ผู้นำ กกล.กู้ชาติไทยใหญ่ ลั่นพร้อมเป็นรั้วป้องกันยาเสพติดเข้าไทยทดแทนคุณมหามิตรอย่างประเทศไทย เตรียมละลายโรงงานยาเสพติดตามแนวชายแดนไทย-พม่า เชื่ออีกไม่นานได้เอกราชเหตุกองทัพเดินถูกทางไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติด ด้านผู้นำอันดับ 2 ชี้วันนี้ใช้นโยบายชนกลุ่มน้อยผนึกกำลังรบพม่า นายกรัฐมนตรีประชุมผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกลกับผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถกปัญหาภัยหนาวและยาเสพติด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 20-21 พฤศจิกายน กองทัพกู้ชาติไทยใหญ่ (เอสเอสเอ) ได้จัดงานประเพณีส่งท้ายปีใหญ่ ต้อนรับปีใหญ่ของชนเชื้อชาติไทยใหญ่ ที่กองบัญชาการใหญ่ดอยไตยแดง ตรงข้าม อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีตัวแทนกะเหรี่ยงเคเอ็นยู. กะเหรี่ยงเคเอ็นพีพี. คะฉิ่น และอาระกัน ชนกลุ่มน้อยพันธมิตรที่ร่วมกันต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากรัฐบาลทหารพม่า ตลอดถึงทหารกองทัพกู้ชาติไทยใหญ่ ตัวแทนประชาชนในรัฐฉานและผู้อพยพจากการสู้รบเชื้อชาติไทยใหญ่กว่า 1,500 คน เข้าร่วมงาน
งานได้จัดให้มีการสวนสนามประกอบอาวุธของนายทหารที่สำเร็จการศึกษาวิชาการทหารชั้นต้นกว่า 230 นาย และการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมของชนเชื้อชาติไทยใหญ่ ขณะเดียวกันในช่วงจัดงานทางกองบัญชาการทหารสูงสุดไทยใหญ่ได้สั่งการให้กำลังพลตามแนวเขตยึดครองรอบกองบัญชาการสูงสุดดอยไตยแดง ให้เข้มงวดเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากยังคงมีกำลังทหารกองทัพสหรัฐว้า (ยูดับยูเอสเอ) ตั้งประชิดด้านบริเวณดอยกองหญ้าคา
พ.อ.ยอดศึก ประธานสภาอาร์ซีเอสเอส และผู้นำอันดับ 1 ของกองทัพกู้ชาติไทยใหญ่ (เอสเอสเอ) กล่าวว่า การจัดงานส่งท้ายปีใหญ่ต้อนรับปีใหญ่ ถือว่าเป็นประเพณีของชนเชื้อชาติไทยใหญ่และเพื่อเป็นการแสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่าชนชาติไทยใหญ่เป็นชนชาติที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีมาอย่างยาวนานกว่า 1 พันปีมาแล้ว ไม่ได้เป็นชนชาติที่เพิ่งถือกำเนิดและอ้างสิทธิการครองพื้นที่ตามที่รัฐบาลทหารพม่ากล่าวอ้าง
ผู้นำอันดับ 1 ของกองทัพเอสเอสเอ กล่าวอีกว่า ทางกองทัพไทยใหญ่ทราบดีว่า ขณะนี้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ที่บันทอนทรัพยากรมนุษย์ของทุกประเทศในโลก รวมทั้งประเทศไทยประเทศมหามิตรของชนชาติไทยใหญ่และเป็นที่ทราบกันดีว่า แหล่งใหญ่ยาเสพติดผลิตมาจากดินแดนของประเทศพม่า โดยชนเชื้อชาติว้า และโกกั้ง ซึ่งทั้งสองเชื้อชาติเป็นชนกลุ่มน้อยที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับรัฐบาลแล้ว และพม่ายินยอมทั้งสองเชื้อชาติปกครองดูแลกันเองหรือที่เรียกว่าเขตปกครองพิเศษ
แม้นว่า พม่าจะออกมาปฎิเสธว่า ไม่ทราบ ไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ และจะให้ทางกองทัพไทยใหญ่เข้าไปกวาดล้างถึงพื้นที่ปกครองของว้าและโกกั้งย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ทางกองทัพไทยใหญ่จะสามารถช่วยเหลือมหามิตรอย่างประเทศไทยได้ โดยการกวาดล้างโรงงานยาเสพติดตามแนวชายแดนไทย-พม่าในพื้นที่รัฐฉานซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 3 โรง ในพื้นที่บ้านคายหลวง เมืองจ็อด และด้านเหนือเมืองยอนประมาณ 40 กิโลเมตร ตลอดจนการทำลายคาราวานขนยาเสพติดที่ผ่านพื้นที่รัฐฉาน
ล่าสุดทราบว่า จะมียาบ้ากว่า 4-5 ล้านเม็ด และเฮโรอีนไม่ต่ำกว่า 500-600 กิโลกรัม รอจังหวะเข้าประเทศไทยแต่ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่า การทำลายโรงงานยาเสพติด หรือการโจมตีขบวนการขนยาเสพติด เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ การแก้ไขต้นเหตุคือ ชาวบ้านที่ยากจนในพื้นที่รัฐฉาน ดังนั้นทางสหประชาชาติ หรือรัฐบาลพม่า ต้องแก้ไขปัญหานี้ให้จงได้ ไม่ว่าการจูงใจในราคาพืชผลทางการเกษตร เหมือนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ทรงจัดตั้งโครงการหลวง โดยการส่งเสริมและรับซื้อผลผลิต
พ.อ.ยอดศึก กล่าวอีกว่า หากชาวบ้านในพื้นที่รัฐฉานมีรายได้และอาชีพที่แน่นอนจะไม่หวนไปปลูกฝิ่น ขณะเดียวกันทางรัฐบาลพม่าต้องปราบปรามหรือคุมเข้มชนกลุ่มน้อยที่ผลิตยาเสพติด เช่นกลุ่มว้า โกกั้ง พม่าจะอ้างว่าคุมไม่ได้นั้นเป็นไปไม่ได้เพราะว้า และโกกั้ง เป็นชนกลุ่มน้อยที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับพม่า อยู่ในการดูแลของพม่า
"วันนี้พม่าเอาเรื่องยาเสพติดมาเกี่ยวพันเรื่องการเมือง กลบเกลื่อนเรื่องการปกครองประเทศตนเอง ให้ทุกสายตาจับจ้องแต่เรื่องยาเสพติด แต่ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง คอรัปชั่น รู้เห็น เป็นใจให้ยาเสพติดเกิด " ผู้นำสูงสุดไทยใหญ่กล่าว
พ.อ.ยอดศึก กล่าวต่อว่า วันนี้แม้กองทัพจะมีอายุมากกล่าว 10 ปี แต่ทางกองทัพยังคงยืนหยัดแนวทางในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชกับพม่าเหมื่อนช่วงการก่อตั้ง คือ การสร้างความมั่งคงให้กองทัพ ทั้งเรื่องกำลังพล และอาวุธ การสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นกับประเทศต่างๆในโลกเรื่องที่ทางไทยใหญ่ถูกทางรัฐบาลพม่าโกงดินแดน และการใช้กำลังทหารเข้ารบแตกหักกับพม่า หลังพูดคุยทางการเมืองกันไม่ได้
"เรายืนยันว่าเราพร้อมเจรจา โดยไม่มีการสร้างเงื่อนไขก่อนการเจรจา ทุกเงื่อนไขจะถูกตั้งบนโต๊ะเจรจาแต่ไม่ ได้ตอบสนองจากรัฐบาลทหารพม่า เราไม่ต้องการรบเพราะการสู้รบคนที่เดือดร้อนคือประชาชน สิ่งที่เราต้องการสูงสุด คือเอกราชเพราะเราเป็นประเทศมาก่อน "พ.อ.ยอดศึก กล่าว
ประธานสภาอาร์ซีเอสเอส กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในประเทศพม่า ที่ผ่านมาไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ กับนโนยบายที่กดขี่และไม่แยกดินแดนให้ชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลทหารพม่ายังคงเดิม วันนี้รัฐบาลพม่าเพียงแค่เล่นละครตบตาประชากรโลก โดยการให้ชนกลุ่มน้อยตั้งตัวแทนเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ หากมองตามนโยบาลถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากทราบเบื้องหลังคนที่เป็นตัวแทนนั้นทหารในท้องถิ่นเป็นคนเลือก และต้องเสนอตามนโยบายที่ทางคนรัฐบาลเขียนล่วงหน้าไว้แล้ว หรือการยอมให้ตัวแทนสหประชาชาติเข้าพบนางอ่องซานซูจี เพียงเพื่อลดกระแสเท่านั้น
"วันนี้ทหารของกองทัพไทยใหญ่ทุกนายเชื่อว่าเราเดินมาถูกทาง ทั้งนโยบายที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งนโยบายที่ดำเนินการทางการเมืองเพื่อเรียกร้องเอกราชคืนจากพม่า วันนี้ หลายประเทศรู้แล้วว่าเราบริสุทธ์ใจไม่ได้ปากอ้างว่าเป็นต้องการเอกราช แต่แท้จริงเพียงแค่ต้อวการกำลังคุ้มกันโรงงานยาเสพติด เชื่อว่าอีกไม่นานฝันของคนไทยใหญ่คือ ประเทศไทยใหญ่ จะไม่ไกลเกินความเป็นจริงแน่นอน" พ.อ.ยอดศึก กล่าว
ด้าน พ.อ. จายยี่ ผู้นำอันดับ 2 กองทัพกู้ชาติไทยใหญ่(เอสเอสเอ) อดีตนายทหารคุมกำลังของกลุ่มเอสเอสเอ็นเอ ซึ่งเป็นกลุ่มเจรจาสงบศึกและเข้ามาร่วมกับ กลุ่มเอสเอสเอหลัง พ.อ. กานยอด ผู้นำกลุ่มเสียชีวิต กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของทหารไทยใหญ่ทุกคนคือการได้เอกราชแม้ว่าเวลาจะยาวนานแค่ไหน วันนี้เรายังคงเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยอาระกัน กระเหรี่ยงคะยา กระเหรี่ยงคริสต์เคเอ็นยู ชิน และคะฉิ่นอย่างเหนียวแน่นและพร้อมที่จะไป ตามจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การได้เอกราชการรัฐบาลทหารพม่า ทั้งการเจรจาทางการ เมืองและการทหาร
"คุยกันเรื่องการเมืองหากคุยกันไม่รู้เรื่องก็จะต้องใช้กำลังทหารโดยชนกลุ่มน้อยพันธมิตรพร้อมจะร่วมด้วยและคนหนึ่งตายคนหนึ่งเข้ามาแทน ด้วยใจยึดมั่นในคำว่าเอกราช เชื่อว่าวิธีนี้จะสามารถชนะรัฐบาลทหารพม่าได้" พ.อ.จายยี่ กล่าว
นายกฯประชุมกับผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอน
เมื่อเวลา 10.00 น วันที่ 20 พฤศจิกายน นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนและหัวหน้าส่วนราชการได้ร่วมประชุมผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกลกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงปัญหาภัยหนาวและปัญหายาเสพติดในพื้นที่
ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีว่า ปัญหายาเสพติดนั้น ทราบว่าชนกลุ่มน้อยที่ตั้งข้ามจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีการตั้งโรงงานผลิตยาเสพติด 4 - 5 แห่ง จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้สนธิกำลังฝ่ายทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง สกัดกั้นยาเสพติดตลอดแนวชายแดนเพื่อไม่ให้ยาเสพติดเข้ามายังพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ขอรับการช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรี ในเรื่องงบประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อนำมาขุดลอกลำห้วย จำนวน 5 สาย และซ่อมส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่อำเภอปาย เมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา และงบประมาณอีก 70 ล้านบาท เพื่อนำมาก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่อำเภอปาย เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม จนถึงขณะนี้จังหวัดยังไม่ได้รับงบประมาณในจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะติดตามในเรื่องงบประมาณดังกล่าวให้แก่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
|
ความคิดเห็น