NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Au KNB] Blackmail | Kise x Oc

    ลำดับตอนที่ #2 : :: Chapter1 :: Twinflame

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 66


     

      

     

     

     

     

    - Chapter 1 -

     

         เขาว่ากันว่าคนสองคนที่มีนิสัยเหมือนกันมักจะดึงดูดเข้าหากัน คิเสะเองก็เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาบ้างและรู้มาว่าการที่คนสองคนมาพบเจอกันถ้าไม่รู้สึกชอบพอกันก็กลับกลายเป็นเกลียดขี้หน้ากันไปเลย เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าทำไมคนเราต้องเกลียดคนที่คล้ายๆ กับเรา

     

         จนกระทั่งเขาได้รู้จักกับคนคนหนึ่งเข้า ณ ตอนที่เดินสวนกันที่โถงทางเดินหน้าห้องเรียนในวันหนึ่ง

     

    "เนี่ยหรอ คิเสะ เรียวตะที่เขาพูดถึงกัน" เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยถามของบุคคลปริศนา คิเสะก็หันมามองเจ้าของเสียงแล้วพบกับชายหนุ่มผมสีเงินที่ยืนห่างจากเขาราวๆ 2เมตรกำลังเหยียดยิ้มมองหน้าตนอยู่

    "ว่าแต่มีอะไรกับฉันรึเปล่า? " คิเสะเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย พลางใช้สายตาของตนมองสำรวจอีกฝ่ายที่กำลังก้าวมาหาเขาอย่างไม่ไว้วางใจ

    "ได้ข่าวว่าเพิ่งเลื่อนขั้นมาอยู่กลุ่มหนึ่งได้ไม่นาน ก็ได้ลงแข่งนัดสำคัญกับพวกตัวจริงไป 2-3นัดแล้ว ใช้ได้เลยนี่~" ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยชมชายหนุ่มผมสีทอง หากเป็นคนอื่นๆ ก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรมากกับคำชมทั่วไป แต่สำหรับนายแบบอย่างคิเสะที่ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์มานานแล้วจึงรู้ว่าคำชมเมื่อครู่ไม่ได้มีเจตนาที่จะชมเขา แต่เป็นการหยั่งเชิงเขาที่ตอนนี้กำลังตกเป็นเป้าหมายของอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรจากเขา

    "แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่าคิดว่าได้ลงแข่งกับพวกตัวจริงแล้วจะได้เป็นนักกีฬาตัวจริงล่ะ เพราะว่าที่ที่นายคาดหวังไว้มันยังมีเจ้าของอยู่น่ะสิ" ชายหนุ่มเรือนผมสีเงินโน้มตัวเข้ามาพูดใกล้ๆ คิเสะพลางจ้องมองหน้าเจ้าของเรือนผมสีทองอย่างท้าทาย ทันทีที่คิเสะได้ยินดังนั้น ความสงสัยทุกอย่างก็มลายหายไปในทันทีพลันนึกถึงคนคนหนึ่งที่จะได้รับความเดือดร้อนหากเขาขึ้นมาเป็น 'คู่แข่ง' ในการเป็นนักกีฬาตัวจริง

    "นายคงเป็น ไฮซากิ โชโกะ ซินะ"

    "ว้าวว~ แปลกใจจริงที่นายรู้จักฉันด้วยทั้งที่เรายังไม่เคยเจอกันมาก่อน"

    "ก็นะ ทำไมจะไม่รู้จักนักกีฬาตัวจริงของทีมได้ล่ะ อีกอย่างคนในชมรมก็พูดถึงนายอยู่บ่อยๆ ด้วยล่ะ" แม้คิเสะจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่แท้จริงแล้วคำตอบของชายหนุ่มกลับเน้นย้ำให้อีกฝ่ายรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับคำพูดของเขา

    "เหอะ ไม่นึกว่าจะมีคนคิดถึงฉันเยอะขนาดนี้เชียว แค่ไม่ได้เข้าชมรมไปไม่กี่วันเอง" ไฮซากิเอ่ยตอบกวนประสาทอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน

    "แต่อย่างน้อยไฮซากิคุงก็ควรเข้าชมรมสักหน่อยนะ เพราะถ้ายังทำตัวแบบนี้อยู่ล่ะก็ ระวังผมจะแซงหน้าเอาตำแหน่งของไฮซากิคุงไปล่ะ" คิเสะโน้มตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย

    "ฮ่าๆ แกนี่มั่นใจดีนะแต่อย่าได้ใจไปหน่อยเลย กะอีแค่ได้ลงแข่งไม่กี่นัด คิดว่าจะเอาชนะฉันได้รึไง"

    "ถึงผมจะไม่เคยแข่งกับไฮซากิคุง แต่ผมก็มั่นใจว่าคนเรียนรู้เร็วอย่างผมสามารถเอาชนะคนโอหังอย่างไฮซากิคุงได้"

    "แกนี่มะ—" ชายหนุ่มผมสีเงินเมื่อได้ยินคำดูถูกเช่นนั้น จึงเกิดโทสะเอื้อมมือข้างขวาเข้าไปกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายหมายจะหาเรื่องคนผมทองอย่างเอาเรื่อง

    "ไฮซากิ นั่นนายจะทำอะไรน่ะ!" จู่ๆ สุ้มเสียงหวานของใครคนหนึ่งก็ได้ดังขึ้นเพื่อหยุดการกระทำของอีกฝ่ายที่กำลังจะก่อเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นในไม่ช้านี้

    "นอกจากเป็นผู้จัดการชมรมแล้ว ยังเป็นนารีขี่ม้าขาวมาช่วยคนด้วยหรอฮิราโนะ~" ไฮซากิที่พบว่าเจ้าของเสียงที่เข้ามาห้ามเขาคือผู้จัดการชมรมของตนเองที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี จึงเอ่ยทักถามอีกฝ่ายอย่างกระแหนะกระแหน

    "ที่นี่คือโรงเรียนนะ จะทำอะไรก็คิดดีๆ อีกอย่างถ้านายมีเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นมาอีก นายได้โดนไล่ออกจากทั้งชมรมและโรงเรียนแน่" ฮิราโนะเอ่ยเตือนตัวปัญหาพลางเข้าไปคว้าจับข้อมือของไฮซากิที่กำลังดึงคอเสื้อของคิเสะให้หลุดออกจากการถูกดึงกระชากไป

    "ขอบใจนะที่เตือนฉันน่ะแต่เอาเวลาที่เตือนฉัน ไปสอนคนของเธอหน่อยเถอะว่าให้ระวังปากเวลาพูดกับฉันหน่อย ถ้าเธอมาห้ามไม่ทันป่านนี้หมอนี้คงโดนฉันต่อยหน้าไปแล้วล่ะ" ชายหนุ่มผมสีเงินเอ่ยจบก็สะบัดมือออกจาการถูกจับกุมไว้

    "ฉันยังไม่เห็นว่าคิเสะคุงจะทำอะไรผิดเลย จะเห็นก็เห็นแต่นายที่เข้ามาก่อกวนเขาก่อน"

    "โห่ยๆๆ คุณผู้จัดการร~ ถ้าเธอไม่ได้ยินเหมือนฉันละก็ไม่ต้องออกโรงปกป้องมันหรอกนะ เดี๋ยวหน้าแตกขึ้นมาจะแย่เอา" ไฮซากิเอ่ยคุยกับเจ้าของเรือนผมสีส้มพลางก้าวเท้าเข้ามาหาอีกฝ่ายเพื่อประจันหน้าพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด

    "ไฮซากิคุงมีเรื่องแค่กับฉันไม่ใช่หรอ ทำไมต้องไปหาเรื่องฮิราโนจจิด้วย ปัญหาของพวกเราไม่ควรเอาคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย" คิเสะที่เห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้ท่าไม่ดีเข้าเพราะหญิงสาวกำลังถูกอริตรงหน้ากำลังคุกคามอยู่ จึงเข้ามาแทรกระหว่างตรงกลางของทั้งสองฝ่ายเพื่อห้ามปราม

    "ห่ะๆ แกเนี่ยมันทำตัวเป็นพระเอกจริงๆ เลยน้าา~ แต่เอาเถอะฉันจะปล่อยผ่านไปสักครั้งก็แล้วกัน" ไฮซากิเอ่ยจบก็เดินถอยหลังออกห่างจากทั้งสองคนเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยกับคิเสะขึ้นมาอีกครั้ง

    "แล้วที่แกบอกว่าปัญหาของพวกเราไม่ควรดึงคนอื่นเข้ามาด้วยน่ะ ถ้าอยากจบปัญหานี้ แกกับฉันมา1 on 1 ตัดสินกัน แล้วก็จะได้รู้ว่าแกน่ะมันคนละชั้นกับฉัน"

    "ก่อนที่จะมาท้าคนอื่นดวลกันตัวต่อตัว อย่างน้อยก็หัดเข้าชมรมมาซ้อมด้วยล่ะ โค้ชซานาดะถามหานายอยู่ ถ้าเกิดรอบนี้นายยังโดดซ้อมอีกละก็อาคาชิคุงได้ปลดนายลงจากตัวจริงแน่ ต่อให้นายจะเก่งแค่ไหนหรือเอาชนะคิเสะคุงยังไงก็ตาม ถ้ายังทำตัวเสเพลแบบนี้คิดว่านายจะเป็นที่1ไปตลอดหรอ" ฮิราโนะเอ่ยตักเตือนคนผมเงินด้วยน้ำเสียงกดดัน

    "ว้าวว เห็นหน้าสวยๆ แบบนี้ไม่คิดว่าปากจะเก่งขนาดนี้ เห็นแก่ที่รู้จักกันมานานหรอกน่ะฉันถึงไม่ถือสาเธอ เพราะถ้าไม่สนิทกันป่านนี้ฉันคงตบปากเธอแตกไปแล้วล่ะนะ"

    "ไฮซากิคุง!!" คิเสะเอ่ยขึ้นเสียงใส่ไฮซากิเพื่อปรามให้อีกฝ่ายเลิกลามปามใส่หญิงสาว แต่ก็ถูกฮิราโนะจับดึงตัวห้ามปรามไว้ก่อน

    "ส่วนแกน่ะ คราวหลังไม่ต้องเรียกฉันด้วยนามสกุลเพื่อทำเป็นสุภาพกับฉันหน่อยเลย พอดีว่าไอฉันมันไม่ชอบสร้างภาพอยู่แล้ว เข้าใจใช่มั้ยเรียวตะ” ชายหนุ่มสีหน้าเจ้าเล่ห์หันมาเอ่ยย้ำเตือนนายแบบเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากชายหญิงทั้งสองไปอย่างไม่ไยดี

    “คิเสะคุงไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย” ผู้จัดการชมรมสาวหันมาเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย

    “อื้อ ผมไม่เป็นอะไรหรอกฮะ ว่าแต่ฮิราโนจจิล่ะโอเครึเปล่า?”

    “ฉันโอเคอยู่แล้วล่ะคิเสะคุง จะว่าว่าชินกับไฮซากิแล้วก็ได้” หญิงสาวเอ่ยตอบอย่างไม่ยี่หระ ดวงตาสีมรกตเหลือบมองใบหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอ่ยพูดกับชายหนุ่มตรงหน้าในเวลาต่อมา

    “ยังไงคิเสะคุงก็อย่าไปถือสาไฮซากิเขามากล่ะ หมอนั้นก็แค่เด็กขี้อิจฉาแค่นั้นแหละ”

    “เอ๋?? อิจฉาเหรอฮะ” นายแบบหนุ่มแสร้งเอ่ยทำเป็นตกใจแม้จะรู้อยู่แล้วว่าไฮซากิมีความรู้สึกยังไงกับตนเอง แต่ก็ประหลาดใจไม่น้อยที่ร่างบางอีกฝ่ายก็รู้สึกได้เหมือนกัน

    “หมอนั้นน่ะถึงแม้จะเป็นนักกีฬาที่มีพรสวรรค์คนนึงก็ตามแต่มีข้อเสียก็คืออีโก้สูงเสียดฟ้าของหมอนั้นล่ะ คงมั่นใจมาเสมอว่าคนเก่งแบบเขายังไงก็ได้เป็นนักกีฬาตัวจริงของเทย์โคไปจนจบปีการศึกษา เลยได้ใจทำนิสัยเสียหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่น คงคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ ถ้าเกิดทีมขาดเขาไปก็คงจะแย่แน่ๆ” เสียงหวานเอ่ยอย่างด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความจิกกัดเล็กๆ จนคิเสะที่ฟังก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่คนเข้าถึงง่ายแบบฮิราโนะจะแสดงท่าทีที่ไม่ชอบใครออกมาได้ง่ายๆ

    “พอวันหนึ่งมาเจอคนอื่นที่มีพรสวรรค์เหมือนๆ กันเข้าก็คงจะมีหนาวๆ สั่นๆ บ้างล่ะนะ เลยใช้นิสัยก็หมาจนตรอกถึงได้มาหาเรื่องคิเสะคุงเข้า”

    “ผมว่าไฮซากิคุงคงไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องผมหรอกฮะ เขาคงแค่อยากมาดูว่าผมเป็นคนยังไงมากกว่า" ชายหนุ่มผมทองแสร้งเอ่ยอย่างถ่อมตัว หวังเรียกคะแนนความเห็นใจต่อคนข้างๆ ซึ่งเขาคิดว่าเขาทำได้ดีเลยทีเดียว เมื่อเห็นแววตาเห็นใจที่ถ่ายทอดออกมาจากนันย์ตาสีมรกตของอีกฝ่าย

    "แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากให้คิเสะคุงไปยุ่งเกี่ยวกับเขามากนักล่ะ มีปัญหากับไฮซากิน่ะคนที่จะแย่คือเธอเองนะ ที่ฉันบอกเพราะฉันเป็นห่วงคิเสะคุง" ฮิราโนะเอ่ยเตือนนายแบบด้วยความห่วงใย

    "คิเสะคุงเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถคนนึงเลยนะ ฉันคิดว่าถ้าคิเสะคุงฝึกซ้อมและลงแข่งเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ คิเสะคุงสามารถเป็นนักกีฬามืออาชีพได้ในอนาคตเลยล่ะ"

    "ฮิราโนจจิคิดไปถึงขนาดนั้นเลยเหรอฮะ? "

    "ถึงฉันจะไม่ได้วิเคราะห์แม่นยำเท่าอาคาชิคุง แต่จากเซนส์ของฉันละก็ฉันมั่นใจได้ว่าฉันคิดถูกนะคิเสะคุง เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้เตือนเธอว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับไฮซากิมากนัก ฉันไม่อยากให้เธอเอาอนาคตของตัวเองไปแลกกับคนแบบนั้นหรอกนะ"

    "ขอบคุณนะฮะที่เป็นห่วงผม แต่ไม่ต้องกังวลนะฮะ ยังไงผมก็ไม่ให้ไฮซากิคุงมาทำลายอนาคตผมได้ง่ายๆ หรอกฮะ"

    "ได้ยินแบบนี้แล้วฉันก็มีแรงจัดตารางซ้อมได้อย่างมีความสุขแล้วล่ะ"

    "เอ๊ะ?? ตารางซ้อมหรอฮะ? คือวะ–"

    "ถึงฉันจะบอกว่าคิเสะคุงเป็นคนมีความสามารถแต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะเอาชนะไฮซากิได้นะ ตอนนี้เธอเป็นรองไฮซากิในเรื่องประสบการณ์อยู่เยอะเลย ฉะนั้นฉันจะจัดตารางฝึกซ้อมเพิ่มขึ้นอีก จนกว่าฉันจะมั่นใจว่าคิเสะคุงจะพัฒนาจนเอาชนะไฮซากิได้" หญิงสาวพูดจบก็ยิ้มร่าให้อีกฝ่าย แต่นายแบบหนุ่มกลับมองว่าเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกพรั่นพรึง

    "แบบนี้มันเหมือนฆ่าผมให้ตายเลยสิฮะฮิราโนจจิ!"

    "เอาหน่าๆ เธอไม่ได้เหนื่อยแค่คนเดียวนะ ยังไงก็ยังมีคุโรโกะคุงเป็นเพื่อนเธออยู่แล้ว เผลอๆ ฉันคงขอให้อาโอมิเนะมาช่วยเป็นคู่ซ้อมให้ด้วยก็ได้" เมื่อคิเสะได้ยินดังนั้นก็หวนนึกไปถึงคราวที่เขา คุโรโกะและอาโอมิเนะได้ฝึกซ้อมตามตารางจัดอันสุดโหดของคนหน้าสวย ทำเอาเขาทั้งสามเหนื่อยหอบจนจะตายได้ ก็ทำเอาเขาหน้าซีดเผือดเมื่อคิดว่าเขาจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นี้อีก

    "อย่าเพิ่งเครียดไปล่ะคิเสะคุง ว่าแต่เที่ยงนี้ว่างรึเปล่า? "

    "คาบสุดท้ายตอนเช้าผมเรียนภาษาอังกฤษนะฮะ อาจารย์ปล่อยเร็วอยู่แล้วว่าแต่มีอะไรหรอฮะ"

    "ฉันว่าจะชวนคิเสะคุงไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันน่ะ"

    "หื้ออ? " เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว คิเสะแอบประหลาดใจเล็กน้อย ที่จู่ๆ หญิงสาวที่เขาสนใจเอ่ยชวนเขาไปทานข้าวเที่ยง หรือว่าที่เธอชวนเพราะเธอก็เริ่มสนใจเขาแล้วหรอ?

    "อ๋อออ ฉันหมายถึงว่าจะชวนคิเสะคุงไปทานข้าวเที่ยงกับฉัน คุโรโกะคุง ซัทจังและก็อาโอมิเนะน่ะ" เหมือนผู้จัดการสาวจะอ่านใจหนุ่มผมทองได้ เลยเอ่ยตอบอีกฝ่ายให้หายสงสัย

    "อ่าาา อย่างนี่ก็น่าสนุกดีสิ งั้นฉันตกลงไปด้วย" คิเสะเข้าใจถึงเหตุผลในการชวนครั้งนี้ว่าไม่ได้มีความพิศวาสในการเชิญชวน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเซ็งไม่น้อยที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด

    "งั้นตอนเที่ยงพวกเราเจอกันที่ดาดฟ้า ฉันจะได้ไปบอ–ว้ายยย!"

    "ฮิราโนจจิ!" จู่ๆ ก็มีใครบางคนวิ่งมาด้วยความรวดเร็วโดยไม่ทันระมัดระวัง จึงชนฮิราโนะเข้าอย่างจังจนทำให้ผู้จัดการสาวกำลังจะหงายหลังล้มลง แต่โชคดีที่นายแบบหนุ่มเข้ามาโอบเอวรับหญิงสาวไว้ได้ทันพอดี

    "ตายแล้ว!! พวกเธอเจ็บตรงไหนมากมั้ย? "หญิงสาวที่เป็นคนวิ่งชนได้เอ่ยถามทั้งสองคนด้วยความตื่นตระหนก

    "ผมไม่เป็นไรมากหรอกฮะ ว่าแต่ฮิราโนจจเจ็บตรงไหนมั้ยฮะ"

    "ฉันไม่เป็นไรมากหรอก"ผู้จัดการสาวผละจากอ้อมแขนของชายหนุ่มทันทีและได้กวาดสายตาไปสำรวจคู่กรณีอีกฝ่ายที่เพิ่งล้มลงกับพื้น การกระทำของฮิราโนะเมื่อครู่สร้างความเสียดายให้แก่คิเสะไปเล็กน้อยที่เพิ่งได้มีโอกาสใกล้ชิดกับอีกฝ่าย

    "ฉันขอโทษพวกเธอด้วยจริงๆ นะ พอดีว่าฉันจะรีบไปส่งงานคุณครูยามาโมโตะน่ะ ใกล้จะปิดรับแล้วฉันต้องรีบไปส่งที่ห้องพักครูเลยวิ่งไม่ทันได้ดูพวกเธอเข้า"

    "ไม่เป็นไรนะ เธอไม่ต้องคิดมากหรอกฉันไม่เจ็บตรงไหนหรอก" ฮิราโนะเอ่ยบอกพลางส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายให้หายกังวล

    "โชคดีนะฮะที่ไม่มีใครเจ็บมาก แต่ว่าต่อไปเธอก็ระมัดระวังตัวด้วยนะฮะ เดี๋ยวจะได้รับบาดเจ็บขึ้นมา" คิเสะทำทีพูดเพื่อแสดงความห่วงใยอีกฝ่าย แต่แท้จริงแล้วกำลังตำหนิอีกฝ่ายที่ซุ่มซามไม่ดูหน้าดูหลังจนทำให้เขาและหญิงสาวที่เขาสนใจเกือบได้รับบาดเจ็บ

    "ขะ..ขอบใจมากนะคิเสะคุง" หญิงสาวคู่กรณีที่ไม่เข้าใจนัยแอบแฝงในคำพูดของคิเสะ ก็เอ่ยขอบคุณเขาด้วยใบหน้าที่แดงจากการเขินชายหนุ่ม

    "ถ้างั้นไม่มีอะไรแล้ว เธอก็รีบไปส่งงานเถอะ ผมว่าตอนนี้น่าจะยังไปทันอยู่นะฮะ" คิเสะที่เห็นท่าทางเขินอายในตัวเขา ก็ทำทีเอ่ยเตือนหญิงสาวตรงหน้าเพื่อให้เจ้าหล่อนรีบไปจากพวกเขาให้ไวๆ

    "ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ"หญิงสาวคู่กรณีก็ได้ผละตัวจากไป ทิ้งให้ชายหญิงทั้งสองกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

    "เมื่อกี้ขอบใจมากนะคิเสะคุง ถ้าไม่ได้เธอช่วย ฉันคงได้ล้มหัวแตกแน่ๆ เป็นหนี้บุญคุณเธอแล้วสินะ ฮ่าๆ "หญิงสาวหัวเราะอย่างนึกขันต่อเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ตนเองเกือบโชคไม่ดีจะได้รับบาดเจ็บเข้า

    "ไม่เป็นไรหรอกฮะเรื่องแค่นี้เอง ถ้าเทียบกับที่ฮิราโนจจิช่วยเหลือผมมาตลอดตั้งแต่อยู่ชมรมจนถึงตอนเรียนละก็ผมคงเป็นหนี้ให้เธอเยอะกว่าแหงๆ " ชายหนุ่มเอ่ยตอบติดตลกแต่เขาก็พูดเป็นไปอย่างที่คิดตั้งแต่แรกจริงๆ หากไม่ได้หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือไว้ทั้งในชมรมจนถึงเรื่องการเรียน ชีวิตเขาคงไม่ได้ประสบความสำเร็จมาถึงตอนนี้

    "ฮ่าๆๆ ไม่คิดว่าคิเสะคุงจะมีมุมตลกๆ แบบนี้ด้วยนะ" ฮิราโนะเอ่ยกลั้วหัวเราะ โดยที่ทั้งสองคนต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนานต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องภาพของคนทั้งสองเอาไว้

     

     

     

    แม้ว่าคิเสะจะรับปากกับฮิราโนะว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไฮซากิก็ตาม แต่คนที่มีนิสัยชอบเอาชนะคนอื่นอย่างคิเสะก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ตนเองต้องตกเป็นรองใคร โดนเฉพาะคนอย่างไฮซากิ โชโกะ ที่แค่มองตากันแป๊บเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า ‘เหมือน’ กับเขาในทุกประการ ไม่ว่าจะพรสวรรค์ ความสามารถ หรือแม้กระทั่ง นิสัยที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธความจริงกับใจตนเองไม่ได้ นั้นจึงทำให้เขามั่นใจได้ว่าเขาสามารถจะเอาชนะไฮซากิได้และเป็นนักกีฬาตัวจริงอย่างที่วาดฝันไว้

    แต่ความฝันของคิเสะก็ต้องสลายหายไป เมื่อพบความจริงที่ว่าแม้พรสวรรค์ของตนเองจะเทียบเท่ากับไฮซากิแต่ประสบการณ์และความช่ำชองในสนามกีฬาเขายังอ่อนหัดและเป็นรองไฮซากิอยู่หลายเท่า จึงทำให้เขาได้ลิ้มรสกับความพ่ายแพ้ที่น่าอดสูดังเช่นในตอนนี้

    “ก็บอกแล้วไงว่าตอนซ้อมฉันยังไม่เอาจริง ที่นี้ก็รู้แล้วสินะว่าเวลาฉันเอาจริงมันเป็นยังไง” ไฮซากิเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความช็อกอย่างหนัก ซึ่งสร้างความสะใจและน่ายินดีให้กับหนุ่มผมสีเงินเป็นอย่างมาก

    “นายน่ะไม่มีทางเอาชนะฉันได้อยู่แล้วล่ะ เพราะว่านายกับฉันมันคนละชั้นกันยังไงล่ะ หึๆ”เสียงหัวเราะอย่างเหยียดหยามของไฮซากิสร้างความแค้นเคืองในใจให้กับคิเสะไปไม่น้อย ได้แต่เก็บความขมขื่นนี้ไว้ในใจก่อน เพราะเขาตอนนี้เสียเปรียบจนไม่สามารถที่จะโวยวายหรือสู้กลับอีกฝ่ายได้
    “ก็กะไว้แล้วล่ะนะว่ามันยังเร็วเกินไป” อาโอมิเนะที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ก็พูดอย่างปลงใจ

    “ฉันออกไปซื้อขนมดีกว่า ไม่เห็นจะสนุกเลย” มุราซากิบาระเอ่ยย่างไม่ยี่หระก่อนจะก้าวเดินออกไปซื้อขนม

    “แต่นี้ยังอยู่ในเวลาซ้อมอยู่นะครับมุราซากิบาระคุง”คุโรโกะที่เห็นดังนั้นจึงเอ่ยห้ามคนผมม่วงเอาไว้ซึ่งทำให้อีกฝ่ายหยุดเดินชะงักและออกอาการหงุดหงิดไปไม่น้อย

    “หนวกหูหน่าา ฉันจะขยี้ซะหรอกคุโรจิน”

    “จะทำยังไงกันต่อดีซายุจัง?” โมโมอิที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮิราโนะเอ่ยถาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

    “คงรอดูไปก่อนล่ะนะซัทจัง จนกว่าอาคาชิคุงจะพูดขึ้นมา”ฮิราโนะเอ่ยติบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่แสดงอาการอะไรออกมา

    “โชโกะคุงซ้อมเสร็จรึยังน่ะ?” จู่ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงตะโกนเอ่ยถามถึงไฮซากิอยู่นอกโรงยิม ซึ่งสร้างความสนใจให้แก่คนในโรงยิมอีกครั้ง

    “อ๊ะ โทษทีๆ พึ่งซ้อมเสร็จเมื้อกี้น่ะ” ชายหนุ่มผมเงินได้เดินไปหาหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่ใส่ชุดยูนิฟอร์มนักเรียนกำลังยืนอยู่นอกโรงยิม ก่อนจะพยายามเข้าไปคว้าตัวหญิงสาวคนนั้นเข้ามากอด

    “หึ่ย! เหงื่อเต็มตัวไปหมดเลยนี่นา” หญิงสาวคนนั้นผละตัวออกห่างอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเอ็ดไฮซากิที่เพิ่งแข่ง1 on 1กับนายแบบหนุ่ม

    “เดี๋ยวก็ไปอาบน้ำอยู่แล้ว จะไปอาบกับฉันด้วยมั้ยล่ะ”

    “ไม่เอาหน่า”บทสนทนาหยอกล้อพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของคนในโรงยิมทั้งหมด ก่อนที่จะเริ่มมีเสียงซุบซิบขึ้นมาตามหลัง เมื่อมีคนเริ่มคุ้นหน้าคร่าตาผู้หญิงที่อยู่กับไฮซากิ

    ‘เอ๊ะ! นั้นมันแฟนของคิเสะที่เพิ่งคบไปนี่’

    ‘เฮ้ย! จริงด้วยว่าแต่ทำไมถึงมาหาไฮซากิได้ล่ะ? ’

    ‘อย่าบอกน่ะว่าหมอนั้นไปแย่งผู้หญิงของเขามาอีกน่ะ’

    “เอ๊ะ! นั้นเรียวตะคุงนี่" หญิงสาวที่ถูกพูดถึงเอ่ยทักนายแบบหนุ่มขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังมองมาที่เจ้าหล่อนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

    “ใช่แล้วล่ะ หมอนั้นเพิ่งมาท้าฉันแข่งแล้วก็แพ้ไปน่ะสิ”

    “จริงเหรอเนี่ย เห่ยจังเลย”

    “ก็อย่างว่าล่ะ ไปละนะเรียวตะคุง” ไฮซากิหันมาเอ่ยลาอีกฝ่ายอย่างกวนประสาทก่อนจะเดินโอบกอดหญิงสาวคนนั้นออกจากโรงยิมไป เมื่อบุคคลที่ถูกพูดถึงจากไปก็ได้เกิดเสียงเซ็งแซ่พูดซุบซิบถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างออกอรรถรส ซึ่งภาพเหล่านี้ก็อยู่ในสายตาของนายแบบหนุ่มที่กำลังกำหมัดแน่นเพื่อสะกดจิตใจของตนเองไม่ให้อาละวาดคลุ้มคลั่งออกมา

    'โห ทั้งเอาชนะท้าดวล ไหนจะเพิ่งเอาแฟนเขาไปอีกด้วย สุดจริงๆ ไฮซากิ'

    'ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าไฮซากิจะเอาชนะคิเสะไปได้'

    “มัวยืนคุยกันอยู่ทำไมน่ะ นี่ยังไม่หมดเวลาซ้อมนะ ไปซ้อมกันได้แล้ว” อาคาชิเอ่ยบอกสมาชิกชมรมด้วยใบหน้าเคร่งขรึมแต่ก็ทำให้ทุกคนในชมรมขนลุกไม่น้อยยามเมื่อจ้องเข้าไปในดวงตาสีทับทิมที่กำลังจับจ้องอากัปกิริยาของทุกคนอย่างกดดัน ทำให้แต่ละคนต่างก็ทยอยแยกย้ายกันกลับไปซ้อมในที่ของตนเอง และในขณะนั้นนายแบบหนุ่มก็ได้ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโรงยิมไปโดนไม่สนใจเสียงเรียกของผู้จัดการผมสีชมพู

    “โถ…คีจัง ทำไมต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้ด้วยนะ”

    “เฮ้ออ จะไปสงสารหมอนั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้ หมอนั้นก็ทำตัวเองนั่นแหละจะโทษใครได้”อาโอมิเนะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยใจกับเพื่อนร่วมทีมที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่เดือน

    “ไดจัง!! ถ้าจะไม่เห็นใจกันก็อย่ามาซ้ำเติมสิ ไม่งั้นฉันจะไปปลอบคีจังเอง” โมโมอิหันมาแหวใส่เพื่อนชายคนสนิทก่อนกุลีกุจอจะวิ่งตามคิเสะออกไป

    “ซัทจังเดี๋ยวก่อน ฉันว่าตอนนี้อย่าเพิ่งเลย” ฮิราโนะเอื้อมมือมาแตะไหล่อีกฝ่ายเพื่อห้ามปรามเอาไว้

    “แต่ว่า…”

    “เรื่องนั้นน่ะเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

    “เหห อย่าบอกนะว่าเธอจะไปปลอบหมอนั้นแทนซัทสึกิเองหรอ” หนุ่มผิวเข้มที่เห็นท่าทางของหญิงสาวทั้งสองก็พอที่จะเดาได้ว่าทั้งคู่จะทำอะไรต่อ ก็เอ่ยดักถามผู้จัดการสาวผมสีส้มอย่างรู้ทัน

    “ทำไมล่ะ หรือนายจะเป็นคนไปแทนเองงั้นหรอ” ฮิราโนะหันมาเอ่ยถามอย่างเย้าแหย่พลางหยอดยิ้มขี้เล่นใส่อีกฝ่าย

    “อย่าพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนั้นออกมาซายูริ ฉันขอล่ะ"ชายหนุ่มผมน้ำเงินทำสีหน้าแหยๆ เมื่อได้ยินประโยคอันน่าขนหัวลุกเข้า

    "เดี๋ยวฉันมาล่ะ ส่วนทางนี้ก็ฝากจัดการไปก่อนนะซัทจัง"

    "อื้ออ ไม่ต้องห่วง" ทันทีที่เอ่ยจบฮิราโนะก็รีบวิ่งออกจากโรงยิมเพื่อไปดูอาการของคิเสะ ซึ่งภาพตรงหน้าก็ทำให้เอซของทีมถอนหายใจออกมาอย่างระอาใจ

    "ทำตัวอย่างกับพี่เลี้ยงเด็กแหนะยัยนี่ ต้องตามไปปลอบถึงที่ขนาดนั้นเลยรึไง คิเสะมันก็ใช่ว่าจะเป็นเด็กๆ ให้คอยโอ๋อยู่ได้" อาโอมิเนะเอ่ยค่อนขอดหญิงสาวคนสวยอย่างประชดประชันที่อีกคนคอยแต่เอาใจใส่ชายหนุ่มคนอื่นออกหน้าออกตาเกินไป ท่าทางของชายหนุ่มดังกล่าวทำให้ผู้จัดการสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    "แหมมม ไดจัง ที่บ่นซายุจังเพราะรำคาญหรือเพราะรู้สึกอย่างอื่นด้วย" โมโมอิที่รู้เช่นเห็นชาติเพื่อนชายคนสนิทว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดเรื่องของนายแบบหนุ่มและผู้จัดการสาวคนสวย ก็อดที่จะเอ่ยแซวเพื่อยัวะเพื่อนสนิทให้แสดงอาการฉุนเฉียวอีกครั้ง

    "หนวกหูหน่าซัทสึกิ ฉันจะไปซ้อมต่อล่ะ เธอก็ไปทำหน้าที่ของเธอซะสิ มามัวยืนยิ้มอยู่ได้"ชายหนุ่มผิวเข้มเอ่ยปัดเพื่อนสาวพลางทำท่าทีราวกับรำคาญ ก่อนที่จะเดินหนีอีกฝ่ายไปซ้อมต่อ

    "จ้าๆๆ " หญิงสาวขานตอบรับอย่างไม่คิดมากกับท่าทีของเพื่อนหนุ่มเพราะรู้ว่าที่ทำลงไปเพราะเสียอาการที่โดนจับได้ต่างหาก




     

    หลังจากที่เพิ่งพ่ายแพ้ให้กับหัวขโมยผู้น่ารังเกียจแล้ว คิเสะก็ปลีกตัวหนีผู้คนออกมาเพื่อล้างหน้าล้างตา และในตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ไม่ไกลจากอ่างล้างมือมากนักพลางก้มหน้าหวนคิดถึงว่าตนเองได้ผิดพลาดไปตอนไหนบ้างในระหว่างที่แข่งกัน และในแวบหนึ่งที่เขาคิดคือ ‘รับไม่ได้’ กับผลลัพธ์ในการแข่ง แม้ว่าเขาในตอนนี้จะยังไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดานักกีฬาตัวจริงเขายังไม่ใช่ผู้เล่นที่มีภาวะความเป็นผู้นำอย่างอาคาชิ ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีทักษะการเล่นรวดเร็วและยืดหยุ่นเหมือนอาโอมิเนะ ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีจุดแข็งคือลูกชู้ตสามแต้มเหมือนมิโดริมะ และไม่ใช่ผู้เล่นที่มีทักษะการป้องกันที่แข็งแกร่งเหมือนมุราซากิบาระ บุคคลที่กล่าวมาเขาให้การยอมรับอย่างจริงใจว่าเป็นนักกีฬาที่แข็งแกร่ง จนเขาไม่สามารถจะเอาชนะได้ในตอนนี้

    แต่ในขณะเดียวกันผู้เล่นอย่างไฮซากิที่มีทักษะการเล่นขั้นพื้นฐานที่ไม่ได้โดดเด่นกว่าใคร แต่มีลูกล่อลูกเล่นในการขโมยท่าทางและการเคลื่อนไหวของผู้เล่นตรงข้ามมาใช้เป็นของตนเอง คิเสะมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าคนๆ นี้มีทักษะที่เหมือนกับเขา ทักษะที่ไม่มีอะไรที่โดดเด่นไปจากเขา เขาจึงมั่นใจได้ว่าเขามีสิทธิจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่ก็น่าเจ็บใจที่เขาพ่ายแพ้ไป เขายังจดจำแววตา สีหน้าและท่าทางที่เย้ยหยัน เหยียดหยามเขาราวกับเศษธุลีดินได้จากไฮซากิ นับว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่ทำให้ความคับแค้นในใจของคิเสะลุกโชนอย่างรุนแรง

     

    ‘หากคนอย่างคิเสะจะแพ้ก็ขอยอมแพ้แค่4คนที่เหลือ หากแพ้ให้ไฮซากินับว่าเป็นการพ่ายแพ้ที่น่าอัปยศและรับไม่ได้’

    "เพิ่งซ้อมมาเหนื่อยๆ ก็ควรดื่มน้ำสักหน่อยนะคิเสะคุง" หญิงสาวเอ่ยทักขึ้น ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่นั้นหันมามองอย่างตกใจ ก่อนที่มือเรียวบางจะยื่นขวดน้ำให้อีกฝ่าย

    "ขอบใจนะฮะ" มือของชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบขวดน้ำก่อนที่จะเปิดฝาแล้วยกขึ้นเพื่อดื่ม

    "...."

    "ฮิราโนจจิจะว่าผมก็ได้นะฮะที่ผมไม่เชื่อที่ฮิราโนจจิบอก ผมตอนนี้ดูแย่มากเลยสินะฮะ" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจือปนไปด้วยความขมขื่นที่ไม่อยากยอมรับความจริง

    "ก็คงจะจริงอย่างที่โชโกะคุงพูดล่ะฮะ ผมคงเอาชนะเขาไม่ได้ คงจะไม่มีทางเป็นนักกีฬาตัวจริงอย่างที่หวังแล้ว" เมื่อได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อในโชคชะตาของตนเอง ฮิราโนะที่ลอบมองอากัปกิริยาของอีกฝ่ายมาตลอดก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยพูดอย่างใจเย็น

    "ฟังฉันนะคิเสะคุง ถึงวันนี้เธอจะแพ้แต่ใช่ว่าเธอจะแพ้ตลอดไปนี่" หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

    "ต้องมีสักวันที่เธอจะชนะไฮซากิได้อยู่แล้ว อย่าเพิ่งถอดใจยอมแพ้ล่ะ อย่าลืมสิว่าเธอแพ้ให้ไม่กี่คน แต่ก็ชนะคนอื่นๆ ในทีมตั้งหลายสิบคนจนมาอยู่จุดนี้ได้นะ" ในระหว่างที่ฮิรสโนะดำลังเอ่ยให้กำลังใจนายแบบหนุ่ม นัยน์ตาสีอำพันก็คอยลอบมองอีกฝ่ายที่กำลังเอ่ยกับเขาพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้ม เห็นอย่างนี้ตัวเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนอย่างเธอถึงช่างมีความคิดที่ดีแบบนี้ ช่างแตกต่างจากตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่างสิ้นเชิง

    "อย่าอายที่แพ้เพราะได้สู้จนสุดความสามารถ แต่ให้อายเพราะไม่คิดจะสู้ตั้งแต่แรกจะดีกว่านะ" เมื่อเอ่ยจบนัยน์ตาสีมรกตของหญิงสาวก็เลื่อนลงมาสบตากับนัยน์ตาสีอำพันของอีกคนอย่างสื่อความหมาย

    "ขอบคุณนะฮะที่เป็นห่วงผม ตอนนี้ผมโอเคขึ้นเยอะแล้วฮะ" ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มบางออกมา แม้จะยังรู้สึกแย่แต่เมื่อได้ยินผู้จัดการสาวพูดอย่างนี้ก็เริ่มมีกำลังใจมากขึ้น

    "ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้เป็นนักกีฬาตัวจริงแต่เธอก็เป็นนักกีฬาที่มีความสามารถคนนึงได้เลยนะ ฉันว่าสักวันเธอจะได้เป็นนักกีฬาตัวจริงได้แน่ๆ "

    "ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะฮะ" คิเสะเอ่ยจบก็ก้มหน้าไม่พูดอะไรต่อ จนกระทั่งชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ

    "ถ้าผมไม่ได้ฮิราโนจจิมาช่วยอีกล่ะก็ ผมคงจะได้ออกจากชมรมไปแล้วแน่ๆ ฮะ" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ก่อนจะหันมาสบตากับหญิงสาวพลางเอื้อมมือของตนไปกอบกุมมืออีกฝ่ายขึ้นมา

    "ผมนี่เป็นหนี้ชีวิตฮิราโนจจิไม่รู้รอบที่เท่าไหร่แล้ว จะชดใช้ให้ฮิราโนจจิยังไงดีเนี่ย" เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวผมสีส้มก็เผยรอยยิ้มบางออกมา

    "ไม่ต้องมาชดใช้อะไรให้ฉันหรอกนะ แค่ตั้งใจฝึกซ้อมให้มากๆ และทำตามแผนที่ฉันวางไว้ให้ก็แค่นั้นพอ"

    "งั้นหลังซ้อมเสร็จ ผมขอเลี้ยงขนมฮิราโนจจิเองนะฮะ ถือเป็นคำขอบคุณ" ชายหนุ่มปล่อยมือของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาสีมรกตของหญิงสาวอย่างอ้อนวอน

    "ฮะๆ ก็เอาสิแต่อย่าลืมเลี้ยงคนอื่นๆ ด้วยล่ะ โดยเฉพาะมุราซากิบาระคุงน่ะ" เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็ฉีกยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะเอ่ยตกลง

    "เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้วฮะ"


     

     


     

    หลังจากที่เพิ่งภายแพ้ให้กับไฮซากิไปอย่างย่อยยับแล้ว นายแบบหนุ่มก็เริ่มคิดจะหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ตนเองเอาชนะศัตรูตัวฉกาจคนนี้ให้ได้ ตลอดเวลา2สัปดาห์ที่เขามัวพะวงกับเรื่องนี้จนไม่เป็นอันทำอย่างอื่นแต่คิเสะก็ยังไม่สามารถหาวิธีที่จะกำจัดหัวขโมยอย่างไฮซากิได้โดยไม่ทำให้มือของเขาต้องแปดเปื้อน ณ ตอนนี้ชายหนุ่มผมทองก็ยังคงนั่งคิดหาแนวทางในการจะเอาชนะอีกฝ่ายอีกครั้งในขณะที่มานั่งพักผ่อนอยู่ คาเฟ่ชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังจากที่เลิกเรียน

    "อ้าว! คิเสะคุงนี่" เสียงทุ้มของชายหนุ่มนิรนามเอ่ยทักนายแบบหนุ่มที่กำลังเหม่อเพราะครุ่นคิดหาวิธีการกำจัดไฮซากิให้ออกไปจากชีวิตตนเอง เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้า คิเสะก็หลุดออกจากภวังค์ก่อนจะเงยหน้าพบกับชายหนุ่มอายุราวๆ 30ที่กำลังยืนยิ้มให้เขา

    "สวัสดีครับนิชิโนยะซัง" เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกันอยู่แล้ว คิเสะจึงลุกขึ้นโค้งเอ่ยทักทายอีกฝ่ายที่เป็นถึงบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังหลายเล่ม

    “ว่าแต่เป็นไงบ้างล่ะช่วงนี้ ฉันไม่ค่อยเจอนายบ่อยเหมือนเมื่อก่อนเลย” นิชิโนยะนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามกับคิเสะและเอ่ยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    "ช่วงนี้ผมกำลังยุ่งกับชมรมบาสนะฮะ ต้องซ้อมหนักเพราะใกล้จะแข่งอินเตอร์ไฮแล้ว ว่าแต่นิชิโนยะซังสบายดีนะครับ"

    "ก็เรื่อยๆล่ะนะ ช่วงนี้กำลังเร่งให้นิตยสารตัวล่าสุดออกวางแผงให้ทันตามแพลนที่วางไว้ ตอนนี้พวกproofreaderกำลังหัวหมุนตรวจงานกันอยู่เลย"

    "ช่วงนี้คงยุ่งมากเลยสินะฮะ คงไม่มีเวลาไปพักผ่อนกับผมเหมือนแต่ก่อนแล้วสินะครับ" คิเสะเอ่ยถามอีกฝ่ายราวกับเป็นคำถามปกติทั่วไป แต่คนตรงหน้าที่รู้จักและสนิทกับนายแบบหนุ่มเข้าใจในนัยแฝงของคำถามที่คิเสะได้เอ่ยถาม จึงเผยรอยยิ้มอย่างชอบใจ

    "ถึงฉันจะงานเยอะแต่ถ้าเรื่องนั้นน่ะฉันหาเวลาว่างไปหาสาวๆ ได้อยู่แล้วล่ะเธอก็รู้ดี" บรรณาธิการหนุ่มเอ่ยตอบ

    "นิชิโนยะซังนี่เก่งจังเลยนะครับ ขนาดงานเยอะก็ยังหาเวลาไปผ่อนคลายอารมณ์ได้"

    "ว่าแต่นายเถอะ หลังๆ มานี้ไม่ค่อยว่างเลยล่ะสิท่า ฉันถึงนัดนายไปหลายรอบก็บอกว่าไม่ว่างทุกที รู้มั้ยว่าพอไม่มีเพื่อนเที่ยวเนี่ย ฉันเที่ยวไม่ค่อยสนุกเลย"

    "ขอโทษจริงๆ นะครับ ใจจริงผมก็คิดถึงตอนไปเที่ยวกับนิชิโนยะซังนะครับ"

    "ฮ่าๆ คราวหลังก็หัดทำตัวว่างๆล่ะ จะได้ว่างไปเที่ยวกับฉันสักที"

    "ว่าแต่ช่วงนี้นิชิโนยะซังกับเอริจังยังคุยๆ กันอยู่มั้ยครับ" ทันทีที่พูดถึงเรื่องผู้หญิง มีหรือที่คิเสะจะไม่อยากรู้เรื่องราวผู้หญิงในสต๊อกของบรรณาธิการหนุ่มตรงหน้าที่เขาชอบฟังจากคนตรงหน้ามากที่สุด

    "กับเอริฉันเลิกคุยไปตั้ง2เดือนแล้วนะ ฉันล่ะเชื่อแล้วจริงๆ ว่านายยุ่งมากจนไม่มีเวลาอัปเดตข่าวสารเลยสินะ"

    "เอ๋ แต่ตอนนั้นนิชิโนยะซังดูชอบเอริจังมากเลยนะครับ ไหนบอกว่าเธอเอาใจคุณเก่งมากไม่ใช่หรอ" คิเสะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อ 'เอริ' ที่พูดถึงนั้นเป็น1ใน ผู้หญิงของบรรณาธิการหนุ่มคนล่าสุดที่อีกฝ่ายชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เพราะเจ้าหล่อนมีดีกรีเป็นนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ ที่มีหุ่นอันเย้ายวนและอีกทั้งยังเก่งเรื่องบนเตียงตามที่นิชิโนยะเคยเล่าให้นายแบบหนุ่มฟัง

    "ไอ้เรื่องนั้นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ติดที่เจ้าหล่อนขี้หึงเกินไปหน่อย ขนาดฉันจะคุยงานกับนางแบบหรือผู้หญิงคนอื่น ก็ชอบหาเรื่องทะเลาะกับฉันจนน่าปวดหัว ต่อให้หล่อนเด็ดถึงใจฉันแค่ไหน แต่ถ้างี่เง่าเกินเรื่องขนาดนี้ฉันก็ขอบาย" นิชิโนยะเอ่ยถึงสาเหตุที่เลิกรากันไปกับนางแบบสาวให้นายแบบหนุ่มฟัง ซึ่งก็ทำให้คิเสะเข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น

    "ผมไม่คิดว่าเอริจังจะเป็นคนขี้หึงขนาดนี้ แปลว่าตอนนี้นิชิโนยะซังก็ยังไม่มีใครน่ะสิครับ? "

    "ใครว่ากันล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังคั่วคนใหม่อยู่"

    "หืมม? ว่าแต่ใครกันล่ะครับ" คิเสะเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความใคร่รู้ แม้จะไม่ประหลาดใจกับความ move on เร็วของคนตรงหน้า แต่ก็รับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชายเจ้าชู้

    "นายรู้จักยูคาริ ไอดอลวงเกิร์ลกรุป lolitaมั้ย" นายแบบหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็พลางนึกถึงนักร้องสาววัยเพิ่งผ่านพ้นบรรลุนิติภาวะไปได้ไม่นาน ผู้มีหน้าตาน่ารักคนนึงที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นในญี่ปุ่นช่วงนี้

    "เห็นว่าเพลงกำลังดังอยู่ตอนนี้นิครับ อย่าบอกนะครับว่าเป็นยูคาริจัง"

    "พอดีว่ารู้จักกันตอนที่วงของเธอมาโปรโมทเพลงที่ออฟฟิศฉันน่ะ พอดีเห็นว่าน่ารักดีก็เลยลองเชิงหยอดๆ ไปหน่อย"

    "แต่ว่ายูคาริจังดูไม่ค่อยตรงสเปคนิชิโนยะซังสักเท่าไหร่นะครับ ผมค่อนข้างแปลกใจหน่อยน่ะ" คิเสะเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมาเพราะหญิงสาวคนล่าสุดของนิชิโนยะดูเป็นผู้หญิงที่น่ารัก เรียบร้อยและไร้เดียงสาซึ่งตรงข้ามกับสเปคผู้หญิงของนิชิโนยะที่ต้องสวย เซ็กซี่และมีเสน่ห์ จึงอดคิดไม่ได้ว่าทั้งสองจะมาอยู่ในสถานะของคู่นอนกันได้อย่างไร

    "เห็นท่าทางดูน่ารักไร้เดียงสาแบบนั้น จะบอกให้นะว่าตอนเธออยู่บนเตียงน่ะถึงพริกถึงขิงขนาดทำให้ฉันคลั่งได้เลยล่ะนะ อีกอย่างเห็นซ่อนรูปแบบนั้นแต่เต็มไม้เต็มมือฉันไปทุกส่วนเลยล่ะ" บรรณาธิการหนุ่มเอ่ยตอบพลางเหยียดยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงตอนที่อยู่ด้วยกันสองคนบนเตียง

    "ถึงว่าทำไมนิชิโนยะซังหันมาชอบผู้หญิงดูเรียบร้อย ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ดูท่านิชิโนยะซังจะชอบยูคาริจังมากเลยสินะครับ" คิเสะเอ่ยแซวอีกฝ่ายพลางกับยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทันนิสัยของคนตรงหน้า

    "ชอบน่ะฉันชอบอยู่แล้วแต่ว่าฉันหนักใจอยู่เรื่องนึง" นิชิโนนิชิโนยะเอ่ยตอบพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ

    "เรื่องอะไรหรอครับ? " คิเสะเอ่ยถามด้วยความสงสัย

    "ฉันว่าจะปรึกษานายอยู่พอดี ตอนนี้ฉันสงสัยว่ายูคาริกำลังแอบคบคนอื่นลับหลังฉัน" นิชิโนยะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำเอาชายหนุ่มผมทองที่ได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจไม่น้อย

    "เอ๊ะ! ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ? "

    "พักหลังๆ มานี้ยูคาริไม่ค่อยมาหาฉันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน อ้างว่าช่วงนี้กำลังยุ่งกับทำเพลงใหม่ บางทีก็บอกว่าติดเรียน ฉันอาจจะเชื่อเธอไปแล้วล่ะ ถ้าฉันไม่เห็นรูปพวกนี้ก่อน" ทันทีที่เอ่ยตอบบรรณาธิการหนุ่มก็ได้ยื่นสมาร์ตโฟนที่ฉายรูปภาพของหญิงสาวที่กำลังพูดถึงกับชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวที่ไปไหนมาไหนในสถานที่ต่างๆ ด้วยกันสองต่อสองให้แก่คิเสะเพื่อดูหลักฐานที่ว่า

    "หืออ? นี่มัน…." เมื่อชายหนุ่มรุ่นน้องเลื่อนดูรูปภาพไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจับสังเกตได้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ในภาพนั้นคลับคล้ายเหมือนกับคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ใบหน้าเจ้าเล่ห์ เรือนผมสีเงินอันเป็นเอกลักษณ์และท่าทางที่เข้าหาฝ่ายหญิงราวกับอสรพิษที่กำลังเลื้อยโอบรัดเหยื่อของตนเอง ทั้งหมดที่ว่ามาเขาไม่มีทางจำไม่ได้ เป็นคนคนเดียวที่เขาทําใจเจ็บไม่หาย

     

    ไฮซากิ โชโกะ

     

    "ฉันส่งคนให้สะกดรอยตามยูคาริอยู่เรื่อยๆ จนไปเห็นว่าเมื่อไม่นานมานี่เธอไปไหนมาไหนกับผู้ชายที่อยู่ในรูปพวกนี้บ่อยๆ " นิชิโนยะเอ่ยอธิบายให้กับนายแบบหนุ่มด้วยน้ำเสียงขึ้งเคียด

    "และยิ่งมั่นใจได้ว่าเธอน่าจะคั่วไอ้หมอนี่ด้วยก็ตอนที่คนของฉันส่งรูปเธอกับหมอนั้นเข้าออกเลิฟโฮเต็ลอยู่2-3ครั้ง นายก็รู้ใช่มั้ยว่าเวลาฉันจะเอากับใครฉันมีข้อห้ามของฉันอยู่ไม่กี่ข้อ" ทำไมจะไม่รู้ล่ะ นี่เป็นคำพูดที่อยู่ในใจของคิเสะ เขาที่เคยไปเที่ยวหาผู้หญิงเพื่อมาผ่อนคลายด้วยกันกับคนตรงหน้าไม่เคยลืมเลยว่าชายหนุ่มรุ่นพี่มีกฎที่ตกลงร่วมกับคู่ขาของอีกฝ่ายไม่กี่ข้อ แต่เป็นกฎที่หากใครทำผิดข้อตกลง จุดจบของหญิงสาวเหล่านั้นมักไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ กฎที่เขาเคยได้ยินในระหว่างที่นิชิโนยะเคยดีลกันกับหญิงสาวคู่ขาคนนึงมาว่า

     

    'หนึ่งคือห้ามล้ำเส้นซึ่งกันและกัน สองคือห้ามไปมีคนอื่นในระหว่างที่มีความสัมพันธ์กัน'

     

    "ฉันน่ะไม่ถือหรอกน่ะว่าผู้หญิงพวกนั้นจะเคยผ่านใครมาบ้าง แต่ถ้ามาอยู่ในความสัมพันธ์กับฉัน ฉันไม่ชอบแบ่งของของฉันให้คนอื่น ตอนนี้ฉันกำลังให้คนหาข้อมูลของไอ้หมอนี้มาอยู่ อยากรู้นักว่ามันเป็นใคร" นิชิโนยะเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจ คนอย่างเขาไม่ยอมให้ใครมากระตุกหนวดเสือกันได้อย่างง่ายๆ แม้ว่าเขาจะเป็นบรรณาธิการนิตยสารแต่เขาก็เป็นถึงลูกหลานมหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของอุตสาหกรรมบันเทิงครึ่งนึงในประเทศนี้ ย่อมมีคอนเนคชั่นและอิทธิพลมากพอที่จะทำเรื่องสกปรกๆ เพื่อสั่งสอนหัวขโมยที่แย่งของของ เขาไป

    "แล้วนิชิโนยะซังจะทำยังไงต่ไปเหรอครับ" แม้คิเสะพอจะเดาได้ว่าชะตากรรมของศัตรูตัวฉกาจของเขาจะเป็นไปในทิศทางไหน แต่เพื่อที่จะกำจัดหัวขโมยอย่างไฮซากิให้หายไปจากสารบบของเขา เขาจะต้องมั่นใจได้ว่านิชิโนยะจะต้องหาทางจัดการไฮซากิจนทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้แบบปกติอีก

    "ฉันก็คงจะส่งคนของฉันไปสั่งสอนไอ้หมอนี่สักหน่อยว่าเวลามันมายุ่งกับของฉัน มันต้องเจออะไรและก็คงจะตัดหัวตัดหางมันเล็กๆ น้อยๆ ให้มันใช้ชีวิตลำบากขึ้นหน่อยล่ะนะ" เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว คิเสะก็เหยียดยิ้มพอใจกับคำตอบนั้น ก่อนที่เขาจะนึกแผนการบางอย่างที่อาจสร้างผลลัพธ์ที่ดีแก่เขาในภายหลัง เมื่อคิดได้ดังนั้นนายแบบหนุ่มจะเอ่ยพูดกับอีกฝ่ายซึ่งเป็นการเริ่มต้นแผนการดังกล่าวที่ว่า

    "แล้วถ้าผมบอกว่าผมรู้จักผู้ชายที่อยู่ในรูปนิชิโนยะซังจะว่ายังไงครับ"

     

     



     

    หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความฮือฮาให้กับชมรมบาสเกตบอลไม่น้อย เมื่อรู้ว่าไฮซากิ โชโกะได้ตัดสินใจลาออกจากชมรมโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งสร้างความตกใจและประหลาดใจแก่คนอื่นๆ จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างล้มหลามถึงสาเหตุที่ไฮซากิต้องขอลาออก บางส่วนก็ว่ากันว่าไฮซากิคงหมด passion กับกีฬาแล้ว บ้างก็ว่าจริงๆ แล้วไฮซากิถูกโค้ชบังคับให้ออกเนื่องจากมีเรื่องทะเลาะวิวาทชกต่อยกับผู้อื่นนับไม่ถ้วนจนทำให้ชมรมเสื่อมเสียชื่อเสียงไปเยอะ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทุกคนที่ได้ทราบเรื่องนี้ต่างก็รู้สึกดีใจมากกว่าเสียใจที่ต้องเสียคนพรรค์นี้ออกจากชมรม

    โดยแท้จริงแล้วทุกคนไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าที่ไฮซากิต้องลาออกเพราะเขานั้นถูกกัปตันชมรมอย่าง อาคาชิ เซย์จูโร่ บีบให้เขาลาออกเนื่องจากเขาได้ไปแย่งผู้หญิงของผู้มีอิทธิพลผู้หนึ่งเข้า จึงทำให้เขาต้องโดนกลุ่มชายนิรนามที่คาดว่าน่าจะถูกจ้างมาจากบุคคลผู้นั้นเข้ามารุมทำร้าย จนเขาได้รับบาดเจ็บต้องเข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลหลายวัน กัปตันทีมอย่างอาคาชิที่ทราบเบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งหมดแถมยังถูกข่มขู่มาจากผู้มีอิทธิพลดังกล่าวว่าหากไม่ไล่ไฮซากิออก เขาจะแฉภฤติกรรมแย่ๆ ของอีกฝ่ายให้หมด อาคาชิเล็งเห็นว่าหากยังไม่แก้ปัญหาตั้งแต่ตอนนี้ทีมของตนเองจะต้องเจอปัญหาที่แย่กว่านี้ตามมาอีกแน่ กัปตันหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะไล่ไฮซากิออกจากชมรมเพื่อรับผิดชอบต่อปัญหาที่สะสมคั่งค้างมานานนี้ โดยอาคาชิยังคงรักษาหน้าให้ไฮซากิโดยบีบให้อีกฝ่ายเป็นคนลาออกแทน จึงทำให้คนผมสีเงินต้องจำใจที่จะทำตามประสงค์ของกัปตันทีมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นสร้างความหัวเสียให้แก่จอมขโมยอย่างไฮซากิเป็นอย่างสูงมาจนถึงตอนนี้

    "โถ่เว้ย! แม่งทำไมช่วงนี้ต้องมาซวยแบบนี้ด้วยวะ" ไฮซากิสบถออกมาเสียงดังอย่างหัวเสียเมื่อจู่ๆ เขาก็ถูกกลุ่มคนนิรนามเข้ามารุมทำร้ายร่างกายจนเจ็บเกือบปางตาย ตัวเขาที่ไม่รู้ว่าทำไมพวกห่าเหวนั้นถึงมาทำร้ายเขา พอออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานก็ถูกอาคาชิบีบให้ลาออกจากชมรม แม้จะไม่อยากลาออกแต่เขาก็ทนแรงกดดันของกัปตันทีมไม่ได้ เขาพอเดาได้ว่าหากเขายังไม่ทำตามคำสั่งของอาคาชิ ชีวิตเขาจะต้องย่ำแย่ไปกว่านี้แน่นอน

    เมื่อคิดถึงเรื่องนี้อีกทีก็ทำให้เขาปวดหัวจี๊ดขึ้นมา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจโทรศัพท์ของตนเองเพื่อจะส่งข้อความไปหาหญิงสาวที่ตนเองกำลังคั่วอยู่เพื่อนัดออกมาพบเจอกัน ชายหนุ่มหัวขโมยคาดหวังว่าจะไปปลดปล่อยสักหน่อยเพื่อทำให้หายเครียด

    "เอ๊ะ! นี่มันอะไรกันวะ!? " ชายหนุ่มผมสีเงินเอ่ยสบถออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นข้อความของหญิงสาวคู่ขาคนล่าสุดเอ่ยปฏิเสธนัดหมายของชายหนุ่มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยหล่อนอ้างเหตุผลแค่ว่าไม่ว่างเท่านั้น

    "หน็อย! เพิ่งจะได้ไปแค่ครั้งเดียว ก็กล้าเทฉันแล้วหรอ กล้ามากนะโมโมะ" ไฮซากิเอ่ยออกมาอย่างหัวเสียเมื่อวันนี้เขาเจอแต่เรื่องแย่ๆ อีกครั้ง อากัปกิริยาเมื่อครู่อยู่ในสายตาสีอำพันของอีกคนที่กำลังจับจ้องด้วยความสนุกชอบใจ

    "สภาพดูไม่ค่อยดีเท่าไรเลยฮะโชโกะคุง" ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันเดินเข้าไปทักชายหนุ่มสมญานามหัวขโมยด้วยน้ำเสียงที่เย้าแหย่ เมื่อได้ยินดังนั้นไฮซากิก็หันมาพบหน้าของคนที่เกลียดขี้หน้ามากที่สุด

    "เรียวตะ"

    "ว่าแต่โกรธอะไรใครมาหรอฮะ ดูหน้าตาหงุดหงิดมากเลยนะฮะเนี่ย"

    "ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย จะไปไหนก็ไปซะ"

    "ผมก็อุตส่าห์เป็นห่วงนะฮะ พวกเราไม่ได้เจอกันบ่อยๆ อีกอย่างผมคงไม่ได้เจอโชโกะคุงที่ชมรมอีกต่อไปแล้วสินะฮะ" นายแบบหนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงยียวน แต่คำตอบก็ทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจ

    "นี่แกรู้ได้ไงว่าฉัน–"

    "วันนี้โค้ชเรียกตัวผมเข้าไปคุยน่ะสิฮะว่าต่อไปนี้ผมจะได้ขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวจริงแทนโชโกะคุงที่เพิ่งลาออกไป" คิเสะเอ่ยตอบถึงข้อสงสัยของอีกฝ่ายราวกับโอ้อวดให้อีกคนได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล่นๆ

    "แต่ผมคิดว่าโชโกะคุงคงไม่ได้อยากลาออกหรอกสินะฮะ คงจะเป็นโดนบังคับให้ออกมากกว่า" นายแบบหนุ่มเอ่ยยัวะอีกฝ่ายราวกับรู้ทันคนตรงหน้า ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ไฮซากิเป็นอย่างมาก

    "แกอย่าสู่รู้ให้มันมากนักเรียวตะ เหอะ! คงดีใจมากเลยสิท่าที่ได้ขึ้นมาเป็นตัวจริงจนได้" น้ำเสียงประชดประชันของชายหนุ่มผมสีเงินสร้างความขบขันให้คิเสะไปไม่น้อยเมื่อได้ยินดังนั้น

    "ก็มันเป็นตำแหน่งที่ผมอยากได้นิฮะ ผมก็ต้องดีใจอยู่แล้วล่ะ" นายแบบหนุ่มตอบอย่างไม่ยี่หระกับคำถามประชดประชันที่ว่านั้น

    "แต่แกก็อย่าลืมสิว่าที่แกได้มาน่ะเพราะอะไร แกไม่ได้เอาชนะฉันจนได้มันมาสักหน่อย ดีใจก็ดีใจไปเถอะแต่อย่าทำเป็นภูมิใจราวกับว่าแกสู้ฉันจนชนะเอาตำแหน่งไปได้สิ" ไฮซากิเอ่ยยกเรื่องที่อีกคนยังเอาชนะตนเองไม่ได้ขึ้นมาราวกับอวดว่าอย่างน้อยตนเองก็ยังอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย แต่มีหรือที่คนอย่างคิเสะจะรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดที่ว่า

    "ต่อให้ผมจะยังเอาชนะโชโกะคุงไม่ได้ แต่ผมก็ได้ขึ้นมาเป็นตัวจริงและยังคงได้อยู่ชมรมนี่ต่อไปจนเรียนจบ แล้วโชโกะคุงล่ะที่บอกเก่งนักเก่งหนา ทำได้เหมือนไอ้ขี้แพ้อย่างผมบ้างมั้ยล่ะ"

    "พอได้ตัวจริงขึ้นมาก็ใจกล้าปากเก่งขึ้นมากกว่าเดิมเลยสินะ คงไม่ต้องทนถ่อมตัวรักษาภาพลักษณ์พระเอกแสนดีแล้วสิท่า"

    "ผมเป็นคนมีหน้ามีตาก็ต้องทำให้ตัวเองต้องดูดีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วล่ะ ผมไม่ได้เหมือนโชโกะคุงสักหน่อยที่จะทำตัวเสเพลเหลวแหลกไปตลอดแบบไม่คิดอะไร ชีวิตผมมันมีค่ามากกว่านั้นอยู่แล้ว"

    "เห็นทีฉันคงต้องสั่งสอนแกสักหน่อยแล้ว ว่าเวลาหยามฉันจนเกินไปมันเป็นยังไง" ไฮซากิเอ่ยจบก็เอื้อมมือเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่าย ก่อนจะง้างหมัดหมายจะชกอีกฝ่าย

    "คิเสะคุงรอนานรึเปล่า? " จู่ๆ ก็มีเสียงของหญิงสาวเอ่ยทักจึงทำให้ไฮซากิต้องหยุดชะงักก่อนจะปล่อยมือจากการกุมคอเสื้อของนายแบบ พร้อมกับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาในน้ำเสียงของหญิงสาวคนนั้น

    "อ่าาา ไม่หรอกฮะพอดีผมกำลังคุยกับเพื่อนในชมรม ไม่สิ ต้องเป็นอดีตเพื่อนร่วมชมรมต่างหาก" คิเสะหันมาเอ่ยกับหญิงสาวพร้อมกับส่งยิ้มไปให้

    "เอ๊ะ! โชโกะคุง" หญิงสาวที่เพิ่งพูดคุยกับคิเสะก็ได้หลุดอุทานทักชายหนุ่มผมสีเงินด้วยท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อย

    "นี่เธอ! ไหนบอกว่าไม่ว่างไงโมโมะ" เมื่อพบว่าผู้หญิงที่มาพบคิเสะคือคนเดียวกับที่เป็นคู่ขาของตนที่เพิ่งทักไปเมื่อไม่นานมานี้ ไฮซากิก็อดรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

    "อ้าว! นี่วาตานาเบะจังรู้จักกับโชโกะคุงด้วยหรอฮะ" คิเสะเอ่ยถามด้วยความสงสัยแต่จริงๆ แล้วเขาเองก็รับรู้ถึงสถานะของคนทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว จึงแกล้งทำเป็นถามเพื่อทำให้ศัตรูของตนหัวเสียไปมากกว่านี้ และยังไล่ต้อนให้ผู้หญิงตรงหน้าจนมุมอีกด้วย ช่างเป็นการแสดงที่เขาชื่นชอบจนอยากจะดูเร็วๆ ขึ้นมา

    "คือว่า–"

    "ก็ยัยนี่เป็นคู่นอนคนล่าสุดของฉัน แล้วทำไมยัยนี่ถึงมานัดเจอนายได้ห๊ะ!? " หนุ่มหัวขโมยเอ่ยถามนายแบบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

    "นี่หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะโชโกะคุง ฉันไม่ใช่คู่นอนของนายสักหน่อย" โมโมะเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง

    "จะไม่ใช่ได้ยังไงวะ เธอนอนให้ฉันเอาเธอตั้งหลายครั้งทำเป็นจำไม่ได้แล้วหรอ หรือต้องให้ทวนความจำหน่อยมั้ยว่าฉันเคยเอาเธอด้วยท่าไหนมาบ้าง"

    "โชโกะคุง!!" หญิงสาวเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างเหลืออดด้วยใบหน้าที่แดงจัดด้วยความโกรธและอับอายผสมกัน เมื่อคิเสะเห็นว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปในทิศทางที่วางไว้ จึงได้เข้ามาพยายามทำตัวห้ามปรามทั้งสองฝ่ายไว้

    "ผมว่าโชโกะคุงพอได้แล้วเถอะฮะ ไม่เห็นหรอว่าวาตานาเบะจังไม่พอใจนายอยู่

    "นอกจากแกจะเอาตำแหน่งตัวจริงฉันไป แกยังจะแย่งคู่นอนฉันไปอีกงั้นหรอเรียวตะ!" ไฮซากิหันมาแหวใส่หนุ่มผมทองอย่างเหลืออด

    "ผมว่าโชโกะคุงกำลังเข้าใจพวกเราผิดกันอยู่นะฮะ พอดีว่าผมกับวาตานาเบะจังอยู่ห้องเดียวกันแล้วบังเอิญต้องได้มาทำงานคู่ ผมก็เลยนัดให้เธอมาเจอผมที่นี่เพื่อจะได้พาเธอไปหาที่ทำงานด้วยกัน ผมไม่คิดว่าวาตานาเบะกับโชโกะคุงกำลังคบกันอยู่" คิเสะเอ่ยตอบพลางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวของคนตรงหน้าทั้งสอง

    "คิเสะคุงฉันไม่ได้เป็นคู่นอนกับโชโกะคุงนะ โชโกะคุงโกหกเธออยู่ จริงอยู่ที่ฉันเคยคบกับโชโกะคุงแต่ฉันไม่ได้คบเพราะชอบโชโกะคุงนะ ที่ฉันคบกับเขาเพราะเขามาจีบฉันก่อนแล้วถ้าฉันไม่ยอมคบกับเขา เขาว่าเขาจะทำร้ายฉันน่ะคิเสะคุง" โมโมะหันมาเกาะแขนนายแบบหนุ่มพร้อมกับพูดแก้ตัวเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มเข้าใจเธอไปในทางที่ไม่ดี

    "หน็อย! กล้าตอแหลต่อหน้าฉันหรอโมโมะ!"เมื่อได้ยินดังนั้น ไฮซากิเหลืออดจึงได้ตะโกนด่าหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจคนรอบข้าง

    "คิเสะคุงต้องเชื่อฉันนะ ฉันไม่ได้เป็นคู่นอนของโชโกะคุงซะหน่อย" หญิงสาวเอ่ยคะยั้นคะยอให้คิเสะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดพร้อมกับนัย์ตาที่เริ่มจะคลอไปด้วยน้ำตา

    "ใจเย็นๆ ก่อนนะฮะวาตานาเบะจัง เดี๋ยวผมจะคุยกับโชโกะคุงให้เธอเอง เธอไม่ต้องห่วงนะฮะยังไงผมก็ไม่ให้โชโกะคุงทำอะไรเธอได้หรอก" คิเสะเมื่อเห็นว่าแผนการของเขาเริ่มสำเร็จไปอีกขั้น จึงเริ่มทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวพูดกับหญิงสาวว่าจะเป็นคนจัดการปัญหาให้

    "ขอบใจมากนะคิเสะคุงที่ช่วยฉันน่ะ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องลำบากเพราะฉันก็ได้" หญิงสาวเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกใจเต้นๆ ไปไม่น้อยเมื่อนายแบบหนุ่มสุดหล่อพยายามที่จะช่วยเหลือเธอ ราวกับพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกที่กำลังถูกตัวร้ายทำร้ายเข้า

    "ไม่เป็นไรหรอกฮะ เรื่องของวาตานาเบะจังผมเต็มใจยินดีช่วยอยู่แล้ว ถ้ายังไงออกไปรอผมที่หน้าโรงเรียนก่อนก็ได้นะฮะ ผมขอเคลียร์กับโชโกะคุงแค่แป๊บเดียวฮะ" คิเสะหันมาเอ่ยกับหญิงสาวพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเบาใจ

    "อื้ออ ระวังตัวเองด้วยนะคิเสะคุง" หลังจากนั้นหญิงสาวก็เดินออกไปจากกลางวงสนทนา จนตอนนี้เหลือแค่ชายหนุ่มสองคน ไฮซากิที่เห็นละครฉากหนึ่งที่เพิ่งจบลงไปก็อดที่จะหมั่นไส้นายแบบตรงหน้าไม่ไหว

    "แกคงดีใจมากเลยสินะที่ได้ทำตัวเป็นพระเอกช่วยเหลือนางเอกอีกครั้งนึงน่ะ รู้ไหมว่าฉันแทบอยากจะอ้วกออกมาแค่ไหนตอนที่แกกำลังแสดงละครตบตาพวกผู้หญิงน่าโง่ที่หลงเชื่อแก"

    "แหม แค่ผู้หญิงทิ้งโชโกะคุงไป ก็เสียสติจนเป็นบ้าขนาดนี้เลยหรอฮะ แต่ก็เข้าใจอยู่หรอกฮะว่าเพิ่งโดนทิ้งครั้งแรกก็คงเสียความมั่นใจไปพอสมควร"

    "หุบปากซะ"

    "โชโกะคุงผมจะบอกอะไรให้นะว่าโชโกะคุงโชคดีกว่าผมตั้งเยอะ เธอทิ้งนายไปเพราะเธอคงหมดรักนายเฉยๆ ไม่ได้โดนแย่งไปเหมือนที่ผมเคยโดน" นายแบบหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจแต่นัยแอบแฝงในคำพูดที่เอ่ยเป็นการเสียดสีอีกฝ่าย

    "ผมกับเธอเพิ่งมารู้จักกันจริงๆ จังๆ ได้ไม่กี่วันเอง ผมรับประกันได้ว่าผมไม่ได้จะแย่งเธอไปจากนาย แต่ผมก็ไม่รับปากหรอกนะว่าหลังจากนี้ผมกับเธอจะเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ บางทีที่เธอตีตัวห่างจากนายมาอาจจะเพราะเธอมีคนอื่นที่ชอบขึ้นมาแล้ว และคนนั้นก็อาจเป็นผมก็ได้"

    "แกมันชั่วกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยนะเรียวตะ เสียดายที่คนอื่นไม่เห็นธาตุแท้ของแกเหมือนที่ฉันเห็น สักวันฉันจะกระชากหน้ากากจอมปลอมของแกออกให้ได้"

    "งั้นผมก็ตั้งตารอคอยอยู่นะฮะ แต่คิดว่าน่าจะอีกนานเลยล่ะ" ก่อนที่ชายหนุ่มตัดสินจะเดินหันหลังจากหัวขโมยเจ้าเล่ห์แต่ก็หยุดชะงักพักหนึ่งก่อนจะหันมาเอ่ยทิ้งท้ายกับอีกฝ่าย

    "อ๋อ ผมจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะ ที่โชโกะคุงได้ออกจากชมรมคงไม่คิดแค่ว่าไปบังเอิญมีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลเฉยๆ หรอกนะ"

    "นี่อย่าบอกนะว่าแกน่ะ–" ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น อาการรุ่มร้อนจากความโมโหเริ่มตีขึ้นมาในอกของไฮซากิ สมองเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่นานก็พอจะเข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

    "พอดีว่าไอ้คนที่โชโกะคุงไปมีเรื่องด้วยน่ะผมรู้จักพอดีและก็รู้มาด้วยว่าโชโกะคุงไปทำอะไรเข้าถึงทำให้เขาต้องโกรธ ผมเห็นอย่างนั้นก็เลยช่วยบอกเรื่องโชโกะคุงให้เขาฟังเล็กน้อยน่ะ" คิเสะเอ่ยอย่างยียวนอีกฝ่าย แม้ตอนนี้จะโดนนัยน์ตาสีนิลจ้องมองมาราวกับจะฉีกเลือดฉีกเนื้อ เขาก็หาได้เกรงกลัวไม่

    "แกวางแผนไว้เพื่อตั้งใจจะเขี่ยฉันให้ออกจากชมรมแต่แรกอยู่แล้วสินะ"

    "โชโกะคุงนี่หัวไวดีนะ แต่เสียดายไปหน่อยที่มาฉลาดตอนท้ายเอา แต่จะโทษผมอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ ถ้าจะโทษก็โทษนิสัยชอบแย่งของคนอื่นไปทั่วบ้างเถอะนะ"

    "แก!!" อาการโมโหของคนผมเงินเริ่มทวีคูณเพิ่มขึ้น ไฮซากิในตอนนี้แทบจะอยากลงมือฆ่าคิเสะ เรียวตะคนนี้มากขึ้นมาทันที

    "ชู่วว ใจเย็นๆ หน่อยนะฮะ ถ้าเกิดมีคนมาเห็นว่าไฮซากิคุงมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผมอีก รอบนี้คงไม่ได้แค่ออกจากชมรมอย่างเดียวแล้วน้าา" คิเสะจุปากเอ่ยเตือนอีกฝ่าย ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปเอ่ยข้างหูไฮซากิ

    "ผมจะบอกให้นะจริงๆ เราสองคนมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ ผมรู้ดีและโชโกะคุงก็รู้ดีเหมือนกันว่าเราสองคนมันเลวแค่ไหน" นายแบบหนุ่มเอ่ยอย่างเนิบช้าแต่แฝงไปด้วยความดุดัน

    "แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมต่างจากนายก็คือผมน่ะฉลาดพอที่จะทำลายนายได้โดยไม่ต้องทำให้ตัวเองต้องดูเป็นคนร้าย ส่วนนายน่ะทำตามใจตัวเองมากเกินไปผลลัพธ์มันก็เลยตรงข้ามกับของผม"

    "..."

    "ถ้าโชโกะคุงหัดใช้สมองมากกว่านี้ ผมคงไม่มีทางทำให้โชโกะคุงออกจากชมรมบาสได้หรอกน่ะ แต่ก็อย่างว่าแหละว่านายน่ะมันคนละชั้นกับผมจริงๆนั่นแหละ" ชายหนุ่มผมทองแสยะยิ้มอย่างนึกขันเมื่อคำพูดในวันวานที่อีกฝ่ายเคยใช้เหยียดหยามเขาในวันนั้น จะได้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวของคนที่พูดเองในวันนี้

    "ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจอกันและผมก็หวังว่าพวกเราอย่าได้เจอกันอีกเลย ขอให้ใช้ชีวิตที่หมดความภาคภูมิใจไปแล้วอย่างขมขื่นนะฮะ" คิเสะเอ่ยทิ้งท้ายกับอีกฝ่ายราวกับเป็นการอธิษฐานให้คำพูดของตนเองนั้นเป็นจริง ก่อนที่จะใช้มือของตนเองตบบ่าของอีกฝ่ายเป็นการบอกลา ก่อนที่จะเดินหันหลังจากไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้ชายหนุ่มผมสีเงินที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงกำลังยืนมองนายแบบหนุ่มเดินห่างออกไปด้วยแววตาที่เรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

     

    "ขอให้ในฝันร้ายก็ยังเจอผมอยู่นะฮะโชโกะคุง"

















     

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×