คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สายฝนที่หนึ่ง: ตอนที่ 1
พ.ศ. 2552
ช่วงเวลาแดดร้อนๆยามบ่ายแก่ๆ เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนที่สั่งตัดเข้ารูป เขาจัดแว่นของตัวเองก่อนจะลงจากรถสองแถว เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจก่อนจะเดินทางกลับบ้านของเขา พร้อมกับถือใบประกาศนียบัตรที่ถูกใส่ในกรอบอย่างดี
ภูรินรู้สึกว่าการที่เขาจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ถือว่าเขาประสบความสำเร็จในชีวิตไปแล้วส่วนนึง เขายอมรับว่าการตั้งใจเรียนให้ได้เกรดดีๆนั้นเป็นอะไรที่ยากเข้ากระดูกดำเลย ภูรินยอมที่จะไม่เที่ยว ไม่เล่น รึทำตัวไร้สาระเลยสักนิด
เพื่อเป้าหมายในชีวิตของเขา
คือการเป็นเจ้าคนนายคน ที่อยู่เหนือหัวคนอื่น
ในระหว่างที่เดินอยู่ สายตาที่ผ่านแว่นหนาๆของเขาเหลือไปเห็นกลุ่มคนที่ใส่หมวกสานปีกกว้างกับเสื้อแขนยาวกำลังขมักเขม่นกับการหว่านข้าวลงนา ไม่แปลกที่จะจะเห็นเหล่าชาวนาเยอะเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้ฝนก็เริ่มตกเป็นระลอกๆ น้ำในคลองที่แห้งๆก็เริ่มเต็มไปด้วยน้ำจากสายฝน
เด็กหนุ่มแสยะยิ้ม เขารู้สึกสมเพชเวทนากลุ่มคนพวกนี้มาก แต่นะ การที่พวกเขาเป็นเช่นนี้เพราะพวกเขานั้นคงไม่ตั้งใจเรียนตอนที่มีโอกาสละมั้ง จบมาถึงได้ต้องมาทนทำงานตากแดดร้อนๆ และทำงานได้ตามช่วงฤดู หากโชคร้ายฝนไม่ตกก็ทำนาไม่ได้สักที
คนเหล่านี้คงน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตตัวเองละมั้ง
ก็ช่วยไม่ได้นิ ช่วงเวลาที่จะตั้งใจทำให้ตัวเองสูงขึ้นกลับไม่ตั้งใจให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นเอง
ถ้าจะโทษ คงต้องโทษตัวเองแหละ
ก่อนที่ภูรินจะกลับไปบ้าน เขาพึ่งนึกได้ว่าต้องไปเอารถมอเตอร์ไซต์ของพ่อที่ซ่อมไว้ที่ร้านลุงโชคก่อน ความจริงเขาไม่อยากไปรับรถจากลุงอ้วนกลิ่นเหงื่อเหม็นหึ่งคนนี้นักหรอก แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ครอบครัวเขาสั่ง ผู้เป็นลูกก็คงจะขัดไม่ได้
หน้าอู่ซ่อมรถของลุงโชค ร่างของภูมินยืนหน้าบอกบุญไม่รับพร่อมกับเข้าไปในอู่ โดยอะไหล่ต่างๆวางระเกะระกะ ตามพื้นก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมันรถ โดยมีชายร่างใหญ่พุงพรุ้ยกำลังนั่งตรวจมอเตอร์ไซต์คันนึงอยู่อย่างตั้งใจ ซึ่งนั่นแหละ เขาตั้งใจสะจนไม่สนใจเลยว่าใครเข้ามา
"ลุงโชค ผมมาเอารถที่พ่อฝากซ่อม" ภูรินเรียกชายเจ้าของอู่ เขาไม่รู่ว่ากลิ่นเหม็นๆนั่นเป็นกลิ่นน้ำมันเครื่องรึกลิ่นเหงื่อลุงอ้วนคนนี้กัน ตอนนี้เขาอยากได้รถแล้วรีบกลับบ้านเร็วๆ
ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝาก ลุงโชคยังคงสนใจอยู่กับการนำอะไหล่ประกอบเข้ากับจักรยานยนต์ที่เขากำลังซ่อมอยูาในตอนนี้
"ลุงโชค ผมมาเอารถ!" เด็กหนุ่มกระแทกเสียง จนคนทีางัวเงียกับงานสะดุ้งพร้อมสีหน้าที่ไม่พอใจเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนเรียก
"รถพ่อมึงอยู่ตรงนั้น กุญแจเสียบอยู่ที่รถ รีบๆเอากลับไปได้แล้ว" ลุงร่างอ้วนพูด พน้อมกับใช้หน้าชี้ไปทางจักรยานยนต์สีน้ำเงินขางๆเขา ก่อนที่ลุงโชคจะกลับมาสนใจกับงานของเขาดั่งเดิม
ภูรินเกลียดสิ่งที่ลึงกระทำกับเขามาก ทำเหมือนดั่งว่าตัวเองเป็นผู้อยู่เหนือทุกคน ทั้งๆที่ตัวเองก็แค่จบช่างมาซ่อมรถ รายได้ก็พอหาเช้ากินค่ำ ยังจะทำตัวหยิ่งกับพูดสุนัขไม่รับประทานอีก
เด็กหนุ่มชักสีหน้าไม่พอใจ เขาสตาร์ทรถมอเตอร์ไซต์ ก่อนจะเบิ้นรถเสียงดังลั่นก่อนจะขับออกไป ร่างอ้วนสถบออกมาพร้อมกับพูดกับตัวเอง
"ไอ้เด็กฉลาด เกจ์น้ำมันตกขนาดนั้น มันไม่สังเกตุเลยรึไง"
__________
ไม่นานหลังจากออกจากอู่ รถมอเตอร์ไซต์ก็ติดๆดับๆอย่างน่ากังวล เด็กหนุ่มแอบคิดว่าลุงโชคคงไม่ได้ตั้งตั้งใจซ่อมรถให้พ่อเขา แต่เมื่อภูรินได้สังเกตุไม่ยังเกจ์น้ำมันเขาถึงได้รู้
"เห้ย น้ำมันหมด!"
ได้แค่ทันกล่าว เครื่องยนต์ก็หยุดนิ่ง ภูรินพยายามสตาร์ทเครื่องหลายครั้ง หวังว่าให้รถพอกลับบ้านของเขาได้ แต่เปล่าประโยชน์ น้ำมันในถังแห้งเหือกไม่เหลือเชื้อเพลิงที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ เขาสบถอย่างหัวเสีย ในใจนึกโกรธลุงโชคที่ไม่เตือนอะไรเขาเลย
ในเมื่อขับไปไม่ได้ จะทิ้งไว้กลางทางก็กลัวหาย
สุดท้าย การจูงก็คือทางออก
จู่ๆ น้ำหยดเล็กๆ ก็หยดใส่บนใบหน้าของเขา ภูรินพึ่งจะสังเกตุว่าท้องฟ้าก่อตัวมืดครึ้มได้สักพักแล้ว ก่อนทีเม็ดฝนเริ่มถี่ขึ้น และขนาดเม็ดฝนก็หนาขึ้น
ในตอนนี้ ฝนตกหนักแล้ว
ภูรินรีบจูงรถค่อยๆเดินขณะที่เม็ดฝนใหญ่ตกลงถี่ จนตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเด็กหนุ่มเปียกปอนไปหมด ในขณะที่เดินใจของเขาก็นึกแค้นลุงโชคไม่หาย เป็นไปได้เขาจะไม่ไปเหยียบที่อู่นั่นอีก แถมแช่งให้กิจการของเขาเจ๊งไวๆ
เขาไม่รู้แล้วว่าถนนข้างหน้ามีอะไรเพราะถูกสายฝนบดบังทัศนวิสัย แต่ยังดีที่เจอศาลาไม้ตั้งอยู่ริมทาง ไม่รอช้า เด็กหนุ่มรีบออกแรงจูงก่อนจะจอดรถไว้หน้าศาลา โดยที่นี่มีหลังคากว้างซึ่งพอมีร่มกันไว้ไม่ให้ฝนสาดที่รถ ส่วนตัวคนก็เขาไปนั่งหลบฝนอย่างหัวเสีย โดยไม่ทันสังเกตุว่ามีใครคนนึงอยู่ในศาลานี้
เด็กสาวผิวแทนเพราะตากแดดจากการทำงาน ใบหน้าเรียบเนียนไม่มีสิว ผมยาวถูกรวมไว้ด้านหลังเป็นระเบียบ ชุดของเธอเป็นเสื้อแขนยาวสีฟ้าตัดสีเหลือ กับกางเกงขายาวที่มีร้องเท้าบูทสวมทับไว้ เนื้อตัวเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโคลน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอนั้นเป็นชาวนา แต่ที่น่าแปลกคืออายุเธอก็ราวๆเดียวกับเขา แต่ทำไมถึงมาทำงานในตอนนี้
ก็คงไม่พ้นพวกเด็กเกเรที่ไม่อยากเรียนแหละ แล้วเป็นไง พอไม่เรียนก็ต้องมาทำงานหนัก มันคุ้มกันไหม
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่สุดคือดวงตาที่มองมาทางเขาด้วยความเวทนาอย่างมาก
"นี่ ให้เราช่วยอะไรไหม" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
ความคิดเห็น