ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    OverLeaf Ep 1 Rise of Enqueue [กำเนิดเอ็นคิว]

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 53


    บทที่ 8

     

    ดวงตาสีแสงเดือนมองภาพเบื้องหน้า เกรย์สโตน เมืองหลวงสีเทาแห่งอาณาจักรทไวส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องอัญมณี บ้านทุกหลังถูกสร้างขึ้นด้วยหินหยาบสีเทาเรียงกันเป็นระเบียบ ร่างเล็กในผ้าคลุมสีดำปกปิดหน้าตาควบอาชาทมิฬสูงสองเมตร ในยามปรกติคงเป็นเป้าสายตาได้ไม่ยาก หากแต่ไม่ใช่ในยามนี้

     

    ทั้งเมืองตกอยู่ในความหม่นหมอง อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะมีการสังหารหมู่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ นัยน์ตาสีเงินเลอค่ามองเหล่าเอ็นคิวที่ล่ามด้วยโซ่ตรวน เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลน เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่นจนแทบไม่สามารถใช้ปกปิดร่างกายได้ ทั้งหมดกำลังถูกคุมตัวไปยังจัตุรัสกลางเมืองที่กลายเป็นลานประหารชั่วคราว

     

    แส้เส้นหนาตวัดฝากรอยโลหิตลงบนร่างเล็กของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ล้มลงด้วยความอ่อนล้า “ไม่ต้องมาสำออย ลุกขึ้นเดินต่อไปเดี๋ยวนี้” เด็กหญิงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าที่ควรเต็มไปด้วยรอยยิ้มสมวัยกลับมีเพียงหยาดน้ำตา เสียงตวัดแส้ยังคงดังต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

     

    “หยุดนะ!!” เอ็นคิวหนุ่มตนหนึ่งทนไม่ไหววิ่งเข้าไปบังตัวเด็กน้อย ทหารเจ้าของแส้หัวเราะอย่างพอใจก่อนจะตวัดแส้ต่อ ดวงตาหวานใสไหววูบเมื่อเห็นเอ็นคิวหนุ่มกัดฟันแน่นไม่ยอมส่งเสียงร้อง

     

    มนุษย์รอบด้านทำแต่เพียงมอง ...นี่สินะ สันดานมนุษย์ หากไม่ใช่เรื่องที่ตนเองมีส่วนได้เสียก็จะไม่เข้ามายุ่งอย่างเด็ดขาด... ทหารนายอื่นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ...ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีของพวกพ้องก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้...

     

    ร่างเล็กลงจากหลังอาชาหนุ่ม ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าหากมั่นคง รอบกายเงียบสงบได้ยินเพียงเสียงแส้แหวกอากาศลงกระทบเนื้อ และเสียงสะอื้นของเด็กหญิง หากแต่มีอีกเสียงดังแทรกขึ้นมา

     

    เสียงส้นรองเท้ากระทบแผ่นหินปูทางฟังดูก้องกังวานอย่างน่าประหลาด ร่างสีดำเข้าขวางทาง แส้เส้นหนายังไม่ทันได้มอบความเจ็บปวดให้ร่างเล็กก็ขาดเป็นสองท่อน “ขอโทษนะครับ” เสียงใสดังขึ้น

     

    ร่างสีนิลย่อตัวลงดูอาการของเอ็นคิวทั้งสอง “อย่าร้องไห้สิครับ” เสียงนุ่มปลอบประโลม มือภายใต้ถุงมือหนังสีดำลูบศรีษะทุยโดยไม่นึกรังเกียจ “เดี๋ยวพี่ชายจะรักษาแผลให้นะครับ” หมอกสีขาวขุ่นลอยอ้อยอิ่งรอบผู้บาดเจ็บทั้งสอง ก่อนจะสลายไปพร้อมบาดแผลทั้งหมด

     

    ทหารแก่เจ้าของแส้มองผู้ช่วยเหลือลึกลับอย่างไม่พอใจ ขณะที่กำลังจะกระชากเจ้าคนแปลกหน้าที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องออกมา ม้าหนุ่มสีทมิฬก็พุ่งเข้าแทรก ดวงตาสีนิลจับจ้องมนุษย์ที่อาจหาญคิดทำร้ายนายเหนือหัวของมัน “ใจเย็น แบล็กไนท์” อาชาหนุ่มยืนนิ่งตามคำผู้เป็นนาย

     

    “มาเถอะ ขอข้าร่วมเดินไปด้วยได้ไหม” แม้จะเหลือระยะทางอีกไม่ไกล เด็กหนุ่มในผ้าคลุมสีรัตติกาลก็ตัดสินใจเดินจูงมือเด็กหญิงไปจนสุดทาง ทหารเจ้าของแส้ดูจะไม่พอใจการกระทำของร่างปริศนาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้ท่านแม่ทัพในชุดเกราะสีเพลิงได้ขี่ม้าตรงมาทางนี้แล้ว

     

    “ท่านแม่ทัพ”  หลายเสียงเอ่ยทักทาย “มีเรื่องอะไรกัน” เสียงทุ้มมีพลังของแม่ทัพดังขึ้น ทหารแก่หมายจะเอ่ยปากฟ้องแต่เสียงนุ่มใสก็ดังขึ้นก่อน “สวัสดีท่านแม่ทัพ ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ขบวนต้องหยุดชะงัก แม่หนูน้อยคนนี้บาดเจ็บจากการเดินทาง ข้าน้อยจึงอาสารักษาแผลให้ ที่จริงต้องขอบคุณท่านทหารผู้มีจิตอารีคนนี้ที่เมตตาหยุดขบวนให้ข้าได้รักษา”

     

    แม่ทัพชายมองร่างที่ซุกซ่อนทุกสิ่งภายใต้ผ้าคลุมสีดำอย่างสงสัย “ขอบใจเจ้ามาก ข้าแม่ทัพเอดิส” ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มภายใต้เงามืด “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ให้เกียรติ์ หากแต่ข้าเป็นเพียงนักเดินทางไร้จุดหมายมิอาจเอ่ยนามอันต่ำต้อยให้ท่านได้ระคายหูได้ ต้องขออภัยด้วย”

     

    แม่ทัพเอดิสคลี่ยิ้มถูกใจหนุ่มปริศนาตรงหน้า “ไม่เป็นไร งั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” ดวงตาคมมองคนที่บอกว่าเป็นนักเดินทางเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะติดใจกับม้าหนุ่มสีดำที่ตัวใหญ่ผิดปกติก็เถอะ

     

    “เจ้ามากับข้าด้วย” แม่ทัพเกราะแดงจากไปพร้อมทหารแก่คนนั้น คลาเร็ทคลี่ยิ้มถูกใจ ทหารคนนั้นคงถูกลงโทษเป็นแน่ เพราะเขาสัมผัสได้ตั้งนานแล้วว่าแม่ทัพคนนั้นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น

     

    สายโซ่ที่ร้อยเอ็นคิวทั้งหลายเข้าด้วยกับถูกดึงไปข้างหน้า “ไปเถอะ” ระหว่างทางเด็กหญิงดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นก็ทำให้บรรยากาศรอบกายดูดีขึ้นเยอะ

     

    “พี่ชายทำงานอะไรค่ะ” ร่างบางไม่ตอบ เพียงแต่แบมือออกปรากฏนกเพลิงตัวน้อยโผตัวขึ้นโบยบิน นกสีส้มบินหยอกล้อกับเด็กน้อย ดวงตาสีเงินมองภาพนั้นอย่างมีความสุข ก่อนจะดีดนิ้วจากนกเพลิงกลายเป็นกระรอกน้ำ “พี่เป็นนักมายากล” เสียงหวานเอ่ยก่อนคว้ากระรอกน้อยไว้ในอุ้งมือแล้วเปลี่ยนเป็นกุหลาบน้ำแข็งสีเงิน “เก็บไว้ให้ดีล่ะ”

     

    ดวงตาสีน้ำตาลใสมองกุหลาบดอกงามในมืออย่างยินดี ขณะที่เอ็นคิวหนุ่มมองผู้ช่วยเหลืออย่างไม่ไว้ใจ “เจ้า..ไม่ใช่พวกเรา” มีเพียงเสียงหัวเราะเป็นคำตอบเท่านั้น ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ คนตรงหน้าไม่มีทั้งกลิ่นอายของมนุษย์และเอ็นคิว

     

    มือบางที่สวมถุงมือหนังหยิบกุหลาบสีม่วงเข้มจนเกือบดำจากอากาศแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม “เก็บไว้มันจะมีประโยชน์กับเจ้าในอนาคต” เอ็นคิวหนุ่มหัวเราะในลำคอ คุยเรื่องอนาคตกับนักโทษที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในลานประหาร

     

    “เชื่อข้า วันนี้เราจะไม่สูญเสียสิ่งใด” เสียงหวานใสเอ่ยเป็นปริศนา

     

    เหล่าเอ็นคิวถูกต้อนเข้าไปในกรงไม้ขนาดใหญ่ มีทหารยืนคุ้มรอบทิศ เอ็นคิวน้อยโบกมือลาพี่ชายที่เพิ่งได้รู้จัก “ขอบคุณนะคะพี่ชาย ลาก่อนนะคะ” เอ็นคิวตนอื่นๆรอบกายมองร่างสีดำด้วยสายตาขอบคุณ “เก็บดอกไม้เอาไว้ดีๆล่ะ” เด็กหนุ่มบอกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังเดินจากไป

     

    แบล็กไนท์เดินตามร่างบางโดยไม่ต้องจูง นัยย์ตาหวานสีแสงจันทร์มองม้าหนุ่มที่เชื่องเหมือนลูกแมวอย่างเอ็นดู “ทนหน่อยนะ อีกแปปเดียวเท่านั้น” อาชาสีนิลร้องรับคำเบาๆ

     

    เสียงแตรดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มต้น ร่างสีดำทั้งสองเดินไปยังลานประหารที่ถูกกั้นด้วยรั้วไม้หยาบๆที่สูงสี่เมตร เด็กหนุ่มเบียดจนไปถึงด้านหน้าสุด

     

    เวทีสีดำถูกยกสูงจากพื้นราวเมตรครึ่ง มีเพชรฆาตร่างยักษ์หลายคนถือขวานคมกริบ วิธีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้คือการบั่นคอแล้วแยกร่างกับศรีษะออกจากกัน ซึ่งเป็นวิธีการที่โหดร้ายที่สุดเพราะเอ็นคิวจะยังไม่ตาย แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่ามีชีวิตอยู่ได้เหมือนกัน

     

    ด้านหลังเวทีบนแท่นที่สูงที่สุด ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือ ราชาและราชินี เจ้าของคำสั่งชั่วร้าย

     

    ราชาก็เป็นชายหนุ่มวัยรุ่นอายุประมาณสิบเจ็ดปี หน้าตาก็งั้นๆ แต่ที่รับไม่ได้ก็คือ ยัยแก่ที่เป็นราชินี ยัยแก่ท่าทางเหมือนคางคกนั่นเป็นราชินี ให้ตายเหอะ สงสารเจ้าราชาคนนี้จริงๆ

     

    ชายพุงพลุ้ยคนหนึ่งขึ้นเวทีมาป่าวประกาศถึงเหตุผลร้อยแปดที่ไม่สมควรมีเอ็นคิวอยู่บนโลก ชาวบ้านบางส่วนก็ส่งเสียงสนับสนุน บางส่วนก็ยืนนิ่งแต่สีหน้าไม่พอใจนั้นฉายชัด

     

    ทหารลากตัวนักโทษคนแรกออกมา ชายหนุ่มผู้โทรมยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วโดนหิวปีกออกมา เสียงหนวกหูของชายแก่อ้วนกลมเป็นก้อนเนื้อยังคงดังต่อไป สายลมอ่อนพัดวนรอบร่างเล็กถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินเสียงหัวเราะหวานใส ...ภูตลม ภูตจอมซุกซน หากได้เป็นที่รักของภูตชนิดนี้เมื่อไหร่ ข่าวสารไม่ว่าจะมาจะอยู่ไกลแค่ไหนก็จะถูกพัดพามาหาในชั่วอึดใจ...

     

    “องค์ราชินีผู้งดงามเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ได้ชุบเลี้ยงเอ็นคิวตนนี้ หากแต่เจ้าสิ่งมีชีวิตต่ำทรามได้ทำการล่วงเกินองค์ราชินี”

     

    ไม่จริง มนุษย์โกหก เสียงใสหลายๆเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เขาเป็นเด็กดี แต่นางชั่วร้าย ใช่ชั่วร้ายมาก นางใส่ร้าย ราชาโง่งมหลงเชื่อ หมอกมายาช่วยพวกเขา เราจะช่วยหมอกมายาด้วย คลาเร็ทเลิกคิ้วกับชื่อใหม่ของตน ...หมอกมายา...

     

    ร่างเล็กกำสร้อยคอ ...สร้อยผลึกเวทย์ ที่จินกับกีอัสเตรียมให้...

     

     “เดินทางดีๆล่ะอย่ามัวซุกซน” น้ำเสียงนุ่มจากหนุ่มตาคมเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “จ้า” คลาเร็ทตอบรับเสียงใส “ยัยตัวยุ่ง ใส่สร้อยนี้ไว้” กีอัสยื่นสร้อยเส้นงามให้เพื่อนตัวซีด

     

    “สร้อยผลึกเวทย์นี่ ฉันกับจินเตรียมไว้ให้ ข้างในคือเวทย์เคลื่อนย้าย แกแค่ทำเครื่องหมายบนตัวเอ็นคิว แล้วใช้เวทย์มายากระตุ้นนิดหน่อยก็จะทำงาน ส่วนนี่เครื่องหอมจากเผ่าเอลฟ์ ราชทูตประจำเผ่าเอลฟ์เอามาฝาก เขาบอกว่าจะลบกลิ่นเอ็นคิวจากตัวแกได้” มือหนาชี้ไปยัง เอลฟ์ชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งกำลังคุยกับสิงโตเผือก “รีบไปรีบกลับนะโว้ย”

     

    “ฝากขอบใจทั้งสองคนด้วยก็แล้วกัน” ร่างเล็กสีนวลเหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนอานม้า “ไปเถอะ แบล็กไนท์” อาชาหนุ่มร้องรับก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก

     

    ...ที่นี่มีเอ็นคิวตั้งสามร้อยกว่าคน หวังว่าพลังเวทย์ที่เก็บมาจะพอนะ...

     

    ผลึกหลากสีเปล่งแสงจางๆ หน้าที่ของเขาคือ ติดเครื่องหมายที่เอ็นคิวทุกตนจากนั้นก็กระตุ้นผลึกเวทย์ด้วยเวทย์มายา แล้วเวทย์เคลื่อนย้ายก็จะทำงานอัตโนมัติ ทุกคนที่มีเครื่องหมายจะถูกส่งไปยังบ้านหลังใหม่ ที่พวกเราสร้างขึ้น

     

    ดวงตาคู่งามเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น

     

    ...วันนี้จะไม่มีการสูญเสีย...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×