  เจ็บจุกจนต้องโก่งตัว  ไร้เรี่ยวแรงจะหนีแม้คนชกจะยังอยู่ตรงหน้า

              “ผมก็แค่พูดว่า… ช่วยไม่ได้ที่ผมจะชนะ”  สิ้นเสียงทริชปล่อยกำปั้นตะบันเข้าให้ตรงโหนกแก้มเสียหน้าหัน !   อึดใจต่อมาชายร่างใหญ่จึงเซหงายหลังล้มลงกระแทกพื้นสลบไป    

              ทริชหอบหายใจกระเส่า   กระนั้นก็ยังหันซ้ายแลขวาหาตัวไอ้เจ้าคนตัวเตี้ยถือขวดเหล้า  ไม่ใช่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก  แต่เขาเลือกจะปลอดภัยไว้ก่อน  หากมันมาตลบหลังคงไม่เป็นการดี   เด็กชายเหลียวหลังไปทางเสาไฟฟ้าผุเก่า  ไอ้เจ้าคนตัวเตี้ยยืนสั่นหงึกอยู่ตรงนั้น   ทริชหรี่นัยน์ตาข่มขู่   มันสะดุ้งสติสะเทือนแตกวับ  ตะเบ็งเสียงร้องลั่น

              “ช่วยผมด้วย !  คุณธนาธร !!! ”   มันตะโกนก้องพร้อมกระโจนวิ่งหนีหายลับไป

              ธนาธร… ?

              ทริชคิดทบชื่ออันคุ้นหูนัก  กระนั้นความจำก็ยังไม่แล่น  เด็กหนุ่มจึงปล่อยเลยตามเลยเสีย  ก่อนจะแลสภาพร่างตน  จากที่กลิ่นเหงื่อยังไม่พอ  ยังมีกลิ่นเหล้ามาสำทับ  แถมแขนเสื้อก็ถูกคมแส้ถากขาด  สภาพดูไม่ได้เลย 

              คิดจบทริชจึงขยับเท้าวิ่งตรงดิ่งรีบกลับบ้านทันที

              ซึ่งหากลองมองผ่านรั้วกั้นลอดแมกไม้ลึกเข้าใจกลางป่า….

                                       แผ่นหลังอีกหนึ่งหนุ่มผู้เดียวดายกำลังนั่งกอดเข่าจุ้มปุ๊อยุ่ริมแม่น้ำ


    ___________________________________



    ดู Gallery ทั้งหมด  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×