ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สี่สายฝน ณ ศาลาซอยสอง

    ลำดับตอนที่ #7 : สายฝนที่หนึ่ง : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 63


    สองเดือนผ่านไป

     

    รถสองแถวสีแดงเก่าๆ ขับมาช้าๆ เหมือนกลัวเครื่องจะพัง ก่อนจะจอดลงเพื่อให้เด็กคนนึงลงมาจากรถ

    เด็กหนุ่มผมสั้นตัดสุภาพ ใบหน้านั้นประดับด้วยแว่นหน้าเตอะ เสื้อช็อปสีเทาอ่อนๆเปรอะไปด้วยคราบน้ำมันสีดำจากที่เรียนวิชางานจักรยานยนต์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภูรินจ่ายเงินให้กับคนขับก่อนที่รถนั้นจะขับออกช้าๆ ตามเดิม


    ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น


    หลังจากวันที่เขาร้องไห้มาที่ศาลาซอยสอง ในวันนั้นเขาเองก็ทำให้ปอยฝ้ายร้องไห้ เพราะคำพูดของเขาเอง แต่หลังจากนั้นเธอก็มาปลอบเขาเหมือนเมื่อตะกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    สุดท้ายหลังจากที่ฝนเบาลง เขาก็ขับรถกลับบ้านพร้อมกลับมาคุยกับพ่อเรื่องเรียนต่อและตกลงเรียนต่อในช่วงชั้น ปวช. จนพ่อของเขาหน้าเหวอ เพราะเมื่อตอนแรกภูรินแทบไม่เปิดใจที่จะเรียนเลย แต่ไหงกลับมาพูดแบบไม่อคติเลยสักนิด

     

    ในระหว่างรอวันมอบตัว ภูรินก็หอบหนังสือไปอ่านที่ศาลาซอยสอยเป็นประจำ เพื่อหวังเจอกับสาวชาวนาคนนั้น จนพ่อแม่เริ่มสงสัยว่าลูกชายของเขาจะไปไหน เนื่องจากภูรินเป็นพวกชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าไม่มีอะไรจำเป็นจริงๆเขาจะไม่ออกไปไหนเลย ซึ่งเด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งๆพร้อมตอบแบบเลิ่กลั่กว่า เขาไปติวหนังสือ

     

    "ภูริน วันนี้จะให้เราติววิชาอะไร" เด็กสาวผิวแทนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงวอม อยู่ตรงที่นั่งในศาลา

     

    "คณิตศาสตร์น่ะ" เขาตอบเสียงเรียบก่อนเขาไปนั่งข้างๆเธอ ก่อนจะนำหนังสือเล่มโตขึ้นมา

     

     

    ้เอาจริงจะพูดว่าเขาหลอกพ่อแม่เพื่อมาหาหญิงก็คงไม่ถูกสักทีเดียว เพราะเขามักจะนำหนังสือมาอ่านพร้อมกับให้ปอยฝ้ายติวให้กับเขา เนื่องจากเธออาสาเองว่าจะติวให้ แม้ภูรินจะปฏิเสธยังไง เธอก็ยังไม่ยอมเลิกลาจนเขายอมตกลง

    ถึงปอยฝ้ายจะเรียนจบแค่มัธยมต้น แต่เธอก็สามารถสอนให้กับภูรินได้เป็นอย่างดี แม้ตัวเด็กหนุ่มจะเข้าใจในเนื้อหาอยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าความรู้ของปอยฝ้ายนั้นไม่ธรรมดา

     

    "แล้วสรุปว่าภูรินจะเรียนสายอะไร"

     

    "ไม่รู้" ภูรินตอบส่งๆ สายตาของเขาไม่เหลือบขึ้นมามอง

     

    ปอยฝ้ายนิ่งอยู่ครู่นึงจนภูรินต้องหยุดจดจ่อกับหนังสือ พร้อมกับมองไปที่ใบหน้าที่เรียบเนียน ซึ่งเป็นจังหวะที่เขาทั้งสองสบตาพอดิบพอดี จนภูรินต้องรีบหลบตา พลางสงสัยตัวเองว่าจะหลบตาทำไม

     

    "ทำไมไม่เรียนช่างยนต์ละ?" ปอยฝ้ายถามด้วยรอยยิ้ม ทำให้เด็กหนุ่มแว่นหนาสนใจเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างไวเมื่อเด็กสาวพูดต่อ "จะได้ทำงานที่อู่ลุงโชคไง"

     

    "งั้นฉันก็คงไม่เรียนสายนี้หรอก"

     

    "ทำไมละ ก็ถ้าเกิดว่าสงสัยอะไรเกี่ยวกับที่เรียน ภูรินก็ถามลุงโชคได้เลยไง"


    สงสัย? ภูรินแทบคิดภาพไม่ออกเลยในช่วงเวลาที่เขาจะเข้าไปถามในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจกับคนอย่างลุงโชคเนี่ย มันคงจะตลกถ้าเขาเข้าไปขอร้องกับลุงพุงโตที่อยู่ในอู่ว่า ลุงครับ ลุงครับ ช่วยสอนตรงนี้หน่อย พอดีผมไม่เข้าใจเลย


    "พอดีผมไม่ชอบทำงานแบบนั้น" แต่เขาก็ตอบไม่ให้หยาบคายกับคนถามเกินไป


    "โห แย่จัง" ปอยฝ้ายหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ "ถ้าภูรินเรียนช่างยนต์ เราคงได้สิทธิซ่อมรถฟรีแล้ว"


    ภูรินได้แต่หัวเราะในลำคอกับความคิดของเด็กสาวชาวนา ก่อนที่สายตาผ่านแว่นหนาจะกลับไปจดจ่อกับเนื้อหาในหนังสือ แต่ก็ยังหาเรื่องชวนคุยกับปอยฝ้ายบ้าง


    "ว่าแต่รู้จักลุงโชคด้วยเหรอ?"


    "รู้สิ คนรู้จักกันทั้งอำเภอ"


    ภูรินได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ เขานึกว่าจะมีแค่พ่อของเขากับคนบางกลุ่มที่จะรู้จักกับลุงพุงโตหัวล้าน ไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักระดับอำเภอ แต่ก็นะ ที่คนรู้จักเยอะก็อาจจะเพราะนิสัยที่หยาบคายก็แกด้วยแแหละ

     

    ในวันมอบตัว ภูรินเลือกที่จะเรียนในวิชาช่างยนต์ ไม่มีเหตุผลในการเลือก เขาสักแต่ลงๆ ประชดชีวิตแม้เขาจะเปิดใจมาเรียนแต่ก็ยังไม่เปิดใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ในใจเขาก็ยังรู้สึกว่าการเรียนในช่วงชั้นมัธยมปลายเปิดโอกาสให้ชีวิตมากกว่า


    แม้จะบอกว่าไม่มีเหตุผลที่เลือก แต่เขารู้สึกได้ถึงคำพูดของปอยฝ้ายที่ยังก้องอยู่ในหัวด้วย อีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรอยู่แล้ว อีกอย่าง ถ้าเลือกตามที่ปอยฝ้ายบอก เสียงที่อยู่ในหัวจะได้หายไปเสียที


    จากนั้นก็ถึงวันปฐมนิเทศ ภูรินยอมรับว่าหน้าตาหลายๆคน ดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ วันไหนเรียนๆอยู่แล้วถูกแทงตายเขาคงไม่ค่อยแปลกใจ


    แต่ยอมรับนะ

    ว่าคนพวกนี้นิสัยดีมาก


    ในตอนแรกเขาแทบไม่อยากสุงสิงกับกลุ่มพวกนี้เลย แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เขาต้องรวมกลุ่มในช่วงกิจกรรมรับน้อง จนสุดท้ายก็ได้รู้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีพิษภัยอะไร แถมยังออกแนวรัวๆกันทุกคน แต่ตัวภูรินเป็นพวกเก็บตัวอ่านหนังสือ เลยแค่พอรู้จักกัน ไม่ได้สานสัมพันธ์ต่อ

     

     ไม่นานวันเปิดภาคเรียนก็มาถึง เด็กหนุ่มแต่งตัวด้วยเสื้อสีขาวเหมือนเสื้อนักเรียนพร้อมกับกางเกงขายาวสีดำ ยอมรับว่าเขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการใส่กางเกงขายาวไปเรียนสักเท่าไหร่ ซึ่งช่วงสัปดาห์ก็ไม่ค่อยมีอะไร ส่วนใหญ่ก็นัดแนะวิชาต่างๆและเครื่องแบบที่นักศึกษาต้องใส่


    แต่หลังจากนั้นแหละของจริง


    พวกวิชาทฤษฎีสำหรับภูริน บอกเลยว่าหวานหมู แต่พอมาในวิชาปฏิบัติแล้วมันกลายเป็นยาขมสำหรับเขา เนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ในงานช่างมาก่อน ความทะมัดทะแมงของภูรินถ้าเทียบกับคนอื่นแล้ว แทบจะเป็นที่โหล่เลย แต่อย่างน้อยงานต่างๆก็ออกมาดี เนื่องจากเพื่อนๆคอยช่วยเหลือบวกกับนิสัยติดความสบบูรณ์แบบของเด็กหนุ่มด้วย




    "วันนี้เป็นไงบ้าง" ในศาลาซอยสอง ปอยฝ้ายถามภูรินขณะที่เด็กหนุ่มที่นั่งเหม่อลอยก่อนจะรู้สึกตัว แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร


    ภูรินได้แต่คิดทบทวน พร้อบกับหยิบเหล็กรูปทรงหัวค้อนออกมาจากกระเป๋า เนื่องจากวิชาช่างทั่วไปในวันนี้เขาต้องตะไบเหล็กที่ตัดเป็นหัวค้อนให้มีลักษณะเรียบเนียน ซึ่งรอบนี้งานเขาทำไม่สำเร็จ แต่ตัวภูรินก็ไม่ละความพยายาม แต่ก็ต้องหยุดเมื่ออาจารย์บอกว่าหมดเวลาใช้ห้องงานช่างแล้ว


    "นั่นอะไรน่ะ?"


    "เหล็กที่ใช้เรียนในวิชาตะไบ" ภูรินเก็บหัวค้อนเข้ากระเป๋าดั่งเดิม "แต่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่"


    "เรียนช่างยนต์นี่ต้องเรียนตะไบเหล็กด้วยเหรอ เรานึกว่าเรียนซ่อมรถซะอีก"


    เด็กสาวทำหน้าสงสัย ทำให้ผู้ฟังนั้นแอบอมยิ้มกับความคิดของเธอ


    "ก็เรียน แต่มันเป็นวิชางานช่างทั่วไป"


    "แล้วภูรินซ่อมรถได้รึยัง"


    ได้ฟังแบบนั้น เด็กหนุ่มที่แอบอมยิ้มนั้นก็เผลอหลุดยิ้มมาทันที


    "บ้า นี่เรียนแค่ไม่กี่สัปดาห์เองนะ"


    จู่ๆ ปอยฝ้ายก็นิ่งไป เผยให้เห็นรอยยิ้มจากริบฝีปากสีชมพูของเธอ จนเด็กหนุ่มผงะออกเล็กน้อย


    "ยิ้มอะไรน่ะ?"


    "เราพึ่งเคยเห็นภูรินยิ้มครั้งแรก ไม่รู้สิ เราเลยรู้สึกดีมั้ง?"


    ความเงียบกลับเข้ามาอีกครั้ง จู่ๆ เม็ดฝนเล็กๆ ก็ตกสู่พื้น กลิ่นไอดินหอมๆ และลมเย็นๆ รวมทั้งรอยยิ้มของปอยฝ้ายนั้นทำให้อารมณ์ของภูรินหวั่นไหว


    "เครียดเรื่องเรียนเหรอ"


    "ไม่นิ" เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็ง แม้ว่าสิ่งที่เขาตอบจะเป็นคำโกหก


    "เหรอ" ปอยฝ้ายยิ้มเล็กน้อย เธอมองออกไปข้างนอก มองต้นข้าวในผืนนาของครอบครัวที่กำลังเติมโตที่โดนสายลมและเม็ดฝนทำให้ตนข้าวสั่นไหวพร้อมเพรียงกัน


    "เราอาจจะไม่รู้หรอกว่าจริงๆ ภูรินเครียดกับสิ่งที่เรียนไหม แต่ที่เราสัมผัสได้คือภูรินเปิดใจและตั้งใจกับการเรียนช่างมาก"


    จู่ๆเธอก็คว้ามือของภูรินไว้ที่มือทั้งสิงขิงเธอ จนฝ่ายชายตกใจเกือบจะชักมือกลับ แต่เห็นแววตาของเธอที่คลอไปด้วยน้ำตาแล้ว เขาจึงไม่ขัดอะไร


    "ขอบคุณนะภูริน"



    __________


    ที่อู่เล็กๆ ชายร่างอ้วนหัวล้านสวมเสื้อกลามที่ไม่ค่อยสมส่วนกับตัวเท่าไหร่ ตอนนี้เขากำลังงัวเงียอยู่กับรถจักรยานยนต์สภาพไม่สู้ดีที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ต้องหยุดทุกอย่างเมื่อลุงโชคเผลอไปเห็นเด็กหนุ่มในเสื้อช็อปสีเทายืนอยู่หน้าอู่ของเขา


    "นี้มันไอ้เด็กปากเสียนี่นา แหม่ เรียนช่างซะด้วย จะมาแย่งงานกูละมั้ง" ลุงโชคเหน็บแนมเด็กหนุ่มตรงหน้า ตัวเขารู้ว่าเด็กสันดารแบบนี้คงจะพูดดีด้วยยาก "ว่าแต่มีธุระอะไร"


    ภูรินได้แต่กำหมัดแน่น ปกติเขาควรจะต่อปากต่อคำกับไอ้ลุงพุงพรุ้ยแล้ว แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาหาเรื่อง เด็กหนุ่มค่อยๆสูดหายใจ พร้อมกับพูดออกไป


    "สอนผมที"



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×