ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รานใจ นิยายชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด

    ลำดับตอนที่ #14 : ♥ เล่ห์รานใจ ♥ ตอนที่ 12 :: แม่สาวสายรุก 100 %

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 174
      19
      7 ก.ค. 64



     เล่ห์รานใจ 
    [นวนิยายรักชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูที่เจ็บปวด]


    ตอนที่ 12
    แม่สาวสายรุก
    _________________________________________________________________________________________


    ภูรินทร์เรียกเด็กมาสั่งงานตามที่ไลลาขอเอาไว้ ซึ่งพนักงานก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะรีบจัดโต๊ะที่รับรองแขกให้ถอยห่างออกไปจากโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่พอสมควร พอเช็คงานเรียบร้อยแล้วภูรินทร์ก็ขอตัวไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ

    ทั้งไลลาและวันวิวาห์นั่งฟังเพลงและดื่มกันไปพร้อมพูดคุยตามประเพื่อนสักพักหนึ่ง กลุ่มที่จองโต๊ะเอาไว้ในโซนเดียวกันก็เริ่มทยอยมา แต่เพราะแสงไฟสลัวที่สาดไปมานั้นทำให้มองไม่ถนัดนัก จับภาพได้เพียงชายหญิงกลุ่มใหญ่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะของตัวเอง แต่ท่าทางดูมีวุฒิภาวะในระดับหนึ่งทีเดียว อีกทั้งเสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ได้ฉุดฉาดหรือเผยให้เห็นเนื้อหนังมากนัก ดูท่าเป็นผู้ใหญ่กันพอสมควร

    “มองอะไรของแก กลัวมีใครจำได้หรือไงกัน”

    “ไม่ได้กลัวใครจำได้หรอกน่า แต่โต๊ะข้างหลังเขาเริ่มทยอยกันมาแล้วน่ะ” วันวิวาห์บอกเพื่อนสาวทำให้ไลลาต้องหันมองตามไปดู “ท่าทางหน้าที่การงานคงมีระดับเลยแหละ ไม่ได้เหมือนคนที่มาเพื่อความบันเทิงเลยเนอะ..แกว่ามั้ย แต่งตัวก็เรียบร้อยกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ด้วย”

    “นี่แหละมั้งที่เขาบอกว่าการแต่งตัวก็บอกถึงสกุลรุนชาติได้ดีไม่แพ้คำพูดคำจา” ไลลาบอกก่อนจะกระดกเครื่องดื่มเข้าปากแล้วโยกตัวเบาๆ ไปตามเสียงเพลง

    “โห พูดจาซะโบราณขัดกับหน้าตาล้ำสมัยของแกมากเลย” วันวิวาห์ยิ้มขำเพื่อนตัวเอง แต่แล้วสายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งพอดี ไม่ใช่แค่คุ้นหน้า แต่เธอรู้จักเขา “นั่นหมอเหรอ?”

    หญิงสาวพึมพำเบาๆ ขณะที่สายตามองอย่างพินิจพิเคราะห์ชายหนุ่มที่ไม่ได้มีชุดกาวน์สวมทับบ่งบอกอาชีพของตัวเอง แต่ในจังหวะที่ไฟสาดมาแล้วเห็นหน้าตาหล่อเหลาชัดเจนของอีกฝ่ายนั้น เธอก็บอกได้ทันทีว่ากลุ่มของคนข้างหลังที่อยู่ห่างถัดไปนั้นเป็นกลุ่มของ...หมอธยุต

    ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะมางานเลี้ยงสังสรรค์ในสถานที่แบบนี้ด้วย

    “แกว่าอะไรนะ?”

    “คือ..ฉันว่ากลุ่มข้างหลังเราน่าจะเป็นคนทำงานในโรงพยาบาล” วันวิวาห์บอกเพื่อนไปตามตรง เรื่องเครียดทั้งหมดถูกวางลงเมื่อเธอเจอธยุต ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่เธอเจออีกฝ่าย ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็พลันจางหาย แต่กลับกลายเป็นว่ามีแรงพลังเล็กๆ ดึงดูดเธอเข้าไปใกล้เขา หยุดมองเขาไม่ได้เลย

    “รู้จักเหรอ? คนไหน?” คนเป็นเพื่อนยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งเห็นสายตาวันวิวาห์มองโต๊ะข้างหลังตาเชื่อมเป็นประกายอย่างไม่รู้ตัว ไลลาก็ยิ่งอยากรู้ว่าใครกันที่ทำให้เพื่อนของเธอสามารถโยนความเศร้าทิ้งได้เร็วขนาดนี้ เขาต้องพิเศษมากแน่ๆ “ผู้ชายคนไหนยะ ที่ทำให้แกลืมพี่สาวใจร้ายกับผู้ชายสารเลวลงได้ในพริบตาขนาดนี้น่ะ”

    “รู้มากเกินไปแล้วนะ ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าเป็นผู้ชาย” วันวิวาห์ย่นจมูกใส่เพื่อนสนิทอย่างหมั่นไส้ในความแสนรู้ของอีกฝ่าย

    “ไม่ต้องพูด แต่สายตาแกมันฟ้อง” ไลลายิ้มล้อเลียน “มองเขาตาเชื่อมขนาดนั้น เก็บอาการหน่อยก็ได้ แกน่ะเป็นถึงนางเอกระดับประเทศนะเว้ยไอฟราน มีตัวเลือกตั้งเยอะแยะ แต่ดูแกทำท่าเข้าสิ นี่มันรักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่งชัดๆ”

    “บ้า!” อีกฝ่ายโต้กลับเสียงสูงปรี๊ด “ฉันไปรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! แกน่ะคิดมากไปแล้ว ฉันแค่รู้จักเขาเฉยๆ เอง”

    “เหรอยะ แล้วรู้จักได้ไง คนไหนบอกให้ชี้ให้เพื่อนดูหน่อย” ไลลาทั้งซักไซ้ ทั้งบังคับให้วันวิวาห์ยอมบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร จนสุดท้ายแล้ววันวิวาห์ก็ทนแรงเซ้าซี้ของเพื่อนไม่ไหว ถึงบุ้ยหน้าไปยังธยุค

    “คนนั้นไง นั่งริมสุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนน่ะ” ข้างหมอธยุตเป็นผู้หญิงดูท่าทางอายุเยอะกว่าคนหนึ่ง ส่วนอีกคนที่นั่งตรงข้ามก็เป็นผู้ชาย ซึ่งเธอไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายเลย ทุกคนตรงนั้นแทบตกขอบสายตาไปหมด ที่เห็นก็มีเพียงหมอหนุ่มเท่านั้น “จำตอนที่ฉันหนีขึ้นดอยไปกับพี่ปัดได้มั้ย”

    “อืม ตอนนั้นฉันติดต่อแกไม่ได้เลย”

    “ฉันเจอเขาบนนั้นแหละ เขาขึ้นไปเป็นหมออาสา ฉันก็เลยจับพลัดจับผลูไปเป็นผู้ช่วยเขาน่ะ”

    “อ๋อ ดอกรักเบ่งบานกลางดอยไรงี้” ไลลากระเช้าเพื่อนขำๆ แต่วันวิวาห์ไม่ตลกด้วย แถมยังออกอาการมือไวตีแขนเพื่อน เพื่อกลบเกลื่อนอาการร้อนวูบวาบบนหน้าไปทีหนึ่ง “โอ้ย! ทีฉันทำไมเนี่ย ยิ่งแกรุนแรงมันยิ่งชัดนะว่าแกชอบเขาน่ะ”

    “ก็แกพูดจาไร้สาระนี่นา” วันวิวาห์ทำหน้าบึ้ง พลางหยิบเครื่องดื่มเย็นๆ จิบดับร้อนในอก

    แต่ยิ่งเพื่อนสาวร้อนตัวมากเท่าไหร่ ไลลาก็ยิ่งจี้ ยิ่งแหย่ มากขึ้นเหมือนกำลังสนุกที่ไล่ต้อนเพื่อนจนวันวิวาห์จนมุมได้

    “แล้วเขาโสดมั้ยล่ะ ถ้าเขาโสด แกก็ลุยเลยสิ ในเมื่อแกเองก็โสดแล้ว จะมัวรออะไร”

    “ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขามีลูกเมีย แต่เขาเอง..ไม่รู้สิ..”

    เห็นท่าทางกลัดกลุ้มของเพื่อนสาวแล้วไลลาก็ออกแรงยุมากขึ้น

    “แกจะคิดอะไรมากมายล่ะ เบ้าหน้าเขาก็ดี งานดีขนาดนี้ ดีกรีหมอนะเว้ย ทีกับไอพี่คิน ดีแค่หน้านิสัยเลวอย่างกับหมาแกยังรักลงเลย” เพราะกลัวว่าวันวิวาห์ยังอาลัยอาวรณ์คเณศอยู่ ไลลาเลยจับอดีตคนรักของเพื่อนเปรียบเทียบกับหนุ่มใหม่ให้เห็นภาพชัดๆ กันไปเลย “ถ้าแกคบเขาแล้วไม่เวิร์ค ก็เลิกแล้วค่อยหาใหม่ก็ยังได้”

    ไลลาพูดแบบผู้หญิงยุค 5G ที่อะไรไม่ดีก็พร้อมตัดออกจากชีวิตได้เสมอ ไม่ต้องลังเลหรือคิดไตร่ตรองให้มากความ ขณะที่วันวิวาห์ทอดถอนหายใจ

    “อาชีพแบบเราสองคนทำอย่างนั้นคนก็หาว่าใจง่ายสิ คนสาธารณะโดนจับตามองจากใครบ้างก็ไม่รู้ สมัยนี้ดารา คนในสื่อทั่วไปแทบเป็นถังขยะเอาไว้ให้คนอื่นระบายอารมณ์แย่ๆ ใส่ด้วยซ้ำ พอผิดพลาดหน่อย หลายคนก็พร้อมจะเหยียบให้จมดินแล้ว”

    “แคร์อะไรล่ะยะแม่คุณ! นี่มันชีวิตเรานะ จะเลือกใครมันเป็นสิทธิ์ของเราเต็มร้อย แล้วไม่ช้าก็เร็ว...แกต้องประกาศเลิกกับพี่คินอยู่ดี ต่อให้มีคนอินจัดเชียร์แกกับพี่คินแค่ไหน แต่จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่าจริงๆ แล้วไอบ้านั่นมันทำอะไรกับแกบ้าง จะทนจมปลักเป็นผู้หญิงโบราณที่หมดทางเลือก รักษาหน้าตาตัวเอง แต่โดนฝ่ายชายโขกสับไปวันๆ ยอมทนทุกข์กับผู้ชายเลวๆ ทั้งชีวิต หรือเลือกชีวิตใหม่และหาความสุขเข้าตัวเองแบบสาวสมัยใหม่ แกไม่ต้องแคร์ใครพูดทั้งนั้นแหละฟราน...เชื่อฉัน แคร์มากๆ ประสาทกินเปล่าๆ”

    “แกนี่ไปเป็นนักขายท่าจะรุ่งนะ เอ๊ะ...หรือเป็นไลฟ์โค้ชดี”

    “สรุปแกชอบหมอคนนั้นใช่มั้ยล่ะ” ไลลาพุ่งเข้าประเด็นโดยไม่ยอมให้เพื่อนตั้งหลักด้วยซ้ำ “ใช่มั้ย?”

    “ไม่รู้ แต่คุณครามก็น่าจะมีคนคุยๆ บ้างแหละ หน้าเขาก็ไม่ได้ขี้เหล่อะไรเลยนี่นา”

    “นี่..ผ้าที่ถูกพับเอาไว้เรียบร้อยในตู้น่ะ มันไม่ได้ถูกหยิบออกมาใช้บ่อยๆ หรอกนะยะ แต่ผ้าที่ยับยู่ยี่ต่างหากที่เป็นตัวโปรดของคนใส่ ขนาดจะทิ้งยังทิ้งไม่ลงเลย จริงมั้ย”

    “ดูพูดเข้า ฉันนึกว่าแกเป็นลูกครูภาษาไทยซะอีก ช่างเปรียบเปรยเหลือเกิน” วันวิวาห์ประชดเพื่อน

    “อย่ามัวมายิ้มสิ แกชอบหมอก็รุกเลย เหนียมไปก็เท่านั้น หล่อ งานดีขนาดนี้เดี๋ยวคนอื่นก็มาแย่งไปหรอก สมัยนี้จีบผู้ชายก่อนมันก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย อีกอย่าง...กับหมอคนนี้นะ ฉันเชียร์เต็มที่เลย” ไลลาไม่พูดเปล่า แต่ท่าทางและสายตามุ่งมั่นตั้งใจ ผลักดันอยากให้เพื่อนเข้าไปทอดสะพานอีกฝ่ายจริงๆ อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้ตัวเอง

    “ไม่เอา” วันวิวาห์สลัดความคิดบ้าบิ่นทิ้ง ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ใจกล้าถึงขนาดเข้าไปทาบทามอีกฝ่ายก่อนหรอก “น่าเกลียด!

    “โอ้ย! มัวแต่คิดเยอะ คิดไปคิดมาเดี๋ยวก็ได้คนดีเหมือนฟ้าประทานแบบนายคินอะไรนั่นอีกหรอก” ไลลาทำท่าขัดอกขัดใจ “ตัวเองมีสิทธิ์เลือกแท้ๆ จะมัวมานั่งรอให้ผู้ชายจีบก่อนทำไมกัน ให้คนอื่นมาเป็นฝ่ายเลือกเรา เสียชาติเกิดอ่ะ อีกอย่างถ้าตัดสินใจพลาด หลวมไปแต่งงานด้วย เรานั่นแหละจะเสียใจ เผลอๆ นะ ผัวแกในอนาคตอาจยืนชี้หน้าด่าให้เจ็บใจว่าอยากโง่เลือกมันเอง ช่วยไม่ได้ อะไรทำนองนี้ด้วยซ้ำ” ไลลาไหวไหล่ ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มดับร้อนในอก

    เพื่อนของเธอดื้อเสียไม่มีใครเกิน แนะนำอะไรก็ไม่ยอมฟังกันสักนิด ที่เธอชี้หนทางให้ก็เพราะความหวังดีจากใจจริง ไม่อยากให้วันวิวาห์ต้องมานั่งเสียใจน้ำตาท่วมหัวเข่าเหมือนที่ผ่านมาอีก

    กรณีของคเณศ นั่นก็เพราะพี่สาวอย่างวรรณิดาเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ให้ จัดฉากบังหน้าเสียจนเพื่อนของเธอหวั่นไหวไปกับการกระทำจอมปลอมของคเณศ ถึงได้หลงคิดเองว่าเขารัก เขามีใจให้ ซึ่งความรักครั้งต่อไปของวันวิวาห์...ไลลาก็อยากให้เพื่อนลองเป็นฝ่ายเลือกดูบ้าง จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง เพราะไม่ว่ายังไงคนที่เลือกก่อนก็เป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอ

    “แกนี่นะ เดือดมาจากไหนเนี่ย”

    “จากแกแหละ ฉันไม่อยากเห็นแกมานั่งเสียใจเป็นหนที่สองอีกนี่นา” ไลลาทำหน้าบึ้ง “ไม่มีใครสนุกกับการถูกหลอกให้รักหรอก ยกเว้นแกจะเป็นพวกโรคจิต”

    วันวิวาห์ยิ้มขำ ไม่คิดจะถือสาหาความกับคำพูดของไลลาที่อาจจะรุนแรงใส่เธอบ้างบางครั้ง นั่นเพราะไลลาเป็นเพื่อนที่ตรงไปตรงมาและหวังดีกับเธอเสมอ คิดอะไรก็เลยพูดออกมาอย่างนั้น

    “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากทำตามคำแนะนำของแกหรอกนะไลลา” นั่นเพราะลึกๆ แล้วเวลาที่เธออยู่ใกล้ธยุตก็มีความรู้สึกดีๆ กับเขาอยู่บ้าง แบบว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ อยากเจอเขาบ่อยๆ อีกอย่างวันวิวาห์รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าอย่างที่คนอื่นทำให้รู้สึกไม่ได้ “แต่...ฉันมีโอกาสได้คุยกับเขาหลายรอบแล้วไง ประเมินอยู่หลายครั้ง แต่หมอไม่มีท่าทีว่าจะชอบฉันสักนิด บางทีเขาอาจมีคนในใจแล้ว ฉันเลยกลัวน่าแตกน่ะ”

    “ไอฟราน นี่แกอย่าคิดเองเออเองสิ” ยิ่งฟังถ้อยคำเหมือนไม่รีบร้อนของเพื่อนสาวแล้ว ไลลาก็ยิ่งหงุดหงิด “หลุดจากอดีตแฟนสารเลวของแกแล้ว จะหาใครดีกรีเลิศเท่านี้ได้อีกเหรอไง เอ๊ะ...หรือว่าเพื่อนฉันจะรอให้พวกทายาทลูกไฮโซกงสีมาจีบ”

    “อะแฮ่ม..บ้านฉันก็พอมีฐานะยะ จะรอให้คนพวกนั้นเข้าหาทำไมกัน” วันวิวาห์กระแอมกระไอในลำคอ

    บอกตามตรง เธอเป็นพวก ทวนกระแสสังคมทีเดียว ที่สำคัญวันวิวาห์ไม่เคยคิดคบหาหรืออยากควงแขนใครเพราะอวดว่าฐานะทางบ้านของอีกฝ่ายนั้นอยู่ในระไฮเอ็นต์ พอเชิดหน้าชูตาของตัวเองได้

    หญิงสาวไม่คิดยกระดับตัวเองให้ดูทัดเทียมกับคนอื่น เพราะบ้านของเธอก็มีหน้าตาอยู่แล้ว แต่ที่เธอเลือกคบหากับคเณศนั้น...เป็นเพราะอีกฝ่ายมีความรู้ มาดดี ใจเย็น เข้าใจเธอ เข้ากับครอบครัวเธอได้ดี อีกอย่างเขามีภาวะความเป็นผู้นำสูง ไม่จำเป็นต้องร่ำรวยล้นฟ้า แค่ดูแลเธอในสถานะผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนพิเศษเหมือนที่คู่รักทั่วไปเป็น แค่นี้ก็พอแล้ว

    “อีกอย่าง ตอนที่ฉันคบกับพี่คิน ฉันไม่เคยคิดจะสำรวจทรัพย์สินเขาเลยสักนิด ฉันคบเขาก็เพราะเขามีการงานมั่นคง เป็นผู้ใหญ่ และเข้าใจฉันต่างหากล่ะ..” วันวิวาห์พูดเสียงอ่อย แค่ย้อนคิดถึงอดีตตอนรักกัน หัวใจของหญิงสาวก็อุ่นวาบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง

    เธอคงลืมคเณศไม่ได้หรอก เพราะอย่างไรก็เคยมีความรู้สึกดีๆ มอบให้แก่กัน เศษเสี้ยวเล็กๆ ของความรู้สึกแบบนั้นมันยากที่จะตัดออกจะตายไป แม้ว่าพอหวนนึกถึงตอนที่เขาสลัดเธอทิ้งอย่างเลือดเย็นและเลือกที่จะยืนเคียงข้างพี่สาวด้วยคำพูดที่หนักแน่นมั่นคงจะทำให้หัวใจที่อุ่นวาบไปด้วยพลังแห่งรักนั้นเย็นเยียบและรวดร้าวก็ตาม

    เห้อ..ความรักที่ผสมไปด้วยความแค้นนี่มันน่ากลัวจริงๆ นะ ลืมก็ไม่ได้ จะให้อภัยกับอีกฝ่ายแล้วเป็นเพื่อนกัน...ก็ยิ่งทำไม่ได้อีก

    “อย่ามาพูดเหมือนเสียดายนายนั่นสิยะ” ไลลาดึงสติเพื่อนพลางทำท่าขนลุกขนพอง “ต่อให้จะเคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันมากขนาดไหน แต่ช่วยนึกถึงตอนที่ฝ่ายนั้นทำเลวๆ กับแกด้วย หักล้างกันแล้วมันติดลบโขเลย”

    “รู้แล้วๆ” วันวิวาห์ตั้งสติ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ฟังเพลงกันดีกว่าน่า อย่าพูดเรื่องพี่คินให้บรรยากาศดีๆ เสียเลย”

    “ฉันไม่อยากฟังเพลง แต่อยากเห็นแกอ่อยผู้มากกว่า นะฟราน...ไหนๆ วันนี้ฉันก็แปลงโฉมแกให้คนอื่นจำไม่ได้แล้ว ลองทดสอบกับหมอคนนั้นหน่อยเป็นไง” ไลลาทำตาพริบพราวเมื่อคิดเรื่องสนุกๆ ออก “ครั้งหนึ่งในชีวิต แกจะไม่ลองหน่อยหรือไง โอกาสดีๆ ไม่ได้มีบ่อยๆ นะ”

    “บอกแล้วไงว่ากลัวหน้าแตก” จากที่ปฏิเสธหัวชนฝาว่าไม่มีทางที่เธอจะเดินเข้าไปจีบธยุตก่อน แต่พอโดนเพื่อนสะกดจิตมากๆ เข้า วันวิวาห์ก็เริ่มลังเลใจ

    เอ๊ะ หรือเราจะลอง..

    “ไอฟราน!” คนยุทำเสียงจี๊จ๊ะในลำคอ “ถ้าแกโดนจับได้ก็แค่บอกว่าล้อเล่นสิ แกเป็นนักแสดงนะ เขาไม่ถือสาแกหรอก บอกไปว่าลองเข้าถึงบทบาทตัวละครอะไรก็ว่าไป เผื่อได้ไง”

    วันวิวาห์ถอนหายใจ ไม่รู้เพราะไลลาขายเก่ง หรือว่าแท้จริงแล้วเธอเองก็รู้สึกดีกับธยุตเป็นทุนเดิม ถึงได้ตัดสินใจทำตามคำยุยงของเพื่อนตัวแสบ หญิงสาวรอจังหวะพักใหญ่ จนธยุตลุกขึ้นเหมือนไปเข้าห้องน้ำ กระทั่งอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาก่อนจะถึงโต๊ะนั่นแหละ ไลลาถึงรีบสะกิดเพื่อน

    “ไปเลยแก จังหวะนี้แหละ”

    วันวิวาห์รวบรวมความกล้า ก่อนจะลุกจากโต๊ะตัวเอง แล้วแกล้งเดินไปชนเขาอย่างจงใจ

    “อุ้ย!

    “เป็นอะไรมากมั้ยคุณ” เข้าล็อกเผง! เพราะหมอธยุตคว้าแม่สาวเอวบางเอาไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงไป “ผมขอโทษครับ ผมไม่ทันได้มอง”

    ทว่าภายใต้แสงไฟสลัวๆ ที่สาดไปมาก็ไม่อาจบดบังความคุ้นหน้าคุ้นตาของหญิงสาวที่เพิ่งเดินชนเขาได้เลย

    “ฉันก็ขอโทษเหมือนกันค่ะ ฉันผิดเอง ซุ่มซ่ามจนไม่ทันได้ระวังตัว” หญิงสาวรีบบอกก่อนจะส่งยิ้มหวาน จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าให้เท่ากับความสูงของชายหนุ่ม พลางกระซิบแนบหู “เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะ เพื่อเป็นการขอโทษที่ซุ่มซ่ามจนเกินไป ฉันขอแลกไลน์กับคุณได้รึเปล่า ฉันอยากเลี้ยงข้าวตอบแทนน่ะค่ะ”

    ไม่พูดเปล่า แต่วันวิวาห์ยังช้อนสายตามองคนตัวสูงด้วยแววตาเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงไฟสลัว หญิงสาวจงใจโปรยเสน่ห์ใส่อีกฝ่ายเต็มที่ เรียกได้ว่างัดวิชาการแสดงออกมาหลอกล่อธยุตแบบหมดหน้าตักกันเลยทีเดียว

    แต่

    ธยุตกลับยืนนิ่ง เงียบ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ นอกจากจ้องหน้าหญิงสาวนิ่งๆ จนวันวิวาห์เริ่มใจเสีย

    เขาไม่เล่นด้วยเลย

    นางเอกสาวเห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายของอีกฝ่าย ก็รีบด่วนสรุปเอาเองว่าแผนอ่อยหมอหนุ่มของเธอนั้นคงไม่เป็นผล ธยุตเองไม่ได้เป็นผู้ชายประเภทเสเพลหรือมั่วไม่เลือกหน้า เขาถึงไม่สนใจผู้หญิงที่เข้าหาก่อนอย่างนี้

    และในเมื่อแผนการลองใจไม่สำเร็จ เธอก็ควรจะถอยออกมาก่อนดีกว่า

    “ถ้าคุณมีแฟนแล้ว งั้น..คือว่า..ฉันขอโทษนะคะ เราแยกย้ายกันตรงนี้น่าจะดีกว่า” วันวิวาห์เริ่มตกประหม่า ทั้งกลัวเขาจับได้ ทั้งกลัวจะโดนเขาต่อว่าเสียๆ หายๆ เหตุเพราะจำเธอไม่ได้ ความรู้สึกมันตีกันยุ่งจนพาลให้พูดจาตะกุกตะกักไปหมด

    ทว่าขณะที่หญิงสาวขอตัวแล้วหันหลังให้อีกฝ่าย ธยุตกลับรั้งข้อมือหญิงสาวและจับเอาไว้แน่นหนา ก่อนจะออกแรงกระตุกให้เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

    “เดี่ยวสิคุณ!

    ตอนนั้นวันวิวาห์ตกใจมาก แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ภาวนาขอว่าอย่าให้ธยุตกลายเป็นคนที่เหนือความคาดหมายเลย แม้เขาจะเป็นผู้ชาย แต่ถ้าเป็นในแบบที่คั่วไม่เลือกหน้าล่ะก็...วันวิวาห์ยอมรับเลยว่าจากที่เคยปลื้มปริ่มเขา เธอคงจะกลายเป็นแอนตี้แฟนตัวยงแหงๆ

    “อะไรหรือคะ?” หญิงสาวพยายามข่มใจทำเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร ถึงแม้ว่าเธออยากเดินหนีเขา

    ในใจของวันวิวาห์ไม่อยากทดสอบธยุตต่อแล้ว เพราะนอกจากเธอจะเริ่มไม่สนุก ลึกๆ ในใจยังกลัวด้วยว่าธยุตจะทำให้เธอผิดหวัง

    “งั้นเราไปต่อข้างนอกดีมั้ยครับ?”

    คำพูดของคุณหมอหนุ่มทำเอาหัวใจของวันวิวาห์แห้งเหี่ยวลง หน้าซื่อๆ ที่เวลาทำงานดูจริงจังจนทำให้เธอแทบละสายตามองที่อื่นไม่ได้นั้นเป็นเพียงภาพลวงตางั้นหรือ เขาไม่ใช่คนดีอย่างที่เธอคิดเอาไว้เลยสักนิด เอ๊ะ..หรือว่านี่มันเป็นนิสัยของผู้ชายทั่วไป ในเมื่อเขาโสดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้น

    แล้วเขาโสดจริงหรือเปล่า?

    คำถามในหัวผุดขึ้นมากมาย แต่วันวิวาห์ก็ไม่รู้จะไปหาคำตอบที่ตนสงสัยมาจากไหน อีกอย่างตอนนี้เธอหมดอารมณ์จะแกล้งธยุตต่อแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าถูกจับข้อมือเอาไว้แน่นจนเดินหนีไปไหนไม่ได้ล่ะก็..อย่าหวังเลยว่าเธอจะยังยืนอยู่ตรงนี้

    “ฉะ...ฉันแค่อยากรู้จักคุณน่ะค่ะ ไม่ได้ต้องการอย่างอื่น” วันวิวาห์ยังพูดจาติดขัด ขณะที่เธอพยายามขืนมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา

    เห้อ..ให้ตายเถอะ! มือหมอเหนียวหนึบอย่างกับกาวอย่างนั้นแหละ

    กว่าธยุตจะยอมปล่อยมือออก ก็เล่นเอาวันวิวาห์เหนื่อยกับการยื้อยุดอยู่พักนึงเลยทีเดียว

    “แต่แบบที่ผมเสนอนี่เราจะได้รู้จักกันมากขึ้นไงครับ ไม่ดีหรือไง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ทำเอาคนมองขนลุกซู่ไปทั้งตัว

    “ฉันว่ามันเร็วเกินไปน่ะค่ะ”

    “แต่คุณอ่อยผมก่อนนี่” คราวนี้หมอหนุ่มไม่ได้รั้งข้อมือของอีกฝ่ายไว้ แต่กลับรวบเอวบางของหญิงสาว ให้เธอเขยิบเข้ามาใกล้กันมากขึ้น “อย่าขี้ขลาดสิ อุตส่าห์เข้ามาอ่อยก่อนทั้งทีก็ใจกล้าๆ หน่อย..”

    เสียงกระซิบที่ทำให้ได้ยินกันแค่สองคน ทำเอาวันวิวาห์ตกใจถึงขั้นยกมือผลักอกธยุตเต็มแรงจนอีกฝ่ายเซถอยไปเล็กน้อย แต่แทนที่หมอหนุ่มจะโกรธเคืองหรือโวยวาย เขากลับยืนหัวเราะร่วน

    “โกรธทำไมคุณ ปลอมตัวแบบนี้คิดว่าผมจำไม่ได้รึไง” คำพูดนั้นยังเจือไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เล่นอะไรของคุณ ถ้าไปเจอคนอื่นเขาคงลากคุณไปไหนต่อไหนแล้ว”

    “จำได้ทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรกล่ะ” ตอนนี้ความร้อนด้วยโทสะเล่นงานวันวิวาห์เข้าอย่างจัง เธอถูกเขาหาว่าเข้ามา ให้ท่าก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้เขาจะมองเธอ คิดว่าเธอเป็นคนแบบไหน

    “ก็ผมยากรู้น่ะสิว่าคุณจะใจกล้าถึงขั้นไหนกันเชียว”

    “แล้วถ้าฉันใจกล้าขึ้นมาล่ะ คุณจะทำอย่างที่พูดหรือไงหมอ”

    “หึ..” ธยุตไม่ตอบ แต่แค่นหัวเราะออกมาเพียงสั้นๆ แต่นั่นยิ่งทำให้วันวิวาห์โมโหหนักกว่าเดิม

    “หัวเราะอะไร!” หญิงสาวรีบยกมือกอดตัวเองหมับ หวงเนื้อหวงตัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น “อย่าบอกนะว่าคุณคิดจะทำอะไรฉันจริงๆ”

    “เข้าข้างตัวเองเกินไปมั้ยคุณ..” ธยุตเอานิ้วจิ้มหน้าผากอีกฝ่าย “สภาพคุณเนี่ย..ไม่มีส่วนไหนให้ชวนมองเลย ทุกอย่างมันมินิๆ ไปหมด ไม่ชวนกระตุ้นอารมณ์สักนิด”

    “โหว วิจารณ์ฉันแรงไปมั้งคุณ” วันวิวาห์แทบรักษาภาพลักษณ์นางเอกเอาไว้ไม่อยู่ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากล่ะก็...เธอคงยืนเท้าเอวมองหน้าเขาไปแล้ว

    ผู้ชายอะไร ปากร้ายชะมัด

    “ทีหลังคุณก็อย่าเล่นอะไรแผลงๆ ล่ะ เพราะถ้าเป็นคนอื่น คุณคงหนีไม่รอดหรอก” ธยุตยืนกอดอกราวกับกำลังตักเตือนอบอรมเด็กตัวน้อย “ยิ่งเป็นคนดังแบบคุณด้วย เกิดอะไรขึ้นมาคุณนั่นแหละจะเป็นฝ่ายเสียหาย อีกอย่างจากที่ผมเห็นเมื่อกี้คุณเอาตัวเองไม่รอดแน่ๆ”

    “ฉันก็แค่อยากรู้ว่ามาที่แบบนี้แล้วจะมีใครจำได้รึเปล่า อุตส่าห์ปลอมตัว” หญิงสาวพูดเสียงอ่อย เพราะที่หมอหนุ่มเตือนเธอนั้นก็เป็นเรื่องจริง แค่เขาแกล้งเล่นๆ เธอยังกลัวจนสติเกือบแตกเลย

    “ถ้าไม่เมาก็คงจำได้แหละ” ธยุตยิ้ม เพราะต่อให้วันวิวาห์จะปลอมตัวเป็นแบบไหนก็ตาม แต่คนดังอย่างเธอที่มีคนติดตาม คอยจับตาดูตลอดเวลา อีกทั้งยังมีความโดดเด่นบางอย่างแตกต่างจากคนทั่วไปอีก มันต้องมีหลายคนที่จำเธอได้ต่อให้ปลอมตัวเป็นคนโทรมแค่ไหนก็ตาม “จริงสิ คุณนั่งอยู่ด้านบน โต๊ะใกล้ๆ ผมใช่หรือเปล่า”

    “ใช่” วันวิวาห์พยักหน้า “คุณถามทำไม จะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะ”

    “ใครเขาจะแกล้งคุณกัน” ธยุตส่ายหน้าในความขี้ระแวงของหญิงสาว แค่เห็นเธอตัวสั่นเมื่อครู่ตอนที่เขาแสร้งเล่นละครตามน้ำหน่อยเดียว ธยุตก็ไม่อยากล้อเล่นกับความรู้สึกของวันวิวาห์อีกแล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอแสดงละคร ต้องมีการถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายมากมาย แต่พอเจอสถานการณ์จริงกลับกลายเป็นว่านางเอกสาวไม่สามารถควบคุมสีหน้าท่าทางอยู่ สติหลุดขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ว่าแต่ใครแปลงโฉมให้คุณเหรอ แบบนี้ก็ดูดีออก”

    ชายหนุ่มไล่มองสำรวจเรือนร่างเล็กกระทัดรัดของวันวิวาห์ แม้หญิงสาวจะมาในโฉมใหม่ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ในลุคผมสั้นประบ่าเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นวัยมัธยม แต่งหน้าบางเฉียบกับรูปร่างสมส่วนก็ทำให้เธอดูสดใสขึ้นมาก

    ไม่ต้องพยายามทำตัวเป็นสาวแบบนี้ ก็น่ารักใช่เล่น

    “ยายไลลา...เอ่อ..เพื่อนฉันน่ะ” หญิงสาวบอกพลางบุ้ยหน้าไปยังชั้นบน ซึ่งพอหมอหนุ่มมองตามหญิงสาวไป เขาก็เห็นเพื่อนของวันวิวาห์โบกมือทักทายให้ ดูท่าแล้วเพื่อนของเธอเองก็คงแสบใช้ได้อยู่เหมือนกัน “แต่งแบบนี้แล้ว ไม่ดูแย่ใช่มั้ย”

    หญิงสาวถามอย่างไม่มั่นใจในโฉมใหม่ที่เพื่อนสาวจัดแจงให้ แต่จะอะไรก็ช่าง...เธอคงไม่ถึงขั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าทำผมใหม่เพื่อเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมาหรอก มาที่นี่ก็แค่ไม่อยากให้ใครจำได้ ไม่จำเป็นต้องดูดีในสายตาของใครเสียหน่อย

    “ไม่นะ ก็..น่ารักดี” ธยุตทำหน้าเรียบเฉย แม้ปากจะชมอย่างจริงใจก็ตาม

    วันวิวาห์สะดุดกับคำชมของคนตรงหน้านิดหน่อย ถึงจะรู้สึกเขินนิดๆ แต่ก็พยายามเกร็งหน้าไม่ใหหลุดยิ้มออกมา พลางเปลี่ยนเรื่องคุย

    “ฉันเห็นคุณมากับเพื่อนๆ มากินเลี้ยงทีมเหรอ?”

    “ก็ประมาณนั้น ทำงานด้วยกันมานานแล้ว แต่แทบหาเวลากินเลี้ยงไม่ได้เลย” หมอหนุ่มบอก..ก่อนทอดถอนหายใจ ทีแรกเขาออกปากปฏิเสธคำชวนด้วยซ้ำ แต่เพราะโดนคะยั้นคะยอเลยจำใจต้องมา “ทีแรกเห็นบอกจะพากันไปกินที่ร้านอาหาร ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมดันมาที่แบบนี้ได้”

    ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมาเที่ยวในสถานที่แบบนี้ ถึงมันจะช่วยปลดปล่อยอารมณ์ให้หายเครียดได้ แต่เขาไม่ชอบที่เสียงดัง มีการกินดื่ม เต้นกันเบียดเสียดในที่อับทึบแบบนี้ มันดูไม่ค่อยปลอดภัยเอาเสียเลย

    “คุณดูอึดอัดนะ เหมือนไม่สนิทกับพวกเพื่อนร่วมงานเลย”

    “พอดีคนในทีมบางคนเขาก็เอาคนนอกมาด้วยไง ผมเลยไม่รู้จะคุยอะไร ว่าจะขอไปนั่งโต๊ะคุณอยู่พอดี” ถึงวันวิวาห์ไม่เอ่ยชวน แต่รอบนี้เขายอมเสียมารยาทเพื่อหาทางเลี่ยงจากเพื่อนร่วมงานบางคน ถึงนั่งโต๊ะเดียวกัน แต่เขากลับรู้สึกไม่สนิทใจด้วย ที่สำคัญบางคนดื่มจนเริ่มเมามายพูดไม่รู้เรื่องแล้ว “คราวที่แล้วผมยังชวนคุณไปนั่งด้วยเลยนะ”

    พอได้โอกาสหมอหนุ่มก็คล้ายจะทวงหนี้คราวก่อน ทำเอาวันวิวาห์ถึงกับมองค้อนใส่

    “ฉันยังไม่ทันพูดอะไรเลย” หญิงสาวกอดอก ทำหน้าตูมหน่อยนึง “คุณจะย้ายมานั่งก็มาสิ ฉันมากับเพื่อนแค่สองคน อาจจะมีอีกคนมานั่งร่วมด้วย แต่..ดูเขายุ่งๆ อยู่น่ะ คงอีกนานกว่าจะปลีกตัวมาได้”

    “ใคร?”

    “คุณภูรินทร์น่ะ เป็นเจ้าของร้านนี้ เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนฉันเอง เห็นว่ารู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยม” วันวิวาห์บอกชายหนุ่มเท่าที่เธอพอจะรู้ “แต่ฉันว่าคุณไม่น่าอึดอัดใจหรอก พวกเราอายุใกล้ๆ กันทั้งนั้น คุณน่าจะแก่สุดในแก๊งเลย”

    “พูดจาไม่น่ารักเลยนะ”

    “แหม..ใจน้อยไปได้น่า ใช่ว่าคุณกับฉันจะห่างกันมากมายสักหน่อย” วันวิวาห์ยิ้มหวานเอาใจ แต่การกระทำแบบนี้มันไม่ต่างจากการตบหัวแล้วลูบหลังเลยสักนิด “เอาน่าไปนั่งด้วยกันเหอะ เพื่อนฉันน่ะคุยสนุกจะตายไป แต่คุณก็อย่าถือสานะ...เพราะบางทีเพื่อนฉันก็ปากเสียไปบ้าง แบบว่าเป็นคนแรงๆ แต่ความจริงใจนี่ที่หนึ่งเชียว”

    “ผมไม่คิดถือสาเด็กอย่างพวกคุณหรอก”

     


    ถึงจะไม่คิดถือสาสาวๆ อย่างวันวิวาห์และไลลา แต่เขากำลังถือสาหาความกับเพื่อนร่วมงานตัวเอง

    ให้ตายเถอะ! จ้องอะไรกันนักกันหนา

    ตั้งแต่ขอตัวย้ายโต๊ะมานั่งกับวันวิวาห์ เพื่อนร่วมงานที่มาด้วยกันก็หันมาจ้องเขาแล้วซุบซิบด้วยท่าทางจริงจัง เขาน่ะไม่ได้สนใจถ้อยคำซุบซิบอะไรนั่นอยู่แล้ว แต่วันวิวาห์นี่สิ..เธอไม่เกี่ยวอะไรด้วยเสียหน่อย แต่กลับต้องโดน ครหาเพียงเพราะเข้าย้ายมานั่งกับเธอ

    “นี่แว่นตาของใครเหรอครับ?”

    หมอหนุ่มถาม ขณะหยิบแว่นตาหนาเตอะเหมือนพวกเด็กแก่เรียนขึ้นมาดู กรอบดำ ตัวเลนส์หนาใช้ได้เลยทีเดียว แต่ไม่ใช่แว่นสายตาจริงๆ เหมือนทำมาเพื่อใส่แบบแฟชั่นมากกว่า

    “ฉันเอามาให้ไอฟรานใส่น่ะค่ะ แต่งตัวดูเนิร์ตๆ หน่อยคนจะได้ไม่สงสัย” ไลลาบอก เธอเอาแว่นนี้มาจากกองละครที่เคยไปเล่นเป็นนักแสดงสมทบ

    “แล้วคุณถอดออกทำไมล่ะ” ธยุตหันไปถามวันวิวาห์

    “ฉันรำคาญน่ะสิ มันใหญ่จะเท่าหน้าฉันแล้วนะ”

    “ใส่เถอะน่า” ไม่พูดเปล่า แต่คุณหมอหนุ่มยังบรรจงใส่แว่นตาที่ดูไม่เข้าพวกให้กับนางเอกสาวอีกด้วย และพอวันวิวาห์ทำท่าจะถอดออกอีกรอบ เขาก็ยึดมือเธอเอาไว้ “อย่าถอดออกนะ ห้ามเด็ดขาด!

    “ทำไม?”

    “ผมกลัวว่าพวกเพื่อนร่วมงานจะจำคุณได้น่ะสิ” ธยุตทำหน้าดุหน่อยนึง ก่อนจะเบนสายตาบอกว่าคนในโต๊ะเขานั้นกำลังมองเธอ “คนพวกนั้นเสพข่าวบันเทิงแทบทุกลมหายใจเข้าออก แล้วคุณก็เป็นคนดัง พวกนั้นคงสงสัยน่าดู”

    “หึ! เพื่อนร่วมงานคุณหมอมารยาทแย่เหมือนกันนะคะ ดูสิ...ขนาดอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ ก็นินทากันซึ่งหน้าเลย ระยะเผาขนสุดๆ ท่าทางสอดรู้สอดเห็นชะมัด” ไลลาว่าพลางเบะปากใส่ เธอนั่งหันหน้าไปทางโต๊ะของหมอหนุ่มพอดี เลยเห็นปฏิกิริยาของทุกคนชัดเจน ซึ่งดูเหมือนว่าเพื่อนของธยุตกำลังสนใจวันวิวาห์มากเป็นพิเศษ

    “ไอไลลา!” วันวิวาห์ดึงมือเพื่อห้ามปรามความปากเสียของเพื่อน ไลลาพูดโพล่งออกมาตรงเผง แบบไม่คิดเกรงใจธยุตสักนิด เธอเป็นคนกลางก็ทำหน้าไม่ถูกพอดี




    ...Loading 100 %...

    ช่วงนี้ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ
    เราจะผ่านวิกฤตร้ายๆ ไปด้วยกัน ถึงจะช่วยอะไรได้ไม่มาก
    แต่ขอส่งกำลังใจเป็นนิยายสนุกๆ ให้อ่านนะคะ 

    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×