ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รานใจ นิยายชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด

    ลำดับตอนที่ #3 : ♥ เล่ห์รานใจ ♥ ตอนที่ 1 :: เรื่องราวของใครอีกคน อัพเดท 100 %

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 214
      8
      7 เม.ย. 64

     เล่ห์รานใจ 
    [นวนิยายรักชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด]



    ตอนที่ 1
    _____________________________________________________
    เรื่องราวของใครอีกคน

    ทั้งเภารัมภา เด็กๆ และหมอธยุตเข้ามาที่คาเฟ่ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาล พอสั่งไอติมให้เด็กๆ แล้ว ธยุตก็สั่งของคาวมาทาน เช่นเดียวกับเภารัมภา

    ซึ่งในช่วงเวลาที่ต่างไม่มีใครเร่งรีบแบบนี้...ทั้งคู่ถึงได้มีโอกาสพูดคุยกันจริงจังมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ต่างฝ่ายต่างก็ถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุกดิบ

    “พี่ครามดูซูบลงไปนะคะเนี่ย ได้ทานข้าวทานปลาตรงเวลาบ้างหรือเปล่า” เภารัมภาถามอีกฝ่ายเมื่อสังเกตเห็นว่าธยุตดูผอมลงไป โครงหน้าชัดขึ้น และอะไรหลายอย่างที่บอกว่าหมอหนุ่มคงจะโหมงานหนักอีกแล้ว

    “ทานสิ เมื่อวานพี่ก็เพิ่งไปหาน้าวรรณมา”

    “แล้วคุณน้าเป็นยังไงบ้างหรือคะ เสาร์หน้าเภาก็ว่าจะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน”

    ในระยะที่เภารัมภามีลูกเล็ก หญิงสาวไม่ค่อยได้เจอวรรณสิรินัก แม้ว่าเภารัมภาจะยังมีความรู้สึกผิดติดค้างอยู่ในใจ เนื่องจากตัวการของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดในชีวิตของเรณุกา เริ่มต้นมาจากเธอคนเดียว

    แต่ในตอนที่เรณุกายังมีชีวิตอยู่ ลามไล้ไปถึงตอนที่เพื่อนสาวของเธอจากไปนั้น เภารัมภามีความสนิทสนมกับวรรณสิริมาก ไม่ทิ้งขว้างหนีไปไหน ที่สำคัญ...เธอดูแลอีกฝ่ายไม่ต่างจากคนในครอบครัวเลย

    ทว่าก็มีในช่วงที่เธอคลอดเด็กแฝดออกมานี่แหละ ถึงได้มีระยะห่างบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเภารัมภาก็มักโทรไปหาอีกฝ่ายเสมอ

    “น้าวรรณสบายดี ดูมีความสุขมากกว่าเดิมมาก คงเป็นเพราะนายจักรนั่นแหละ...เปลี่ยนเป็นคนใหม่ ขยันทำมาหากินเชียว” ธยุตบอกยิ้มๆ แม้รอยยิ้มของหมอหนุ่มนั้นจะแฝงไปด้วยความเศร้ามากก็ตามที “นี่นายจักรบอกพี่ว่าน้าวรรณจะขยายร้าน แตกไลน์ธุรกิจเพิ่ม เห็นว่าจะทำอาหารตามสั่งน่ะ”

    “เภาพอรู้จากน้าวรรณมาบ้างแล้วค่ะ แต่เภาว่าก็ดีนะ น้าวรรณจะได้ไม่เหงามาก อีกอย่างฝีมือระดับน้าวรรณเราก็รู้กันดีว่าอร่อยขนาดไหน” ไม่ใช่เภารัมภาเคยได้ชิมอาหารฝีมือวรรณสิริคนเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ธยุตเองก็ด้วย วรรณสิริมักจะทำอาหารมาให้หมอหนุ่มที่โรงพยาบาล หรือไม่ก็ฝากให้เรณุกาเอาอาหารที่ทำไปให้ถึงคอนโดฯ “เภาอดห่วงน้าวรรณไม่ได้ ข้างหน้าอาจยิ้ม แค่ข้างใน เห้อ...เภารู้นะคะว่ามันยากจะทำใจแค่ไหน”

    “ก็ใช่ว่าใครจะทำใจได้หรอก แค่มีงานพอให้ลืมๆ ไปเสียมากกว่า”

    เภารัมภาพยักหน้าเห็นด้วย เพราะธยุตเองก็คงโหมงานหนัก เข้าเวรดูแลคนไข้ข้ามวันข้ามคืนด้วยเหตุผลเดียวกันนี้แหละมั้ง ไหนจะเสียพ่อ ไหนจะเสียคนรัก

    “แล้วคุณป้าอินล่ะคะ คุณป้าเป็นยังไงบ้าง”

    “แม่พี่เข้มแข็งอยู่แล้วล่ะ แม่ทำใจเรื่องพ่อได้ก่อนพี่ด้วยซ้ำไป” ธยุตบอก “พี่เองก็เป็นห่วงแม่เหมือนกันนะ บอกให้มาอยู่คอนโดฯ ด้วยกันก็ไม่ยอม แต่ถ้าพี่พอมีเวลา พี่ก็กลับไปนอนที่บ้านนั่นแหละ”

    ทว่าในระหว่างที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนกำลังคุยกันนั้น เจ้าเด็กแฝดผู้เป็นพี่ชายก็พูดแทรกขึ้น

    “คุณอาหมอไม่อ้ำๆ เลย”

    “มาสิ หนูพุกป้อนให้” คนน้องบอกพลางจับช้อนตักไอติมในถ้วยทำท่าจะป้อนคุณอาหมอ จนธยุตอดยิ้มขำในความน่ารักน่าชังไม่ไหว

    คงมีแต่เภารัมภาเท่านั้นที่มองหน้าลูกทั้งสองคนแล้วรู้สึกขัดอกขัดใจ

    “โอ๊ย นั่นปากหรือนั่น เลอะเทอะเละเทะเสียไม่มี” คนเป็นแม่ว่าพลางดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากที่มอมไปด้วยคราบไอติมให้อย่างเอาใจใส่

    “พอลกินเรียบร้อยมั้ยหม่ามี้”

    “ไม่เลยครับ เลอะพอๆ กับน้องเลยลูก”

    “ดูท่าแสบซนไม่เบานะ มีครบแบบนี้แล้ว เภาอยากมีเพิ่มมั้ยล่ะ” ธยุตเอ่ยถามอีกฝ่าย เวลานี้ความเศร้าหม่นได้สลายหายไปจากใบหน้าแล้ว

    “พอเลยค่ะ” เภารัมภารีบส่ายหน้าหวือทันที “แค่นี้เภากับพี่แดนก็แทบหัวหมุนอยู่แล้ว ขนาดอยู่บ้านด้วยกันยังช่วยกันจับแทบไม่ไหว เอาสองแสบไปฝากบ้านตายาย พ่อกับแม่เภาก็บอกว่าตัวเองคงแก่ลงไปมาก เพราะเดินตามเด็กๆ ไม่ทัน”

    ปกติถ้าเภารัมภาไปทำงาน ดูแลกิจการร้านขนมของเธอ หญิงสาวก็มักเอาสองแสบไปฝากไว้ที่บ้านพ่อแม่ตัวเองตลอด ครั้นจะปล่อยให้ดาริณแม่สามี ช่วยดูหลานตั้งสองคนก็คงไม่ไหว ท่านอายุมากแล้ว อีกอย่างช่วงนี้สุขภาพของดาริณก็ไม่ค่อยจะดี

    “ซนเหรอเนี่ยเราสองคน” ธยุตหันไปคุยกับหลานๆ

    “คุณยายบอกว่าพุกกับพี่พอลเป็นเด็กดี น่ารัก” เด็กหญิงยิ้มหวานหยด เมื่อเอ่ยชมตัวเอง

    “เป็นเด็กดีต้องช่วยคุณตากับคุณยาย” คนเป็นพี่เสริม “พอลช่วยคุณตาดูโรงแรมด้วยฮะ”

    เภารัมภาส่ายหน้า ด้วยรู้ดีว่าพ่อของเธอแค่พาหลานๆ ขับรถเล่นไปเที่ยวข้างนอกมากกว่า

    “พุกช่วยหม่ามี้ทำขนม” คนน้องอวดบ้าง

    “ช่วยยุ่งมากกว่าสิเรา”

    “พอลขายของเก่งมากเลยฮะ” คนเป็นพี่ชายใช่ว่าจะยอมน้อยหน้าน้อง “ช่วยเอาขนมใส่ถุงให้คนมาซื้อของ”

    “โอ้โห หลานๆ โตถึงขั้นช่วยธุรกิจได้แล้วเหรอเนี่ย” ธยุตเอื้อมมือไปยีผมเด็กสองคนด้วยความเอ็นดู

    “ช่วยได้บ้าง ไม่ได้บ้างแหละเนอะ” เภารัมภายิ้มให้ลูกๆ ก่อนจะหันไปคุยกับหมอหนุ่มต่อ “จริงสิคะ วันไหนเภาขอนัดป้าอินมาทานข้าวที่บ้านหน่อย ไม่รู้จะสะดวกหรือเปล่า”

    “ได้สิ แม่พี่อยากเจอเด็กๆ พอดีเลย”

    “พี่ครามก็ด้วยนะคะ เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ไม่ต้องมีธุระก็แวะมาหาเภากับหลานๆ ได้เสมอ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจกัน อีกอย่างธยุตก็ใช่ว่าจะมีเพื่อนเยอะแยะ “มาทานข้าวที่บ้านเภาได้ตอลดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

    “พอลอยากให้อาหมอมาที่บ้าน” เด็กชายทำหน้าออดอ้อน “อยากให้มาเล่นกับพอล”

    “ที่บ้านมีของเล่นเยอะแยะเลย” คนเป็นน้องอ้าแขนออกเป็นจำนวนของเล่นกว้างสองมือ “คุณพ่อซื้อของเล่นทำกับข้าวให้ แต่พุกนะ..พุกชอบรถไฟของพี่พอล”

    เภารัมภาเลยบอกกับธยุตว่าสองพี่น้องนั้น มักตีกันแย่งของเล่นแทบจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตไปแล้ว และโดยส่วนใหญ่เจ้าตัวเล็กอย่างหนูพุกก็เป็นฝ่าย ก่อกวนพี่ชายก่อนด้วย

    “พุกชอบแกล้งพอลด้วยฮะ” พอลเป็นเด็กนิ่งๆ ช่างพูดจาและเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง แม้จะไม่กี่ขวบดี แต่เอาเข้าจริงแล้วพอลก็แสบใช่ย่อยอยู่เหมือนกัน ชอบเอาคืนน้องสาวในเวลาเผลอมากกว่า เหมือนอย่างเช่นตอนนี้...ที่พอได้ทีก็ชิงฟ้องคุณอาหมอเข้าให้

    “แล้วทำไมหนูพุกไม่ชอบเล่นของเล่นตัวเองล่ะ ไปแย่งพี่เขาเล่นทำไมฮึ” ธยุตถามเจ้าตัวเล็กที่ยังตักไอติมเข้าปากอย่างต่อเนื่อง

    “ก็พุกอยากเล่น”

    “ยายพุกชอบเล่นแบบเดียวกับเด็กผู้ชายเลยน่ะค่ะ ตุ๊กตาก็มีบ้าง แต่ก็ออกห้าวมากกว่าจะเป็นสายหวาน” เภารัมภาอธิบายนิสัยของลูกสาวให้ธยุตรับรู้

    ภายนอกนั้นลูกสาวเธอน่ารัก มีหน้าตาจิ้มลิ้มดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอม คงมีแต่คนใกล้ชิดอย่างคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้วหนูพุกแสบสันและแสนเอาแต่ใจตัวเองมากแค่ไหน

    นี่เภารัมภายังเคยพูดกับดรัณเลยว่า โตขึ้นแทนที่จะต้องเป็นห่วงลูกผู้ชาย เห็นทีทั้งสองคนคงต้องเปลี่ยนใจมาห่วงลูกผู้หญิงแทน เพราะไอนิสัยปากว่ามือถึง ดูท่าไม่ค่อยยอมใครแบบนี้ เลยทำให้เธอกับสามีอดเป็นห่วงหนูพุกล่วงหน้าไม่ได้จริงๆ

    พี่พอลยังเรียบร้อยกว่า นิสัยนิ่งๆ ของลูกชายแทบจะถอดแบบดรัณออกมาไม่มีผิด

    “งั้นวันหลังอาหมอไปเล่นที่บ้านด้วยบ่อยๆ ดีมั้ย”

    “ดีค่า~”

    “ดีฮะ~

    “แล้วรักอาหมอมั้ย?”

    “พอลรักอาหมอที่สุด”

    “พุกด้วย อาหมอใจดีให้พุกกินไอติม”

    เด็กช่างพูดทั้งสองคนทำเอาหมอธยุตแทบหุบยิ้มไม่ได้ด้วยซ้ำ ไหนจะความน่ารักน่าเอ็นดู ไหนจะความช่างเอาอกเอาใจในแบบไร้เดียงสานั่นอีก คุณหมอหนุ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมทางฝั่งครอบครัวเภารัมภา แม่ของดรัณ รวมถึงคนที่เคยเจอเด็กสองคนนี้...ถึงได้หลงรักหลานกันนักหนา

    “แล้วรักอาหมอมากกว่าหม่ามี้กับคุณพ่ออีกเหรอ?”

    “หม่ามี้ชอบดุพุกด้วยนะ ไม่รักหรอก” คนน้องรีบบอก

    “แต่พอลรักอาหมอรองจากพ่อๆ กับหม่ามี้”

    คำพูดแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความรู้สึกที่หม่นเศร้าในอกของธยุต ทุเลาเบาบางลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

    “สายสืบส่งข้อมูลมาแล้วนะ”

    ทอปัดผู้จัดการส่วนตัวของวันวิวาห์หันไปมองนางเอกสาวด้วยสายนิ่งๆ ที่สื่อว่า เป็นอันรู้กันว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ซึ่งวันวิวาห์เองก็ได้แต่ข่มอารมณ์ พยายามทำตัวปกติเพื่อปกปิดความลับไม่ให้รั่วไหลออกไป จนกระทั่งนางเอกสาวถ่ายละครซีนสุดท้ายของวันเสร็จแล้ว และทั้งสองคนอยู่ในรถยนต์ด้วยกันตามลำพัง

    “ว่ายังไงคะพี่ปัด” หญิงสาวถามด้วยความร้อนใจอย่างมาก แต่ทอปัดไม่ได้พูดอะไรออกมา ผู้จัดการส่วนตัวรีบออกรถออกจากบริเวณนั้น แล้วขับไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่ไม่ได้ลงไปเดินเล่นแต่อย่างใด เพราะยังอยู่บนรถตามเดิม

    “พี่มีคลิป” ทอปัดหยิบไอแพตขึ้นมาเปิดคลิปที่นักสืบเพิ่งส่งมาให้ดู “ฟรานดูเองก็แล้วกัน แล้วก็ตัดสินใจเองด้วยว่าจะทำยังไงกับสองคนนี้ต่อ”

    บรรยากาศในรถอบอวลไปด้วยความตึงเครียดอย่างมาก โดยเฉพาะวันวิวาห์ที่จิตตกมาเป็นเดือนๆ กับพฤติกรรมของแฟนหนุ่มที่ทำให้เธอสงสัยหลายอย่าง จนสุดท้ายหญิงสาวตัดสินใจพูดคุยกับทอปัดอย่างตรงไปตรงมาถึงความเปลี่ยนไปของ คเณศทนายความหนุ่มหล่อ และตัดสินใจจ้างนักสืบ ตามสืบเรื่องราวของแฟนหนุ่มกับบุคคลผู้ต้องสงสัย

    นั่นก็คือ วรรณิดาพี่สาวของเธอ!

    วันวิวาห์พยายามข่มหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปกับภาพที่ตนกำลังมอง ในคลิปวีดีโอ คเณศแอบมาหาพี่สาวเธอที่คอนโดฯ หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งวันและเวลาที่นักสืบตามสืบนั้น มันเป็นช่วงวันและเวลาเดียวกับตอนที่เธอโทรไปหาชายหนุ่ม แล้วอีกฝ่ายอ้างว่าเขาติดงานมาพบกับเธอไม่ได้

    ลูกไม้ตื้นๆ !

    แต่ถึงอย่างนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา วันวิวาห์ก็เชื่อใจและไว้ใจคเณศมาก ด้วยความที่อีกฝ่ายรู้จักกับพี่สาวของเธอมาก่อน ท่าทีของทั้งสองคนก็ดูเหมือนแค่เพื่อนกันเท่านั้น

    และที่สำคัญตลอดระยะเวลาที่ทั้งคู่คบหากันมาได้ปีเศษ คเณศก็เข้านอกออกในบ้านเธอจนคนในบ้านรับรู้ไปแล้วว่าชายหนุ่มคือคนที่วันวิวาห์กำลังคบหาดูใจอยู่ แต่ดูสิ่งที่คเณศทำกับเธอในวันนี้สิ เธอโง่หลงเชื่อใจคเณศไปได้อย่างไรกัน!

    ทว่าหลอกกันมันก็ไม่เจ็บเท่ากับ เขามี ชู้เป็นพี่สาวของเธอหรอก!

    ปกติวันวิวาห์ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับพี่สาวของตัวเองอยู่แล้ว ทั้งคู่ใช้ชีวิตเหมือนเป็นเส้นขนานกันมาตลอด แข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันมาตั้งเด็ก

    หญิงสาวรู้ว่าวรรณิดาทำทุกอย่างเพราะอยากเอาชนะเธอในทุกด้าน และไม่เคยเห็นเธอเป็นน้องสาวในไส้เลยสักครั้งเดียว เฉกเช่นเดียวกับที่เธอเองก็ไม่เคยคิดใยดีวรรณิดาเหมือนกัน

    แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้วันวิวาห์ก็คิดว่าพี่สาวของตนทำเกินไปมาก

    “ฟราน เราไหวรีเปล่า..” ทอปัดถามอย่างห่วงใย ขณะเอามือคอยลูบหลังปลอบใจให้นางเอกสาวที่กำลังร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน แม้จะไม่มีเสียงเล็กลอดออกมาก็ตาม

    หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ เธอไม่ไหว...ปกติวันวิวาห์ไม่ใช่คนเจ้าน้ำตาที่จะร้องไห้กับเรื่องอะไรง่ายๆ แต่เรื่องนี้มันเป็นเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจ

    ดังนั้นพอวันวิวาห์สบตากับทอปัด นางเอกสาวก็โผกอดผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาแบบไม่สามารถเก็บกลัดกลั้นความเสียใจเอาไว้ได้อีกแล้ว ทุกอย่างมันพังทลายเหมือนเขื่อนน้ำตาที่กำลังแตกออก

    ตอนนี้ ตรงนี้ มีแค่เธอกับทอปัด และเรื่องนี้คงพูดกับใครไม่ได้เลย วรรณิดาก็เหมือน งูพิษที่รอเวลาฉกทำร้ายเธอ ส่วนพ่อกับแม่...ถ้ารู้ว่าคนที่ทำร้ายเธอมากกว่าคเณศคือวรรณิดา พวกท่านจะต้องเสียใจมากกว่าที่เธอกำลังรู้สึกอยู่

    นางเอกสาวได้แต่คิดในใจว่าเธอจะต้องหาทางออกกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีคนระแคะระคายสงสัยว่าความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักนอกวงการกำลังมี มือที่สามเข้าเกี่ยวข้อง

    ดังนั้นก่อนจะมีข่าวคาวๆ หลุดออกไป ก่อนที่พ่อแม่จะรู้เรื่องเข้า วันวิวาห์จะต้องทำอะไรสักอย่างให้เด็ดขาด เธอต้องจับเข่าคุยกับคเณศและวรรณิดา ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องทำอย่างเงียบเชียบที่สุด

    วันวิวาห์เคยสัญญากับตัวเองว่าหากเธอได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง เธอจะแสดงฝีมือและขายความสามารถอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่เน้นขายหน้าตา ความโดดเด่นของตัวเอง หรือขายข่าวฉาวเรียกกระแสไปวันๆ

    นั่นเพราะข่าวฉาวคาวโลกี ที่ทำลงไปเพื่อหวังชื่อเสียงเพียงชั่วข้ามคืน มันไม่ได้ทำให้อาชีพการงานในวงการนี้มั่นคงเลย ในทางกลับกัน...มันจะยิ่งทำให้ความนิยมชมชอบที่ประชาชนมีต่อตัวเองค่อยๆ ลดหายลงไปด้วย เสียงชื่นชมจะกลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานากันอย่างสนุกปาก ที่สำคัญภาพลักษณ์แบบนั้นมันก็เหมือนเป็นการฆ่าตัวเองตายทางอ้อม มันจะลดคุณค่าของตัวคนดังเอง ลดคุณภาพตัวเองลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่คุ้มเลย

    ทุกวันนี้มีดาราน้องใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งวันวิวาห์ไม่อยากเสี่ยงตกกระป๋องเป็นคนที่ถูกสังคมลืมในตอนนี้

    หญิงสาวร้องไห้ เอาหน้าซุกกับไหล่ของทอปัดอยู่นานสองนาน จนเสื้อของทอปัดเปียกปอนไปด้วยน้ำตาของนางเอกสาว

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้...กระทั่งวันวิวาห์เริ่มสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ หญิงสาวจึงค่อยๆ ผละออก

    “ฟราน..” ทอปัดเรียกอีกฝ่าย ซึ่งวันวิวาห์เหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แม้มือไม้จะยังเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าสวยๆ

    ทอปัดรู้ว่าวันวิวาห์ไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรมากมายเลย หากตัดความเป็นซุปเปอร์สตาร์ออกไป วันวิวาห์ก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสดใส เจ็บได้ ร้องไห้เป็น และอยากมีความรักดีๆ มาครอบครอง

    คนอื่นอาจมองว่าวันวิวาห์สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างจนแทบไร้ที่ติ หญิงสาวมีพรเป็นรูปทรัพย์ที่สวยงาม มีครอบครัวที่อบอุ่น อีกทั้งครอบครัวของหญิงสาวก็มีฐานะร่ำรวย พ่อเป็นเจ้าสัวลำดับต้นๆ ของประเทศ ส่วนมารดาก็มีกิจการเสริมความงามชื่อดัง พี่สาวเป็นผู้ประกาศข่าวที่ประชาชนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี

    ทุกอย่างมันคือสวรรค์ของคนภายนอกที่มองเข้ามาต่างหาก เพราะความจริงแล้ว...ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตของวันวิวาห์นั้นผ่านความเจ็บปวดมามากมายเท่าไหร่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของเธอกับพี่สาวตัวเอง

    “ฟรานโอเคค่ะพี่ปัด” นางเอกสาวสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้ผู้จัดการของตนสบายใจว่าเธอยังพอจะสู้ไหวและไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง แต่ในจังหวะที่พายุอารมณ์กำลังสงบนั้น สายของคเณศก็โทรเข้ามาหาวันวิวาห์พอดี

    ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน

    “พี่คิน..”

    ทอปัดได้แต่มองปฏิกิริยาของเด็กในสังกัดตัวเอง แล้วเธอก็ต้องถอนหายใจออกมา พลางลุ้นในใจไปด้วยว่าวันวิวาห์จะเอายังไงกับคเณศต่อ

    “จะรับสายเขาเหรอ?”

    ทอปัดเองก็รู้จักกับคเณศ ได้เจอฝ่ายชายก็ตั้งหลายหน ซึ่งว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว...คเณศเป็นผู้ชายที่น่ารักมากคนหนึ่งทีเดียว

    คเณศมีหน้าตาละมุนละไมน่ามองในแบบผู้ชายพิมพ์นิยมสมัยใหม่ ขี้เล่น คุยสนุก ไม่เรื่องมาก และมีความอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ ที่สำคัญเป็นคนมีเหตุผล ซึ่งถ้าใครรู้จักกับคเณศหรือได้ใกล้ชิดชายหนุ่ม...ก็คงต้องชอบเขาที่เขาเป็นตัวเองจริงๆ

    แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไปแล้ว แบบนี้แหละมั้งที่ใครต่อใครถึงชอบพูดกันว่า รู้หน้า ไม่รู้ใจ ขนาดคนที่ดูไว้ใจได้อย่างคเณศ ยังกล้านอกใจวันวิวาห์ได้ลงคอเลย

    หญิงสาวมองหน้าจอมือถืออยู่นาน แต่สุดท้ายวันวิวาห์ก็กดรับสายของแฟนหนุ่ม ตอนนั้นถึงทอปัดอยากจะห้าม มันก็ไม่ทันแล้ว

    “ว่ายังไงคะพี่คิน” น้ำเสียงของวันวิวาห์ยังคงสั่นเครืออย่างไม่อาจปิดบังได้ แต่จากที่ทอปัดฟังแล้ว...ผู้จัดการสาวมั่นใจอย่างหนึ่งว่า วันวิวาห์คงไม่อาจตัดเยื่อใยจากคเณศได้ขาดสะบั้นลงทันที

    ทอปัดคิดว่าบางที...หากทั้งคู่พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ตกลงกันรู้เรื่องและชัดเจนแล้ว ทั้งคู่อาจจะกลับมาคบกันอีกครั้ง

    ซึ่งเรื่องความรักของคนสองคนนั้น...ผู้จัดการสาวไม่อยาก ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นตอนที่ทั้งคู่กลับมาคืนดีกัน เธออาจจะกลายเป็น คนอื่น หรือบางที...อาจมองหน้ากับวันวิวาห์ไม่ติดเลยก็ได้

    [วันนี้พี่เสร็จงานเร็ว เรามาทานข้าวด้วยกันมั้ย] คเณศพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งปลายประโยคของชายหนุ่มน่าจะติดเสียงหัวเราะเล็กๆ อย่างแฝงความอารมณ์ดีเอาไว้ด้วยซ้ำ

    คงมีความสุขกับพี่สาวเธอจนเต็มอิ่มแล้วสิท่า

    วันวิวาห์อดคิดไปในทำนองนั้นไม่ได้จริงๆ

    น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขคับอกของคเณศมันทำให้น้ำตาของนางเอกสาวพลันไหลหยดแหมะๆ เปื้อนหน้าเปื้อนตาอีกครั้ง เวลานี้เธอนึกเกลียดอาชีพนักแสดงของตัวเองเสียจริงที่เข้าถึงอารมณ์จนเกินไป แต่มันก็ยังดีที่เธอรู้จักควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ ราวกับอยู่ในฉากของละครเรื่องหนึ่ง

    “ฟรานไม่สะดวกน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป

    [เอ..เสียงฟรานแปลกๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่าเรา พี่พาไปหาหมอดีมั้ย]

    ถ้าเป็นตอนที่เธอยังไม่รู้เรื่องที่เขานอกใจไปหาวรรณิดา วันวิวาห์คงยิ้มไม่หุบไปแล้วที่คเณศห่วงใย และใส่ใจเธอถึงขนาดนี้ เธอคงดีใจมากจนหัวใจเต้นฟูแน่นอก แต่ตอนนี้เธอเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน

    ทุกคำที่คเณศพูดมาอย่างห่วงใย วันวิวาห์กลับรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา มันไม่เคยคืบหน้าไปถึงไหน คเณศก็แค่ห่วงใยเธอ ในสถานะน้องสาวคนหนึ่งก็เท่านั้น

    ทำไมเราถึงคิดไม่ได้ตั้งแต่แรกนะ...

    “คือ..ฟรานเพิ่งเล่นบทดราม่าไปน่ะค่ะ อารมณ์เลยยังไม่เข้าที่เข้าทางดี” หญิงสาวตอบ แม้ลำคอเวลาที่เธอฝืนกลืนน้ำลายนั้นจะรวดร้าวราวกับว่ามันจะแตกออกเป็นสองเสี่ยง เจ็บจนถึงขั้นที่ตัวเองต้องกำมือมือแน่นเพื่อสะกดความอ่อนไหวเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ก็ตาม “เอ่อ..พี่คิน แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฟรานมีงานต้องไปคุยกับทางผู้ใหญ่ต่อ”

    [ถ่ายละครเสร็จแล้วเหรอ?]

    “ค่ะ นี่ฟรานอยู่ในรถกับพี่ปัด” หญิงสาวแสร้งทำเสียงสดใสขึ้นมา “แค่นี้นะคะ”

    [จ้ะ เสร็จงานแล้วโทรหาพี่นะ]

    หลังจากที่คเณศวางสายไปแล้ว ทอปัดก็ปล่อยให้วันวิวาห์ควบคุมสติตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เธออดทนรออย่างใจเย็น แต่ตอนนี้สิ่งที่ทอปัดรู้สึกคือ..สายตาของวันวิวาห์ที่ทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย มันค่อนข้างจะเด็ดเดี่ยวราวกับว่านางเอกสาวมีคำตอบเรื่องนี้ในใจอยู่แล้ว

    “ถ้าฟรานไม่ไหวพรุ่งนี้พี่บอกกองถ่ายให้เขายกกองเอามั้ยล่ะ” ผู้จัดการสาวเสนอทางออกให้ด้วยความหวังดี

    อีกอย่างทอปัดเห็นว่าวันวิวาห์ค่อนข้างมีวินัยในการทำงานมาตลอด หญิงสาวไม่เคยเบี้ยวนัดผู้ใหญ่เลย มาทำงานก่อนเวลานัดด้วยซ้ำ และบางครั้งที่ไม่มีคิวถ่ายละครหรืออีเว้นท์ต่อที่ไหน วันวิวาห์ก็จะอยู่ช่วยงานในกองละครเพื่อแบ่งเบาภาระทีมงานคนอื่น

    และเพราะนิสัยแบบนี้แหละ...ทางผู้ใหญ่ของช่อง และผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงถึงรักและเอ็นดูหญิงสาว ถึงขนาดป้อนงานให้แทบไม่ขาดมือ

    “ไม่ค่ะ นี่มันเรื่องส่วนตัว” วันวิวาห์รีบปฏิเสธ เธอไม่อยากให้ใครเดือดร้อนไปกับเรื่องของตัวเองด้วย ถ้าป่วยก็ว่าไปอย่าง “ฟรานไม่อยากให้คนอื่นต้องเสียงานเพราะฟราน ถ้ามีคนรู้ว่าฟรานถึงขั้นไม่ทำงานทำการ แค่เพราะจับได้แฟนตัวเองนอกใจ มันจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

    “แล้วเราจะเอายังไงต่อล่ะ?”

    “คืนนี้ฟรานขอไปนอนคอนโดฯ พี่ปัดนะคะ ฟรานไม่อยากกลับบ้าน”

    “ได้สิ ฟรานสบายใจเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับบ้านก็ได้”

    วันวิวาห์มีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็จริง แต่เธอก็ยังลังเลว่าจะทำอย่างที่ใจคิดดีมั้ย อีกอย่างหญิงสาวอยากได้คำยืนยันจากปากของทั้งสองคนให้ชัดเจนก่อน ฉะนั้นการกลับบ้านแล้วต้องเจอหน้าวรรณิดาอยู่ในสายคงไม่ช่วยให้จิตใจเธอดีขึ้นนัก การอยู่กับทอปัดจึงเป็นทางออกที่สบายใจที่สุดในเวลานี้

     


    “บอกพี่ได้รึยังว่าจะเอายังไงต่อ”

    ทอปัดถามเมื่อทั้งคู่กลับมาที่คอนโดฯ แล้ว ผู้จัดการสาวสั่งอาหารเจ้าประจำซึ่งเป็นร้านที่วันวิวาห์ชอบมากมาให้ แต่วันวิวาห์แทบไม่แตะเลย เห็นแบบนี้แล้วทอปัดก็ยิ่งเป็นห่วง

    “ฟรานอยากคุยกันสามคนให้รู้เรื่องก่อนค่ะ”

    “แล้วถ้าคินเลือกยายฝ้ายล่ะ” ทอปัดไม่ใจร้าย หรือจงใจพูดแทงใจนางเอกสาวเลย แต่เธออยากให้วันวิวาห์คิดให้ละเอียดรอบคอบเพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมากกว่า เพราะอะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ

    ที่สำคัญ...ไม่มีใครอ่านใจคเณศออกด้วยว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่

    “ฟรานคิดว่าเรื่องนี้ฟรานเอาอยู่ค่ะพี่ปัด” หญิงสาวพูดตอบกลับมานิ่งๆ ขณะที่เริ่มตักข้าวเข้าปากบ้างแล้ว

    ใช่! กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พออาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองแล้ว ก็จะได้มีสติคิดหาทางออกกันต่อไป

    “ฟราน” ทอปัดมอง ใบหน้าเริ่มมีรอยยิ้มเหมือนกับว่าเธอเชื่อในตัววันวิวาห์เต็มร้อยว่านางเอกสาวจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง

    และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คเณศจะเลือกวันวิวาห์หรือจะไม่ไปต่อ แต่ทอปัดก็ยังจะอยู่ข้างนางเอกสาวเสมอ วันวิวาห์ไม่มีทางเป็นคนผิด ไม่มีทางทำให้ตัวเองต้องขายหน้าอย่างแน่นอน

    “ตอนนี้สายตาฟรานน่ากลัวมากเลยรู้มั้ย พี่อยากให้ฟรานเป็นนางเอกจริงๆ นะ ไม่ใช่เป็นแค่นางเอกในจอ”

    “ฟรานไม่ใช่คนที่จะทำใครก่อนนี่คะ พี่ปัดไม่ต้องกลัว..”

    “พี่ไม่ได้กลัว” ทอปัดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นใจ “แต่พี่เชื่อ และเชียร์น้องสาวของพี่คนนี้เสมอ”

    “ถ้าอย่างนั้น ฟรานอยากให้นักสืบ...สืบตารางที่สองคนนั้นจะนัดเจอกันอีกที ตอนนี้เราคงต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อน”

    “อย่าบอกนะว่า..”

    “ค่ะ ฟรานจะจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย”


    ...Loading 100 %...

    ต่อไปนี้จะเป็นความแซ่บ ความแสบ ของนางเอกแล้วนะคะ
    มันเป็นเกมการเอาคืน ความแค้น และเกมของสองพี่น้อง
    ระหว่าง 'วันวิวาห์' กับ 'วรรณิดา'
    โดยที่คุณหมอของเรานั้นมันรู้เรื่องอะไรด้วยเล้ย 
    แต่ว่าทั้งสองคนจะมาเกี่ยวข้อง เจอกันอีกได้ยังไงนั้น
    ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปค่า 

    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×