ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สี่สายฝน ณ ศาลาซอยสอง

    ลำดับตอนที่ #4 : สายฝนที่หนึ่ง : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 63


    "ก็แค่น้ำมันหมด" ภูรินตอบกลับ ก่อนจะวางสัมภาระไว้ตรงที่นั่ง

     

    "แล้วนายจะกลับได้เหรอ?"

     

    "ไม่ได้ก็ต้องได้"

     

    เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีอย่างรำคาญใจ มันก็ต้องกลับให้ได้อยู่แล้วไหม? รึทำอย่างกับว่าต้องนอนศาลารอคนมารับก็ไม่ใช่ เขาไม่รู้ที่เด็กสาวคนนี้ถามนั้นทำไปเพื่ออะไร

     

    สักพักเธอก็ค้นในกระเป๋าที่ถักจากกระสอบปุ๋ย ก่อนจะหยิบขวดน้ำอัดลมที่ภายในบรรจุไปด้วยของเหลวสีแดง กาอนที่เธอจะยืนให้ภูริน

     

    "เรามีน้ำมันอยู่ขวดนึง นายเอาไปเติมก่อนก็ได้นะ"

     

    "นี่เธอดูถูกฉันรึไง!?" ภูรินตะคอก การกระทำที่หวังดีของเด็กสาวทำให้หัวเกรียนๆของเด็กหนุ่มร้อนขึ้นมาจนหัวเปียกๆแทบจะแห้ง เขาไม่ได้ทำตัวให้น่าสงสารให้เด็กไร้การศึกษามาเห็นใจสักหน่อย เธอนิ่งอยู่ครู่ให้ก่อนจะพูดขึ้นมา

     

    "อ๋อ น้ำมันนี่ฉันไม่คิดเงินหรอกนะ สบายใจได้"

     

    "ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!"

     

    "เถอะน่า เราว่าฝนมันคงจะตกอีกนาน กว่าจะหยุดก็คง ห้า หก โมง เดี๋ยวนายจะกลับลำบากเอานะ" เธอตอบภูรินด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จนตัวเด็กหนุ่มเหนื่อยใจ อีกทั้งที่เธอพูดมาก็จริง ทางกลับบ้านของเขาก็ดูไม่ค่อยน่าปลอดภัยสักเท่าไหร่ อีกทั้งการที่จะจูงรถกลับบ้านในเวลาหลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง

     

    "เท่าไหร่?" เขาหยิบขวดน้ำมันจากมือของเธอ

     

    "หือ เราให้"

     

    ภูรินรู้สึกไม่สบอารมณ์กับผู้หญิงคนนี้เลย น้ำมันขวนนี้น่าจะลิตรนึงได่ ซึ่งใช่ว่าราคาจะถูกๆสักหน่อย อีกทั้งเธอเองก็ไม่ได้ดูเกมือนคนมีเงินเลย มันไม่สมเหตุสมผลสักนิด

    ต่อให้อยากงั้น เด็กหนุ่มก็หยิบเงินจากกระเป๋าให้เด็กสาวไปห้าสิบบาทค่าน้ำมันอยู่ดี ซึ่งเด็กสาวก็ไม่ได้รังเกียจ เธอรับเงินจากเขาโดยดี ก่อนที่เธอจะหยิบเศษเงินทอนให้กับภูริน แต่เขากับโบกมือ สื่อประมาณว่าไม่จำเป็น

     

    เวลาผ่านไปนาน ความเงียบก็เกิดขึ้นในศาลาแม้จะมีเสียงฝนกระทบหลังคาไม้ จนในที่สุดฝั่งเด็กสาวจึงเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง

     

    "ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ?"

     

    ภูรินไม่สนใจ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบอะไรกับคนรู่จักเพียงแค่วันเดียว แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ต้องมาผูกมิตรกับคนชนชั้นแรงงานด้วย

     

    ฝ่ายสาวชาวนานิ่งเงียบไปพักนึก ก่อนจะตอบเด็กหนุ่มแว่นหนาไป

     

    "เราชื่อปอยฝ้ายนะ"

     

    แม่เด็กสาวจะกล่าวชื่อของตนก่อน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ภูรินปริปากได้เลย ความเงียบนั้นกลับเข้ามาอีกครั้ง เพียงว่าความเงียบนั้นช่างเป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัดที่สุด พร้อมกับสายฝนที่ค่อยๆเบาลง

    ภูรินลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อบกับขวดน้ำมัน เขาตรงดิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซต์ที่เต็มไปด้วยละอองฝน ภูรินเปิดเบาะรถก่อนจะรีบเทน้ำมันจากขวดลงถังน้ำมันจักรยานยนต์อย่างไว เมื่อเสร็จแล้วเขาจึงขึ้นคล่อมพร้อมสตาร์ทรถเสียงดัง ทำให้ปอยฝ้ายมองทางเขาด้วยความตกใจ

     

    "เดี๋ยว นายไม่รอให้ฝนหยุดตกก่อนเหรอ?" เธอถามเนื่องจากข้างนอกศาลาฝนยังลงเม็ดหนักอยู่ ถึงแม้จะเบาลงไปตากตอนแรกเยอะแล้วก็ตาม แต่ก็คงไม่ดี ที่จะฝ่าฝนไปตอนนี้

     

    ภูรินเองก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาโยนขวดเปล่าๆไปในศาลาก่อนจะขับรถออกไป ปอยฝ้ายได้แต่สงสัย เธอทำอะไรให้เด็กหนุ่มคนนี้ไม่พอใจรึเปล่า แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่เธอก็คิดไม่ออก

    ปอยฝ้ายก้มตัวลงไปเก็บขวดที่ภูรินขว้างทิ้งมาเก็บใส่กระเป๋าของเธอ เพื่อนำมาใช้เก็บน้ำมันในริบหน้า ในจังหวะนั้น เด็กสาวเหลือบไปเห็นสิ่งของอยู่ตรงจุดที่เด็กหนุามพึ่งจากไปไม่นาน

     

    มันคือประกาศนียบัตรการจบมัธยมศึกษาตอนต้น ที่วางอยู่บนกระเป๋าสีดำ

     

     

    ____________________

     

     

    เสียงของเด็กสาวที่อยู่ในศาลายังคงหลอกหลอนในขณะที่เขาขับรถอยู่บนถนนราดยาง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องมาคิดถึงคำพูดของเด็กชาวนาด้วย แต่ยิ่งคิดก็ทำให้เขาไม่เข้าใจตัวเอง

     

    และยิ่งคิด

    ก็ทำให้เขาเกือบรถคว่ำกลางถนน

     

    ถือว่าเป็นบุญของภูรินที่กลับมายังบ้านเขาโดยปลอดภัย โดยรถที่เขาขับมาจอดไว้หน้าบ้าน ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเขาไปยังบ้านของเขา โดยแม่ของเด็กหนุ่มเห็นสภาพลูกของตัวเองเปียกปอนก็ได้ตกใจว่าทำไมไม่หลบฝนก่อน ซึ่งเขาเองก็ตอบไปว่าถ้าหากหลบฝนนานแล้วจะมืด จะทำให้กลับลำบาก

    ในระหว่างที่เขากำลังถอดชุดนักเรียนเพื่อจะไปอาบน้ำล้างตัว ผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้ก็ได้เรียกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

    "ภูริน ถ้าลูกอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาคุยกับพ่อหน่อยนะ"

     

    เด็กหนุ่มไม่ได้คิดอะไร เขาเข้าห้องน้ำชำระร่างกายสักพักใหญ่ ภูรินแต่งตัวด้วยชุดสบายๆ อย่างเสื้อยืดสีขาวดับกางเกงบอลสีดำ เขาออกมานั่งที่โต๊ะไม้ฝั่งตรงข้ามกับพ่อของเขา

    ผู้เป็นบิดายื้นกล่องของขวัญรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภูรินได้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อพ่อของเขาได้อธิบาย ความสงสัยของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นความภูมิใจ

     

    "ของขวัญกับการจบมอสาม"

     

    ภูรินไม่รอช้าที่จะเปิดเจ้ากล่องใบเล็กนี้ พบว่าข้างในคือนาฬิกาข้อมือหนังสีเงินสภาพดี แต่เอาจริงในใจของเขาก็แอบเสียดายอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าของข้างในจะมีมูลค่ามากกว่านี้เสียอีก

     

    "ชอบไหม พ่อเห็นเราบ่นว่าไม่ค่อยรู้เวลา"

     

    "ชอบครับ" ถึงแม้จะไม่ได้มากมูลค่า แต่สิ่งที่คงจะช่วยเขาได้เยอะในภายภาคหน้า

     

    ภูรินเป็นพวกที่ใฝ่เรียนแบบสุดโต่งจนคว้าคะแนนมาประดับให้ครอบครัวภูมิใจอยู่เสมอ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ทำแบบนั้นเพียงเพื่อให้คะแนนของเขาขึ้นอยู่ในใบแจกเกรดหรอก เขาทำเพื่อสร้างอนาคตในภายภาคหน้า เป็นใบผ่านทางสู่ความสำเร็จในชีวิต

     

    เพราะงั้นการที่เขาใฝ่เรียนเกินไป มักจะทำให้เขาหลงลืมเวลาอยู่บ่อยๆ

     

    ลืม?

     

    "ฉิบหาย!" เด็กหนุ่มเผลอสบถลั่นเมื่อเขานึกได้ว่าตัวเองนั้นได้ลืมอะไรไว้ที่ศาลาไม้นั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×