ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สี่สายฝน ณ ศาลาซอยสอง

    ลำดับตอนที่ #5 : สายฝนที่หนึ่ง : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 63


    เสียงไก่ขันช่วงเวลาโต้รุ่งนั้นปลุกให้ชาวบ้านในระแวกนั้นตื่นขึ้นมา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานภายในวันนี้ ภูรินลุกขึ้นตื่นจากที่นินด้วยความว่องไว แต่เขาไม่ได้ตื่นมาเพื่อที่จะไปทำงาน

     

    แต่เขาตื่นขึ้นเพื่อจะไปเอาของที่เขาลืมไว้

     

    ความจริง เมื่อวานหลังจากที่เขานึกได้ว่าลืมประกาศนียบัตรกับกระเป๋าของเขาไว้ที่ศาลาซอยสอง เจ้าตัวก็ขับมอเตอร์ไซต์ดิ่งมาในจุดที่เขาลืมของไว้ หวังว่าเด็กชาวนาที่เจอเมื่อวานจะไม่ขโมยของเขาไปเสียก่อน แต่เมื่อมาถึงนั้นเขาก็พบว่าของที่เขาลืมไว้มันไม่ได้อยู่แล้ว รวมถึงตัวของปอยฝ้ายด้วย

     

    เขานั่งหาอยู่ตรงนั้นอย่างลมๆ แล้งๆ ในใจนึกสาบแช่งไอ้หน้าไหนที่มันหน้าด้านขโมยของเขาไป ว่าขอให้ชีวิตของมันฉิบหาย ก่อนจะกลับบ้านไปอย่างหัวเสียพร้อมกับบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อแม่เขาได้ฟัง ซึ่งแทนที่เขาจะร่วมประสมโรง พวกเขากลับต่อว่าเด็กหนุ่มที่เป็นคนขี้ลืมเอง ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

     

    ซึ่งผู้เป็นแม่ก็ได้บอกภูรินว่าถ้าลูกไปที่ศาลานั่นอีกครั้ง โดยคาดว่าผู้หญิงที่ชื่อปอยฝ้ายที่เขาเจออาจจะเก็บไว้ให้เขาก็ได้ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ได้ถามแม่ด้วยความสงสัยว่าถ้าหากไม่มีใครเก็บของของเขาไว้ละ แม่ก็ได้แต่สายหัวพร้อมกับพูดด้วยเสียงเรียบว่า สุดแล้วแต่เวรกรรม

     

    ตัดมาปัจจุบัน เด็กหนุ่มแต่งตัวเรียบๆไม่ให้น่าเกลียดต่อที่สาธรณะ ก่อนออกจากบ้านด้วยรถมอเตอร์ไซต์ที่ตรงดิ่งไปยังศาลาที่เขาใช้หลบฝนเมื่อวาน ที่เขารีบมาเร็วก็เพื่อที่จะดูหน้าคนที่มันเอาของของเขาไปทั้งๆที่เขาไม่อนุญาติ

     

    ในขณะที่เขามาถึงก็พบว่าระแวงนั้น เริ่มมีผู้คนยืนอยู่ริมคันนาตามจุดต่างๆ เพื่อมาหว่านข้าวในช่วงเช้า แต่สายตาของเขาไม่ได้สังเกตุที่กลุ่มคนเหล่านี้ สายตาของเขาจับจ้องไปในศาลา ซึ่งก็พบกับสิ่งของต่างๆไม่ว่าจะเป็นถังใส่ต้นอ่อนของข้าว แต่ที่สะดุดตาคือกระเป๋าสีดำที่วางบนศาลา

     

    กระเป๋าของเขาเอง

     

    ภูรินไม่รอช้า เขาลงจากรถก่อนตรงดิ่งไปทางศาลาซอยสอง ก่อนที่จะหยิบกระเป๋ามาเปิดเพื่อตรวจสอบว่ามีสิ่งใดในกระเป๋านั้นหายไปบ้าง เขารู้สึกว่ากระเป๋ามันเปียกชื้นเล็กน้อย น่าจะเพราะตอนลุยฝนแน่ๆ แต่ไม่ทันไร มือใหญ่ของชายคนนึงก็จับแขนที่ค้นหาของในกระเป๋าของเขาไว้ เด็กหนุ่มหันไปมองพบว่าผู้ที่จับแขนของเขา เป็นชายวันกลางคนในชุดแขนยาวแบบชาวนา ถึงภูรินจะเห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็รู้ว่าบุคคลนี้ไม่พอใจแน่ๆ

     

    "มึงจะทำอะไรไอ้หนุ่ม" ชายวัยกลางคนถามภูริน เมื่อเขาได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ

     

    ภูรินพยายามกระชากกระเป๋าออกจากชายคนนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถสู้แรงของชายที่อยู่ตรงหน้าได้ ยิ่งเขาขัดขืนและไม่ตอบคำถาม ชายกลางคนก็รวบแขนของภูรินไว้ พร้อมกับตะโกนเสียงดัง

     

    "ขโมย! ใครก็ได้โทรหาตำรวจที"

     

    "เห้ย! ผมไม่ใช่ขโมย!" ภูรินตกใจมาก เขารีบดิ้นรนจากการถูกชายตรงหน้าจับ แต่ยิ้งดิ้น แรงจับก็ดูเหมือนยิ้งเพิ่ม จนข้อมือที่ชายกลางคนบีบนั้น เลือดแทบไม่เดินแล้ว

     

    "พ่อค่ะ! เกิดอะไรขึ้น!" เสียงเด็กสาวร้องอย่างตกใจ ภูรินสบโอกาสที่ชายคนนี้สนใจกับเสียง เขาออกแรงมากขึ้นจนเหมือนจะหลุด แต่ก็ถูกชายวัยกลางคนนี้ล็อกตัวโดยการจับมือเด็กหนุ่มไคว้หลัง จนเขาหมดสิทธหนีในที่สุด

     

    "ก็ไอ้เด็กนี้สิ จู่ๆมันมาดุ้มๆมองๆของเรา แล้วก็จะขโมยกระเป๋าใบนี้เฉย"

     

    "ก็บอกว่าไม่ได้ขโมย! พวกคุณนั่นแหละจะขโมยกระเป๋าผม"

     

    สักพัก เด็กสาวผิวแทนก้โผล่มายังที่ศาลา ในมือของเธอกดที่โทรศัพท์มือถือ แต่เธอก็ต้องหยุดเมื่อคนที่ถูกผู้เป็นพ่อของเธอนั้น เธอเคยเจอกันมาก่อนแล้ว

     

    "นี่นายที่น้ำมันหมดเมื่อวานนิ"

     

    ปอยฝ้ายร้องขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนที่เธอจะนึกอะไรได้ เด็กสาวรีบไปคว้ากระเป๋าสีดำยื้นให้กับภูรินที่ถูกล็อกตัวอยู่

     

    "นายลืมมันเมื่อวานน่ะ เรากลัวมันหาย เลยเก็บไว้ให้ก่อน"

     

    ชายวัยกลางคนเริ่มพอจะเข้าใจเหตุการณ์ เขาจึงปล่อยตัวเด็กแว่นคนนี้ออก ซึ่งภูรินก็สะบัดตัวด้วยความหงุดหงิดก่อนจะคว้ากระเป๋ากาอนจะเช็คของว่ายังอยู่ครบไหม พร้อมกับเคลือบตามมองขวางใส่สองพ่อลูก

     

    "ใบจบมอสามฉันใส่ไว้ในกระเป๋าน่ะภูริน"

     

    "เธอรู้ชื่อฉันได้ไง"

     

    "ในใบจบของเธอ"

     

    เหมือนรู้ว่าภูรินต้องการหาอะไร เด็กหนุ่มหาประกาศนียบัตรที่อยู่ในกระเป๋าตามที่ปอยฝ้ายกล่าว ซึ่งก็พบมันอยู่ในนั้นจริงๆ และของต่างๆก็ไม่ได้หายไป อีกอย่าง กระเป๋าของเขาดูสะอาดขึ้นเยอะ พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ เห็นดังนั้น ตัวเขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา

     

    "ทำไมเธอถึงซักกระเป๋าให้ฉัน"

     

    "เราเห็นว่ามันเปียกมาก อีกอย่างคงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยมันทิ้งไว้" ปอยฝ้ายอธิบาย

     

    "ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!"

     

    ภูรินใส่อารมณ์ก่อนจะกลับไปที่จักรยานยนต์ของเขา ก่อนจะขับรถหนีออกไปจากจุดตรงนั้น ทิ้งให้สองพ่อลูกยืนมองรถหายลับต่อไป ผู้เป็นพ่อปอยฝ้ายส่ายหัวก่อนจะพูดออกมา

     

    "เด็กคนนี้ทำไมมันเป็นอย่างงั้นเนี้ย"

     

    ปอยฝ้านได้แต่ถอนหายใจพลางนึกคิดว่า ตนได้ทำอะไรกันแน่ที่ทำให้ชายคนนี้หงุดหงิดขนาดนี้

     

    ____________________

     

    เวลาบ่ายกว่าๆ แสงแดดถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆใหญ่ ลมเย็นๆเริ่มพัดกระทบเหล่าชาวนาทั้งหลายในระแวกนั้นให้รู้ตัวว่าเม็ดฝนใกล้ตกแล้ว ปอยฝ้ายที่กำลังปักต้นอ่อนของข้าวลงไปในดินเหนียวๆในนา ก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงพ่อของเธอเรียกให้ไปเก็บของที่ศาลาไม้

     

    แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหน เม็ดฝนก็เริ่มตกลงมา คุณพ่อของเธอบอกว่าให้เธอหลบฝนอยู่ในนั้นก่อน รอฝนซาค่อยออกมา เดี๋ยวจะเป็นไข้ โดยเธอเองก็ตกลงตามคำของพ่อเธอ ปอยฝ้ายเก้าขาไปที่ศาลาอย่างว่องไว ก่อนที่ตัวเธอจะเปียก

     

    เมื่อเด็กสาวมาถึง ก็พบกับรถมอเตอร์ไซต์สีฟ้าที่คุ้นตา จอดอยู่ข้างนอกศาลา เธอค่อยๆก้าวเข้าไปก็พบกับเด็กหนุ่มผมเกรียนใบหน้าที่คุ้นตา เขานั่งตัวสั่นก้มหน้า พร้อมกับน้ำตาที่ไหลงอาบแก้ม โดยมือซ้ายถอดแว่นหนาเอาไว้เนื่องจากคงไม่อยากให้เปื้อนน้ำตา

     

    "นายเป็นไรไหม"

     

    ปอยฝ้ายเรียกภูรินที่นั่งร้องไห้อยู่ เขาค่อยๆเงยหน้ามองสาวชาวนา 

    ต่อจากนี้ ปอยฝ้ายหวังแค่จะทำให้ชายคนนี้รู้สึกว่าเธอมอบความหวังดีให้กับเขาจริงๆ และทำให้เขาเลิกอคติกับตัวเธอเสียที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×