คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ♥ เล่ห์รานใจ ♥ ตอนที่ 6 :: สายตาของฉันมันมองไปที่คุณคนเดียว 100 %
หลังจากวันวิวาห์กับทอปัดทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว
ทั้งสองสาวก็ติดรถของหมอหนุ่มไปที่โรงเรียน พราวผกาและอัครพลซึ่งเป็นครูประจำช่วยกันจัดการเด็กๆ
ให้นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะแนะนำให้เด็กๆ รู้จักกับวันวิวาห์และทอปัด จากนั้นก็ทำการแจกจ่ายของที่ทั้งสองคนเตรียมมา
เด็กๆ ดีใจมากที่ได้อุปกรณ์การเรียนชิ้นใหม่ที่วันวิวาห์กับทอปัดตั้งใจเอามาให้
ฉะนั้นพอเริ่มเรียนกันอย่างจริงจัง เด็กๆ เลยตั้งใจและมีสมาธิมาก มิหนำยัง ‘เห่อของใหม่’ ถึงขั้นเขียนเนื้อหาที่คุณครูสอนลงในสมุดแทบไม่หยุด
ทอปัดเองก็ไปช่วยสอนหนังสือให้กับเด็กโต เป็นครูช่วยสอนภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
เน้นสอนประโยคที่ใช้ในการสื่อสารโต้ตอบกันไปมา เน้นปฏิบัติให้จับคู่พูดคุย เพราะเด็กจะจำได้มากกว่าให้จดเนื้อหาไปอ่านเอาเอง
และสอนเด็กเล็กในชั่วโมงถัดไปเกี่ยวกับพวกหมวดของใช้ภายในบ้านง่ายๆ
พอถึงมื้อเที่ยงเด็กๆ
นั่งพักทานอาหารกลางวันที่เตรียมเอามาจากบ้าน ส่วนผู้จัดการสาวก็ได้โอกาสปลีกตัวมาดูนางเอกสาวว่าวันวิวาห์เรียนรู้การใช้อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์กับหมอธยุตไปถึงไหนแล้ว
ทว่าเท่าที่แอบมองจากที่ไกลๆ นั้นดูเหมือนวันวิวาห์จะไม่ค่อยชอบหน้าหมอหนุ่มสักเท่าไหร่เลย
เอ..หรือว่าฟรานเคยเจอหมอมาก่อนหน้านี้
แต่มีเรื่องทะเลาะกัน
ทอปัดคิดในใจ ขณะเดินเข้าไปร่วมวงสนทนา
ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่
และดูท่าว่าคนของเธอจะตั้งใจเถียงธยุตมากกว่าตั้งใจเรียนเสียอีก
“ไหวมั้ยเรา..”
ทอปัดวางมือลงบนไหล่ของนางเอกสาว ทำเอาเจ้าตัวหันขวับมามอง แล้วยิ้มกว้าง
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแหละค่ะพี่ปัด ครูดุเอาๆ
แบบนี้” เธอพูดกับทอปัดพางทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ “เอ...หรือพี่ปัดจะมาสลับหน้าที่กับฟรานดีคะ”
“ไม่ล่ะ บอกตามตรงนะ พี่ไม่ถูกกับเลือดกับแผลสดอะไรพวกนี้เลยจริงๆ
กลัวสุดๆ ถ้าเห็นคงเป็นลมชัวร์” ผู้จัดการสาวรีบส่ายหน้าหวือ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
วันวิวาห์
“คุณพอรู้เรื่องต่างๆ แล้ว เดี๋ยวเราจะออกไปตรวจคนแก่ในหมู่บ้านกันก่อนนะ”
“โอเค” หญิงสาวพยักหน้า
เธอเองก็พอจะเรียนรู้เร็วอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้วันวิวาห์เคยแสดงเป็นทั้งหมอและพยาบาล
หญิงสาวเลยเรียนคอร์สพิเศษเอาไว้ เพราะเวลาเข้าฉากจะได้ดูคล่องแคล่วสมกับบทบาทที่ได้รับ
“แล้วนอกจากฉันต้องช่วยคุณทำแผล ล้างแผล ส่งพวกอุปกรณ์อะไรพวกนี้ให้
ยังต้องช่วยอะไรคุณอีกมั้ย”
“คุณเคยใช้เครื่องวัดความดันมาก่อนรึเปล่า”
“เคยครั้งเดียว แต่ถ้าสอนอีกสักรอบสองรอบก็น่าจะทำได้อยู่แหละ”
“งั้นผมจะสอนก่อน” ธยุตบอกก่อนจะส่งยิ้มให้ทอปัด
“งั้นเชิญพี่ลองเป็นคนไข้คนแรกเลยครับ”
“พะ..พี่เหรอคะ” ทอปัดแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
เธอเป็นโรคไม่ถูกกับหมอกับโรงพยาบาลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ตอนนี้เธอกลับต้องเป็นคนไข้จำลองเพื่อให้วันวิวาห์ได้เรียนรู้การใช้เครื่องวัดความดันเสียอย่างนั้น
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ
ฟรานหัวดีจะตายไปพี่ปัดก็รู้นี่ เรียนแค่ครั้งเดียวก็พอจะทำได้อยู่หรอก” นางเอกสาวพูดปลอบใจ
จนท้ายที่สุดทอปัดก็ยอมเป็นคนไข้จำลองให้
จากนั้นธยุตก็สอนและสาธิตการใช้เครื่องวัดความดันอัตโนมัติซึ่งไม่มีอะไรยุ่งยากเลย
“คุณเอาส่วนนี้สอดแขนคนไข้นะ รัดให้แน่นพอดี แล้วกดปุ่มสตาร์ท”
หมอหนุ่มอธิบายด้วยการหยิบปลอกแขนที่มีสายเชื่อมเข้ากับตัวเครื่องสอดเข้าไปที่แขนซ้ายของทอปัด
แล้วกดปุ่ม จากนั้นเครื่องก็ทำงานของมันเอง “พอเครื่องหยุด คุณดูตัวเลขที่แสดงขึ้นบนหน้าจอ
ความดันปกติของคนเราอยู่ที่ 120 / 80 ถ้าเกินจากนี้ก็ถือว่าความดันสูง ต่ำจากนี้ก็ความดันต่ำ
ส่วนรูปหัวใจนี่บอกอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาที จำได้ใช่มั้ย”
“อือ จำได้”
“แล้วของพี่ปัดคุณคิดว่าพี่ปัดปกติมั้ย”
“130 / 90 ” หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิดหน่อยนึง
“ปกติแหละมั้ง เมื่อกี้พี่ปัดเพิ่งเดินมานี่นา หัวใจก็เต้นเร็วสิ
เลือดมันก็ต้องสูบฉีดแรงเป็นธรรมดา”
“โอเค ถือว่าคุณฉลาดดี ไหวพริบดีจริง อย่างที่พูด”
“บอกแล้วไงว่าฉันหัวไว” พอถูกชมเข้าหน่อย วันวิวาห์ก็ไหวไหล่ราวกับว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ยากสำหรับเธอเลย
“แล้ววัดแขนขวาไม่ได้เหรอ”
“ได้นะ
แต่ส่วนใหญ่ไม่วัดเพราะค่าความดันมันไม่คงที่
จะใช้แขนซ้ายเป็นหลักมากกว่าเพราะแขนซ้ายเชื่อมกับหัวใจคนเราโดยตรง เป็นตำแหน่งที่อยู่ใกล้หัวใจมากที่สุดด้วย”
วันวิวาห์พยักหน้ารับรู้หงึกหงัก ขณะที่หมอหนุ่มส่งเครื่องวัดความดันให้เธอ
“เมื่อกี้ผมทำให้ดูแล้ว คราวนี้ตาคุณ”
พอถึงคราววันวิวาห์ที่จะต้องลองลงมือทำจริงๆ ทอปัดก็ทำหน้าเหมือนไม่มั่นใจขึ้นมา จนธยุตต้องกลั้นขำ
“พี่ปัดไม่ต้องกลัวหรอกครับ พี่ปัดวัดไปแล้ว
ทำซ้ำเลยไม่ได้”
“เหรอคะ” ถึงจะยิ้มแหย แต่ผู้จัดการสาวก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“อ้าว ถ้าไม่ให้ลองกับพี่ปัดแล้วจะให้ฉันลองกับใครล่ะ?”
“ก็ผมนี่ไง”
“ถ้าคุณเจ็บห้ามว่าฉันนะ” วันวิวาห์รีบปกป้องตัวเอง
“จะว่าได้ยังไง ในเมื่อเครื่องมันคำนวณของมันเอง
ไม่ใช่ฝีมือคุณสักหน่อย”
พอธยุตให้สัญญา วันวิวาห์ก็เริ่มลงมือเอาปลอกแขนสอดเข้าไปในแขนของหมอ
ซึ่งธยุตพับแขนเชิ้ตตัวเองให้สูงเหนือข้อพับเอาไว้แล้ว
แต่พอนางเอกสาวเริ่มติดแถบตีนตุ๊กแก หมอหนุ่มก็ถึงกับส่ายหน้า
“คุณต้องติดให้แน่นกว่านี้หน่อย แบบนี้มันหลวมไป แล้วสายที่เชื่อมกับตัวเครื่อง ก็ดูให้ตรงกับชีพจรด้วย ไหนว่าหัวไวไง”
“คุณสัญญาแล้วนี่ว่าจะไม่ว่าฉัน” ถึงปากจะบ่นพึมพำไปด้วย แต่วันวิวาห์ก็ยอมแกะออกแล้วขยับให้สายที่เชื่อมกับเครื่องตรงกับชีพจรของธยุต เธอคลำหาชีพจรของเขาด้วยการใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดลงไปที่ข้อพับ “ตรงนี้เหรอ มันเต้นตุบๆ น่ะ ใช่มั้ย”
“ใช่ ตรงนั้นแหละ”
“ฉันรัดแน่นเท่านี้พอมั้ย”
“โอเค ประมาณนี้เลย ถ้าเป็นคนสูงอายุรัดหลวมกว่านี้หน่อยนะ
เพราะเดี๋ยวตอนเครื่องบีบตัวน่ะ คุณตาคุณยายอาจจะเจ็บได้ พวกท่านแก่แล้ว ไม่เหมือนเรา
อีกอย่างเส้นเลือดคนแก่ก็ค่อนข้างเปราะมากด้วย”
ระหว่างที่ธยุตกำลังสอนวันวิวาห์อย่างเข้มงวด
และนางเอกสาวเองก็กำลังตั้งใจเรียนรู้นั้น ทอปัดก็ทำการเก็บทั้งภาพ
และอัดวีดีโอเอาไว้เผื่อเอาไปลง Instagram
อย่างน้อยมันก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ
ที่วันวิวาห์ตั้งใจเรียนรู้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น และภาพลักษณ์นางเอกของวันวิวาห์คงจะยิ่งได้เรตติ้งจากแฟนคลับ
รวมถึงคนอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นไปด้วยอย่างแน่นอน
“หมอมั่นใจนะคะว่าฟรานจะเป็นผู้ช่วยได้จริงๆ
ไม่ใช่ไปเป็นตัวป่วนให้หมอปวดหัวเล่น” ผู้จัดการสาวเอ่ยถามธยุต ด้วยสีหน้ากังวลใจ
วินาทีนี้ คงมีแต่ทอปัดนั่นแหละที่รู้สึกไม่มั่นใจเด็กของตัวเองเลย
ตอนนี้ทั้งธยุตและวันวิวาห์ทำความเข้าใจกันตรงกันแล้ว และธยุตเองก็ดูมั่นใจว่าวันวิวาห์จะไม่ทำงานเขาล่ม ถึงได้เตรียมของ พร้อมจะออกไปตรวจคนแก่ตามบ้านแบบนี้
“พอไหวนะครับ ถึงคุณฟรานจะชอบพูดจาจิกกัดผมไปบ้างก็ตาม แต่ผมไม่ถือสาหรอก”
“ปกติแล้วฟรานไม่เคยทำตัวไม่น่ารักแบบนี้เลยนะคะ”
ยิ่งพูดทอปัดก็ยิ่งคิดสงสัย “หมอทำอะไรให้ฟรานไม่พอใจหรือเปล่า”
“ไม่นี่ครับ”
“เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ?”
“วันนึงผมเจอคนเยอะมากนะครับ จำไม่ได้หรอก”
ธยุตพูดด้วยท่าทางปกติมาก
จนทอปัดนึกสงสัยในใจว่านี่เขาไม่รู้มาก่อนหรือ ‘แกล้งทำเป็นไม่รู้’ กันแน่ว่าวันวิวาห์เป็นคนดัง
เป็นนางเอกแถวหน้าที่มีคนรู้จักมากมาย การที่หมอหนุ่มทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้คงไม่ใช่เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากเด็กของเธอหรอกใช่มั้ย
แต่ท่าทางของธยุตก็ดูไม่ใช่คนแบบนั้นเลย
“งั้นพี่ฝากฟรานด้วยนะคะหมอ
รายนี้ถึงจะดื้อดึงไปหน่อย แต่ถ้าพูดด้วยเหตุผลดีๆ ก็ฟังกันแน่นอนค่ะ”
“ครับ”
ธยุตรับปากผู้จัดการสาว จากนั้นก็ออกไปทำหน้าที่ของตัวเองกับวันวิวาห์
“คุณน่าจะเอารถยนต์มา” วันวิวาห์บ่นอุบเมื่อธยุตพาเธอขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ที่มีการต่อพ่วงข้าง
เหมือนรถที่แมนสรวงขับพาเธอกับทอปัดมายังโรงเรียนไม่มีผิด
“ผมฝากกุญแจรถเอาไว้กับพี่ปัดแล้ว
เผื่อมีอะไรพี่ปัดจะได้ใช้รถ” ชายหนุ่มบอกขณะบิดมอเตอร์ไซด์คันเก่า
แต่เครื่องยังแรงเหมือนใหม่เข้าสู่หมู่บ้าน “อีกอย่างรถนี้ก็ดีออกนะ
ทนทานทุกสภาพถนน จุของได้เยอะไม่แพ้รถยนต์ อีกอย่างที่นั่งกว้างมาก รับรอง..ไม่พาคุณร่วงกลางทางแน่นอน”
ชายหนุ่มหันไปมองสีหน้าบูดบึ้งของวันวิวาห์
ซึ่งหญิงสาวไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ อีกฝ่ายคงจะเอียนกับการใช้ชีวิตติดดินแย่แล้วล่ะมั้ง
แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา ในเมื่อถนนยังซ่อมไม่เสร็จ ลูกคุณหนูอย่างวันวิวาห์ก็คงต้องทนอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนาน
แต่เชื่อเถอะว่าหลังจากนี้ มุมมองของหญิงสาวจะเปลี่ยนไป
ธยุตพาวันวิวาห์เข้ามาที่หมู่บ้าน
จอดรถเอาไว้หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ก่อนจะแบ่งกันถือกล่องเครื่องมือ กล่องยาเดินเข้าไปสำรวจที่บ้านทีละหลัง
ซึ่งจะว่าไปแค่บ้านหลังแรก...วันวิวาห์ก็เจองานหนักเข้าให้แล้ว
หญิงสาวเป็นลูกมือคอยส่งอุปกรณ์ให้ธยุตก็จริง
แต่สภาพแผลกดทับก็ไม่ได้น่าดูเท่าไหร่เลย วันวิวาห์ทั้งพะอืดพะอม ไหนจะกลิ่นเหม็นคลุ้งที่ลอยออกมาเตะจมูกนั่นอีก
ทว่าถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถวิ่งออกนอกบ้านได้
เนื่องจากพอได้เห็นแววตาเศร้าโศกของลูกหลานที่คอยดูแล เธอก็ทำตัวเหยาะแหยะไม่ลง
แต่พอบ้านหลังถัดๆ มาก็ไม่ได้เจอเคสยากอะไรอีก
ส่วนใหญ่เป็นการตรวจสุขภาพทั่วไป บางบ้านก็มีคนปวดหัวตัวร้อน ป่วยเป็นโรคธรรมดาสามัญ
ธยุตทำเพียงตรวจแล้วให้ยาทาน มีแผลอุบัติเหตุให้รักษาบ้างเล็กน้อย
แต่ก็อยู่ในสภาพที่วันวิวาห์พอทำใจไหว
และเพราะหมู่บ้านที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เลยไม่ได้ยืดเยื้ออย่างที่หญิงสาวคิดเอาไว้
ซึ่งเหมือนว่าทางหมอเองจะเน้นดูแลผู้สูงอายุกับเด็กๆ เป็นหลักเสียมากกว่า
การทำงานด้วยกันวันแรกผ่านไปด้วยดี
แม้จะมีตีกันบ้าง แต่วันวิวาห์ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่
และไม่มีบ่นให้ระคายหูสักคำเลย
อึดกว่าที่คิดแฮะ
ธยุตเห็นว่าหญิงสาวคงล้ามากแล้ว
เพราะไหนจะช่วยเขาทำแผล ไหนจะต้องเดินไปมาแล้วแบกกล่องอุปกรณ์อีก เธอเป็นคนที่เขาประเมินด้วยตาเปล่าว่าคงไม่เคยทำงานหนักอย่างนี้
แต่ดันต้องมาเจอเรื่องที่หนักหนาพอควร แค่ทนกับเคสยากของวันนี้ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วจริงๆ
ดังนั้นชายหนุ่มจึงขับรถมายังเนินเขา
ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้าง มีลมพัดเย็นสบาย จะว่าเป็นจุดชมวิวของที่นี่ก็ได้ เพราะเห็นวิวได้รอบด้าน
360 องศา และเป็นมุมที่สวยที่สุด
“โห หมอรู้จักมุมสวยๆ ของที่นี่ด้วยเหรอ
นึกว่าตั้งหน้าตั้งตามาทำงานอย่างเดียวซะอีก”
“ชาวบ้านบอกมาน่ะ
เวลาทำงานแล้วเหนื่อยก็จะมานั่งพักที่นี่” ธยุตบอกพร้อมกับเดินนำหน้าไปนั่งบนเนินที่สูงนูนขึ้นมา
ที่นี่สวยและสงบราวกับฉากในนิยาย “วันนี้คุณช่วยผมทำงานเต็มที่ คงเหนื่อยมากแหละ
เลยพามาดูวิวตอบแทน”
พอเห็นความสวยงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
วันวิวาห์ก็อดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ไม่ได้ แต่พอถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอจนหนำใจแล้ว
หญิงสาวก็เดินมานั่งข้างธยุต
“ที่นี่สวยจริงๆ นั่นแหละ ถ้าได้กลับโรงแรมตั้งแต่แรกฉันคงไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้หรอก”
“เห็นแม้กระทั่งว่าชาวบ้านกำลังซ่อมถนนด้วยนะ” ธยุตชี้ให้วันวิวาห์ดู ด้านล่างไม่ไกลนัก ชาวบ้านกำลังช่วยกันลากกิ่งไม้ ใบไม้ออกจากถนน ส่วนหนึ่งก็ทำการซ่อมแซม “พรุ่งนี้เราคงต้องช่วยเขาอีกเยอะแหละ ว่าแต่คุณไหวแน่นะ”
“บอกตามตรง ทีแรกฉันแทบจะสำรอกออกมาด้วยซ้ำ ตอนที่ช่วยคุณทำแผลกดทับคุณตาคนนั้นน่ะ” แค่พูดหญิงสาวก็รีบหอบเอาอากาศดีๆ เข้าปอดรัวๆ เหมือนอยากกักตุนไว้ใช้ เพราะสมองเธอยังจำทั้งภาพที่เต็มไปด้วยเลือดและหนองได้ชัดเจน รวมถึงกลิ่นเหม็นคลุ้งยังคงลอยขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึง
วันวิวาห์เข้าใจแล้วว่าอาชีพที่ต้องดูแลคนป่วยนั้น
ต้องใช้ความอดทนสูงแค่ไหน ต้องเสียสละมากแค่ไหน
และที่สำคัญทั้งร่างกายและจิตใจต้องแข็งแรงมากด้วย ไม่อย่างนั้นได้ประสาทกินแน่
“เห็นแล้วล่ะ หน้าคุณซีดมากเลย” ธยุตพูดปนขำ
แต่จะว่าไปแล้วการที่วันวิวาห์อดทนไม่วิ่งหนีออกไปก่อนก็ถือว่าหญิงสาวจิตแข็งมากแล้วจริงๆ
“แต่คุณก็น่าจะพูดออกมาสิว่าไม่ไหว ผมก็คงไม่ปล่อยให้คุณต้องทนเห็นสภาพนั้นหรอก”
“ไม่ใช่ว่าฉันอยากทำเพื่อจะสร้างภาพอะไรหรอกนะ” หญิงสาวถอนหายใจ “แต่ฉันสงสารลูกหลานที่ดูแลคุณตาน่ะ คนป่วยเองก็คงไม่อยากตกอยู่ในสภาพนี้นักหรอก คนดูแลก็เหนื่อย แค่เรามาช่วยแบ่งเบา แค่ได้เห็นว่าญาติเขาดูดีใจมาที่เรามาดูแล ฉันก็มีกำลังใจขึ้นมาเลย”
ธยุตแค่พยักหน้ารับฟัง แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ แววตาก็แสดงออกว่าเขาชื่นชมอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบังว่าเธอทั้งเก่งและยังจิตใจดีอีกต่างหาก
“จริงสิ เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ย?”
ในระหว่างที่ทั้งคู่เงียบและเอาแต่ชมวิวทิวทัศน์รอบตัว
นั่งให้สายลมพัดผ่านหอบความความเมื่อยล้าไปจากร่างกายอยู่นั้น ธยุตก็พูดขึ้นทำลายความเงียบ
พลางมองใบหน้าสวยหวานของคนข้างๆ แต่คำถามนั้นกลับทำให้คนที่เอนตัวตามสบาย
กระเด้งขึ้นมานั่งหลังตรงทื่อแทบจะทันที
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
วันวิวาห์จ้องหน้าหมอหนุ่มตาปริบๆ ด้วยความอยากรู้
“ก็วันนี้ทั้งวัน คุณเอาแต่ลอบมองผมตลอดเวลานี่นา”
ชายหนุ่มบอกก่อนจะหรี่ตาลงข้างนึงเหมือนต้องการจะจับผิด “คิดว่าผมไม่เห็นหรือไงว่าคุณมองผมแทบไม่คลาดสายตา”
“ชิส์”
“ก็หรือไม่จริง คุณทำหน้าเหมือนมีอะไรอยากจะถาม
แต่ก็ไม่ถามสักที” ทุกอย่างที่ธยุตพูดเป็นความจริง ซึ่งวันวิวาห์เองก็ไม่ได้ออกปากปฏิเสธแต่อย่างใด
“มีอะไรพูดกับผมตรงๆ ได้นะ”
“ใช่ เราเคยเจอกันมาก่อน” หญิงสาวมองสบตาอีกฝ่ายกลับไป
แต่กว่าหมอหนุ่มจะรู้ตัวก็ทำเอาเธอหมั่นไส้จนเผลอพูดจาจิกกัดใส่เขาไปหลายทีแล้ว
วันวิวาห์อดรู้สึกหมั่นไส้เขาไม่ไหวจริงๆ ด้วยปกติแล้วเธอมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น
ใครเห็นก็มีอันต้องสะดุดตาเวลาพบเจอกัน แต่กับธยุตนั้น ความสวยของเธอคงไม่สะดุดใจเขาเลย
อ๋อ...ลืมไป คุณหมอมีลูกมีเมียแล้ว
และด้วยเหตุนี้ วันวิวาห์ถึงได้หมั่นไส้หมอหนุ่มอย่างไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์ตัวเองสักนิด
ถึงเขาจะมีคนรักอยู่แล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ควรตื่นเต้นที่ได้เจอคนดังอย่างสิ
นี่วันวิวาห์เชียวนะ ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน
และไม่พูดเปล่า! แต่หญิงสาวยังลืมตัว เอื้อมมือคว้าใบหน้าหล่อเหลาของหมอหนุ่มเอาไว้
ก่อนจะจับให้หน้าของธยุตเขยิบเข้ามาใกล้กัน
“คุณไม่คุ้นหน้าฉันบ้างเลยหรือไง”
น้ำเสียงที่ถามออกไปค่อนข้างขุ่นมัวและเจือไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจแฝงอยู่หน่อยๆ
“ไม่..”
วันวิวาห์รู้ดีว่าธยุตไม่ได้แกล้งมึนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธอ
เพราะสีหน้าของเขานั้นว่างเปล่าไร้คำตอบ ส่วนแววตาซื่อตรงนั่นมันบอกเธอได้อย่างดีว่าเขาจำเธอไม่ได้อย่างที่พูดจริงๆ
ให้ตายเถอะ คนอะไรทำตัวได้น่าหงุดหงิดชะมัด!
“คุณมองหน้าฉันดีๆ สิ” คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายยื่นหน้าตัวเองให้เขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
“บอกซิว่าคุ้นบ้างมั้ย?”
“เราเจอกันที่ไหนเหรอ โรงพยาบาลใช่มั้ย”
คำพูดนั้นทำให้วันวิวาห์พอยิ้มออกบ้าง
แต่ประโยคถัดมานางเอกสาวก็กลับไปหน้าตูมตามเดิม
“คุณเป็นญาติคนไข้เหรอ? ญาติคุณเป็นอะไร?
รักษากับผมหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ย่ะ! ฉันเป็นคนดัง ดังมากๆ เลยด้วย” ยิ่งพูดวันวิวาห์ก็ยิ่งโมโห “ดังจนถึงขนาดที่ว่าคนอย่างคุณไม่มีทางเข้าถึงตัวฉันแน่นอน
ถ้าเราไม่เจอกันบนเขาในที่ลำบากลำบนแบบนี้น่ะ”
“อ๋อ คุณเป็นภริยานายกฯ สินะ..”
“คุณนี่!”
นางเอกสาวอยากยกมือกุมขมับตัวเองใจจะขาด
แต่เอาเข้าจริงเธอก็มือไวผลักหน้าเขาออกไปเต็มแรง พร้อมกับฟาดฝ่ามือลงบนแขนธยุตไปหนึ่งทีด้วยความโมโหจัด
เพราะคำตอบของเขามันจงใจยียวนกวนเธอเห็นๆ
“ฉันก็ไม่ดังถึงขนาดเป็นเมียผู้นำประเทศมั้ยเล่า!”
“ก็ถ้าเจอกันที่โรงพยาบาล ผมจำไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นญาติคนไข้ก็เหอะนะ คุณรู้มั้ยวันๆ นึงผมเจอคนเท่าไหร่ ไหนจะเพื่อนร่วมงานเอย คนไข้เอย แล้วต้องคุยกับญาติคนไข้ตั้งกี่ครอบครัว เจอกันจนมึนไปหมด” ธยุตยอกย้อนจนคนฟังได้แต่อ้าปากพงาบๆ
“ฉันบอกว่าฉันเป็นคนดัง คุณก็คิดสิว่าคนดังมีอาชีพไหนบ้าง”
“คนในทีวีสินะ” หมอหนุ่มบอกพร้อมถอนหายใจดังๆ
จงใจให้วันวิวาห์ได้ยิน “เห้อ...แต่ขอโทษที ผมไม่ดูทีวีมานานแล้ว”
“เห้อ..” คราวนี้คนที่ภูมิใจในตัวเองนักหนาว่าเป็นคนมีชื่อเสียงถึงกับคอตก
“แล้วคุณคิดว่าหน้าอย่างฉันเนี่ย ควรเป็นอะไร?”
นางเอกสาวยังไม่หมดความพยายาม ไหนๆ
ตอนนี้เธอก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็ถือว่านี่เป็นการ ‘แนะนำตัวเอง’ อย่างเป็นทางการก็แล้วกัน
“อืม หน้าตาก็ดี”
“สวยเลยแหละ สวยมาก”
“โหวคุณ ความมั่นใจเกินร้อยไปหน่อยนะ”
“ก็เรื่องจริงนี่” วันวิวาห์ยักไหล่ “ความสวยประมาณนี้
คุณคิดว่าฉันทำงานอะไรเอ่ย?”
“นักข่าวมั้ง พูดเก่งซะเหลือเกิน” ธยุตตอบพลางแซะ “เอ๊ะ..หรือว่าแม่ค้าออนไลน์”
“ไม่ใช่ๆๆๆ ฉันเป็นนักแสดง นางเอกแถวหน้าของวงการ” วันวิวาห์ไม่รอให้เขาเดาคำตอบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป อีกอย่างเธอหมดความอดทนจนต้องเป็นฝ่ายเฉลยคำตอบเสียเอง
ทว่าแม้จะเป็นการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ แต่สีหน้าของธยุตนั้นกลับไม่ได้ตื่นเต้นไปกับนางเอกสาวเลย
“อ๋อเหรอ”
“นี่ฉันอุตส่าห์เปิดตัวอย่างภาคภูมิใจเชียวนะ
แต่ดูคุณทำหน้าเข้าสิ...เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญซะอย่างนั้น”
“บอกแล้วไงว่าผมไม่ดูทีวี ผมไม่สนใจหรอก”
คำตอบของคุณหมอหนุ่มทำให้วันวิวาห์อยากจะลาออกจากวงการบันเทิงเสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ
เขาทำให้เธอเสียเซลฟ์มาก
“อย่างน้อยคุณก็รู้เอาไว้ด้วยว่าตอนนี้คุณมีเพื่อนเป็นคนดังแล้ว”
วันวิวาห์สะบัดทั้งหน้าทั้งเสียใส่อีกฝ่าย
“คนดังอย่างคุณช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก
แล้วจะบอกให้นะชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งความสวยมันก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต”
“แหม พูดเหมือนรู้จักโลกดีเหลือเกิน”
“แล้วคุณคิดว่าผมรู้จักโลกดีกว่าคุณมั้ยล่ะ”
ธยุตมองประเมินอีกฝ่าย เชื่อว่าวันวิวาห์คงอายุน้อยกว่าเขาอย่างแน่นอน “คุณคิดว่าชื่อเสียงคือทุกอย่างหรือเปล่า
ดูอย่างที่เราไม่ตรวจคุณตาคุณยายตามบ้านสิ
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการเงินทองของมีค่าหรอก เขาขาดแคลน แต่ก็มีความสุข
ส่วนคนในบ้านก็คงอยากขอให้พวกท่านแข็งแรง หายป่วยมากกว่า”
ที่หมอหนุ่มพูดมาก็ไม่ผิด วันวิวาห์ย้อนมองดูตัวเอง
ตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการอะไรแล้วนอกจากความสุขที่ตนสูญเสียไป เธอเสียศักดิ์ศรี
เสียหน้า เสียใจ ต่อให้คนอื่นมองว่าเธอดีพร้อมยังไง ก็คงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องจริง...ชีวิตของนางเอกสาวแนวหน้าของประเทศไม่ได้สมบูรณ์แบบเลย
แต่จะว่าไปแล้วตั้งแต่มาถึงที่นี่ วันวิวาห์ก็แทบลืมเรื่องของคเณศกับวรรณิดาไปเลย
“ที่คุณพูดก็ถูก จริงสิ..ฉันคิดว่ากลับไปจะเอาเรื่องโรงเรียนไปเสนอพ่อดูหน่อย
โรงเรียนน่าจะปรับปรุงให้กว้างกว่านี้ ฉันอยากทำห้องน้ำแล้วก็โรงอาหาร คุณคิดว่ายังไงบ้าง”
“พ่อคุณคงรวยสินะ” ฟังจากคำพูดที่ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะต้องได้เงินกลับมาพัฒนาโรงเรียนตามดั่งใจคิดแล้ว
ธยุตเชื่อว่าบ้านของหญิงสาวคงมีฐานะดีไม่น้อย
“พ่อฉันทำธุรกินส่วนตัวน่ะ มีโรงงาน ปกติก็มีทุนช่วยเหลือสังคมอยู่แล้วด้วย” วันวิวาห์ไม่ได้อิบายเรื่องของครอบครัวตัวเองมากเท่าไหร่
“ถ้าคุณตั้งใจดีมันก็ดีแหละ เด็กๆ คงปลื้มใจน่าดู”
จากนั้นทั้งสองคนก็คุยกันเรื่องต่อเติมอาคาร รวมถึงบ้านพักของครูอาสาว่ามีอะไรขาดเหลือตรงไหนบ้าง วันวิวาห์ตั้งใจว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ใช่พูดไปเพราะอยากให้ธยุตมองเธอดีขึ้นจากเดิม
จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว
ทั้งสองคนก็ชวนกันกลับที่พัก ทว่าพอมาถึงวันวิวาห์ก็เห็นทอปัดกลายเป็นแม่ครัว
โชว์ฝีมือทำกับข้าวง่วนอยู่หน้าเตา ขณะที่พราวผกากำลังจัดโต๊ะอาหารเย็นรอ
ส่วนอัครพลนั้นก็ปัดกวาดเช็ดถูอยู่ในบริเวณเดียวกัน
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
อัครพลทักทายเมื่อเห็นทั้งสองคนเพิ่งลงจากรถ พร้อมกับหอบข้าวของเดินเข้ามาในครัว “คุณฟรานเป็นยังไงบ้างครับ
ไปช่วยงานคุณหมอสนุกมั้ย”
“เกือบสนุกค่ะ” หญิงสาวทำหน้าตูม ใบหน้าสวยนั้นระคนไปด้วยความเหนื่อยล้า
“อ้าว ทำไมล่ะคะ?” พราวผกามองด้วยความใคร่รู้
“ก็..ฟรานไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนนี่คะ
ก็เลยเก้ๆ กังๆ อีกอย่างมันมีอะไรให้ต้องปลงอีกเยอะเลย”
“งั้นก็มาทานข้าวเถอะ พี่ทำเสร็จพอดีเลย”
พอเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของเด็กในสังกัดตัวเองทอปัดก็อดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ไหว
“พี่ปัดทำอะไรคะ หอมจัง” วันวิวาห์มองไปยังผู้จัดการสาวของตน ทอปัดเพิ่งปิดเตา แล้วกำลังยกถ้วยที่มีควันลอยขึ้น เอามาวางไว้ตรงกลางโต๊ะ
“ก็มีต้มยำปลากระป๋อง
ไข่เจียวเมื่อเช้าก็อุ่นขึ้นมาแล้วก็เจียวเพิ่มอีกหน่อย แล้วก็ผัดผัก”
“โหว กลิ่นต้มยำดีจังเลยค่ะ พราวว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ”
พราวผกาทำสีหน้าตื่นเต้น ปกติเธอทำอาหารทานกับอัครพลสองคน แต่พอมีคนมาช่วยทำให้บรรยากาศในบ้านพักครึกครื้นขึ้น
ก็เลยทำให้เธอรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“งั้นไปล้างมือก่อนเถอะคุณ แล้วมาทานข้าวกัน” ธยุตใช้ศอกสะกิดบอกอีกฝ่าย ซึ่งพอวันวิวาห์กับหมอหนุ่มเดินไปล้างมือ แล้วเข้านั่งประจำที่ของตัวเองแล้ว ทุกคนก็เริ่มลงมือทานมื้อเย็นด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
ทว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ ความสุขของวันวิวาห์ก็หมดลงแล้ว...
...Loading 100 %...
ความคิดเห็น