ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รานใจ นิยายชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด

    ลำดับตอนที่ #9 : ♥ เล่ห์รานใจ ♥ ตอนที่ 7 :: กรรมใดใครก่อ 100 %

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 189
      13
      11 พ.ค. 64

     เล่ห์รานใจ 
    [นวนิยายรักชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด]

    ตอนที่ 7
    _____________________________________________________
    กรรมใดใครก่อ

    หลายวันผ่านมาตั้งแต่มีข่าวเรื่องที่แอบคบหากับคเณศอย่างลับๆ หลุดออกไปนั้น วรรณิดาก็แทบอยู่ไม่เป็นสุขเลย

    ข่าวบันเทิงเล่นข่าวนี้แทบทุกช่อง เธอเองก็ถูกคนในที่ทำงานจับตามองและพากันป้องปากซุบซิบนินทา จนทำงานไม่เป็นสุข แม้ว่าเบื้องหน้ายังต้องทำหน้าที่สื่ออ่านข่าว แต่พอเสร็จงาน...วรรณิดาก็แทบยิ้มไม่ออก

    มิหนำซ้ำน้องสาวตัวดีอย่างวันวิวาห์ก็หายลับเข้ากลีบเมฆไปเลย เงียบประเภทไม่มีทั้งรูป และข่าวสารอะไรอัพเดต ที่สำคัญไม่มีใครติดต่ออีกฝ่ายได้ด้วย

    แต่ที่น่าเจ็บใจไปมากกว่านั้นก็คือ ตั้งแต่ที่วันวิวาห์รู้เรื่องที่เธอจงใจทำให้เสียใจ จงใจกลั่นแกล้งให้เสียหน้า แต่แม่น้องสาวตัวแสบก็ยังสามารถพลิกเกมขึ้นมาอยู่เหนือกว่าได้ตลอด วันวิวาห์ไม่ออกมาแก้ข่าวใดๆ แต่กลับลงรูปตอกย้ำความหวานกับคเณศ ก่อนจะหายตัวไปแบบนี้

    วันวิวาห์ลอยตัวอยู่เหนือทุกปัญหาที่กำลังถาโถมเข้ามาหาวรรณิดา แต่นักข่าวสาวกับคเณศแฟนหนุ่มนั้นต้องกลายเป็นฝ่ายที่มานั่งร้อนรนใจเพราะโดนสื่อเล่นงานเสียเอง

    นอกจากจะมีฝ่ายข่าวบันเทิงหลายช่องติดต่อมาขอสัมภาษณ์วรรณิดาถึงเรื่องประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับคลิปที่หลุดออกมา แม้จะไม่มีการฟันธงที่แน่ชัดว่าคนที่อยู่ในคลิปเป็นใคร แต่ดูเหมือนทุกเสียง ทั้งคนสนิท คนนอก และคนในวงการบันเทิง ต่างก็ลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าจะต้องเป็นพี่สาวของวันวิวาห์กับคเณศแน่ๆ ที่ลอบ กินกันลับๆ โดยที่นางเอกสาวไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้

    วันวิวาห์ก็สารพิษเหมือนกัน แต่แค่ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายร้ายกาจแค่ไหน

    วรรณิดาคิดในใจ แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะออกจากห้องน้ำนั้น เสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้น

    “เห้อ...ใครจะเชื่อ เห็นหน้าซื่อๆ ที่แท้ร้ายเงียบไม่เบาเชียว”

    “นั่นสิ เป็นพี่สาวแท้ๆ ไม่น่าทำกับน้องตัวเองได้ลงคอเลย อย่างกับอดอยากปากแห้งจนหาใครไม่ได้แล้วงั้นแหละ”

    “แต่จะโทษผู้หญิงอย่างเดียวก็ไม่ได้นะ ผู้ชายเองก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ ทำตัวเป็นพญาเทครัว รวบตึงทั้งบ้าน”

    “สงสารน้องฟรานเนอะ โดนแทงข้างหลังเต็มประตูเลย ถ้าเป็นเรื่องจริงก็คงพูดไม่ออก นั่นก็พี่ นี่ก็แฟน ทั้งสวย ทั้งนิสัยน่ารัก เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างขนาดนี้ ผู้ชายยังเทนางลง”

    “เพราะเป็นพี่สาวไงเลยไม่คิดระแวงอะไร ขนาดวันก่อนยังสั่งข้าวมาเลี้ยงพวกเราอยู่เลย ยายพี่สาวก็กระไร แย่งแฟนน้องแล้วยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก กินข้าวได้ลงคอ ไม่กระดากบ้างเลย”

    ตอนนี้คนฟังได้แต่น้ำตาไหลพรากออกมา วรรณิดาต้องเอามือปิดปากตัวเอง ร้องไห้ให้เงียบที่สุด

    พนักงานกลุ่มนี้กำลังพูดคุยเรื่องของเธอกันอย่างสนุกปาก แต่คงไม่มีใครรู้ว่าเธอได้ยินทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งหมดแล้ว

    ว่ากันว่าเพื่อนในที่ทำงานก็เหมือน งูพิษ ต่อหน้าก็ยิ้มให้พูดจาดี แต่พอลับหลัง ก็พร้อมฟาดฟันให้อีกฝ่ายเละเทะจนไม่มีชิ้นดี ซึ่งวรรณิดาคิดว่า ณ เวลานี้เธอกำลังเผชิญกับปัญหานั้นอยู่

    ทั้งที่เธอไม่ใช่คนผิด เธอกับคเณศคบกันก่อนวันวิวาห์ด้วยซ้ำ แต่บาปกรรมทั้งหมด เหตุใดกัน..เธอถึงต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย

    นักข่าวสาวได้แต่เก็บความเจ็บช้ำนี้เอาไว้ในใจ ต่อให้เธอกลายเป็นคนที่มาก่อนอย่างถูกต้อง แต่วินาทีนี้ความผิดทั้งหมดก็ตกเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว

    ทุกคนเข้าใจว่าคเณศคบหากับน้องสาวตามแผนการที่เธอวางเอาไว้ แต่ใครจะรู้เล่าว่าแผนทั้งหมดกำลัง ย้อนศรกลับมาทำร้ายตัวเจ้าของแผนการเสียเอง

    ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง วรรณิดาก็ย้ายออกจากคอนโดฯ ที่เธอมักใช้นัดเจอและอยู่กับคเณศ หญิงสาวมาอยู่คอนโดฯ ที่ตัวเองซื้อเอาไว้ใกล้ที่ทำงาน ส่วนคเณศนั้น...เขาก็กำลังมีปัญหาเรื่องงานเพราะข่าวที่หลุดออกไปเหมือนกัน

    ช่วงนี้ทั้งสองคนแทบไม่ได้เจอกันเลย แต่คเณศก็ยังโทรมาหา พูดคุยด้วยทุกวันตามปกติ คงเป็นเพราะเขากลัวเธอจะจิตตกล่ะมั้ง ถึงได้รับปากอย่างหนักแน่นว่าจะเป็นฝ่ายจัดการเรื่องนี้เอง และมันจะต้องจบลงโดยเร็วที่สุด

     


    ส่วนทางคเณศ ชายหนุ่มมีปัญหาเรื่องงาน เขาเป็นทนายความ แต่พอมีข่าวเรื่องชู้สาวหลุดออกไปและยังไม่มีใครออกมายืนยันหรือแก้ข่าว ความเชื่อถือของเขาก็เลยถูกสั่นคลอนไปด้วย

    แต่วันนี้ชายหนุ่มพักเรื่องงานเอาไว้เบื้อหลังก่อน นั่นเพราะเจ้าสัวพิสุทธิ์ พ่อของทั้งสองสาวเรียกเขามาพบเป็นการส่วนตัว

    ฮุ่ยเจิน กรุ๊ป คเณศเดินเข้ามาในบริษัทใหญ่โตที่มีทั้งตัวอาคารและโรงงานผลิตสินค้าอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน

    ที่นี่คือบริษัทของพ่อวันวิวาห์ บริษัทที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับเครื่องปรุงรสที่ใช้ในครัวเรือน เป็นสินค้าที่ทุกคนรู้จักและแทบเรียกได้ว่าทุกบ้านต้องมีและใช้ แต่วันนี้ชายหนุ่มไม่ได้เข้ามาชื่นชมความอลังการ ความร่ำรวยของเจ้าสัว เพียงแต่เขาถูกเรียกเพื่อมาพูดคุยเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ

    ห้องท่านประธานใหญ่อยู่ชั้นบนอันเงียบสงบ อากาศชั้นบนเย็นเฉียบทำให้หัวใจของทนายหนุ่มเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ

    ปกติเจ้าสัวพิสุทธิ์เป็นคนใจดี ยิ้มเก่ง และไม่ถือตัว ท่านรักและเอ็นดูเขาเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวที่หลุดออกไป จะทำให้สายตาของท่านมองเขาเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน

    คเณศอดกังวลไม่ได้จริงๆ

    แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อแม้คเณศจะไม่ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในสถานะเขยเล็กของบ้านแล้ว ทว่าชายหนุ่มก็คงต้องเข้ามาเกี่ยวดอง และเป็นหนึ่งในลูกเขยของเจ้าสัวพิสุทธิ์อยู่ดี

    เอาน่า ไหนๆ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เรายอมรับผิดแมนๆ แบบลูกผู้ชายไปเลยแล้วกัน

    ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ทันทีที่คเณศผลักประตูห้องทำงานของประธานใหญ่เข้าไป เขาก็เห็นว่าเจ้าสัวนั่งรออยู่แล้วที่โซฟารับแขก

    คเณศยกมือไหว้อีกฝ่าย ขณะที่พิสุทธิ์รับไหว้เขาด้วยรอยยิ้มตามปกติ ไม่มีอาการหัวเสีย หรือสีหน้าไม่อยากต้อนรับขับสู้อย่างที่คเณศเคยคาดเดาเอาไว้เลย

    เจ้าสัวพิสุทธิ์นิ่งมาก จนเขาเดาใจอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ

    ทันทีที่พิสุทธิ์ผายมือบอกให้คเณศนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน เลขาฯ หน้าห้องทำงานก็เอากาแฟเสิร์ฟ สถานการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่หัวใจของคเณศนั้นกลับเต้นแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาตกหลุมรักวรรณิดาอีก

    “คิน..”

    “ครับพ่อ” คเณศเรียกพิสุทธิ์อย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเขาก้าวเข้ามาในสถานะของเพื่อนรุ่นพี่วรรณิดา ทำให้ความสนิทสนมระหว่างเขากับครอบครัวของหญิงสาวนั้นแทบไม่มีช่องว่างเลย

    แต่ไม่แน่ว่าตอนนี้ทางครอบครัวของวรรณิดานั้น อาจตั้งระยะห่างกับเขามากขึ้นก็ได้

    “เรื่องข่าวน่ะ พ่ออยากฟังจากปากของคินเองนะ” พิสุทธิ์พูดนิ่งๆ ไม่มีทางทีกดดันชายหนุ่มตรงหน้าแต่อย่างใด ท่านพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะคเณศคงรู้อยู่แล้วว่าท่านเรียกเขามาพบก็ด้วยเรื่องนี้

    ข่าวเสียๆ หายๆ ที่หลุดออกมา พิสุทธิ์กับภรรยาทำใจมาพักนึงแล้ว เพราะไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร ใครจะเป็นคนผิด ลูกสาวทั้งสองคนก็เป็นฝ่ายเสียหายอยู่ดี

    “แล้วพ่อได้คุยกับฟราน กับฝ้ายหรือยังครับ?” คเณศถามหยั่งเชิงไปก่อน เขาไม่อยากโพล่งออกไปเลย เพราะบางทีเรื่องที่เจ้าสัวรู้มานั้นมันอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้

    “กับฝ้ายพ่อยังไม่ได้พูดจาอะไรทั้งนั้น ยายฝ้ายไม่ยอมกลับบ้านเลย โทรไปก็ไม่รับสาย ส่วนยายฟราน..” พิสุทธิ์ทอดถอนหายใจเมื่อพูดถึงลูกสาวทั้งสองคน

    ทว่าระหว่างพูดคุยนั้นท่านก็ลอบสังเกตท่าทีของคเณศไปด้วย คเณศเป็นทนายย่อมมีไหวพริบและเล่ห์เหลี่ยมมากมายเอาไว้หลอกล่อฝ่ายตรงข้าม แต่ในเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวนั้น พิสุทธิ์เชื่อว่าอาการที่แสดงออก ต่อให้มันเล็กน้อยมากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องของหัวใจมันก็ไม่สามารถตบตากันได้

    และใช่! คเณศไม่อาจเก็บสีหน้าตอนที่ท่านพูดถึงลูกสาวคนโตได้เลย

    “รายนั้นอยู่บนดอย เมื่อวานปัดติดต่อมาหา บอกว่าถนนถูกตัดขาด ฟรานยังลงมาไม่ได้ แล้วก็ใช่ว่าสัญญาณโทรศัพท์จะคงที่นัก พ่อเลยยังไม่ได้ข้อมูลอะไรจากลูกคนไหนทั้งนั้น ฟังจากพวกสื่อก็เน้นใส่สีเติมแต่งให้ข่าวสนุกเข้าว่า”

    แต่พอพูดถึงลูกสาวคนเล็ก คเณศกลับดูไม่ได้สนใจเท่าที่ควรนัก ทั้งที่เคยมีท่าทีเอ็นดูวันวิวาห์ไปในเชิงชู้สาวก็ตาม

    ชายหนุ่มไม่อาจเก็บสีหน้าที่แสดงความกังวลใจเอาไว้ได้ ถึงตอนนี้กาแฟขมๆ อุ่นๆ ที่คเณศกลืนลงคอ ก็ดูจะไร้รสชาติไปเสียสนิท

    พิสุทธิ์นิ่งสงบสมกับเป็นเจ้าสัวใหญ่ คำพูดเรียบๆ ของท่านทำให้เขาเดาทางไม่ออกจริงๆ แต่เรื่องจริงอย่างเดียวที่เขารู้ก็คือ...วรรณิดาไม่ได้ติดต่อหาครอบครัวตัวเองเลย

    มันดูเป็นเรื่องใหญ่และบานปลายราวกับไฟไหม้ฟาง แม้ทุกคนจะดูนิ่งเฉย ไม่มีใครเคลื่อนไหวหรือออกมาสาดวาจาเผ็ดร้อนใส่กัน แต่บรรยายกลับมาคุอย่างบอกไม่ถูก

    แต่ในเมื่อคเณศตัดสินใจตั้งแต่ที่เขาถูกเรียกมาพบแล้ว ไม่ว่าเขาจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไรก็ตาม คเณศก็ไม่อยากปิดบังความจริงอีกต่อไป

    เขากับวรรณิดาคบหากันมันไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย แล้วทำไมจะต้องมาคบหากันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย อีกอย่างถึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับดำมืดอย่างไร แต่สักวันพิสุทธิ์ก็คงจะสืบทราบอยู่ดี

    “คุณพ่อครับ” คเณศตัดสินใจเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังหนักแน่น ขณะสบตาผู้ใหญ่ที่เขาเคารพตรงหน้า “ที่จริงผมกับฝ้ายคบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”

    ไม่พูดเปล่า แต่ชายหนุ่มยังยกมือพนมไหว้ขอโทษพิสุทธิ์ที่ทำเรื่องเสียหายลงไปด้วย

    “ผมขอโทษนะครับ กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งเรื่องที่แอบคบหากับฝ้าย อยู่กินกันแบบครอบครัวโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว ขออนุญาตคุณพ่อก่อน แล้วเรื่องที่ผมหลอกฟราน”

    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายและเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัวผลที่จะตามมา

    แต่ถึงจะเกรงกับความเกรี้ยวกราดที่ตนอาจรับมือไม่ไหว แต่ในความรู้สึกของชายหนุ่มนั้น เหมือนเขากำลังยกภูเขาออกจากอก แม้มันจะเป็นการสารภาพบาปที่ตนได้ทำลงไปก็ตาม ทว่าก็รู้สึกสบายใจมากที่ได้พูดออกไปจนหมดเปลือก

    ทว่าถึงอย่างนั้นสีหน้าของพิสุทธิ์ก็ไม่มีวี่แววโกรธเกรี้ยวหรือตั้งท่าจะโวยวายใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าเลย แต่ยิ่งเจ้าสัวใจเย็นมากเท่าไหร่ คนที่ทำผิดก็ยิ่งร้อนรนมากเท่านั้น

    “ขอบใจนะคินที่พูดความจริงกับพ่อ” พิสุทธิ์ปรับท่านั่ง ขณะมองตาอีกฝ่ายแล้วยิ้มใจดี

    “คุณพ่อจะโกรธจะด่าผมยังไงก็ได้นะครับ”

    “ไม่ล่ะ” เจ้าสัวส่ายหน้าช้าๆ “พ่อจะทำอย่างนั้นทำไมกัน”

    “ก็ผมทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจ...” คเณศก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด แต่พิสุทธิ์กลับขำเล็กน้อยในลำคอ ซึ่งคเณศก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมท่านถึงยังยิ้มออก หรือที่หัวเราะออกมานั้นก็แค่อยากให้บรรยากาศมันไม่ตึงเครียดไปกว่านี้

    “ถึงไม่ใช่ยายฟราน แต่ก็เป็นยายฝ้ายอยู่ดี” ไม่ว่าอย่างไรดูเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้าก็มีดวงจะเป็นลูกเขยบ้านนี้อยู่ดี “ยายฝ้ายไม่เคยบอกสักคำว่าคบหากับคินอยู่ พ่อเองก็ดูไม่ออก”

    คำพูดของพิสุทธิ์เหมือนชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป จนคเณศอดคิดไม่ได้ว่า...นี่สินะที่เขาว่ากันว่า ยิ่งอีกฝ่ายดีด้วยเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องเกรงใจมากเท่านั้น

    “ว่าแต่...คินพอจะบอกพ่อได้มั้ยว่าในเมื่อคินคบหากับฝ้ายอยู่แล้ว คินทำดีกับน้องทำไม ยายฟรานน่ะดูท่าจะรักเรามากน่าดู” คำพูดนุ่มนวลที่ถามออกไปนั้นฟังแล้วมีเมตตาอย่างยิ่ง แต่เอาเข้าจริงในใจของพิสุทธิ์กลับเต้นรัวด้วยความสงสารลูกสาวคนเล็ก

    วันวิวาห์โดนอีกฝ่ายหลอกเข้าเต็มเปา เรื่องนี้คงมี เงื่อนงำอยู่เบื้องหลังเป็นแน่

    “เพราะฝ้ายขอร้องน่ะครับ”

    “ฝ้าย?” คนเป็นพ่อถึงกับขมวดคิ้วมุ่น

    พิสุทธิ์ไม่คิดเลยว่าข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นนี้ จะมีลูกสาวคนโตของตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

    คเณศวางสีหน้าเคร่งเครียด เพราะหากประเมินด้วยสายตาแล้ว...เจ้าสัวพิสุทธิ์อาจไม่เคยระแคะระคายความบาดหมางของลูกสาวทั้งสองคนเลยก็ได้

    แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากมาย ถ้าพี่น้องจะทะเลาะหรือมีเรื่องให้ผิดใจต่อกัน เพราะโดยปกติแล้วทุกครอบครัวก็ไม่มีพี่น้องครอบครัวไหนรักใคร่กลมเกลียวกันจริงๆ หรอก

    “ครับ ฝ้ายเป็นคนบอกให้ผมหลอกฟราน”

    คำสารภาพเรียบๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทำให้สีหน้าของเจ้าพิสุทธิ์นั้นแปรเปลี่ยนไปจากเดิมมากพอสมควร ความนิ่งสงบสยบทุกความเหลื่อนไหวนั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่ คิ้วที่เริ่มมีขนขาวๆ แทรกขึ้นนั้นก็ขยับเข้าหากันเกือบชิด

    ลูกสาวคนโตของท่านร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในใจของคนเป็นพ่อ ด้วยภาพที่ท่านเห็นมาตลอดว่าพี่น้องทั้งสองคนก็ดูสมัครสมานรักใคร่กันเป็นอย่างดี อาจมีเรื่องผิดใจกันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นเล่นกันแรงขนาดนี้

    แต่อีกใจ เจ้าสัวพิสุทธิ์ก็เอ็นดูและเห็นใจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างมากมาย ผู้ชายที่ยอมทำตามคำขอร้องของคนรัก แม้ว่าเรื่องที่ทำมันค่อนข้างผิดและฝืนใจตัวเอง นั่นก็หมายความว่าคเณศรักลูกสาวคนโตของท่านด้วยใจจริง

    “นี่เราคงรักยายฝ้ายมากจริงๆ สินะ.. ถึงได้ทำตามเรื่องที่น้องขอขนาดนี้”

    คเณศเม้นริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ

    “ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ” คเณศบอกพร้อมกับยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อม การกระทำของชายหนุ่มที่ไม่มีการแก้ตัวหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมพูดจาพลิกไปมา เปลี่ยนจากผิดให้ตนเป็นฝ่ายถูก แต่พูดอย่างตรงไปตรงมานั้นทำให้พิสุทธิ์พอใจอย่างมาก

    ไม่ว่าจะกี่ปีที่รู้จักกันมา คเณศก็ยังเป็นเด็กหนุ่มที่พึ่งพาและไว้ใจได้เสมอ หากอีกฝ่ายจะก้าวเข้ามาในครอบครัวด้วยสถานะใหม่ ท่านก็คงไม่ขัดข้องอะไร ขอเพียงให้อีกฝ่ายมั่นคงต่อความรู้สึกตัวเองที่มีต่อวรรณิดาก็พอ

    “ผมไม่รู้ว่าฝ้ายกับฟรานมีปัญหาไม่เข้าใจกันด้วยเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมันกำลังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ นะครับ” พอได้โอกาสคเณศก็ปรึกษาหารือพิสุทธิ์ทันที

    เขาเองเป็นห่วงวรรณิดามาก ตั้งแต่ที่รู้จักคบหากันมา เวลาที่หญิงสาวพูดถึงครอบครัว...วรรณิดาดูไม่มีความสุขเลย ที่สำคัญเธอพยายามผลักตัวเองออกมาราวกับเป็นคนนอก วรรณิดาถึงรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนตัวคนเดียวมาตลอด

    เขาในสถานะคนรักอยากช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่วรรณิดาไม่ใช่คนที่ชอบเปิดปากพูดจาอะไรมากมายนัก ถ้าไม่รู้สึกเหลืออดจนอดกลั้นทนเก็บเอาไว้ไม่ไหว หญิงสาวก็ไม่ยอมพร่างพรูพูดออกมาอย่างเด็ดขาด

    แต่ถึงอย่างนั้นคเณศก็อยากให้คนรักของเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องเก็บเรื่องอะไรมานั่งทุกข์ใจจนแทบไม่หลงเหลือความเป็นตัวเองแบบนี้

    “แล้วคินพอจะรู้มั้ยว่ายายฟรานทำอะไรให้ฝ้ายโกรธ หรือยายฝ้ายไม่ชอบใจอะไรฟราน” ด้วยความที่ทำงานนอกบ้านเสียส่วนใหญ่ และงานที่รัดกุมจนแทบไม่ได้ใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่นั้นทำให้พิสุทธิ์อาจเผลอมองข้ามความรู้สึกของคนในครอบครัวไป

    ดังนั้นในสถานะของคนเป็นพ่อ อะไรที่ทำให้ครอบครัวกลับมารักใคร่กันเหมือนในวันวานได้ ท่านก็พร้อมที่จะทำ

    “ฝ้ายไม่เคยบอกอะไรให้ผมฟังหรอกครับ แต่เท่าที่รู้มาฝ้ายบอกว่ามันเป็นปมที่โดนฟรานล้อมาตั้งแต่เด็กๆ ฟรานชอบล้อฝ้ายว่าฝ้ายไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ แต่เป็นแค่เด็กที่ทางครอบครัวเก็บมาเลี้ยง”

    คำพูดที่เหมือนจะไม่มีอะไร คำพูดที่พ่อแม่บางครอบครัวอาจใช้หยอกเล่นกับลูกๆ ของตนราวกับเป็นเรื่องตลกขบขันนั้น...กลับทำให้คนอย่างวรรณิดาโกรธเคืองน้องสาวตัวเองมานานนับสิบปี จนเกิดเป็นความเกลียดชังที่ยากจะสลัดหลุดออกได้

    แต่ด้วยความกังวลใจ คเณศเลยไม่ทันสังเกตแววตาที่เปลี่ยนไปของพิสุทธิ์และอาการลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากนั่น

    “แปลกนะครับคำพูดพวกนี้ ผมเชื่อว่าบางครอบครัวก็มักเอามาพูดหยอกเล่นกัน แต่กับฝ้าย ฝ้ายโกรธจริงจังมาก”

    “โธ่เอ้ย เรื่องแค่นี้เอง”

    ถึงริมฝีปากของเจ้าสัวนั้นจะระบายไปด้วยรอยยิ้มกว้างราวกับมันเป็นแค่ เรื่องไร้สาระ แต่หัวใจของคนเป็นพ่อกลับกระตุกวูบไหว ความรู้สึกถูกสั่นคลอนรุนแรง มิหนำซ้ำแววตาที่เต็มไปด้วยความใจดีถูกความรู้สึกบางอย่างกำจัดออกไป ใบหน้าที่คเณศอ่านไม่เคยออกว่าท่านกำลังรู้สึกนึกคิดอะไรในใจนั้น ณ เวลานี้มันไม่ใช่แค่สีหน้าที่ไร้ตัวหนังสืออีกแล้ว

    ชายหนุ่มมองออกในครู่เดียวเลยว่ายิ่งพูดเรื่องนี้ เจ้าสัวพิสุทธิ์ก็ยิ่งออกอาการเป็นกังวลจนเกิด พิรุธให้ชวนสงสัย

    “อย่าพูดว่าเรื่องแค่นี้สิครับ” คเณศถือโอกาสจี้ถามย้ำ “ฝ้ายคิดมากมาตลอด และเพราะคำพูดแบบไม่คิดอะไรนี่แหละ ถึงทำให้ความรู้สึกที่ค่อยๆ สะสมมันทบทวีกลายเป็นความเกลียดชัง คุณพ่อ...เหมือนรักลูกไม่เท่ากันเลยนะครับ”

    ท่าทีของเจ้าสัวพิสุทธิ์ปิดสนิทลงตามเดิม ปิดมิดชิดเสียจนไม่เหลือร่องรอยพิรุธให้จับผิดได้อีกแล้ว

    “เพราะพ่อเห็นว่าฝ้ายเป็นพี่ ดูแลตัวเองได้ดีมาตลอด ฝ้ายเป็นลูกสาวที่เก่ง ที่พ่อภูมิใจเสมอมา แต่พ่อก็ยอมรับนะว่าตัวเองละเลยความรู้สึกของลูกทั้งสองคนไปด้วยเรื่องงาน แต่ไม่ใช่เพราะลำเอียงหรอกนะ” เจ้าสัวพิสุทธิ์ปัดความลับดำมืดออกไป

    “ผมแค่อยากให้ทุกคนห่วงความรู้สึกฝ้ายมากกว่านี้” คเณศบอก “อย่าคิดว่าแค่คำพูดมันไม่เสียหาย เพราะคำพูดแบบไม่ทันระวังนี่แหละครับมันเป็นคมมีดที่คมกริบและเฉือนลึกเข้าสู่ใจคนฟังมากที่สุด ฝ้ายเก็บคำพูดเล่นมาคิดเยอะจนชีวิตนี้แทบยิ้มไม่ออกแล้ว สุดท้ายฝ้ายก็พยายามสร้างเกราะป้องกันตัวเองขึ้นมาด้วยการทำร้ายฟรานแทน”

    “ขอบใจนะคินที่บอกเรื่องฝ้ายกับพ่อ”

    “ครับ” ช่องว่างของความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทนายหนุ่มตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “ฝ้ายเป็นลูกสาวแท้ๆ ของพ่อกับแม่ใช่มั้ยครับ”

    “แน่นอนสิ” เจ้าสัวยืนยัน แต่ความรู้สึกของคเณศนั้นกลับไม่เชื่อถือคำพูดคนตรงหน้าเลย

    นี่เป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกว่าเจ้าสัวพิสุทธิ์นั้นเชื่อถืออะไรไม่ได้อีกแล้ว!



    วันวิวาห์เพิ่งได้ลงจากดอย การซ่อมถนนที่ใช้เป็นเส้นทางหลักของคนในหมู่บ้านนั้นกินเวลานานเกือบอาทิตย์ ระหว่างการซ่อมแซมมีฝนตกลงมาซ้ำเติมบ้าง แต่นับว่ายังโชคดีที่ไม่หนักหนาเท่าครั้งแรกที่เธอเดินทางมาถึง

    ทอปัดทำหน้าที่ครูอาสาช่วยสอนจนวันสุดท้ายก่อนกลับ ขณะที่วันวิวาห์กับธยุตก็ออกตระเวนช่วยเหลือชุมชน ทั้งทำแผลที่เกิดการจากซ่อมถนน อุบัติเหตุภายในบ้านเล็กๆ น้อยๆ รวมถึง ดูแลเด็กๆ ที่ป่วยไข้เพราะอากาศแปรปรวน

    การทำหน้าที่นอกเหนือจากอาชีพที่ตัวเองเคยทำ แม้ครั้งนี้จะไม่มีค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนโตอย่างที่เคยได้รับ แต่วันวิวาห์กลับมีความสุข ภายในอกเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก

    เอาเข้าจริงหญิงสาวก็แอบรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่เวลาแสนสุขและสบายใจเช่นนี้หมดลง เธอต้องกลับไปทำงานตามเดิมแล้ว และคงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

    “ข้าวสารสามกระสอบ เสื้อผ้า อันนี้ของครูพราวและอันนี้ของครูอาร์ม...” ทอปัดยืนเช็คของต่างๆ ที่เรียงกันอยู่หลังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ พอทั้งเธอและนางเอกสาวลงจากดอยได้ ทั้งคู่ก็ได้ไหว้วานให้คนที่มาส่งพาไปที่ตลาดสดและห้างสรรพสินค้าในเมือง  ก่อนจะซื้อของมากมายตอบแทนน้ำใจที่พราวผกาและอัครพลให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี

    “ส่วนนี่ขนมของเด็กๆ นะจ๊ะ ส่วนกล่องนี้เอาไปไว้บ้านพักครู แล้วกล่องนี้เป็นเครื่องปรุงทำครัวเอาให้คนที่ดูแลเรื่องอาหารกลางวันของเด็กๆ แล้วกล่องนี้ก็พวกเมล็ดพันธุ์ผัก เอาไปแบ่งกันปลูกนะ” วันวิวาห์เองก็ช่วยแจกแจงรายการของที่เธอและผู้จัดการสาวขนซื้อเป็นลังใหญ่พลางเขียนกำกับเอาไว้บนกล่องหนาๆ ว่าของใครเป็นของใคร “ส่วนกล่องนี้ยาสามัญประจำบ้าน เอาไปไว้ที่บ้านพักครูหนึ่งชุด ส่วนอีกชุดเอาไว้บ้านผู้ใหญ่ เกิดใครเจ็บป่วยอะไรขึ้นมาจะได้มาหยิบใช้ได้ไม่ขาด”

    “ของน่าจะเยอะกว่าตอนที่พวกคุณเอาขึ้นไปครั้งแรกอีกนะครับเนี่ย” ชาวบ้านที่เป็นคนขับรถมาส่งพวกเธอถึงกับแซวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มยินดี

    ทว่าถึงอย่างนั้นเวลาของความสนุกก็หมดลงของจริงเมื่อวันวิวาห์กับทอปัดบินกลับมาที่กรุงเทพฯ แล้วหญิงสาวต้องไปร่วมงานแสดงสินค้าชิ้นหนึ่ง ซึ่งเธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมกับดาราชายที่มีคะแนนนิยมพุ่งสูงแห่งปีอย่าง ลุค ลภัสธรณ์ พระเอกลูกครึ่งหน้าคมที่เคยมีผลงานแสดงละครร่วมกับวันวิวาห์แล้วเกิดเป็นกระแสคู่จิ้นที่ทำเอาคนฟินไปทั้งประเทศ

    งานนี้ทำเอาวันวิวาห์ถูกจับตามองเป็นอย่างมากว่ากระแสคู่จิ้นที่เคยดับลงไปแล้วนั้น จะมีโอกาสกลับปะทุขึ้นอีกครั้งหรือเปล่า 

    เพราะพอความรักที่ทำท่าสั่นคลอนจวนเจียนจะพัง ความนิยมของวันวิวาห์กับพระเอกหนุ่มเลยกลับมาเป็นกระแสให้พูดถึงอีกครั้ง และที่สำคัญทั้งสองคนกำลังมีงานละครที่กำลังจะเริ่มถ่ายทำให้เร็วๆ นี้แล้ว เล่าแฟนคลับของ ลุคแอทฟรานก็เลยดันคู่จิ้นของตัวเองให้ขึ้นติดเทรนด์อันหนึ่ง

    แล้วไหนจะข่าวคาวๆ เรื่องคลิปหลุดนั่นอีก งานนี้ทั้งแฟนคลับ ทั้งสื่อที่รอทำข่าวเลยพากันมาแน่นขนัดเต็มบริเวณ จนสินค้าซึ่งเป็นตัวเอกของงานวันนี้แทบหมดความหมายลงไปเลย

    ทีมนักข่าว :: “น้องฟรานหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เลย รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือเปล่าเอ่ย”

    ทีมนักข่าว :: “เห็นคลิปคนหน้าคล้ายคุณคินหรือยังคะ แล้วคิดว่าอีกฝ่ายใช่คุณคินกับพี่สาวของเรามั้ย”

    เหล่านักข่าวสายบันเทิงช่องหลักแต่ละช่องผลัดกันยิงคำถามที่ตนอยากรู้ใส่นางเอกสาวแบบไม่ยั้ง ทุกหัวข้อ ทุกประเด็นที่หลายคนสงสัย ไม่มีใครยอมพลาดปล่อยให้ข้อมูลเด็ดๆ หลุดมือไปเลย

    ข่าวนี้อาจถูกเล่นมาเป็นอาทิตย์จนผู้ชมเบื่อหน่าย แต่มันก็คงเป็นกระแสไปอีกนาน หากได้ความคืบหน้าไปจากเธอ

    วันวิวาห์ได้แต่ยิ้มสู้กล้องเมื่อถูกลากมาสัมภาษณ์เดี่ยวเกี่ยวกับประเด็นที่ถูกพูดถึง ตั้งแต่ขึ้นดอยไปทำประโยชน์เพื่อคนอื่น หญิงสาวก็แทบไม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เธอทำใจยอมรับเรื่องของคเณศกับวรรณิดาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟายเหมือนครั้งแรกที่ถูกอีกฝ่ายเหยียบย่ำแล้ว

    อาจเพราะสภาพจิตใของเธอดีขึ้น วันวิวาห์เลยมองเห็นความสำคัญของการมีชีวิตมากขึ้นกว่าการให้ความสำคัญไปกับเรื่องความรักระหว่างหนุ่มสาวหรือความหรูหราสุขสบายที่เธอเคยพยายามไขว่คว้าวิ่งไล่ตาม ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือเธอแทบจะปลงตกไปกับชีวิตเมื่อเห็นอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรทัดเทียมเมืองกรุง แต่พวกเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุขดี

    “ฟรานตั้งใจกับพี่ปัดว่าอยากทำบุญวันเกิด เลยช่วยกันหาสถานที่แล้วซื้อของขึ้นดอยไปกันสองคน แต่เพราะฝนตกหนัก ที่นั่นถนนหลักขาดน่ะค่ะเลยกลับลงมาไม่ได้ อีกอย่างสัญญาณบนนั้นก็มาๆ หายๆ ใครที่ติดต่อมาแล้วฟรานไม่ได้รับสายก็ขอโทษด้วยนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ผ่านกล้องด้วยรอยยิ้มละมุนละไม “แต่พอลงจากดอยปุ๊บฟรานก็พอจะทราบข่าวที่หลุดออกมาค่ะ”

    ทีมนักข่าว :: “เห็นแล้วรู้สึกยังไงบ้าง คิดว่าใช่คนของเรามั้ย?”

    “หน้าคล้ายเหมือนกันค่ะ แต่ภาพมันเบลอแล้วฟรานก็มั่นใจมากด้วยว่าไม่น่าจะใช่พี่คินกับพี่ฝ้าย แม้ว่าแถวนั้นอาจเป็นที่ใกล้มหาลัยฯ ที่พี่ฝ้ายเคยเรียน เคยเช่าหอพักอยู่ คนเลยจับไปโยงกันมากกว่า”

    ทีมนักข่าว :: “อย่างนั้นแสดงว่าน้องฟรานกับคุณคินยังรักกันดี”

    “แน่นอนค่ะ เรามั่นใจคนของเรามาก” วันวิวาห์หัวเราะด้วยท่าทีสดใส สวนทางกับความจริง “พี่คินเองก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหลเลย แต่ถ้ามีใครเห็นพี่คินกับพี่ฝ้ายข้างนอก ก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ พี่คินค่อนข้างสนิทกับครอบครัวฟรานอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างพี่คินเองก็เป็นรุ่นพี่ของพี่ฝ้ายด้วย”

    ทีมนักข่าว :: “แต่คนมองว่าเรากำลังมีปัญหากับพี่สาวมากกว่าครึ่ง”

    “แหม..ฟรานยังไม่รู้เลยค่ะว่าฟรานทะเลาะอะไรกับพี่ฝ้าย” คำตอบนี้ทำเอาคนถามถึงกับหน้าม้านไปเลย คำพูดเชือดนิ่มๆ ของวันวิวาห์นั้นมันแฝงนัยยะว่า คนอื่นจะรู้ดีกว่าเธอเกินไปแล้ว

    ทีมนักข่าว :: “แล้วถ้าคนในคลิปนั่นกลายเป็นคุณคินขึ้นมาจริงๆ ถ้าเกิดเหตุการณ์รักสามเราเคล้าน้ำตา น้องฟรานจะทำยังไง”

    “ร้องไห้สิคะรออะไร...” คำตอบในแบบทีเล่นทีจริงเรียกเสียงหัวเราะครืนขึ้นมา “ฟรานต้องเสียใจมากแน่ๆ คงไม่สามารถยืนยิ้มแบบนี้ได้แน่นอน อกหักทั้งทีนะคะ..คงต้องร้องไห้ให้คุ้มค่ากับความรักที่เสียไปหน่อย” 

    ...Loading 100 %...

    พอกลับมาอยู่ในโลกของตัวเอง ฟรานก็เอาคืนพี่สาวอย่างสาสมเหมือนที่เคยประกาศเอาไว้เลย พี่ฝ้ายต้องเจออะไรเราไปลุ้นกันต่อ ส่วนพระเอกนั้นก็แยกย้ายกับน้องตั้งแต่ฟรานลงจากดอยเลย 

    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×