ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สี่สายฝน ณ ศาลาซอยสอง

    ลำดับตอนที่ #8 : สายฝนที่หนึ่ง : ตอนที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 63


    "มึงพูดว่าอะไรนะ" เหมือนชายหัวโลเนรู้สึกว่าหูตัวเองจะเพี้ยน จึงถามกลับไปใหม่

     

    "สอนผมที" เด็กหนุ่มย้ำคำ

     

    "สอนอะไร กูไม่ใช่ครู กูเป็นช่าง.."

     

    "ก็นั่นแหละ! สอนการเป็นช่างอาชีพให้ผม ผมต้องการเรียน"

     

    เหมือนเวลารอบตัวทั้งคู่หยุดลง ลุงโชคขยับตัวพร้อมทำหน้าประหลาดใจครู่นึง ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าไอ้แก่กวนประสาทในสายตาภูริเช่นเดิม

     

    "คือ กูหูฝาดรึป่าว เด็กสุดเก่งอย่างมึงเนี่ยนะจะต้องการให้กูสอน" ลุงโชคแอบแซะก่อนจะเบือนหน้าหนีไป ภได้แต่ข่มอารมณ์จนหมัดที่กำอยู่สั่นไปหมด

     

    "ลุง ผมมาพูดดีๆนะ"

     

    "กูก็ยินดีด้วยที่คนแบบมึงพูดดีกับเขาได้"

     

    จากนั้นความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง ลุงโชคคิดว่าภูรินนั้นคงกลับไปแล้วจึงเหลือบมอง แต่ผิดคาด เด็กหนุ่มในเสื้อช็อปสีเทายังคงยืนหัวโด่อยู่ ใบหน้าบ่งบอกว่าสุดจะทนกับไอ้ลุงพุงโตคนนี้แล้ว

     

    "สรุปว่าจะไม่สอน?"

     

    "ไม่" เจ้าของอู่ตอบแบบไม่ต้องคิดนาน "คนนิสัยเสียแบบมึง กูไม่อยากสอนอะไรทั้งนั้นแหละ"

     

    สิ้นคำพูด ใบหน้าภูรินก็แดงก่ำไปหมด จิตใต้สำนึกของเขาคอยกระซิบว่านายจะโดนอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้"


     

    "ลุง ไม่พูดกวนตีนผมซักวันจะได้ไหม"


     

    "นั่น เด็กสันดารเสียแบบมึงจะพูดดีได้สักเท่าไหร่กันเชียว นี่ถ้ากูสอนมึง เผลอแปบๆ ก็คงพูดหมาๆใส่กู"


     

    และแล้วเส้นความอดทนของเด็กหนุ่มก็ได้ขาดลง


     

    "ทนมานานแล้วนะไอ้โล้น! พูดดีก็แล้วอะไรก็แล้ว นี่ถ้าไม่มีคนแนะนำมาให้เรียนกับมึง กูไม่ทนให้มึงกวนตีนทั้งๆที่รู้ว่ามึงจะไม่สอนอะไรกูอยู่แล้วหรอก!"


     

    ภูรินระบายอารมณ์ที่เขาอดกลั้นกับความหมั่นไส้ส่วนตัวออกไป สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าภูรินเป็นพวกที่ความอดทนต่ำ อะไรนิดอะไรหน่อยก็โวยวายแล้ว 

    แต่เชื่อเหอะ สำหรับภูริน การคุยดีๆกับคนที่ตนเองเหม็นขี้หน้ามานานแล้ว มันเต็มกลืนสำหรับเขามากแล้ว


     

    แต่แทนที่ชายกลางคนจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟกับคำพูดที่ดูไม่มีกาลเทษะ แต่ดูเหมือนลุงโชคจะตกใจในสิ่งภูรินพูดจนต้องเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังจะเดินออกจากอู่ของเขา


     

    "เดี๋ยว ใครให้มึงมาเรียนกับกูนะ?"


     

    "ปอยฝ้าย?" ภูรินตอบเสียงห้วน "ลุงไม่รู้จักหรอก"


     

    "ปอยฝ้าย ลูกสาวไอ้เรืองที่ทำนาอยู่ตรงซอยสองใช่ไหม"


     

    "ไม่รู้ แต่ถ้าบอกว่าทำนาอยู่ตรงนั้นก็น่าจะใช่แหละ" ภูรินตอบแบบปัดๆไป ความจริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเรืองคือใคร หรือปอยฝ้ายเป็นลูกเต้าเหล่าใคร


     

    เขาคิดว่านั่นเป็นประโยคจบสนทนาแล้ว ขณะที่เด็กหนุ่มแว่นหน้าจะก้าวขาออกจากอู่ แต่ก็ถูกลุงโชคลากตัวเขาให้นั่งอยู่ตรงหน้าซากรถจักรยานยนต์ที่ชายร่างอ้วนลงพุงงัวเงียนั่งซ่อมอยู่ทีแรก สร้างความความงุนงงให้กับภูรินเป็นอย่างมาก

     

    และความงุนงงก็ถูกแทนทีด้วยความยุ่งยากแทน

     

    "ซ่อมมัน" ลุงโชคกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับยื่นประแจให้กับเด็กหนุ่มที่นั่งมองตาโตมาที่เขา "ถ้าซ่อมได้ กูจะรับสอนมึง"

     

    “บ้า สภาพอย่างกับขยะ..” ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดด้วยประแจเหล็กที่มาฟาดที่หัวเด็กหนุ่ม แม้จะเป็นการฟาดเบาๆ แต่เหล็กที่มาเคาะกับหัวนั้น เจ็บใช้ได้

     

    “อย่างแรกที่กูจะสอนเลย อย่าพูดใส่งานที่ตัวเองจะทำว่าเป็นขยะ ตอนให้มึงจะซ่อมขยะจริงๆก็เถอะ”

     

    “แต่สภาพแบบนี้มันซ่อมไม่ได้!"

     

    “แล้วมึงลองซ่อมแล้วรึยังละ”

     

    คำพูดของลุงโชคทำให้ภูรินรู้สึกอะไรบางอย่าง ใช่ เขายังไม่ได้ลองซ่อมมันดูเลยก็จริง แต่ด้วยฝีมือของเขาเอง ทำยังไงเด็กหนุ่มก็คิดไม่ออกเลยว่าจะชุบชีวิตให้กับโครงรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ได้อย่างไร

     

    ไม่ลองก็ไม่รู้

     

    เด็กหนุ่มคว้าประแจจากมือของลุงโชคไว้ ก่อนเริ่มทำการสำรวจโครงรถที่อยู่ตรงหน้า โดยทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ ผลก็คือเครื่องยนต์ก็สามารถทำงานได้อย่างปกติ จนตัวภูรินเกิดความสงสัยว่าอะไรคือปัญหาที่เขาควรแก้ไข

    แต่ไม่นาน เขาก็พบปัญหา เมื่อเขาสตาร์ทแล้ว เครื่องยนต์ที่ติดนั้นก็ดับไป ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกสามครั้งที่เขาทำการสตาร์ท และปัญหาต่อไปคือเสียงเครื่องยนต์ดังมาก เสียงมันดังเหมือนคนแก่กำลังสำลักอะไรสักอย่าง และเครื่องยนต์ก็ร้อนจี๋มาก ทั้งๆที่เขาสตาร์ทเครื่องแค่สามรอบเอง

    มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแก้ไขปัญหาทั้งสามนี้ให้หมดไป เขาต้องค่อยๆ แก้ปัญหาทีละอย่าง อยากแรกเลยเขากะจะดูตรงลูกสูบเครื่องยนต์ว่ามีปัญหาไหม ภูรินค่อยๆใช้ประแจเปิดเครื่องอยู่อย่างช้าๆ จนแอบดูทุลักทุเลในบางครั้ง จนสุดท้ายลุงโชคก็คว้ามือไว้

     

    “จะทำอะไร” ลุงโชคถามเสียงเรียบ

     

    “จะเปิดดูลูกสูบ” ภูรินตอบตามความจริง 

     

    “จะเปิดดูทำไม?”

     

    “ก็จะซ่อมไง” ภูรินตอบพร้อมกับไปลงมือกับงานตัวเองต่อ แต่ก็ถูกดึงมือจนเด็กหนุ่มเริ่มหงุดหงิด

     

    “ถ้าซ่อมแบบไม่มีจุดหมาย มึงก็ซ่อมอะไรไม่ได้หรอก”

     

    “ก็เครื่องมันสตาร์ทติดแล้วก็ดับ เลยจะดูตรงลูกสูบ” เด็กหนุ่มตอบทั้งหมดเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับชายตรงหน้า แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะหยุดเลย ชายร่างอ้วนลงพุงหยิบประแจจากมือภูรินก่อนจะเปิดจุดๆนึงในตัวเครื่อง มันเป็นคล้ายๆก่องเล็กๆที่มีท่อยาวๆต่อจากตรงทั้งน้ำมัน โดยตรงนั้นมันมีคราบสกปรกมากมาย น้ำดำๆค่อยๆไหลออกมาจากตรงนั้น โดยที่เด็กหนุ่มก็ไม่รู้ว่าตรงมันคืออะไร

     

    “หัวฉีดจ่ายน้ำมัน” ลุงโชคอธิบาย “ทั้งเก่า และสกปรก มันเลยทำให้ตัวเครื่องยนต์ไม่ได้รับน้ำมันที่มากพอ เลยทำให้ดับกลางคันเหมือนเครื่องน้ำมันหมด"

     

    ภูรินอ้าปากเหวออยู่พักใหญ่ ที่เขาจำได้ว่าที่เรียนล่าสุดก็สอนเกี่ยวกับลูกสูบเองนิ หากเครื่องเป็นไรก็ให้คิดว่าเป็นที่ลูกสูบก่อน แต่พอเป็นแบบนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกพักอยู่ใหญ่

     

    “ก็ดีที่ยังคิดว่าเป็นที่ตัวลูกสูบ แต่บางที มึงก็ควรที่จะคิดให้รอบคอบกว่านี้หน่อยนะ”

     

    เจอคำพูดสั่งสอนแบบนั้นจากปากคนที่เขาไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิม ทำให้เขารู้สึกแย่ไปใหญ่ กับการแค่ซ่อมรถที่เขาดูถูกนักว่าเป็นอาชีพหาเช้ากินค่ำ ไม่คิดว่ามันจะซับซ้อนขนาดนี้

    ลุงโชคที่เหลือบมองเห็นภูรินทำหน้าแบบนั้น ก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับเกาหัวที่ไม่ค่อยมีเส้นผมประดับบนหัวของเขา

     

    “มันไม่ผิดที่มึงหรอก ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา” เขาถอนหายใจอย่างรำคาญสามสี่รอบ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด

     

    “เออๆ มา เดี๋ยวกูสอนให้”






     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×