ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สี่สายฝน ณ ศาลาซอยสอง

    ลำดับตอนที่ #9 : สายฝนที่หนึ่ง : ตอนที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 65


    หลังจากวันที่ภูรินเข้าไปหาลุงโชคจนชายหัวล้านใจอ่อนจนต้องสอนวิชาการช่างยนต์ให้กับเด็กหนุ่ม เอาจริงๆภูรินนึกว่าลุงแกจะแค่สักๆ สอน เพราะด้วยความที่รถคันนั้นเขาก็ซ่อมมันไม่ได้ ยังไม่รวมถึงการที่ภูรินกับลุงโชคเหม็นขี้หน้ากันตั้งนานนม มันทำให้เขาคิดว่าลุงพุงพรุ้ยคนนี้เนี้ยนะ จะสอนวิชาความรู้ให้

     

    พอมาเรียนวันแรกนั้น ภาพลักษณ์ชายพุงโตขี้บ่นนั้น กลายมาเป็นติวเตอร์ช่างยนต์สุดโหดทันที

     

    โหดในที่นี้ไม่ใช่ว่าลุงโชคแกจะพาลไม่เลือก แต่ในส่วนที่ตัวภูรินทำอะไรผิดพลาด ไม่ถึงเสี้ยววินาที คุณจะได้ยินเสียงลุงโชคตวาดลั่นอู่ซ่อมรถของเขาแน่นอน 

     

    “มึงจะแงะออกมาทำไม แก้ใหม่!"

     

    คำว่า ‘แก้ใหม่’ ที่ลุงโชคพูดกรอกหูตอนที่เขาทำบางสิ่งผิดพลาดไปและต้องกลับไปแก้ไขให้มันดีขึ้น รึไม่ทำให้แย่ลง ด้วยความที่ลุงโชคเชื่อว่าการกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดตอนต้นมันดีกว่ากลับไปแก้ไขทีหลัง แค่ภูรินเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนจะซ่อมลูกสูบรถยังโดนตบหน้าทิ่มเลย

     

    ถามว่าสิ่งที่ภูรินเรียนทำให้เขารู้สึกฝืนไหม?

     

    ถ้าบอกตรงๆ ในช่วงแรกที่เด็กหนุ่มมาเรียนกับลุงโชค.. ไม่สิ การมาเรียนวิชาช่างยนต์มันก็ทำให้เขารู้สึกฝืนแล้ว แต่เมื่อเขาได้ลงมือจับเครื่องมือมาซ่อมรถสักครั้ง มันทำให้ความคิดอคติของเขาค่อยๆลดลงไป เนื่องจากศาสตร์ช่างยนต์นั้น ทุกอย่างมันละเอียดอ่อนมาก หากทำอะไรผิดพลาด เครื่องยนต์นั้นก็คงไม่ทำงาน และที่แย่สุด การกระทำที่ผิดพลาดนั้นอาจทำให้เครื่องยนต์นั้นเสียหายจนกู่ไม่กลับแน่นอน

     

    และความอยากรู้อยากเห็นก็เข้าครอบงำเด็กหนุ่ม

    เหมือนกับตอนที่เขาคลั่งอ่านหนังสือไม่มีผิด

     

    มีครั้งนึงภูรินเคยถามลุงโชคเกี่ยวกับงานช่างยนต์ที่เขาทำอยู่ “ลุง ถามตรงๆนะ ทำไมงานที่ลุงทำมันดูไร้อนาคตจัง”

     

    “ยังไง” ลุงโชคถามกลับ ปกติถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงด่าไอ้เด็กคนนี้ไปแล้ว

     

    “ก็ดู..” เขาเว้นคำ เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดดีไหม แต่ก็พูดออกไป “อู่ลุง”

     

    “แล้วมึงตอบตัวเองที่มาเรียนยังไงละ” เมื่อพูดจบ เขาก็ถูกฝ่ามือด้านๆตบไปกลางหลังจนภูรินเผลอสะอึก  ลุงโชคเหมือนจะยกมือมาตบอีกที แต่ก็ลดมือลงก่อนไปนั่งที่เก้าอี้หนังจากเบาะรถเก่าๆ

     

    “งานทุกงานไม่มีคำว่าไร้อนาคตหรอก ที่ไร้อนาคตคือการกระทำ” ร่างหนาหยิบซองบุหรี่ขึ้นมา พร้อมยื้นให้กับภูริน แต่เขาโบกมือปฏิเสธ แต่ตัวลุงโชคไม่ได้ว่าอะไร เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบก่อนจุดไฟ

     

    “ถ้ามึงกลัวว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคนที่มึงชอบพูดนักหนาเพราะงานแบบนี้ละก็ ไม่ต้องกลัว ช่างยนต์ก็มีตำแหน่งดีๆ กูให้มึงได้ไปใช้ชีวิตอยู่แล้ว มึงก็แต่ตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์”

    พูดจบ ลุงโชคก็สูดบุหรี่เข้าไปเต็มปอดก่อนจะพ่นควันออกมา ซึ่งคนที่โดนควันหลงก็หนีไม่พ้นภูรินที่ยืนสำลักควันมือสองของลุงโชค ในใจนึกอยากตบบุหรี่ออกจากปากของเขามาก ไม่เข้าใจว่าไอ้ของพรรณนั้นมันมีอะไรดีกัน

     

    หลักจากที่ภูรินได้ศึกษาจากลุงโชคได้ไม่กี่สัปดาห์  ศักยภาพของเขานั้นเพิ่มขึ้นจนครูและเพื่อนๆในวิทยาลัยตกใจกับความสามารถที่เพิ่มขึ้นจนโดดเด่น บางครั้งภูรินมันจะถูกเรียกโดยครูเพื่อให้เขาสาธิตและทดลองในการเรียนแต่ละวิชาช่างยนต์เสมอ จนช่วงหลังๆภูรินก็เป็นตัวแทนของวิทยาลัยไปแข่งขัน…

     

    ____________________

     

    “ดีจัง" ปอยฝ้ายยิ้มดีใจเมื่อได้ฟังเรื่องของเด็กหนุ่ม ผิวของเธอเหมือนจะหมองคล้ำขึ้นเพราะสู้กับแดดในระหว่างที่เธอทำงาน

     

    “ก็คงงั้น” เด็กหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย ขณะที่มือทั้งสองข้างของเขากำลังนำแว่นของตัวเองมาเช็ดให้สะอาด โดยเขาเองก็พึ่งสังเกตว่าปอยฝ้ายนั้นกำลังจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขาอยู่จนทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกประหม่า

     

    “มองอะไรของเธอน่ะ”

     

    “ป่าวสักหน่อย” ปอยฝ้ายยิ้ม ก่อนจะถามเด็กหนุ่มกลับ “แล้ววันนี้ภูรินอยากให้ติววิชาอะไรละ”

     

    ภูรินนิ่งสักครู่นึง เพราะเอาจริงๆ พวกวิชาสามัญเขาเองก็พยายามอ่านและเรียนรู้ด้วยตนเองจนพอจะเข้าใจเนื้อหาส่วนใหญ่แล้ว ส่วนพวกสายอาชีพนั้นตัวปอยฝ้ายเองก็ยอมรับว่าเธอนั้นมีความรู้เกี่ยวกับช่างยนต์แค่งูๆ ปลาๆ ถ้าให้ลงรายละเอียดเธอเองก็ทำไม่ได้

     

    เดี๋ยวนะ ถ้าลองเปลี่ยนกันดูละ

     

    “วันนี้ให้ผมสอนเกี่ยวกับเนื้อหาช่างยนต์บ้าง เธอจะโอเคไหม?”

     

    เมื่อกล่าวจบ ภูรินแทบจะแยกร่างแล้วทุบตัวเองสักสามร้อยทีที่พูดอะไรแปลกๆ ไป ที่เขาคิดที่จะสอนเกี่ยวกับเรื่องช่างยนต์ให้แก่เด็กสาวนั้นก็เพราะอย่างแรก การสอนผู้อื่นนั้นถือเป็นการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เพราะการที่จะสอนใครนั้นผู้สอนจำเป็นจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะถ่ายทอด และเป็นการทบทวนตัวเองไปในตัว ส่วนอย่างที่สองนั้นเขาเห็นว่าตัวของปอยฝ้ายนั้นมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของช่างยนต์ ไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องตอนที่อยู่วิทยาลัย รึตอนที่เรียนกับลุงโชค แววตาของเธอจะเปล่งประกายความอยากรู้อยู่ตลอดเวลา

     

    ซึ่งฝ่ายสาวชาวนานั้นออกอาการตกใจเล็กน้อย ก่อนที่เธอเองจะยิ้มและพยักหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนเด็กน้อยที่ได้ของเล่นใหม่

     

    “ได้ๆๆ เอาสิๆ งั้นภูรินสอนเราหน่อยนะ”

     

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มเล็กๆ ก็พุดขึ้นบนใบหน้าของภูริน เขานำแว่นที่ตนเองทำความสะอาดเสร็จแล้วนั้นกลับขึ้นมาสวมบนในหน้าของเขา ทำให้เห็นทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงใบหน้าของปอยฝ้ายที่ส่งยิ้มให้กับเขา

     

    “ยิ้มอะไรน่ะ?”

     

    “แล้วภูรินละ ยิ้มอะไร” คำถามของปอยฝ้ายที่ถามเด็กหนุ่มกลับนั้นทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ของเขาได้หายไป และแทนที่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

     

    “เอ่อ.. งั้น..! วันนี้เรียนเกี่ยวกับงานเครื่องยนต์ดีเซลละกัน" ภูรินหยิบหนังสือในกระเป๋าก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอย่างลุกลี้ลุกลน โดยปอยฝ้ายที่เห็นท่าทางของคนมีทิฐิก่อนจะหลุดหัวเราะเล็กน้อย ซึ่งก็โดนภูรินมองค้อนใส่

     

    ในศาลาไม้ซอยสอง ระหว่างที่สองหนุ่มสาวนั่งข้างกันเพื่อศึกษาเนื้อหาในหนังสือ ไม่นานนักฝนก็เริ่มลงเม็ดลงมา แม้วันนี้ฝนจะตกไม่หนักมากแต่ก็ทำให้อากาศหนาวเย็นขึ้นมา แต่ไม่รู้ทำไมกัน ภูรินถึงรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก 

     

    และปอยฝ้ายเองก็คงรู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×