คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9
บทที่ 9
ดวงอาทิตย์ทอแสงอยู่กลางศรีษะพอดี เป็นสัญญาณว่าการประหารกำลังจะเริ่มขึ้น ขวานคมถูกยกขึ้นเป็นประกายล้อแสงแดดแล้วฟาดลงด้วยความเร็วหมายปลิดชีพนักโทษไร้มลทินเบื้องหน้ากลับถูกหยุดด้วยผีเสื้อตัวน้อยไร้ที่มา
เพียงปีกบางใสสีม่วงขยับกระพือ ขวานแกร่งก็สลายกลายเป็นฝุ่นผง อุณหภูมิรอบการลดลงอย่างรวดเร็ว แสงตะวันพลันมืดลง ประชาชนต่างส่งเสียงอืออึ้ง เมื่อแสงสว่างถูกกลืนกินโดยเงามืด “สุริยคราส” สายลมเย็นพัดเอือยแว่วเสียงดนตรีจากที่ไกลห่าง ท่องทำนองอ่อนหวานหากเย็นชา หากนิ่งฟังจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของกระแสอากาศราวกับกำลังหยอกล้อ
ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัว ร่างสีดำก้าวออกมาจากฝูงชน เถากุหลาบงอกเงยจากแผ่นหินว่างเปล่ารัดรึงรั้วไม้ที่ขวางทางจนปริแตกกลายเป็นเม็ดทรายสีทอง ร่างลึกลับเคลื่อนกายราวภูตผีปรากฏตัวขึ้นบนเวที ผ้าคลุมสีทมิฬขยับไหวราวต้องลมตลอดเวลา เหล่าเพชรฆาตถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
ร่างสีดำกางแขนทั้งสองข้างออก ภูตลมนับร้อยกำลังมารวมตัวกัน สายลมโหมพัดโดยมีร่างปริศนาเป็นศูนย์กลาง เสียงใสของภูตจอมซนสอดประสานขับลำนำเปิดการแสดง ร่ายรำ หมอกมายาร่ายรำ อยากดูๆๆ ภูตลมเร่งเร้า ทำนองลึกลับดังขึ้นคราวนี้ทุกคนได้ยินชัดเจนราวกับมีนักดนตรีมาขับกล่อมอยู่เบื้องหน้า
ร่างเล็กถอนหายใจ มองสายลมที่ก่อตัวเป็นรูปร่างคนจางๆ ...ซนกันจริงๆ... ว่าแต่จะรำอะไรดี รำวงรำไทยคงจะไม่ไหวมั๊ง
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังคิด เหล่าภูตลมก็เริ่มร่ายเวทย์ของตนเอง สายลมถักทอเป็นผ้าผืนงาม ชุดทรงยาวรุ่ยร่ายสีมรกตปรากฏขึ้นแทนผ้าคลุมสีดำทมิฬ โชคดีที่ใบหน้าและเส้นผมยังถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมสีขาว
...เอาเถอะ รำไปมั่วๆแล้วกัน... ว่าแล้วเจ้าตัวก็เอา รำพัด รำไทย รำดาบ รำพลอง รำทวน สารพัดรำมารวมกัน
“จับมัน” เสียงแหลมเสียดหูของราชินีมักมากดังขึ้น แต่บทเพลงยังคงบรรเลง ร่างเล็กเคลื่อนกายร่ายรำ ทั้งอ่อนหวานหากแต่สง่างาม อ่อนโยนและหนักแน่น
ทหารที่พุ่งเข้าหาอย่างมุ่งร้ายถูกสกัดด้วยอาชาสีทมิฬ เสียงกู่ร้องคำรามดังขึ้นอย่างอึดอัดเป็นครั้งสุดท้าย อานม้าสีดำสลายกลายเป็นหมอกสีรัตติกาลและปีกสีอีกาปรากฏขึ้นแทน เขานิลแหลมงอกออกมาจากกลางหน้าผาก อาชาหนุ่มกลายเป็นบีเคิน ดวงประทีปผู้นำทางดวงวิญญาณสู่ดินแดนหลังความตายตามตำนานของโอเวอร์ลีฟ หากแต่ในตำนานกล่าวไว้ว่า บีเคินมีสีขาวบริสุทธิ์!!!
เหล่าทหารมองบีเคินสีดำ ขณะที่ประชาชนเริ่มกรีดร้อง “บีเคินปิศาจ” ดวงตาดุร้ายสีเดียวกับท้องนภายามราตรีของบีเคินหนุ่มมองเหล่ามนุษย์ที่แตกตื่นด้วยความกลัว แล้วเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “การแสดงของนายข้าเพิ่งเริ่มต้น หากพวกเจ้าไม่อยู่ดูจนจบจะเป็นการเสียมารยาทอย่างมากนะ” เงามืดคืบคลานจากพื้นก่อร่างเป็นโดมกักกั้นอิสระของเหล่าผู้ชมที่เปี่ยมด้วยความหวาดผวา
แม้เหตุการณ์จะชลมุนวุ่นวาย แต่ทำนองลึกลับยังคงถูกพัดพาด้วยสายลม ร่างเล็กยังคงร่ายรำ ความงดงามเข้าตราตรึงในจิตใจแทนที่ความหวั่นเกรง เหล่านรชาตินิ่งงันราวต้องมนต์สะกด
เถากุหลาบสีมรกตปกคลุมพื้นดินทุกตารางนิ้ว เสียงเพลงไพเราะจางหายไปพร้อมกับดอกกุหลาบตูมที่ผลิบานออกปลดปล่อยฝูงผีเสื้อสีอเมทิสต์ให้โบยบิน
ดวงตาสีเงินหรี่มอง ’เครื่องหมาย’ โบยบินไปยังเหล่าเป้าหมาย ความพอใจฉายชัดในแววตา ผีเสื้อน้อยหยุดลงบนไหล่ของเหล่าเอ็นคิว ปีกบางทั้งคู่เรืองแสงเล็กน้อย
เมื่อประทับเครื่องหมายลงเป็นเป้าหมายจนครบ คลาเร็ทก็เริ่มปลดพลังเวทย์ที่เก็บกักเอาไว้ พลังเวทย์มายาปริมาณมหาศาลบีบอัดจนหลอมรวมกลายเป็นหมอกควัน
ก่อนที่เหล่ามนุษย์จะทันรู้สึกตัว ม่านหมอกก็โรยตัวลงเป็นสัญญาณปิดการแสดง
นิ้วเรียวแตะลงเป็นจี้ที่คอ “ช่วยหน่อยนะ” จี้ผลึกเวทย์เปล่งแสงเป็นการตอบรับ แล้วเริ่มทำงานตามหน้าที่ของตน ไอเวทย์ที่ถูกบีบอัดล้นทะลักออกมาราวสายธาราที่พัดพาอย่างเกรี้ยวกราด นักเวทย์ที่อยู่ในบริเวณตัวสั่นสะท้านด้วยความหวั่นเกรงต่อพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ดวงตาสีแสงจันทร์เรืองด้วยอำนาจที่มิอาจหยั่งถึง ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มงามเมื่อแผนการกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น
วงเวทย์มหึมาปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าเปล่งแสงสีหลากหลายดูงดงามอย่างประหลาด เด็กหนุ่มถอดผ้าคลุมศรีษะออก เนตรคู่งามจับจ้องไปยังบุรุษที่ประทับนั่งอยู่สูงสุด ราวกับสายลมเป็นใจ หมอกหนาที่บดบังแตกกระจายออกเพียงชั่วครู่ เผยให้มหาราชาได้สบกับสายตาสีเงิน ดวงตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้างเมื่อเห็นรูปโฉมของผู้บุกรุก คลาเร็ทแสยะยิ้มอย่างโกรธแค้นให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มโนภาพเบื้องหน้าจะถูกกลืนกินด้วยแสงขาว
เหล่าเอ็นคิวอันตรธานหายไป ทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นต่อพลังอำนาจที่มิอาจหยั่งถึง หากแต่ดวงเนตรสีน้ำตาลของราชายังคงเบิ่งค้าง หัวใจเต้นรัว ด้วยความรู้สึกวูบวาบในอกที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก มือหนาทาบลงบนอก เขาแน่ใจว่า ตนได้ตกหลุมรักหญิงสาวแปลกหน้าที่ได้พบหน้าเพียงชั่วครู่ รอยยิ้มแสนงดงามและ(คิดไปเองว่า)เปี่ยมด้วยความอ่อนหวานนั้นประทับลงในใจ
เหตุการณ์วุ่นวายจบลงพร้อมกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของเหล่าเอ็นคิว
ต้นเหตุที่ทำให้มหาราชาหวั่นไหว พุ่งเข้าหาร่างสูงเจ้าของนาม “จิน!!!” ร่างเล็กในชุดสีดำกอดเอวเพื่อนรักอย่างแนบแน่น “คิดถึงจินที่สุดเลย จินคิดถึงคลารี่บ้างไหม” มือหนาลูบศรีษะมนเบาๆ “คิดถึงสิ”
“อย่าเพิ่งมาหวานกันตอนนี้สิ พวกนั้นงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว” กีอัสมองสองร่างกอดกันกลมอย่างหน่ายใจ พวกนั้นหรือเอ็นคิวสามร้อยกว่าตนที่ได้รับการช่วยเหลืออย่างไม่ทันตั้งตัวมองรอบกายอย่างแปลกใจ “อ้าว กีอัสนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เสียงหวานใสดั่งระฆัวแก้วดังขึ้น ร่างสูงสีแทนกุมขมับ “มาพร้อมกับไอ้จินนั่นแหละ”
จินเปรยตามองชายหนุ่มวัยกลางคน “จัดการซะ” ฮอร์นพยักหน้ารับก่อนปรบมือเบาๆ หากแต่เสียงกลับดังก้องกังวาน “ยินดีต้อนรับสู่เขตที่พักชั่วคราว”
“ก่อนอื่นผู้บาดเจ็บเชิญที่กระโจมขาว กระโจมน้ำเงินคือโรงอาหาร ห้องอาบน้ำคือกระโจมสีเขียว กระโจมสีดำคือที่พัก ข้าไม่แนะนำให้พวกท่านไปยังบริเวณอื่นนอกจากที่กล่าวมา หลังพระอาทิตย์ตกดินเราจะพาพวกเจ้าเข้าเมืองเมื่อนั้นทุกคำถามในใจพวกเจ้าจะได้รับคำตอบ”
จินปล่อยให้ฮอร์นจัดการงานต่างๆ ร่างสูงดึงมือของร่างสีขาวให้เดินหายลับเข้าไปในป่า อันเป็นที่ตั้งของเมืองที่พวกเข้าสร้างขึ้นมา กีอัสมองกิริยาไม่สนใจสิ่งใดของเพื่อนหน้าสวยอย่างเหนื่อยหน่าย พลางเรียกม้าหนุ่มให้เดินตามไปด้วยกัน
คลาเร็ทนั่งนิ่งในบ่อน้ำอุ่น ปล่อยให้บรรดาสาวใช้ที่นำโดยมารีเป็นคนขัดสีฉวีวรรณให้ ดวงตาสีเงินเหม่อมองทิวทัศน์ด้านนอก ตอนนี้เด็กหนุ่มถูกจินทิ้งให้อาบน้ำอยู่ในห้องส่วนตัวด้านบนของปราสาทที่สร้างขึ้นโดยต้นไม้ขนาดมหึมา ร่างเล็กขึ้นจากน้ำ ก่อนจะเดินนำไปยังห้องแต่งตัว “มารี คนอื่นๆล่ะ” มารีแปรงผมสีขาวบริสุทธิ์พลางตอบคำถาม “ท่านจินอยู่ที่ห้องทรงงาน กำลังประชุมกับคณะบริหาร ท่านกีอัสออกไปนอกปราสาทเตรียมสร้างบ้านให้กับเหล่าเอ็นคิวที่มาใหม่ คุณโครว์ยังไม่ออกจากห้องฝึกตน ส่วนคุณแบล็กไนท์ก็รอท่านคลาเร็ทอยู่ที่ห้องบรรทมเจ้าค่ะ” ร่างเล็กพยักหน้ารับรู้ก่อนจะนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้บรรดาสาวๆแต่งตัวให้
ดวงตากลมโตมองบรรดาสาวใช้เดินออกจากห้องไปหลังจากเสร็จหน้าที่ของตน ด้านหลังคือชายหนุ่มผิวสีขาวซีดอมเทา ดวงตาคมไร้แววเป็นสีรัตติกาลเช่นเดียวกับเส้นผมที่ยาวระต้นคอ “พักเถอะแบล็กไนท์ เจ้าเหนื่อยมากแล้ว” มือเรียวปลดเสื้อคลุมสีดำที่ขาดวิ่นของชายหนุ่มผู้เป็นอาชาออกเผยให้เห็นเสื้อหนังเข้ารูปที่เน้นเรือนร่างกำยำสมส่วน “นายท่าน..” นิ้วเรียวประทับบนริมฝีปากบาง “พักเถอะเด็กดี” ดวงหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มหวานแสนอ่อนโยน บีเคินหนุ่มรู้สึกราวกับวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่าง เมื่อรู้สึกตัวอีกที ตนก็นอนหนุนตักอุ่นแสนนุ่ม “เมื่อถึงเวลาเราจะปลุกเจ้าเอง” คลาเร็ทมองชายหนุ่มที่ปิดตาลงอย่างไม่เต็มใจ มือบางลูบไล้เส้นผมนุ่ม บางครั้งก็หยุดเขี่ยใบหูเรียวยาวเล่นราวกับกำลังเหย้าแย่ ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มขบขันเมื่อใบหูเรียวยาวนั้นขยับไปมาเหมือนรำคาญ
...ใครจะไปรู้ว่า ชายหนุ่มที่หลับตาพริ้มราวกับเด็กน้อยคนนี้จะเป็นอาชาแห่งความมืดอันแสนเหี้ยมโหดผู้กลืนกินแสงสว่างแห่งความหวัง...
นัยน์ตางามเหม่อมองออกไปด้านนอก มองออกไปไกลสุดสายตา จิตใจหวนรำลึกถึงเรื่องราวมากมาย ทั้งอดีตของเด็กสาวผู้มีนามว่า ‘หยก’ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวของเอ็นคิวหนุ่ม ‘คลาเร็ท’
หยก...เด็กสาวแสนสดใสผู้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เธอโอบอ้อมอารีประดุจไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงาแก่สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย แต่จะมีใครรู้บางไหม กว่าที่กล้าต้นน้อยจะเติบโตขึ้นได้ถึงเพียงนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ผู้มาเยือนส่วนใหญ่ใช้เธอเป็นที่พักพิงยามอ่อนล้าเมื่อใดที่แข็งแรงก็จะโบยบินจากไป ทิ้งเธอให้ยืนอยู่เพียงลำพังกับความเหงา จนกระทั่งใครบางคนเห็นรอยแผลที่จารึกลงบนลำต้นขรุขระ คนผู้นั้นตัดสินใจทิ้งอิสรภาพ แล้วหยุดยืนเคียงข้างเธอ ช่วยให้ต้นไม้นั้นไม่ต้องเหงาอีกต่อไป วันที่แสนอ้างว้างถูกเติมเต็มด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
“ต้าตง” เสียงหวานรำพึงถึงรักแรกของตน พี่ชายแสนดีที่เด็กสาวแอบหลงรัก
...พี่ต้า ต้องแต่งงานกับหยกนะ...
...ได้สิ หยกโตเมื่อไหร่พี่จะมารับเรา...
...สัญญานะ...
...อืม...
เด็กสาวฝันว่าวันหนึ่งจะได้เป็นเจ้าสาวของพี่ชาย ยึดมั่นคำสัญญาในวัยเยาว์ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังคงเป็นเพียงแค่ความฝันกับสัญญาลมปากที่ไม่มีวันเป็นจริง
พี่ชายเลือกที่จะแต่งงานกับคนอื่น ลืมเลือนสัญญาในฤดูร้อนของเรา หยาดน้ำตาอุ่นไหลริน ดวงตากลมโตร้อนผ่าวมองภาพชายหญิงจุมพิตสาบานต่อหน้ากางเขนศักดิ์สิทธิ์ เด็กสาวได้แต่ตัดใจ พร่ำบอกกับตัวเองเธอคนนั้นรักพี่ชายมากกว่า และพี่ชายก็รักเธอคนนั้น...มากกว่าเช่นกัน
ความสุขของพี่ชายอยู่ได้ไม่นาน เธอคนนั้นก็หนีไปกับชายอื่น พี่ชายเสียใจเจียนตาย ดวงตาแสนสวยคู่นั้นที่เคยมองเธอด้วยความเอ็นดูกลับบอบช้ำแสนสาหัสพอๆกับดวงใจ แล้วเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนจบ ฉากสุดท้ายคือดาดฟ้าโล่งๆกับสายลมที่พัดกระหน่ำ เธอยังจำเสียงแหบแห้งของตนเองที่พร่ำบอกรักคนตรงหน้า สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงประโยคแสนโหดร้าย
...ขอโทษนะหยก ไม่ว่าใครก็แทนที่เขาไม่ได้...
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนทอประกายสีทองพริ้วไหวตามแรงลมเฉกเช่นวันแรกที่ได้พบเจอ เปลือกตาบางหลับพริ้ม ริมฝีปากบางสีชมพูอมส้มคลี่ยิ้ม เสียงนุ่มทุ้มยังคงเจือกระแสของความอ่อนโยน
...เธอเป็นน้องสาวที่น่ารักของพี่เสมอมาและตลอดไป...
ภาพสุดท้ายมีเพียงชายหนุ่มร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างราวกับเทวดารูปงามผู้ไร้ซึ่งปีกกว้างที่จะโบยบิน และเสียงหวานที่กรีดร้องราวจะขาดใจ
คนผู้นั้นได้จากไปทิ้งรอยแผลอีกรอยหนึ่งให้กรีดลึกลงบนลำต้นแกร่ง
ความคิดเห็น