คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : สายฝนที่หนึ่ง : ตอนที่ 4
ในห้องภูรินนั้นเต็มไปด้วยกองหนังสือกวดวิชามากมาย ไม่วาจะเป็น คณิตศาสตร์ วิทยศาสตร์ สังคมศึกษา และภาษาต่างๆ ที่มีสอนในโรงเรียน แถมยังมีบางวิชาที่ยังไม่ได้เรียนในช่วงมัธยมต้น อย่างฟิสิกต์ เคมี ชีวะ ซึ่งเด็กหนุ่มก็หยิบมาอ่านบ้างจนทำความเข้สใจได้ระดับนึง ภูรินไม่รู้หรอกว่าเขาหลงไหลการเรียนแบบบ้าระห่ำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้ลางๆว่าขึ้น ป.1 นิสัยการเรียนเพื่อเป็นที่หนึ่งนั้นก็เกิดขึ้นในตัวเขาแล้ว
เขามักจะจำได้เสมอในสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบสอนคือ ต้องตั้งใจเรียนนะ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน ยอมรับว่าเขาเอกก้ไม่รู้ความหมาวนี้สักเท่าไหร่ แต่การเรียนให้สุด ไปให้สุด มันก็ยังดีกว่าเรียนแบบครึ่งๆกลางๆ อีกทั้งการที่เรียนได้ที่โหล่ก็ถูกประนามว่าเป็นไอ้โง่ อีกอย่างการที่เห็นคนที่เห็นคะแนนเขาขึ้นประกาศอยู่หน้าโรงเรียน มันเหมือนประกาศให้ทุกคนรับรู่ว่าเขามันของจริง
มันเลยเป็นเหตุผลที่ต้องเรียนให้ได้ที่หนึ่ง
ภูรินวางแผนไว้ว่าตัวเขาจะต่อ ม.4 โรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ เพื่อยกระดับตัวเขาและและครอบครัว โดนหวังว่าชีวิตช่วงมอปลายจะทำให้เขาก้าวสู่ความเป็นเจ้าคนนายคนขึ้นมาบ้าง
ไม่นาน เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ภูรินทราบว่าพ่อของเขาต้องการที่จะพูดคุยบางอย่างกับเขา ความจริงคุณพ่อก็ต้องการที่จะคุยกับเขาตั้งแต่เมื่อวานแหละ เพียงแต่เกิดปัญหาที่เขาลืมของไว้คุณพ่อเลยบอกให้เขาไปหาของให้เจอก่อน
เพราะเรื่องที่จะคุย จำเป็นต้องใช้ประกาศนียบัตรจบมัธยมศึกษาตอนต้นของเขาด้วย
คุณพ่อนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้ที่คุ้นเคย ภูรินนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยื้นใบจบให้กับคุณพ่อโดยที่ไม่ต้องรอคำถาม คุณพ่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนนิ่งเงียบสักพักพร้อมกับยื้นเอกสารบ้างอย่าง ภูรินงงงวยก่อนจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะกัดฟัดดังกรอกๆด้วยความโกรธ
"ทำไมพ่อต้องทำกับผมแบบนี้!"
"ลูกก็รู้ โรงเรียนที่สอนมอปลายมันอยู่ในตัวเมือง ในขณะที่โรงเรียนเทคนิคนั้นอยู่ใกล้กับบ้านมาก ขับรถไปห้ากิโลก็ถึงแล้ว" คุณพ่ออธิบายให้ผู้เป็นลูกฟัง แม้ว่าเสียงจะนั้นจะไม่เขาหูของภูรินเลยก็ตาม
ภูรินไม่ชอบพวกเรียนอาชีวะมาก มากจนกระทั่งเรียกว่าเกลียดยังได้เลย เนื่องจากข่าวที่เกีายวกับกลุ่มนักเรียนช่างไล่กระทืบกัน และชื่อเสียงความกเฬวราด จนหลายคนยังหาอนาคตจากพวกนี้ยากจัดๆ ไหนจะการเรียนเพื่อไปเป็นลูกจ้างชั้นแรงงานอีก แค่คิดก็ไร้อนาคตแล้ว
โดยคุณพ่อเองก็เข้าใจในสิ่งที่ภูรินไม่พอใจ เขารู้ว่าสิ่งที่ลูกของตนต้องการนั้นคือการเป็นหัวหน้า การถูกเคารพจากกลุ่มคน เขาเหลือบตามมองลูกชายตนเองก่อนพูดต่อ
"พ่อว่าในอนาคต กลุ่มวิชาพวกนี้จะมีความต้องการในตลาดโลกแน่ มันจะช่วยให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคนสมใจแน่ๆ"
"หึ จะเป็นนายคนจากการเป็นช่างเนี้ยนะ?"
"งั้นโตขึ้น ลูกอยากเป็นอะไรละ?"
"ผมไม่รู้" เด็กหนุ่มนิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะสบตาพ่อของเขา "แต่ที่รู้ๆผมจะไม่เป็นช่างแน่ๆ
"หือ เป็นช่างไม่ดีตรงไหนละ ดูอย่างลุงโชคสิเปิดอู่ซ่อมรถ ลูกค้าเยอะจะตาย"
"ก็ยังจนเหมือนเดิม!"
"ระวังคำพูดหน่อยภูริน"
ภูรินพูดกระแทกเสียงหนักจนพ่อของเขาเปลี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้น
"ก็มันจริงนิ เป็นแค่คนโง่ๆ ทำงานงกๆ สายตัวแทบขาด แต่ก็ได้เงินพอกินไปวันๆแค่นั้น อนาคตก็คงอยู่จบปลักแค่อู่แหละ!"
"พ่อบอกให้ลูก.."
"แล้วผมจะเรียนให้ได้เดรดเฉลี่ยสูงๆทำไม ถ้าพ่อจะส่งให้ผมไม่มีอนาคตเหมือนคนอื่นๆ!"
พูดยังไม่ทันจบ แก้วที่อยู่บนโต๊ะก็ถูกเขวี้ยงผ่านข้างตัวของภูริน เสียงแก้วแตกกระทบพื้นแข็งนั้นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง โดยคนที่ทำแบบนั้นก็คือพ่อของเขา
"หุบปากได้แล้วภูริน"
เสียงพ่อของเขาแข็งขึ้นกว่าเดิมแสดงถึงความโกรธของเขา ภูรินตกใจมาก เขาไม่เคยเห็นพ่อเขาโมโหแบบนี้มาก่อนเลย
และเขาก็ไม่รู้ตัวเองว่าคนที่ทำให้พ่อโมโหคือตัวเขาเอง
และจากนั้นหัวของเด็กหนุ่มก็โลงเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้ ดวงตายังจับจ้องปากที่กำลังพูดของคุณพ่อได้ แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงเหมือนหูของเขาดับไป แต่จู่ๆ สติของเด็กหนุามก้กลับมา เขาได้ยินคำพูดสุดท้ายก่อนที่พ่อจะลุกออกไปจากโต๊ะ ดวงตาของภูรินค่อยๆลินไหลไปด้วยน้ำตา
"พ่อผิดเอง"
____________________
จู่ๆ ภูรินก็รู้สึกตัวเมื่อเขามาอยู่ตรงศาลาซอยสองพร้อมกับปอยฝ้าย เขาสะดุ้งถอยออกจากเธอเล็กน้อย แต่ดูเหมือนระหว่างที่เขาไม่ได้สติ เขาก้เหมือนเล่าเรื่องหลายๆอยากให้เด็กสาวฟังแล้ว
ตัวสาวชาวนาเองก็ไม่รู้หรอกว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะพูดกับเธอนั้นถึงได้เล่าเรื่องนี้ออกมา แต่ดูแล้ว เขาดูเหม่อลอยมาก ถามอะไรก็ตอบหมด รึไม่ก็ใช้เป็นการพยักหน้าและส่ายหน้า
แต่ตอนนี้เหมือนเขาจะกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว
"เราเข้าใจนะภูริน" การที่ปอยฝ้านพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมพูดอย่างงั้น ไม่ได้ทำให้ตัวเด็กหนุ่มรู้สึกดีเลย ตรงกันข้าม มันกลับทำให้เขาหลุดโมโหขึ้น
"อย่างเธอจะไปเข้าใจอะไรวะ เรียนก็ไม่ได้เรียนสักหน่อย"
"ทำไมจะไม่ได้เรียน!" เมื่อถูกถามแบบนั้น ฝ่ายเด็กสาวก็เริ่มมีน้ำโหเช่นกัน
"ถ้าเรียนก็คนจบแค่มอสามละสิ ถึงได้เป็นได้แค่ชาวนาที่ทำงานงกๆ จนผิวดำแบบนี้" เสียงเด็กหนุ่มพูดอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างกับสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย พร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่มาเป็นระยะ "ทำงานอาชีพค่าแรงขั้นต่ำ อย่ามาทำเป็นอวดรู้กว่าคนอื่นหน่อยเลย!"
ฝนที่ตกต่อเนื่องไม่หยุด แค่คำพูดที่บรรดาลโทษะของภูรินนั่นค่อยๆสงบลง แต่คำพูดนั้นไม่ได้จากหายไปไหน แต่มันยังคงติดอยู่ในใจเด็กสาวตรงหน้า
เด็กหนุ่มแม้จะเป็นพวกพูดขวานผ่าซาก แต่เขารู้สึกไม่ดีกับคำพูดของเขาอยู่เหมือนกัน ภูรินลักเลที่จะพูดขอโทษอยู่เล็กน้อย แต่กับกลายเป็นว่าฝั่งปอยฝายพูดขึ้นมา
"ก็จริงนะ เราอาจจะไม่เข้าใจตามที่ภูรินพูดจริงๆก็ได้"
ใบหน้าที่ก้มลงไม่เห็นดวงตากับเสียงสั่นเครือของปอยฝ้ายทำให้ใจของภูรินสั่น เขาเคยพูดไม่ดีกับเพื่อนผู้หญิงก็เยอะ แต่รอบนี้ เขารู้สึกผิดอย่างที่ไม่เคยเป็น
"เราเรียนจบแค่มอสามเมื่อสองปีที่แล้วได้ และก็ไม่ได้โอกาสที่จะเรียนต่อ เราเลยไม่เข้าใจหรอกว่าการเรียนช่างมันแย่ขนาดไหน"
จู่ๆ ปอยฝ้ายก็เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเธออาบไปด้วยน้ำตาที่ไหลต่อไม่ขาดสายเหมือนฝนนอกศาลา ดวงตานั้นแดงก่ำและบวมเล็กน้อย ภูรินรู้แค่ว่าเขาไม่ควรทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย
"แต่ภูรินเองก็ยังได้เรียนต่อนิ ทำไมคิดว่าตัวเองต้องหมดอนาคตด้วย!"
เมื่อสาวชาวนาพูดจบ เธอก็ก้มตัวร้องไห้ ตัวภูรินยืนแข็งเป็นหิน เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร มือของเขาสั่นไม่หยุด เขารู้แค่ว่าฝนที่ตกลงมาในวันนี้ ช่างหนาวเย็นเหลือเกิน
ความคิดเห็น