ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รานใจ นิยายชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด

    ลำดับตอนที่ #6 : ♥ เล่ห์รานใจ ♥ ตอนที่ 4 :: เมื่อเราสองคนได้พบกันอีกครั้ง 100 %

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 214
      15
      25 เม.ย. 64

     เล่ห์รานใจ 
    [นวนิยายรักชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด]


    ตอนที่ 4
    _____________________________________________________
    เมื่อเราสองคนพบกันอีกครั้ง

    ทอปัดลมแทบจับ เมื่อรู้ความจริงที่ว่าวรรณิดาโกรธเกลียดน้องสาวในไส้มาก จนถึงขั้นกลั่นแกล้งกันรุนแรงด้วยการยืมมือของแฟนหนุ่มมาหลอกให้วันวิวาห์ตกหลุมพรางของตน แล้วเหยียบย่ำน้องตัวเองให้จมดิน

    วรรณิดาทำตัวไม่ต่างจากนางร้ายในละครสักนิดเดียว การเล่นตลกกับความรู้สึกของใครอีกคนมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย มิหนำซ้ำมันยังสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ และบาดแผลในใจ โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าแผลของคนที่ถูกกระทำนั้น จะหายดีเมื่อไหร่ด้วย

    “เอาเป็นว่าพี่จะให้คนของเราปล่อยคลิป หลังจากที่เราเดินทางไปถึงที่นั่นแล้วกันนะ”

    วันนี้วันวิวาห์ไม่มีอีเวนต์ที่ไหน แต่หญิงสาวตั้งใจว่าจะไปทำบุญบริจาคของใช้ หนังสือ สื่ออุปกรณ์การเรียน และขนมให้กับเด็กๆ ในที่ธุรกันดารแห่งหนึ่งบนดอย

    หญิงสาวมีบินช่วงเย็น กว่าจะถึงก็คงช่วงค่ำโน่น ซึ่งก่อนหน้านี้เธอกับทอปัดได้ติดต่อหัวหน้าหมู่บ้าน กับคุณครูอาสา เอาไว้แล้วว่าจะไป แต่คืนนี้ทั้งสองคนคงต้องนอนโรงแรมในเมืองก่อน

    วันวิวาห์ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทอปัดก็อยู่เคียงข้างเธอเสมอมา ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอ เธอก็แค่ทำตามไปอย่างเห็นด้วยก็เท่านั้น

    จะขอก็แค่เพียง ใครหน้าไหนที่ทำให้เธอเจ็บ มันจะต้องเจ็บกว่า เจ็บจนกระอักเลือดตายไปได้..ยิ่งดี!’

     


    หลังจากนอนค้างที่ตัวเมืองแล้ว ในช่วงเช้าก็มีอาสาซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านขับรถมารับวันวิวาห์กับทอปัดที่โรงแรม

    นางเอกสาวกับผู้จัดการส่วนตัวไม่เช่ารถแล้วขับขึ้นไปบนดอย เนื่องด้วยทั้งคู่ไม่ชินเส้นทาง เลยอาศัยให้คนในพื้นที่มารับและช่วยหอบข้าวของที่เตรียมมาขึ้นไปแจกเด็กๆ จะดีกว่า

    พอไปถึงหมู่บ้านที่วันวิวาห์ให้ทอปัดติดต่อเอาไว้นั้น ชาวบ้านก็มายืนรอต้อนรับเรียงแถวด้วยรอยยิ้ม ทุกคนอยู่ในชุดพื้นเมืองประจำเผ่า ซึ่งแม้ที่นี่จะมีไฟฟ้า น้ำประปาเข้าถึง มีโรงเรียน ชาวบ้านบางหลังคาเรือนก็มีรถขับซึ่งบ่งบอกว่าพอจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่บางครัวเรือนก็ยังขาดแคลน และใช่ว่าเด็กๆ ทุกคนจะกินอิ่ม หรือได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงกัน

    ทว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มตอบกลับเหล่าคนที่มารอต้อนรับนั้น จิตใจของวันวิวาห์กลับไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย เธออยากมาทำบุญอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ก็จริง แต่พอเมื่อคืนทอปัดสั่งให้คนปล่อยคลิปที่คเณศลักลอบคบหากับพี่สาวออกไป เพียงแค่คลิปเดียว นักข่าว และคนสนิทต่างก็รัวสายโทรมาหาจนแทบสายไหม้

    จนถึงตอนนี้ก็ยังมีสายโทรเข้ามาหาไม่หยุด

    “ฟรานกับพี่ปัดเกรงใจมากเลย ไม่ต้องพิธีรีตองก็ได้ค่ะ”

    “ที่นี่ไม่ค่อยมีคนดังมาน่ะครับ ทุกคนเลยอยากมาเห็นคุณฟราน” หนุ่มที่อาสาขับรถเป็นตัวแทนหมู่บ้านไปรับเธอ พูดขึ้นด้วยท่าทางเขินๆ

    “ฟรานเป็นนักแสดงเอง ไม่ใช่คนดังอะไรหรอกค่ะ ทุกคนทำตัวตามสบายเถอะนะคะ ไม่อย่างนั้นฟรานคงเกรงไปหมดแน่” หญิงสาวพุดอย่างถ่อมตัว

    แต่เธอไม่อยากให้ทุกคนใส่ใจหรือสนใจเธอมากจนเกินไปเพียงเพราะเป็นคนดัง หญิงสาวอยากอยู่ที่นี่อย่างสบายใจในบรรยากาศอย่างเป็นกันเองมากกว่า

    อีกอย่างแค่นี้วันวิวาห์ก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้วที่ต้องฝืนยิ้มให้กับทุกคน ทั้งที่ในใจของตัวเองกำลังร้องไห้ และแทบไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับทุกคนเลย

    “พี่ว่าช่วยกันยกของลงจากรถเถอะนะ” ทอปัดช่วยให้ทุกคนหันไปสนใจข้าวของที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาถึงที่นี่

    ดังนั้นพอทุกคนหันเหไปช่วยกันหอบข้าวของลงจากรถ ทอปัดจึงเดินเข้ามาแตะแขนวันวิวาห์พลางส่งสายตาเป็นเชิงถามว่า ไหวแน่ใช่มั้ยซึ่งหญิงสาวที่อ่านความรู้สึกของทอปัดออกนั้นก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับเบาๆ

     


    วันวิวาห์พูดคุยกับชาวบ้าน แจกขนมเด็กๆ ที่มายืนต่อแถวรอรับกันอย่างเป็นระเบียบ เอาเสื้อผ้าที่รวบรวมจากเพื่อนๆ ในวงการ รวมถึงเสื้อผ้าของตัวเองที่ไม่ใช้แล้วมาแบ่งปันคนที่นี่ ก่อนจะทานข้าวร่วมกันในบรรยายกาศที่เรียบง่ายและเป็นกันเอง

    “แล้วพวกฟุตบอล หนังสือ เครื่องเขียนนี่เราต้องเอาไปไว้ที่โรงเรียนใช่มั้ย” ทอปัดเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะอายุน้อยกว่าวันวิวาห์นิดหน่อย เธอสวมเสื้อผ้าในชุดพื้นเมือง มีผ้าโพกหัว ผิวขาวนวลเนียน แก้มแดงสองข้าง หน้าตาออกไปทางจีน มีดวงตายาวเรียวเป็นเอกลักษณ์ แต่พูดภาษาราชการไม่ค่อยจะชัดเท่าไหร่นัก

    “ใช่ค่ะ” อีกฝ่ายตอบมาด้วยท่าทางสดใส “เดี๋ยวอ้ายแมนสรวงจะเอารถไปส่งพวกคุณที่โรงเรียนโน้น”

    ทั้งทอปัดและวันวิวาห์มองตามมือที่หญิงสาวชี้ออกไปดูไกลมาก แต่อย่างน้อยก็ใจชื้นขึ้นที่หมู่บ้านนี้ ไม่ได้ด้อยพัฒนาจนรับไม่ไหว อย่างน้อยก็มีรถรา มีทางถนน มีโรงเรียน ดูครึกครื้นขึ้นมาหน่อย

    “ว่าแต่เวลาไม่สบายหรือป่วยทำยังไงกันเหรอ คือ..พี่ยังไม่เห็นอนามัยหรือโรงพยาบาลเลย” วันวิวาห์หันไปถามหญิงสาวคนเดิม เธอแทนตัวเองว่าพี่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าตน

    “มีสมุนไพรต้มกิน ถ้าคลอดลูกก็มีหมอตำแย ป่วยมากๆ ถึงเข้าเมือง แต่มีหมออาสาขึ้นมาดูแลพวกเราบ้าง สองเดือนมาทีนึง นี่หมอก็เพิ่งมา คงอยู่กันที่โรงเรียน”

    วันวิวาห์ฟังอีกฝ่ายพูดเพลินพลางคิดในใจว่า อยู่ที่นี่ก็ไม่แย่อย่างที่เคยคิดเอาไว้ แม้ชาวบ้านจะยึดอาชีพเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ บ้างก็หาสมุนไพรขาย งานทอผ้า เย็บปักถักร้อยก็มีให้เห็น แต่ว่าที่นี่ก็เงียบสงบ อยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ผิดกับสังคมที่เธออยู่ราวกับคนละโลก

    คิดไปแล้ววันวิวาห์ก็ปวดหัวตุบๆ เธออยู่ท่ามกลางแสงสีเสียง มีคนรู้จักมากมาย ชีวิตเหมือนจะดีทุกอย่าง แต่ในใจกลับเหงาอย่างประหลาด

    บางคนคบหาเธอเพราะชื่อเสียงเงินทอง หน้าตาทางสังคม คบเพราะเรื่องงาน หรือแม้กระทั่งในครอบครัวยังมีการอิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ผู้คนมากมายที่เธอรู้จักมีคนที่จริงใจกับเธอแทบไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

    วันวิวาห์ถอนหายใจออกมาพลางมองไปรอบตัว บางทีคนที่เขาขาดแคลนภายนอก แต่ในใจกลับถูกเติมเต็มไปด้วยความสุขอย่างที่เธอไม่เคยได้รับ

    หญิงสาวอยากได้รับความรู้สึกนั้นบ้าง อยากวางใจใครสักคน อยากยิ้ม อยากหัวเราะ อยากเป็นตัวเองในแบบที่เธอเป็น ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ใครต่อใครจดจำในสถานะนักแสดง อยากให้เขายอมรับได้ในสิ่งที่เธอเป็น

    ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ วันวิวาห์เคยมอบให้คเณศ หวังให้เขาเป็นโลกอีกใบ เป็นที่พักพิงหัวใจยามที่เธอเหนื่อยล้า แต่โลกที่เธอสร้างขึ้น...มันได้พังทลายลงไปแล้ว ย่อยยับเสียจนไม่สามารถกอบกู้อะไรกลับคืนมาได้อีก

    คเณศมีโลกของเขาเอง โลกที่มีพี่สาวเธอร่วมอยู่ด้วย ส่วนตอนนี้วันวิวาห์กลับกลายเป็นคนที่ไม่เหลือใคร จนหญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้วรรณิดาคงนั่งหัวเราะเยาะเธอจนฟันโยกไปหมดปากแล้ว

    หลังจากนั่งดื่มด่ำบรรยากาศที่มีป่าเขาล้อมรอบ มีลมพัดผ่านเย็นสบาย ได้สูดโอโซนรับกลิ่นดิน กลิ่นป่าเข้าเต็มปอดแล้ว แมนสรวง หนึ่งในชาวบ้านก็ได้อาสาขับรถพ่วงข้าง หอบข้าวของใส่รถ พาวันวิวาห์พร้อมผู้จัดการฯ มายังโรงเรียน ซึ่งอยู่ไกลราว 2 กิโลฯ

    “ที่นี่ไม่เห็นมีใครอยู่เลยนี่นา เงียบสนิท” ทอปัดสังเกตตั้งแต่รถพ่วงข้างแล่นเข้ามายังบริเวณลานกว้างฝุ่นคลุ้งตลบ ด้านหน้ามีเสาธงอยู่ตรงกลางสนาม แต่เบื้องหน้ากลับเงียบสนิท

    โรงเรียนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นแบบง่ายๆ มีหลังคา เป็นอาคารสองชั้นแบบโปร่ง แต่ไม่มีการแบ่งห้องเรียน มีเพียงกระดานดำใช้กั้นฉาก มีโต๊ะนักเรียนวางเรียงรายอยู่ในจำนวนหนึ่งเท่านั้น

    เห็นแล้วช่างเป็นภาพที่แอบหดหู่หน่อยๆ ขณะที่เด็กในเมืองมีความสะดวกสบายครบครัน แต่ดินแดนห่างไกลความเจริญกลับมีของให้ใช้อย่างจำกัดเสียเหลือเกิน

    “ถ้าไม่อยู่ที่นี่ ก็คงอยู่กันที่บ้านพักครูมั้งครับ” แมนสรวงชี้ไปยังเนินแห่งหนึ่ง ซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่าเพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก บนเนินมีบ้านไม้สองหลังปลูกติดกัน ซึ่งนั่นคงเป็นที่พักอาศัยสำหรับครูอาสาที่ขึ้นมาสอนเด็กๆ

    “พวกเรารออยู่ที่นี่ได้เหรอ?” ทอปัดเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ที่นี่ไม่มีคนเลย นอกจากเธอ วันวิวาห์ และแมนสรวง มันเงียบมากจนรู้สึกกลัวและระแวงถึงความปลอดภัยของตัวเอง

    พื้นที่ที่ยากจะเข้าถึงได้แบบนี้ หากเป็นอะไรขึ้นมาก็คงไม่มีใครรับรู้แน่

    “ได้ครับ” แมนสรวงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “วันนี้อาจไม่มีคนเพราะเด็กไม่มาเรียนหนังสือ แต่พรุ่งนี้โรงเรียนเปิด เด็กๆ ก็จะเยอะหนาตาอยู่ มีเด็กจากหมู่บ้านอื่นมาเรียนกับเราด้วย”

    ทั้งสามคนพูดคุยกันขณะที่ทุกคนกำลังยกข้าวของออกจากรถพ่วง แล้วนำไปวางไว้ในตัวอาคาร ซึ่งไม่มีการล็อกเพื่อป้องกันของหายแต่อย่างใด เพราะทั้งชั้นบน ชั้นล่างเปิดกว้างและโล่ง ประหนึ่งอาคารเอนกประสงค์ที่ใครก็สามารถเข้ามาใช้ได้

    “แล้วที่นี่มีครูกี่คนเหรอคะ?” วันวิวาห์ถามอย่างสงสัย ในเมื่ออาคารที่เธอยืนอยู่ในตอนนี้นั้นก็ไม่ได้กว้างขวางมาก ถ้ามีนักเรียนเยอะ แล้วครูที่อาสามาสอนน้อยจนเกินไป อาจจะไม่เพียงพอต่อนักเรียนทั้งหมดก็ได้

    “ครูอาสาสองคนครับ แล้วก็ครูพี่เลี้ยงหนึ่งคน กับครูฝรั่งหนึ่งคน”

    ฟังแล้วก็ค่อยเบาใจลงมาหน่อย อย่างน้อยเด็กที่นี่ก็ได้รับการศึกษาเท่าเทียมเด็กในเมืองกรุงคือมีครูฝรั่งเข้ามาสอนภาษาที่สองให้กับพวกเขา

    “รวมๆ แล้วมีครูสี่คน แต่มีถึง ป.6 เชียว” ทอปัดพูดขึ้นขณะมองสำรวจไปรอบๆ

    ทว่าพอทั้งสามคนช่วยกันขนของเข้ามาไว้ในอาคาร แมนสรวงก็รีบขอตัวก่อน

    “งั้นเดี๋ยวผมไปแจ้งพวกครูก่อนนะครับว่าคุณฟรานเอาของมา”

    “ใช้โทรศัพท์โทรบอกก็ได้นี่นา” วันวิวาห์เสนอ เนื่องจากเธอไม่อยากถูกทิ้งไว้กับทอปัดที่นี่เพียงลำพัง

    “ผมไม่รู้เบอร์คุณครูหรอกครับ อีกอย่างแถวนี้สัญญาณหายากจะตายไป”

    “จริงอย่างที่นายแมนสรวงบอก สัญญาณโทรศัพท์แทบไม่มีเลย” ทอปัดบอกพลางชูโทรศัพท์ในมือของตนยืนยันกับนางเอกสาว ตั้งแต่มาถึงบนนี้สายเรียกเข้าที่โทรเข้ามาน้อยมาก ส่วนอินเตอร์เน็ตนั้นไม่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณได้เช่นกัน

    “แล้วพี่ปัดมีงานอะไรที่ต้องติดต่ออีกมั้ยคะ” วันวิวาห์ถามอย่างห่วงใย ทอปัดดูแลคิวงานให้เธอทุกงาน และตอนนี้ก็เรื่องที่เป็นประเด็นชวนสงสัยคงถูกปล่อยออกไปยังโลกโซเชี่ยลเรียบร้อยแล้ว คงมีทั้งคนใกล้ชิดและสื่อที่สนิทกันอยากรู้ความจริงใจจะขาด

    แต่เรื่องนั้นหญิงสาวคิดว่ามันไม่จำเป็นเลย เธอกังวลแค่ว่าจะมีงานด่วนติดต่อเข้ามาหรือไม่ก็สายจากคนทางบ้านก็แค่นั้น

    “มี แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรหรอก แล้วกว่าฟรานจะมีอีเวนต์อีกทีก็อีกสองอาทิตย์โน่นแหละ”

    “งั้นฟรานก็คงไม่ต้องกังวลกับอะไรใช่มั้ยคะ” ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็เหมือนเป็นการตัดขาดจากโลกภายนอกกลายๆ เหมือนกัน

    “ก่อนหน้านี้มีนักข่าวโทรมา แต่พี่ยังไม่ได้ให้ข่าวอะไรเลย” ทอปัดบอกด้วยน้ำเสียงฟังดูซีเรียสขึ้นกว่าเก่า “ตอนนี้ก็คงเป็นข่าวเมาส์พวกดาราอักษร.ย่อไปก่อนนั่นแหละ”

    “แล้วสรุปพวกคุณจะเอายังไงกันครับ จะอยู่ที่นี่หรือว่าไปกับผม” แมนสรวงเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ตัดสินใจให้แน่นอนสักที

    “นายจะไปบ้านพักครูอยู่แล้วนี่นา งั้นพวกเราไปด้วยก็แล้วกัน” ทอปัดบอก

    “ทิ้งของเอาไว้ที่นี่ไม่เป็นไรแน่ใช่มั้ย” วันวิวาห์ถามย้ำ

    “ครับ ที่นี่ไม่มีขโมยหรอก มีบ้านอยู่ไม่กี่หลังเอง ขโมยไปก็จับได้อยู่ดี”

    พอวางใจแล้ว ทอปัดกับวันวิวาห์ก็กระโดดขึ้นรถพ่วงข้างอีกครั้ง ขณะที่แมนสรวงประจำที่คนขับ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังเนินที่อยู่ไม่ไกลมาก

    พอไปถึงบ้านพักครู แมนสรวงก็ขอตัวกลับเลยเพราะมีงานที่จะต้องทำต่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีครู พราวผกา กับครู อัครพลออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยรอยยิ้มสดใส

    “เป็นเกียรติอย่างสูงของพวกเราเลยนะคะเนี่ย ขนาดอยู่บนดอยยังมีโอกาสดีๆ ได้เจอคุณฟรานเหมือนคนอื่นเขาด้วย” ครูพราวผกามองนางเอกสาวด้วยแววตาชื่นชมจากใจ

    โดยส่วนตัวนั้น พราวผกาได้ติดตามข่าวบันเทิงอยู่แล้ว เธอดูทั้งละคร ดูข่าวตามเพจบันเทิงต่างๆ แล้วเรื่องของวันวิวาห์...นางเอกสาวแถวหน้าของประเทศ มีคนติดตาม Instagram มากกว่า 5 ล้านคน เธอจะไม่รู้จักอีกฝ่ายได้อย่างไรกัน

    ดังนั้นเมื่อโอกาสดีๆ มาถึงครูที่อยู่บนดอยหันไปทางไหนก็เจอแต่ป่ากับเขาอย่างเธอ ถึงได้ดีใจจนแทบหุบยิ้มไม่ลง

    “โห อย่าอวยยศเพราะเห็นว่าฟรานเป็นคนดังเหมือนพวกชาวบ้านเลยค่ะ” วันวิวาห์บอกอย่างถ่อมตัว อันที่จริงเธอเจอคนชมมาก็มาก แต่พอโดนจ้องด้วยสายตาปลาบปลื้มแบบนี้ นางเอกสาวก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้จริงๆ

    ภาพลักษณ์ของเธอดีงามมาตลอดตั้งแต่เข้าวงการ ไม่รู้เหมือนกันว่าจากนี้ไป ข่าวคาวๆ ของเธอกับคเณศ และพี่สาวตัวเองนั้น จะทำให้แฟนคลับอย่างครูพราวผกาต้องผิดหวังที่หลงมาปลาบปลื้มนางเอกอย่างเธอหรือเปล่า

    “ฟรานกับพี่ปัดแค่ตั้งใจมาทำบุญกันเงียบๆ เท่านั้น อยากคืนประโยชน์ให้สังคมบ้าง”

    “แต่ตัวจริงสวยกว่าในทีวีเยอะมากนะครับเนี่ย” อัครพลพูดเสริม สายตาของเขานั้นดูปลื้มปริ่มไม่ต่างจากเพื่อนร่วมงานอย่างพราวผกาเลย

    “ชมเกินไปแล้วค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนจะหันไปแนะนำทอปัดให้ทั้งสองคนได้รู้จัก “นี่พี่ปัด ผู้จัดการส่วนตัวของฟรานเองค่ะ คนที่ติดต่อพวกคุณ”

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ พี่ปัดเองก็น่ารักไม่แพ้คุณฟรานเลย” พราวผกาเอ่ยชมด้วยสายตาจริงใจ ไม่ใช่แค่แกล้งอวยไปอย่างนั้น

    “ผมว่าเราเข้าไปนั่งคุยกันดีกว่าครับ”

    อัครพลผายมือเชื้อเชิญแขกทั้งสองคนให้เข้าไปคุยกันใต้ถุนบ้านพัก ซึ่งมีโต๊ะไม้ทรงกลมอย่างดีตั้งไว้ตรงกลาง เป็นที่ประจำของเขาและพราวผกา ใช้ทั้งทานข้าว นั่งพักผ่อน และตรวจการบ้านเด็กๆ

    ใต้ถุนบ้านที่เทปูนให้เรียบแบบง่ายๆ มีข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่เป็นไม้ มีครัวเล็กๆ เอาไว้ทำอาหาร มีอากาศถ่ายเทไปมาตลอดเวลานั้นก็ดูเหมือนบ้านทั่วไปที่อยู่กันแบบครอบครัวเล็กๆ แต่ก็ดูไม่ขาดแคลนอะไรเท่าไหร่

    วันวิวาห์เข้ามานั่งที่โต๊ะกลม พร้อมทอปัด ขณะที่พราวผกาเทขนมปังปี๊บที่ชอบแจกในงานกีฬาสีใส่จาน แล้วเอามาวางตั้งไว้ตรงกลาง

    “ที่นี่มีแค่ขนมปี๊บนะคะ” พราวผกาบอกก่อนมองแขกทั้งสองคนสลับกันไปมา “พอดีเราสองคนเข้าเมืองแค่อาทิตย์ละครั้ง เลยซื้อของที่จำเป็นต้องอยู่ให้ชนอีกอาทิตย์น่ะค่ะ ส่วนใหญ่ก็ซื้ออาหารที่เก็บได้นาน อย่างอาหารแห้ง เครื่องปรุง แล้วพวกขนมที่เน้นจำนวนเข้าว่า”

    “ไม่เป็นไรเลยจ้ะ พี่กับฟรานทานได้ ไม่ได้เรื่องมากกันขนาดนั้น” ทอปัดบอกด้วยน้ำเสียงใจดี ด้วยเห็นว่าพราวผกาน่าจะอายุน้อยกว่าวันวิวาห์ หญิงสาวดูไปเหมือนเด็กจบใหม่ด้วยซ้ำ ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะใจเด็ดขึ้นสอนเด็กๆ บนดอยแบบนี้

    ปกติแล้วเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับครูพราวผกานั้นน่าจะชอบความหรูรา ทันสมัยแบบคนในเมืองมากกว่ามาใช้ชีวิตเงียบเหงาบนดอย

    “นี่ครับชา ชาของที่นี่หอมกรุ่นมาก ช่วยเรื่องผ่อนคลายสมองได้ดี ลองสักหน่อยนะครับ” เมื่อมีขนมแล้ว อัครพลก็จัดการชงชาซึ่งชาวบ้านบนดอยปลูกเป็นอาชีพหลัก ส่วนอาชีพเสริมก็ไม่พ้นการปลูกผักและผลไม้ตามฤดูกาลผลัดกันไป “หรืออยากได้กาแฟมากกว่า บอกได้นะครับ ที่นี่ก็มีกาแฟ รสชาติดีไม่แพ้ของนำเข้าทีเดียว”

    “ชาดีแล้วล่ะค่ะ” วันวิวาห์บอก พร้อมกับรับแก้วชาร้อนๆ ที่อัครพลส่งให้ เช่นเดียวกับทอปัด ก่อนที่ทั้งสี่คนจะนั่งคุยกัน

    ความจริงมีทั้งขนมและเครื่องดื่มดีๆ แบบนี้ แถมบรรยากาศรอบตัวก็เรียกได้ว่าวิวสวยหลักล้าน นี่แทบไม่ต่างจากการมาเที่ยวคาเฟ่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจเลย

    “จริงๆ ครูสองคนเหมือนคนกรุงเทพฯ นะคะ” ทอปัดตั้งข้อสังเกต เพราะด้วยท่าทางบุคลิก ความคล่องแคล่วคล่องตัว ผู้จัดการสาวเชื่อว่าทั้งคู่คงเป็นเด็กที่อยู่ในเมืองกรุงฯ มากกว่าเด็กต่างจังหวัดอย่างแน่นอน “ทำไมถึงตัดสินใจมาอยู่ไกลถึงที่นี่ล่ะ”

    “เบื่อความวุ่นวายน่ะครับ ทำงานที่นี่ก็สบายใจดีออก” อัครพลบอก ก่อนจะพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายใจ

    “แม้เงินเดือนจะไม่เท่าไหร่น่ะหรือจ๊ะ”

    “ครับ” ครูหนุ่มยอมรับกับทอปัดตามตรง “ผมเลือกความสบายใจมากกว่าเงินทองที่เป็นของนอกกาย อีกอย่างมันก็เป็นความฝันที่อยากทำมานานแล้ว”

    “ส่วนพราวก็อารมณ์เดียวกับพี่อาร์ม” พราวผกาหันไปมองครูรุ่นพี่“พราวเบื่อความเร่งรีบ เบื่อความวุ่นวายในครอบครัวน่ะค่ะ”

    ครูสาวก้มหน้า ซ่อนรอยยิ้มเศร้า แล้วเสจิบเครื่องดื่มร้อนเข้าปาก ทั้งที่คำพูดของพราวผกานั้นได้สั่นสะเทือนความรู้สึกของวันวิวาห์ไปแล้ว

    ดูเหมือนครูสาวเองก็มีอดีตที่เจ็บปวดกับความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่น้อย ถ้าไม่ สุดกับชีวิตจริงๆ วันวิวาห์คิดว่าพราวผกาคงไม่หนีมาไกลถึงที่นี่เป็นแน่

    “เอ่อ..พอดีครอบครัวพราวมีเรื่องนิดหน่อยน่ะค่ะ” พราวผกาบอกด้วยน้ำเสียงติดตลก เพราะไม่อยากให้คนอื่นหดหู่ไปกับตนเอง “แบบไหนๆ ก็จะหนีแล้ว ก็หนีมาทำประโยชน์เพื่อคนอื่นดีกว่า”

    จากนั้นทั้งสี่คนก็เลี่ยงมาพูดคุยถึงความขาดแคลนของคนในหมู่บ้าน และโอกาสทางการศึกษาของเด็กๆ ซึ่งพราวผกาได้รวบรวมข้อมูลของเด็กที่มีแววจะไปได้สวยหากได้รับการสนับสนุน ซึ่งในตอนที่ทอปัดติดต่อมานั้น...ก็ได้เสนอว่าจะให้ทุนการศึกษาเด็กที่ขาดโอกาสด้วย

    “เดี๋ยวพราวไปเอาข้อมูลมาให้ดูนะคะ รวบรวมเอาไว้แล้ว”

    คุณครูสาวบอกพลางลุกขึ้น แต่เธอคงไม่ทันได้ระวังมือถึงได้ปัดเอาถ้วยชาที่ยังร้อนอยู่ตกจากโต๊ะ โดยที่วันวิวาห์ซึ่งนั่งใกล้กับพราวผกามากที่สุด ก็พลอยตกใจแล้วรีบเอื้อมมือไปคว้าถ้วยเอาไว้ตามสัญชาตญาณ

    ทว่าในตอนนั้นเองก็มีมือของใครบางคนเอื้อมมาคว้าแขนของวันวิวาห์เอาไว้เช่นกัน เขาจับแน่นคล้ายจะห้ามไม่ให้เธอคว้าของที่กำลังจะหล่น แต่มันคงช้าเกินไปหน่อย...เพราะถ้วยชาตกกระทบมือหญิงสาวเข้าเต็มแรง แล้วน้ำร้อนที่กระฉอกออกมาจากแก้วนั้นก็ลวกมือของวันวิวาห์เข้าให้แล้ว

    เพล้ง!

    “โอ๊ย..” วันวิวาห์รีบชักมือกลับเข้าหาตัวเองทันที โดยไม่สนแรงจับแน่นนั่นเลย อาจเป็นเพราะความตกใจที่แก้วหล่นกระทบมือตัวเอง แล้วไหนจะน้ำร้อนๆ นั่นอีก แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือตอนนี้แก้วชาของพราวผกาแตกกระจายเต็มพื้นไปหมด

    “ผมจะช่วยแล้วนะ แต่ไม่ทัน”

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันตกใจเลยลนลานเอง..” วันวิวาห์มัวแต่ปัดมือตัวเอง เช็ดเอาน้ำที่ลวกแขนออก ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังคนพูด

    แต่ในตอนที่หญิงสาวกำลังจะเอ่ยขอบคุณที่อีกฝ่ายมีน้ำใจช่วยเหลือนั้น เธอกลับต้องทำคิ้วขมวดเข้าหากัน แล้วจ้องหน้าเขาแทน

    “นี่คุณ..”

    หมอคนนั้นนี่นา แล้วเขาโผล่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

    นางเอกสาวมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง เธอจำได้ว่าเขาเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเธอกับเขาเคยเจอกันครั้งหนึ่ง ตอนที่เธอตามพ่อไปเยี่ยมอาครรชิตพ่อของกมลขวัญ

    “มีอะไรรึเปล่า คุณเจ็บตรงไหนมั้ย คุณสีหน้าไม่ดีเลยนะ” คนเป็นหมอเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป แล้วสีหน้าก็ซีดลงด้วย

    “ฉันมะ..ไม่เป็นอะไรค่ะ” วันวิวาห์รีบส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เห็นท่าทีของเขา เธอก็รู้แล้วว่าคุณหมอคงจำเธอไม่ได้อย่างแน่นอน อีกอย่างเขาดูเป็นคนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น คงจะทำแต่งาน และสนใจแต่คนไข้ของตัวเองอย่างเดียว

    “พะ..พราว พราวขอโทษนะคะคุณฟราน พราวซุ่มซ่ามจนทำให้คุณฟรานต้องเจ็บตัวเลย” ครูสาวที่ยืนหน้าซีดไม่ต่างกันละล่ำละลักเอ่ยขอโทษ พลางยกมือไหว้

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฟรานช่วยเก็บนะคะ” วันวิวาห์รีบบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    พราวผกาคงตกใจมาก แต่วันวิวาห์ไม่คิดจะนับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เป็นความผิดของใคร มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดขึ้นเสียหน่อย แล้วอีกอย่างเธอก็ไม่ได้เจ็บตัวจนถึงขั้นเลือดตกยางออกด้วย

    วันวิวาห์ตั้งท่าจะลุกขึ้นช่วยเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น แต่ธยุตก็วางมือของเขายึดไหล่ของนางเอกสาวเอาไว้อีกครั้ง ก่อนสั่งห้าม

    “คุณนั่งเฉยๆ เถอะ ที่พื้นมีเศษแก้วเยอะขนาดนี้ แค่คุณยืนก็เหยียบแก้วที่แตกแล้ว คราวนี้เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวจริงๆ หรอก”

    “งั้นเดี๋ยวผมเก็บกวาดเองครับ” ครูอัครพลออกตัว ก่อนจะเดินไปหยิบไม้กวาด กับที่ตักผงมาไว้ในมือแล้วลงมือทำความสะอาด

    “ครูพราวไปเอาข้อมูลเด็กๆ มาเถอะค่ะ นี่เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ พี่กับฟรานก็คงต้องกลับโรงแรมแล้ว” ทอปัดหันไปพูดกับครูพราวผกาที่ยังยืนนิ่งไม่ได้ขยับไปไหน

    “ค่ะ”

    พอพราวผกาขึ้นไปหยิบของชั้นบน ธยุตก็เดินไปเปิดตู้กับข้าวด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา

    “คุณหมอลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ผมไม่ได้ยินเสียงเลย” ครูอัครพลถามขณะที่เก็บกวาดไปด้วย

    “ตอนที่ครูพราวบอกจะขึ้นไปเอาเอกสารน่ะครับ ผมตื่นแล้วก็เลยว่าจะลงมาหาอะไรกินหน่อย” ธยุตตอบกลับ

    “คุณคงเป็นหมอที่ชาวบอกสินะคะ หมออาสาใช่หรือเปล่า” ทอปัดถามอีกฝ่าย ขณะสังเกตเด็กในสังกัดตัวเองไปด้วยว่าตั้งแต่ธยุตลงมาและช่วยวันวิวาห์เอาไว้ นางเอกสาวก็เอาแต่เงียบแล้วลอบมองเขาเป็นระยะ

    มันต้องมีอะไรในก่อไผ่ชัวร์!

    “ครับ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เอง” ธยุตหันไปหันไปตอบคำถามของทอปัดด้วยรอยยิ้มละมุนละไม ซึ่งทั้งคู่ก็พูดคุยกันไปมาตามปกติ

    “งั้นแสดงว่าบ้านพักอีกหลังก็คงเป็นของหมออาสาสินะคะ ทีแรกพี่นึกว่าเป็นบ้านแฝดให้ครูอาสาพักซะอีก”

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ความจริงเมื่อก่อนที่นี่เป็นอนามัย ไม่ใช่บ้านพักของใครด้วยซ้ำ ฝั่งนึงของบ้านเป็นที่ทำการ ส่วนอีกฟากก็เอาไว้รองรับผู้ป่วย” หมอหนุ่มอธิบาย “แต่หมู่บ้านไกลปืนเที่ยงแบบนี้หมอเลยไม่มาประจำ เลยเอามาทำประโยชน์ด้านอื่นแทน”

    ในตอนนั้นเองครูพราวผกาก็เดินลงมาพร้อมไอแพตและแฟ้มข้อมูลบางส่วน พลางยื่นให้นางเอกสาว

    “ขอบคุณค่ะ” วันวิวาห์รับแฟ้มข้อมูลเอาไว้ ก่อนจะเปิดดูข้างใน

    ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมของทางโรงเรียนที่สอนให้นักเรียนปลูกผัก ทำเกษตรเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงสัตว์ และงานกีฬา ในส่วนต่อไปก็เป็นข้อมูลด้านผลการเรียน ชิ้นงานที่โดดเด่น และผลคะแนนสอบ

    “ข้อมูลเด็กๆ ที่พราวกับพี่อาร์มคัดเอาไว้ค่ะ บางคนเด่นกิจกรรม บางคนก็เด่นด้านวิชาการ”

    “เหมือนทางโรงเรียนจะเน้นให้เด็กทำกิจกรรมมากกว่านะคะ” วันวิวาห์พูดไปตามที่เห็น

    “ใช่ครับ พูดตามตรงคือเด็กที่นี่แทบไม่มีใครคิดอยากไปเรียนต่อในเมืองสักคนเลย ด้วยอะไรหลายอย่าง เราสองคนสอนให้ทุกคนอ่านออก เขียนได้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เหมือนว่าเขาอยากจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยงานพ่อแม่มากกว่า”

    ทอปัดกับวันวิวาห์ฟังแล้วก็แอบเศร้าในใจ ดูเหมือนความเจริญที่มาได้แบบล่าช้ามากๆ นั้น จะเป็นตัวดับความฝันของเด็ก สุดท้ายแล้วเด็กๆ เลยเลือกตัดอนาคตของตัวเองแล้วทำงานที่พ่อแม่ของตนทำมาก่อนแทน

    ทว่าในระหว่างที่คุยกันนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานฝนก็จะเทลงมา

    “ฟ้ามืดมาแล้ว ท่าทางฝนจะตกลงมาห่าใหญ่แน่นอน” ครูอัครพลแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ครึ้มเขียว เมฆก้อนใหญ่ลอยต่ำ

    “แต่ของที่ฟรานกับพี่ปัดเอามายังอยู่ที่โรงเรียนเลยนะคะ ถ้าเกิดฝนตกมันจะไม่เปียกเอาเหรอ” หญิงสาวอดเป็นห่วงข้าวของที่เธอกับทอปัดอุตส่าห์หอบมาจากกรุงเทพฯ เพื่อตั้งใจเอามาให้เด็กๆ ไม่ได้

    อีกอย่างโรงเรียนก็เป็นอาคารโล่งแบบนั้น ถ้าฝนตกหนักขึ้นมา ละอองน้ำน่าจะสาดเปียกอุปกรณ์การเรียนจนพังเละไม่เป็นท่าแน่

    “ตายจริง พราวเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว มัวแต่ห่วงเรื่องข้อมูลนักเรียน”

    ไม่ใช่แค่พราวผกาที่ลืมไปว่าวันวิวาห์กับทอปัดเอาของมาช่วยเหลือทางโรงเรียน แต่อัครพลเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

    “งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปเอาของมาไว้ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” ธยุตเสนอตัวทั้งที่เขาเพิ่งจะชงกาแฟเสร็จ “ครูอาร์มไปกับผมนะครับ”

    “ได้สิครับ” อัครพลตอบรับ “ว่าแต่คุณฟรานกับพี่ปัดเอาอะไรมาฝากเด็กๆ บ้างเหรอครับ”

    “ก็มีอุปกรณ์กีฬา กับพวกเครื่องเขียนน่ะจ้ะ พวกเสื้อผ้าเด็กพี่ฝากไว้ที่บ้านของผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว”


    ...Loading 100 %...

    ต่อไปนี้ไม่มีแล้วนางเอกเจ้าน้ำตา น้องฟรานจะฮึดสู้
    โต้ตอบพี่สาวร้ายๆ กลับเท่านั้นค่ะ
    ใช่ค่ะ...พี่สาวอย่าฝ้ายต้องรับกรรมอย่างสาสมที่สุด!
    แล้วน้องก็จะได้เจอพระเอกแล้วด้วย
    แอร้ย// เราอยากรู้ว่ามีใครอ่านเรื่องนี้อยู่มั้ยเอ่ย
    ส่งเสียงบอกกล่าว ทักทาย กันหน่อยน้า
    เราจะได้มีกำลังใจอัพงานต่อ 

    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×