ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพียงชิดใจ

    ลำดับตอนที่ #9 : เพียงชิดใจ :: บทที่ 08 ตอน ความสุขเล็กน้อย 100 %

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.12K
      77
      29 เม.ย. 62

    เพียงชิดใจ
    (นวนิยายรักชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูดอกรักผลิบาน)

    Tips To Increase Relationship Happiness With Flowers #love #marriage #flowers #bouquets #gifts #relationshipadvice #happiness #beverlyhills #beverlyhillsmagazine #bevhillsmag

    || บทที่แปด ||

    _____________________________________________________________________

    ความสุขเล็กน้อย



    พอได้ยินคำอวยพรผสมกับความยียวนกวนประสาทของน้องสาว คนเป็นพี่ชายก็ถึงกับอยากเอื้อมมือไปเขกกะโหลกเจ้าตัวแสบในสายตาเขาสักทีสองที

    “หืม ไอนิล!” ศราไม่นึกเลยว่าจะได้ยินน้องสาวตัวเองพูดแบบนี้กับเขา “คนที่สมควรอวยพรฉันคือพ่อกับแม่เว้ย ไม่ใช่แก”

    พอศราโวยวายใส่แต่ท่าทีไม่ได้จริงจังมากนัก ทว่าฝ่ายนิลเนตรกลับยักไหล่ให้อย่างไม่สะทกสะท้านกับคำโวยวายของพี่ชาย หญิงสาวคิดเอาเองว่าให้เธออวยพรน่ะดีกว่าให้พ่อกับแม่อวยพรตั้งเยอะ เพราะเท่าที่เห็นและสัมผัสมา...พวกท่านไม่เคยใส่ใจหรือประสบความสำเร็จในชีวิตเลยไม่ว่าด้านไหนก็ตาม ตั้งแต่จำความได้ในชีวิตนอกจากตอนยังเด็กที่มีพ่อแม่คอยอุ้มชูดูแล เธอกับศราก็ใช้ชีวิตกันสองคนมาตลอด

    นิลเนตรไม่อยากคิดถึงเรื่องในอดีตที่เลวร้ายจนทำลายบรรยากาศดีๆ ไปเสียหมด หญิงสาวยิ้มขำกับท่าทีของพี่ชายที่โวยวายใหญ่โต ก่อนจะเปิดประตูรถ

    “พ่อแม่เราคงมีเวลามาอวยพรให้พี่หรอกนะ ป่านนี้อยู่ไหนกันบ้างก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดความจริงเพราะนานทีปีหนท่านทั้งสองคนจะติดต่อกลับมาหาเสียที นิลเนตรไม่ต้องการดึงดราม่าให้เรื่องที่น่ายินดีต้องเศร้าลงตามไปด้วย อีกอย่างเธอกับพี่ชายก็ชินชากับเรื่องที่ถูกพวกท่านเมิน หรือเลี้ยงดูแบบทิ้งๆ ขว้างๆ แล้ว “ให้นิลอวยพรให้น่ะดีแล้ว อย่างน้อยนิลก็ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่มากก็น้อยแหละน่า”

    “นั่นสิ” ศราเห็นด้วยกับน้องสาว ในครอบครัวของเขาหากถามหาคนที่ชีวิตมีจุดมุ่งหมาย ชีวิตมีค่ามากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นนิลเนตร ตัวเขาเองเป็นพี่ชายถึงจะเรียนจบมีงานทำ แต่ก็พาชีวิตตัวเองลงเหว กว่าจะคิดได้ก็เกือบสายเกินไป ผิดกับนิลเนตรที่พยายามทำทุกวิถีทางให้จุดหมายของตัวเองถึงฝั่งฝัน “จะว่าไปเราสองคนที่โคตรเก่งเลยว่ะ ผ่านเรื่องบ้าๆ มาได้ตั้งเยอะ”

    ศรายิ้มพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาราวกับโล่งอก ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ วันนี้เหมือนท้องฟ้าโปร่งสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง พอหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต ทั้งชีวิตครอบครัว และเรื่องราวหลายอย่างที่ผ่านไปแล้ว วันนี้เขาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ และชายหนุ่มเชื่อว่าต่อไปนี้อะไรๆ จะต้องดีขึ้นกว่าเดิม

    “นั่นสิ” นิลเนตรยิ้มตาม ก่อนจะตบไหล่พี่ชายเบาๆ อย่างให้กำลังใจกัน “เรื่องมันผ่านไปแล้วน่า อย่าคิดมากเลย แต่ว่าตอนนี้รีบไปเหอะ เดี๋ยวนิลไปเรียนสายพอดี”

    ศราส่งน้องสาวขึ้นนั่งข้างคนขับก่อนจะปิดประตูให้ จากนั้นตัวเองก็นั่งประจำที่ก่อนจะขับรถออกจากบ้าน โชคดีวันนี้รถไม่ติดอาจเพราะใกล้เทศกาลที่มีวันหยุดติดกันหลายวัน...หลายคนอาจลางานล่วงหน้าแล้วกลับต่างจังหวัดไปก่อน ทำให้บนท้องถนนไม่มีรถราสัญจรหนาแน่นมากนัก ใช้เวลาไม่นานศราก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าเขตประตูรั้วมหาลัยฯ ที่น้องสาวเรียนอยู่

    “พี่จอดหน้าตึกข้างหน้าแหละ” หญิงสาวรีบบอกเมื่อใกล้ถึงจุดหมายของตัวเอง ศราจึงชะลอความเร็วรถก่อนจะจอดเทียบฟุตบาทหน้าตึกคณะฯ

    “แกเรียนตึกนี้เหรอ?”

    ชายหนุ่มทอดมองดูตึกตรงหน้าที่ค่อนข้างใหญ่โตกว่าตึกอื่นๆ มิหนำซ้ำยังมีทางเชื่อมระหว่างตึกเล็กเข้าหาตึกใหญ่ และเพราะกระจกค่อนข้างใสมองทะลุได้ เขาถึงได้เห็นว่าข้างในชั้นแรกนั้นมีทั้งร้านสะดวกซื้อ ทั้งเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ร้านค้าบริการนักศึกษา แคนทีนขนาดย่อม มีบันได้เลื่อนที่เชื่อมกับชั้นลอยซึ่งถูกจัดไว้เป็นที่นั่งเล่นเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เอาไว้ให้เสร็จสรรพ

    ความจริงแล้วศราก็เคยเรียนอยู่ที่เดียวกับน้องสาวเหมือนกัน แต่ว่าคนละตึก คนละคณะฯ ตอนที่เขาเพิ่งจบใหม่ๆ ตึกนี้เพิ่งเริ่มก่อสร้างด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทันสมัยใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้

    “ก็ใช่สิ” นิลเนตรบอกพี่ชายเสียงหนักแน่น ก่อนจะชี้ไปที่ตัวอักษรตัวโตหน้าตึก “เขียนตัวเบ้อเริ่มนั่นไง ตึกคณะนิเทศศาสตร์”

    “ฉันนี่แย่แค่ไหนกันวะ” พอน้องสาวย้ำชัดว่าตนเองเรียนตึกนี้จริงๆ ศราก็อดสะท้อนใจไม่ได้ “แกเรียนใกล้จบแล้วด้วยซ้ำ แต่ฉันเพิ่งจะเคยเห็นตึกที่แกเรียน” เขาแค่นหัวเราะขื่นๆ ในลำคอ ที่ผ่านมาเขาละเลยน้องสาวมากขนาดนี้เลยหรืออย่างไร ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าน้องตัวเองเรียนคณะฯ อะไร

    “บอกแล้วไง เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ แล้วเรามาเริ่มต้นใหม่กัน” นิลเนตรบอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเข้าใจ อีกอย่างเธอไม่อยากให้ศราคิดมากจนเฝ้าโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมา “นิลไปนะ หรือเราจะลงไปกินข้าวด้วยกันก่อน”

    “ไม่ดีกว่า” ศราส่ายหน้า “ฉันไปหากินข้างหน้าดีกว่า อีกอย่างยังมีงานที่ต้องสะสางอีกเยอะเลย”

    “ก็ตามใจ”

    นิลเนตรเปิดประตูกำลังจะก้าวลงจากรถของพี่ชาย ทว่าศราก็รั้งน้องสาวไว้อีกครั้ง

    “เอ่อ เดี๋ยวสิยายนิล ฉันมีอะไรจะให้น่ะ” นิลเนตรหันกลับมาเผชิญหน้ากับพี่ชายอีกครั้ง ขณะที่ศราเองหยิบซองสีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักหน้ารถ แล้วหยิบเงินปึกหนึ่งให้นิลเนตร “เอานี่ไป”

    “สองหมื่น!” นิลเนตรรับเงินไว้ก่อนจะนับ “พี่ไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ”

    หญิงสาวมองพี่ชายด้วยสายตาเบิกกว้างขึ้น เธอไม่ได้ตกใจกับจำนวนเงิน เพียงแต่แปลกใจมากกว่าที่จู่ๆ พี่ชายก็เอาเงินมากมายขนาดนี้มาให้

    ที่ผ่านมานิลเนตรอาจเคยเป็นแต่ผู้หยิบยื่นเงินจำนวนขนาดนี้ให้พี่ชายใช้จ่าย พอได้มาเป็นผู้รับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ หญิงสาวจ้องคนข้างกาย มองพี่ชายตัวเองด้วยสายตาไม่ค่อยไว้วางใจสักเท่าไหร่

    “ฉันไม่ได้กู้ใครหรือเล่นมาได้หรอกน่า เชื่อเถอะ” ศรารีบบอกเมื่อเห็นสายตาจับผิดของน้องสาว “น้ำพักน้ำแรงฉันทั้งนั้น เงินบริสุทธิ์ผุดผ่อง แกสบายใจได้”

    “แล้วเงินเยอะขนาดนี้ทำไมพี่ไม่เก็บไว้ใช้เอง เผื่อต้องใช้จ่ายอะไรจะได้ไม่ลำบาก” นิลเนตรรู้ว่าพี่ชายหวังดีและอยากดูแลเธอบ้าง แต่เธอไม่อยากให้ศราต้องปรับตัวเป็นคนดีจนตัวเองต้องลำบากยากแค้น หรือต้องกระเบียดกระเสียรใช้เงินเกินไป ที่สำคัญเงินที่ได้มาจากความตั้งใจทำงานเขาก็น่าจะเก็บไว้ชมเชยหรือซื้อของดีๆ ให้ตัวเองเป็นรางวัลของหยาดเหงื่อ ไม่ใช่เอามาให้เธอแบบนี้

    “เอาไปเหอะน่า ถือว่าฉันใช้หนี้ให้แกก็ได้” พอเห็นน้องสาวลังเลและมีสีหน้าลำบากใจที่จะรับเงินเอาไว้ ศราจึงหยิบเงินก้อนนั้นกลับคืนมา พร้อมกับดึงกระเป๋าสะพายของนิลเนตรติดมือมาด้วย ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าสะพายก่อนจะยัดเงินลงกระเป๋าแล้วส่งคืนให้น้องสาวคนสวย “รับไว้เหอะนะ ให้ฉันได้ทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีบ้าง”

    “แล้วพี่มีใช้พอทั้งเดือนเหรอ” นิลเนตรกังวลใจ กลัวว่าพี่ชายจะลำบากเพราะเธอ “อย่าลำบากเพราะนิลเลย”

    “นี่พี่แกนะโว้ย ฉันไม่โง่จนถึงขั้นปล่อยให้ตัวเองลำบากหรอกน่า”

    “แต่ว่า..”

    “บอกให้แกสบายใจตรงนี้เลยว่าเงินที่ฉันมีตอนนี้พอกินอาหารดีๆ สบายไปถึงสองเดือน ไม่ต้องทนนั่งกินบะหมี่สำเร็จรูปหรือไข่ต้มให้แกสังเวชใจแน่”

    มาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็ทั้งปลื้มใจ ตื้นตัน และดีใจ ถึงจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับจากพี่ชาย แต่มันก็ทำให้นิลเนตรรู้สึกว่าตนเองไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกอีกต่อไป

    “ขอบคุณนะพี่ศรา” นิลเนตรขยับตัวเข้าไปหาพี่ชายแล้วหอมแก้มเป็นการย้ำคำขอบคุณของเธอเบาๆ ส่วนศราเองก็อึ้งไป

    คงเพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์พี่น้องค่อนข้างห่างเหินกันมาก กว่าศราจะรู้ตัวอีกน้องสาวคนสวยก็ลงจากรถไปแล้ว

    ชายหนุ่มรีบลดกระจกรถ ก่อนจะตะโกนออกไปบอกน้องสาวทั้งที่สองแก้มขึ้นสีเรื่อนิดๆ

    “เลิกเรียนแล้วอย่าลืมโทรหาฉันล่ะ ฉันจะมารับ ได้ยินมั้ยยายนิล”




    “จันทร์ สรุปฉันสั่งร้านนี้นะ” มณิกาถามเพียงชิดจันทร์ด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ เพราะเพื่อนหน้าห้องกำลังพรีเซ็นต์งานอยู่

    ทั้งสองคนกำลังเรียนคาบสุดท้ายในช่วงเช้า นี่ก็ใกล้จะหมดเวลาเรียนเต็มที ส่วนช่วงบ่ายไม่มีเรียนเพราะอาจารย์มีธุระด่วนเลยยกเลิกคลาสแบบกะทันหัน เพียงชิดจันทร์กับมณิกาจึงวางแผนว่าในช่วงกลางวันจะหาที่ปิกนิกพร้อมติวหนังสือไปด้วย

    สถานที่ที่สองสาวจะปิกนิกนั้นคือ สวนเอนกประสงค์ที่ทางมหาลัยฯ เพิ่งปรับปรุงสถานที่ใหม่ ที่นั้นมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีสวนดอกไม้ ลมพัดเย็นสบาย เป็นลานสนามหญ้ากว้างขวาง มีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง พอปรับภูมิทัศน์ใหม่แล้วก็ได้รับความนิยมจากนักศึกษาในมหาลัยฯ เป็นจำนวนมาก ทั้งเป็นสถานที่ถ่ายรูปอัพภาพสวยๆ ลงโซเชี่ยล ทั้งเป็นสถานที่นั่งเล่นผ่อนคลาย พักผ่อนหย่อนใจ บางรายก็เอาเสื่อมาปูนั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้ใหญ่กัน

    มณิกาเปิดดูรูปร้านหมูทอดร้านหนึ่งซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ในรีวิวบอกเอาไว้ว่าหมูทอดร้านนี้กรอบนอกนุ่มในและยังมีน้ำจิ้มให้ห้ารสห้าแบบ เมื่อเพียงชิดจันทร์ตกลงให้ร้านนี้เป็นมื้อกลางวัน มณิจึงสั่งอาหารผ่านแอพพิเคชั่นหนึ่งทันที

    ดังนั้นพอหลังจากหมดคาบเรียน อาหารที่สั่งก็มาส่งแบบพอดิบพอดี สองสาวพากันเดินไปที่สวนเอนกประสงค์ ซึ่งมณิกานัดกับมณิสรเอาไว้ที่นั่น พอไปถึงมณิสรก็จองที่พร้อมเอาเสื่อลายดอกไม้สีสันสดใสมาปูรอไว้เรียบร้อยแล้ว

    สามสาวทานอาหารพร้อมกับคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ตามปกติ แต่พอเริ่มลงมือทานอาหารได้ไม่นาน สายตาของมณิสรก็เหลือบไปเห็นร่างสูงของนักร้องหนุ่มขวัญใจกำลังเดินเลาะสวนเอนกประสงค์เข้าพอดี

    ให้ตายเถอะ! นี่เขาเดินมาแถวนี้เพื่อเรียกเรทติ้งหรือเปล่านะ!

    มณิสรคิดในใจกับภาพที่เธอเห็นตรงหน้า ขนาดทยากรเดินลัดเลาะท่ามกลางเงาแสงแดดที่ส่องพ้นเงาร่มไม้ใหญ่น้อย ทยากรไม่ได้แต่งตัวมากเลยแค่อยู่ในชุดนักศึกษาด้วยซ้ำ แต่ก็ยังดูดีมากเสียจนเขาโดดเด่นกว่าใคร ท่ามกลางนักศึกษามากมายที่นั่งเล่นอยู่ในบริเวณนี้ด้วยซ้ำ

    “แก นั่นพี่ทานต์นี่นา”

    มณิสรรีบสะกิดบอกมณิกากับเพียงชิดจันทร์ให้หันไปมองตามเธอ ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเองทยากรก็มองมาพอดี นักร้องหนุ่มไม่รอช้า พอเขาเห็นเพียงชิดจันทร์นั่งอยู่กับเพื่อนๆ ของเธอ ก็รีบสาวเท้าเข้าร่วมกลุ่มด้วย

     “อ้าว น้องจันทร์” ทยากรเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ที่สดใสเหมือนดอกทานตะวันล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ แค่เพียงรอยยิ้มของเขาก็ทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว สดใสขึ้นมาทันตา “มานั่งทำอะไรกันตรงนี้”

    สามสาวขยับพื้นที่เพื่อให้เขาเข้ามานั่งร่วมกลุ่มกับพวกเธอด้วย โชดีเสื่อที่มณิสรเอามาใช้ปูค่อนข้างผืนใหญ่สามารถนั่งได้หลายคน จึงสามารถนั่งได้แบบสบายๆ ไม่อึดอัด

    เพียงชิดจันทร์กับมณิกาส่งยิ้มหวานๆ ทักทายสมาชิกใหม่ของกลุ่มเป็นการต้อนรับ ขณะที่มณิสรจากเดิมเป็นสาวใจกล้า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นสาวขี้อายไปชั่วขณะ ทยากรมองทั้งสามคนอย่างรอคำตอบ แต่เขาเห็นแล้วว่าพวกเธอคงเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งเล่นนั่งอ่านหนังสือกัน

    ทางด้านทยากร ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจบังเอิญผ่านมาเพื่อ อ่อยเพียงชิดจันทร์เหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้เขาโชคดีมากที่บังเอิญมาเจอหญิงสาวที่สวนเอนกประสงค์ ความจริงแล้วเขาแอบมาหาที่สงบๆ นั่งแต่งเพลงใหม่ต่างหาก แต่พอเดินออกมาจากด้านหลังตึกตั้งใจจะแวะไปแคนทีนหาอะไรทาน พอบังเอิญมองผ่านๆ เข้ามาที่สวนก็เห็นเพียงชิดจันทร์เข้าพอดี

    พรหมลิขิตบันดาลชักพา

    และเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก กอปรกับเขาและเพียงชิดจันทร์เริ่มสนิทกันมากขึ้นจากเดิมแล้ว จึงทำให้ความเขินอายที่มีลดลงและความกล้าเข้ามาแทนที่ ทยากรจึงตัดสินใจเดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับสาวๆ เป็นครั้งแรก อย่างน้อยก็สร้างความสนิทสนมคุ้นชินทั้งกับเพียงชิดจันทร์และเพื่อนๆ ของหญิงสาวไปด้วย

    “คือพอดีคาบบ่ายพวกเราว่างค่ะ เลยมานั่งติวหนังสือกัน อีกอย่างเบื่ออาหารในแคนทีนแล้วด้วย ก็เลยสั่งของมาทานกันนิดหน่อย” มณิกาบอกชายหนุ่ม

    “พี่ว่าไม่นิดแล้วนะ” ทยากรมองกล่องอาหารตรงหน้าแล้วอมยิ้ม

    “พี่ทานต์ทานด้วยกันสิคะ ร้านนี้ร้านดังเลยนะ” มณิสรเอ่ยชวนชายหนุ่มเสียงหวานอย่างที่ทำให้ทั้งเพื่อนสนิทอย่างเพียงชิดจันทร์และฝาแฝดอย่างมณิกาต้องยิ้มขำกับท่าทางเขินอายเกินเหตุของเจ้าตัวแสบประจำกลุ่ม

    “ดีเลย พี่กำลังหิวอยู่พอดี” ทยากรรีบตอบรับคำชวนทันที เขาจึงอาสาเลี้ยงน้ำสาวๆ เป็นการตอบแทนมื้อกลางวัน

    กลุ่มของเพียงชิดจันทร์กลายเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น หลายคนมองมาเพราะมีทยากรนั่งร่วมกลุ่มอยู่ด้วย ทยากรเองชินกับสายตาหลายคู่ที่มองมาแล้ว เขาต้องอยู่หน้ากล้องและเล่นคอนเสิร์ตเลยไม่ได้รู้สึกอะไร ส่วนเพียงชิดจันทร์กับเพื่อนๆ ของเธอ แม้ว่าจะยังไม่ชินกับการถูกจับจ้องแบบนี้ แต่สาวๆ ก็ไม่ได้แสดงอาการประหม่าใดๆ ออกมา มิหนำซ้ำพวกเธอทำตัวตามสบาย ทำตัวปกติเป็นธรรมชาติจนทยากรรู้สึกเบาใจ

    “เอ้อ นี่สรุปแล้วพวกเราจะไปงานพี่หรือเปล่า น้องจันทร์บอกรายละเอียดหรือยัง” ทยากรถามขึ้น เพราะเขาเห็นว่าเพียงชิดจันทร์เองก็เงียบไปเลย

    “งาน Fan Meeting หรือคะ จันทร์บอกแล้วค่ะ” มณิกาตอบ ก่อนจะเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายเพราะพวกเธอตัดสินใจแล้วว่าจะไปทำงานอื่นแทน “ขอโทษนะคะพี่ทานต์ แต่พวกเราตัดสินใจแล้วว่าไม่ไป”

    “ทำไมล่ะ?”

    “พวกเรารับทำงานพิเศษไปแล้วค่ะ” เพียงชิดจันทร์ตอบแทนเพื่อนๆ ของเธอ “จันทร์ขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอกพี่ทานต์ล่วงหน้า”

    “ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจ” ชายหนุ่มรีบปลอบโยน ความจริงหากเธอมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า...เขาจะว่าอะไรได้ “ว่าแต่จะทำงานพิเศษกันเหรอ”

    “ค่ะ คือจันทร์กับเพื่อนจะไปทำงานที่โรงแรมค่ะ” หญิงสาวบอก วันก่อนเธอเข้าไปขออนุญาตดาริณทำงานที่โรงแรมแล้ว ตอนเธอพูดเปรยๆ กับดรัณ...ฝั่งดรัณก็ให้เธอมาถามผู้เป็นย่าเอาเอง พอได้รับไฟเขียวหญิงสาวดีใจมาก เธอเลยเลือกที่จะทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินซื้อของขวัญให้ย่าก่อน “ใกล้ถึงวันเกิดคุณย่าแล้วค่ะ จันทร์เลยจะหาเงินซื้อของขวัญให้คุณย่า”

    เพียงชิดจันทร์บอกเหตุผลออกไป ความจริงเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเพื่อนทั้งสองคนจะอยากทำงานพิเศษนี้ด้วย แต่พอเธอบอกออกไปทั้งสองคนก็ตอบตกลงทันที เพียงชิดจันทร์เลยรีบโทรบอกดรัณอาหนุ่ม...ให้คุณอาของเธอช่วยล็อคตำแหน่งงานเอาไว้ให้

    “แต่ไม่ต้องห่วงนะคะพี่ทานต์ ยังไงงานกีฬาสัมพันธ์ของมหาลัยฯ พวกเราไปเชียร์แน่นอนค่ะ” มณิสรที่นั่งเงียบบอกทยากรเพราะกลัวว่าเขาจะเสียใจ เธอเองเป็นแฟนคลับตัวยงของเขา อีกทั้งงานนี้ยังเป็นงานของมหาลัยฯ ศึกแห่งศักดิ์ศรีของ 2 สถาบัน อย่างไรแล้วเธอก็ต้องไปเชียร์เขาอย่างแน่นอน

    “เอาอย่างนี้ดีมั้ย พี่ว่าเรามาแลกเบอร์กัน พอถึงวันงานพี่มารับดีกว่า เราจะได้ไปพร้อมกันเลย”

    “ดีเลยค่ะ” มณิสรตอบรับด้วยความยินดี แม้จะยังประหม่าอยู่นิดหน่อยเวลาอยู่ใกล้นักร้องขวัญใจก็ตาม

    ปกติแล้วทยากรไม่ค่อยให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวกับใครถ้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกันเรื่องงาน หรือไม่ก็ต้องเป็นคนสนิทจริงๆ ถึงจะสามารถติดต่อเขาโดยตรงได้

    ชายหนุ่มไม่ชอบความวุ่นวาย แต่สำหรับเพียงชิดจันทร์กับเพื่อนๆ ของเธอนั้นถือเป็นข้อยกเว้น เขาแทบจะเป็นฝ่ายเสนอทุกอย่างเอง นั่นเพราะทยากรคิดว่าอนาคตทั้งหมดคงได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันจริงๆ ความสัมพันธ์ของเขากับเพียงชิดจันทร์จะค่อยๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกอย่างอนาคตอันใกล้เขาก็ป้องกันเอาไว้เลยว่าเพียงชิดจันทร์กับเพื่อนจะไม่มีทางปฏิเสธเขา หากเขาชวนพวกเธอไปไหนมาไหน เพราะเขามีช่องทางติดต่อทั้งสามคนแล้ว

    พอทยากรขอแลกเบอร์ มีหรือว่าแฟนคลับตัวยงอย่างมณิกาและมณิสรจะปฏิเสธลงคอ กลับกันฝาแฝดสาวทั้งสองคนยินดีอย่างมาก จากที่นั่งเกรงๆ ในตอนแรกเพราะเขาเป็นทั้งรุ่นพี่และนักร้องขวัญใจ พวกเธอก็ทำตัวตามสบายมากขึ้น ยิ้ม เล่น และพูดคุยเหมือนเพื่อนที่คบหากันมานาน และยังชื่นชมทยากรในใจด้วยว่าเขานั้นเป็นคนดังแต่กลับไม่ถือตัว เข้าถึงง่าย ใจดี และยังเป็นกันเองแบบสุดๆ

    การตัดสินใจเข้ามาร่วมกลุ่มของทยากรครั้งนี้ดูเหมือนจะเรียกคะแนนจากสามสาวได้ไม่ยากนัก และเขาหวังลึกๆ ว่าพวกเธอจะยินดีต้อนรับเขาเข้ากลุ่มเป็นสมาชิกด้วยอีกคน

    “เอ๊ะ นี่ไลน์พี่ทานต์เหรอคะ ม่านไม่แน่ใจ” มณิกาเอ่ยถามนักร้องหนุ่ม เพราะพอเธอเมมเบอร์ของทยากรแล้วไลน์ของเขาก็เด้งขึ้นมาทันที แต่หญิงสาวไม่แน่ใจเท่าไหร่ นั่นเพราะรูปโปรไฟล์เขาเป็นรูปดอกทานตะวัน ไม่ใช่รูปหน้าหล่อๆ ของทยากรเลย

    “ใช่ นั่นพี่เอง”

    “ม่านนึกว่าพี่ทานต์จะใช้รูปตัวเองตั้งเป็นโปรไฟล์เสียอีก”

    “อย่างนั้นเราตั้งไลน์กลุ่มเอาไว้คุยกันดีมั้ยคะ” มณิสรเสนอ

    “อย่าเลย ฉันว่าจะรบกวนพี่ทานต์นะ” เพียงชิดจันทร์บอกเสียงเบา เธอเกรงใจชายหนุ่มเหลือเกินเพราะเขาเป็นศิลปินที่กำลังมาแรง ไหนจะต้องเรียน ไหนจะต้องทำงานอีก เพียงชิดจันทร์เกรงว่าหากตั้งไลน์กลุ่มแล้วเพื่อนเธอชวนเขาคุยไม่หยุด ทยากรคงไม่เป็นพักผ่อนกันพอดี “พี่ทานต์ทั้งเรียน ทั้งทำงาน ต้องเล่นดนตรีดึกดื่นไม่ใช่หรือคะ ขืนพวกเราชวนคุยในกลุ่มพี่ทานต์จะรำคาญเสียเปล่าๆ”

    “เออ จริงด้วย” มณิสรหน้าจ๋อยลงอย่างไม่ทันได้ฉุกคิด “ฉันเองก็ลืมคิดไปเลย อย่างนั้นเมี่ยงไม่รบกวนเวลาพักของพี่ทานต์ดีกว่า”

    “พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่ารำคาญพวกเรา และพี่ก็เคยบอกจันทร์ไปแล้วด้วยว่าพี่มีเพื่อนสนิทน้อย มีพวกเราเป็นเพื่อนก็น่าสนุกดีออก” ทยากรยิ้มขณะหันไปมองคนขี้เกรงใจ เขาอยากบอกให้เพียงชิดจันทร์รู้ว่าเขายินดีและเต็มใจให้พวกเธอรบกวนอย่างมาก “เอาเป็นว่าพี่ตั้งกรุ๊ปเองก็แล้วกันเนอะ พวกเราจะได้ไม่ต้องเกรงใจพี่”

    พูดจบ ทยากรก็กดตั้งกรุ๊ปในแชทไลน์ ด้วยการชวนสามสาวเข้ามาเป็นเพื่อน จากนั้นทั้งเขา มณิสร และมณิกาต่างก็ส่งสติ๊กเกอร์ทักทายกันในกลุ่ม เว้นก็แต่เพียงชิดจันทร์

    ทยากรไม่ได้พูดอะไร จากที่เคยคุยกันและเท่าที่เขารู้จักเพียงชิดจันทร์นั้น เขารู้ดีว่าเพียงชิดจันทร์เป็นเด็กดี แต่ก็ขี้เกรงใจมาก บางทีเขาคิดว่าเธออาจกำลังคิดอยู่ลึกๆ ว่ากลุ่มไลน์นี้อาจจะรบกวนเวลาส่วนตัวของเขาจนส่งผลกระทบต่อการเรียน หรือไม่ก็เรื่องงาน

    “จันทร์ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ชีวิตพี่เงียบเหงาจะตายไป” ชายหนุ่มบอก เพราะไม่อยากให้เธอเป็นกังวลใจกับเรื่องของเขา

    “เงียบเหงาหรือคะ พี่ทานต์มีเพื่อนทั้งในวงการและก็เพื่อนนอกวงการ ยุคนี้สมัยนี้ไม่มีใครไม่รู้จักพี่ทานต์ แล้วชีวิตจะเงียบเหงาได้ยังไงกัน” เพียงชิดจันทร์เถียง เพราะเธอเชื่อว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยแสงสีและชื่อเสียงอย่างทยากรจะไม่มีทางเงียบเหงาเหมือนที่เขาพูดออกมาแน่

    จันทร์นั่นแหละไม่รู้จักพี่

    ชายหนุ่มเถียงหญิงสาวช่างพูดอยู่ในใจ เพียงชิดจันทร์เองก็ใช่ว่าจะรู้จักเขา เธอเพิ่งมารู้จักเขาอย่างจริงจังเพราะเพื่อนบอกว่าเขาเป็นศิลปินที่กำลังมาแรง ลำพังตัวเธอเองเคยชายสายตามองคนดังอย่างเขาเสียเมื่อไหร่กัน และไม่ใช่เพราะเขาเป็นฝ่ายอ่อยเธอก่อนเหรอ ถึงได้มานั่งอยู่ข้างๆ กันตรงนี้

    “จันทร์ อย่ามองเหมือนไม่ไว้ใจพี่แบบนั้นสิ”

    “จันทร์ว่าพี่ทานต์มีแผนจ้องจะจีบเพื่อนของจันทร์แน่ๆ เลย” เพียงชิดจันทร์หรี่สายตาลงข้างหนึ่งอย่างต้องการจับพิรุธคนดัง “พี่ทานต์จะจีบม่านหรือเมี่ยงคะ”

    เพียงชิดจันทร์ไม่ได้ไร้เดียงสาจนถึงขนาดไม่รู้เจตนาแอบแฝงของชายหนุ่ม และในเวลานั้นจู่ๆ เธอก็เกิดอาการ หวงเพื่อนตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    ทว่ามณิสรที่โสดสนิทไม่สนใจอาการหวงเพื่อนเลยสักนิด เธอกำลังตื่นเต้นกับคำพูดของเพียงชิดจันทร์จนหัวใจพองคับอก และก็รีบเปิดโอกาสให้ตัวเองทันที

    “เมี่ยงโสดมากค่ะพี่ทานต์” มณิสรบอกนักร้องหนุ่มด้วยกิริยาเขินอาย สองข้างแก้มขึ้นสีแดงเรื่อแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้โอกาสตรงหน้าให้หลุดลอยไป

    “บอกมาตามตรงดีกว่าค่ะ พี่ทานต์จีบยายม่านหรือเมี่ยงกันแน่” เพียงชิดจันทร์เค้นคอเอาคำตอบจากฝ่ายชาย

    จีบเรานั่นแหละ

    ทยากรตอบเธอในใจขณะที่สายตาคมกริบประสานสายตาคู่สวยของเพียงชิดจันทร์ยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเองเต็มประดา ความจริงเพียงชิดจันทร์เดาเกือบถูกแล้ว แต่ผิดตัวไปหน่อยแค่นั้นเอง

    “พี่ทานต์จีบม่านไม่ได้แล้วนะคะรู้มั้ย ม่านมันมีแฟนแล้ว” มณิสรรีบสกัดดาวรุ่งเพื่อให้ทยากรสนใจเธอแต่เพียงผู้เดียว

    “อ้าว อยู่ๆ ก็มาสกัดดาวรุ่งกันซะอย่างนั้น” มณิกาบ่น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เธอชอบทยากรมากก็จริง แต่ไม่ได้อยากควงแขนเขาเป็นแฟนเดินอวดใครต่อใคร เขาเป็นคนในฝัน...ไม่ใช่คนในชีวิตจริง อีกอย่างเธอเองก็มีต้องชนะอยู่ในใจแล้วทั้งคน

    “ตอนนี้พี่ทานต์ต้องจีบเมี่ยงแล้วล่ะค่ะ เพราะเมี่ยงโสดมาก โสดม้ากกกก” มณิสรย้ำเสียงสูง ทำเอาทั้งทยากร มณิกา และเพียงชิดจันทร์ลอบขำกับท่าทางของเพื่อนตัวแสบ

    ปกติพวกเธอเห็นมาดร้ายๆ แบบสาวสายลุยของมณิสรมากกว่า พอจู่ๆ เพื่อนของตัวเองมาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำสายตาเยิ้มๆ ใส่ผู้ชาย เลยกลั้นขำไม่ค่อยจะอยู่

    “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ รุ่นพี่รุ่นน้องกันทั้งนั้นเลยนะ อีกอย่างพี่ไม่ได้จีบใครด้วย แค่เห็นว่าพวกเราเป็นแฟนคลับ” ชายหนุ่มบอกเพราะไม่ต้องการให้เพียงชิดจันทร์เข้าใจเขาผิดไป

    หญิงสาวช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ถ้าเพียงชิดจันทร์มองแบบเข้าข้างตัวเองสักนิด เธอก็น่าจะรู้ว่าเขาคิดกับเธออย่างไร

    “พี่ทานต์อย่าไปสนใจคำพูดของยายจันทร์เลยนะคะ หวงเพื่อนอะไรกัน เพื่อนโตแล้ว” มณิสรไม่วายชงเข้าตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็ยอมชวนชายหนุ่มหนึ่งเดียวในกลุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเกรงว่าจะทำให้เขาอึดอัดใจ “เอ้อ นี่พี่ทานต์รู้มั้ยคะว่าจันทร์เรียนเก่งมากเลย”

    มณิสรอวดเพื่อนสนิทที่เธอแสนภาคภูมิใจให้ทยากรฟัง

    “จริงเหรอ?” ชายหนุ่มทำหน้าสนใจขึ้นมา ทั้งที่เขารู้ประวัติเพียงชิดจันทร์จากผู้จัดการส่วนตัวมาบ้างแล้ว “แต่พี่ก็คิดเอาไว้แล้วแหละว่าอย่างจันทร์คงเรียนเก่งน่าดู ต้องเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 แน่ๆ”

    “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” หญิงสาวถ่อมตัว

    “ขนาดนั้นเลยค่ะ เรียนแบบได้ทุนเรียนฟรีตลอดหลักสูตร ธรรมดาซะที่ไหนล่ะคะ จันทร์น่ะเก่งมากยังจะมาถ่อมตัวอีก” มณิสรชวนชายหนุ่มคุยอย่างออกรสชาติ พอเธอได้เมาส์เรื่องของเพื่อนตัวเองความประหม่าที่เกิดขึ้นในตอนแรกๆ ก็เลือนหายไปแทบจะหมดสิ้น “นี่ถ้าเมี่ยงกับม่านไม่ได้จันทร์ช่วยติวให้ในทุกๆ วิชานะ คงไม่รอดหรอก”

    “เราสองคนโชคดีจังที่มีเพื่อนดีคอยติวหนังสือให้” ทยากรบอกพลางยิ้มส่งไปยังคนเก่งประจำกลุ่ม “ผิดกับพี่เลยแฮะ เรียนไม่ค่อยได้เรื่องเลย” นักร้องหนุ่มบอก

    เขาเด่นเรื่องร้องเพลงและทำกิจกรรมต่างๆ ในมหาลัยฯ มากกว่าด้านวิชาการ การเรียนอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าชื่นชมเท่าที่ควร ยิ่งช่วงไหนรับงานเยอะ ต้องออกอีเวนท์บ่อยๆ การเรียนก็แทบจะดิ่งลงเหวฮวบๆ เลยด้วยซ้ำ

    “วันหลังพี่ให้จันทร์ติวให้ดีกว่า”

    “จันทร์ไม่ได้เก่งขนาดนั้นซะหน่อย”

    เพียงชิดจันทร์ยังคงถ่อมตัวเช่นเดิม หญิงสาวคิดว่าตัวเองก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวลาเรียนก็ตั้งใจเต็มที่ เธอเรียนเก่งและหัวไวมากก็จริงอยู่ แต่เรื่องกิจกรรมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย เพียงชิดจันทร์เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์...คนเรามีด้านที่เก่งและไม่เก่งสลับกัน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์มาตั้งแต่เกิดหรอก

    “เออ แล้วนี่พวกเราจะไปทำงานกันเมื่อไหร่ล่ะ” ทยากรเลิกสนใจเรื่องการเรียนของเพียงชิดจันทร์ แม้เขาจะพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามแล้วเพราะอยากให้เพียงชิดจันทร์มาติวหนังสือให้ อย่างน้อยก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ ทว่าหญิงสาวก็ถ่อมตัวแกมปฏิเสธตลอด เขาเองเลยไม่อยากทำให้เธอลำบากใจ จึงหันมาสนใจเรื่องงานพิเศษของพวกเธอแทนน่าจะดีกว่า

    บางที เผื่อโลกจะกลมแล้วจะบังเอิญเจอกันบ้าง

    “คิดว่าจะเริ่มงานเย็นพรุ่งนี้เลยค่ะ” มณิกาเป็นคนตอบคำถาม

    “แต่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุดนี่นา”

    “ความจริงจะเริ่มงานตอนไหนก็ไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ เพราะระดับยายจันทร์ของเราแล้วจะเข้าจะออกโรงแรมนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไงทุกคนก็ยินดีต้อนรับ” ความอวดเพื่อนของมณิสรทำให้ทยากรขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความอยากรู้

    ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่เขาอยากจะสานสัมพันธ์ด้วยนั้นจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ในสายตาของทยากรและเท่าที่เขารู้ประวัติเพียงชิดจันทร์มาจากผู้จัดการส่วนตัวนั้น หญิงสาวแทบจะสมบูรณ์แบบไปในทุกด้าน เสียก็อย่างเดียว...เพียงชิดจันทร์เป็นผู้หญิงที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่นัก เลยทำให้หลายครั้งเธอก็ถูกกลืนหายเข้าไปในฝูงชนจนถูกมองข้ามไป

    อีกทั้งเพียงชิดจันทร์ยังทำตัวธรรมดามาก เธอเป็นลูกหลานคนมีสตางค์ มีธุรกิจที่บ้านที่ทำเงินมากมายก็จริง แต่ในตัวหญิงสาวกลับไม่มีเครื่องใช้แบรนด์หรูเลยสักชิ้น และไม่ใช่แค่เธอ...แต่เพื่อนๆ ของเธอทั้งสองคนก็เช่นกัน บางทีอาจจริงอย่างที่ดาวศุกร์เคยบอกก็ได้ว่า...คนที่ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว มักจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับทรัพย์สินที่ตัวเองมีสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนพวกเศรษฐีเกิดใหม่ ใช้ของอู้ฟู่ กินอยู่หรูหรา เหมือนชดเชยความไม่เคยมีของตัวเอง

    และเพราะเรียบง่ายไม่อวดรวยเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ ไม่ใช้ชีวิตหรูหราเกินความจำเป็นนี่แหละ มันเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ทยากรตกหลุมรักเธอจนถอนหัวใจไม่ขึ้น

    “น้องเมี่ยงพูดแบบนี้แสดงว่าจันทร์เป็นคนไม่ธรรมดา” ถึงจะรู้ประวัติหญิงสาวมาบ้างแล้ว แต่ทยากรก็อยากฟังจากปากคนใกล้ชิดเพียงชิดจันทร์เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ ว่าสิ่งที่เขาได้รับรู้มานั้นจริงเท็จมากน้อยขนาดไหน

    “ระดับลูกรักหลานรักเจ้าของโรงแรมอ่ะค่ะ” มณิกาเป็นฝ่ายเอามือป้องปากทำท่ากระซิบกระซาบราวกับว่ามันคือ ความลับสุดยอดที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ “แต่ยายจันทร์ของเราก็เป็นแบบนี้ ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีเงินจะใช้” มณิกาอดแซวเพื่อนไม่ได้

    หญิงสาวเชื่อว่าหากเป็นลูกหลานบ้านอื่นที่มีฐานะเกินอันจะกินแบบเพียงชิดจันทร์แล้วล่ะก็ คงไม่มานั่งทานข้าวกลางสนามหญ้าแบบนี้ หรือทานข้าวในโรงอาหารเหมือนคนปกติเขาทำกันแน่ คนพวกนั้นอาจต้องกินร้านหรูในห้างทุกมื้อ หรือไม่ก็ทำตัวเรื่องมากสุดจะทน

    “จริงอย่างที่ม่านว่าค่ะ ความจริงจันทร์ไม่จำเป็นต้องทำงานพิเศษก็ได้ ตัวเองมีร้านรองเท้าขายดิบขายดีอยู่แล้ว” มณิสรร่วมด้วยช่วยเผาเพื่อนรักอีกคน “แต่ก็อย่างว่าแหละ ทำอะไรที่ไม่เคยทำมันก็ท้าทายดีเนอะ” เธอพยักพเยิดหน้าไปหาเพียงชิดจันทร์อย่างคนช่างกระเช้า

    “นี่พวกเธอจะเผาฉันให้พี่ทานต์ฟังเพื่อ?” เพียงชิดจันทร์ทำสายตาขุ่นเขียวใส่เพื่อนทั้งสองคนด้วยความหมั่นไส้เหลือทน ที่จู่ๆ ตัวเองก็กลายเป็นประเด็นสนทนาหลัก แล้วก็ถูกเผาจนยับเยินเสียด้วย

    “เรื่องเธอมันสนุกสุดๆ แล้วนี่” สองสาวฝาแฝดตอบแทบจะพร้อมกัน พร้อมกับหัวเราะคิกคักในลำคอ ไม่นึกสนใจสายตาขุ่นเขียวของเพื่อนๆ เลย

    ความจริงแล้วเรื่องฐานะทางบ้านเพียงชิดจันทร์ก็ไม่ได้จงใจจะปกปิดไม่ให้ใครรู้ เพียงแต่เธอไม่อยากเอาความร่ำรวยมาเป็นบรรทัดฐานในการใช้ชีวิต หรือเอาฐานะทางการเงินมาแบ่งชนชั้นในสังคมมากกว่า

    “แอบสงสารคนที่มาจีบจันทร์เหมือนกันนะคะ ได้แต่ส่งขนมให้ทุกวันๆ ถ้ารู้ว่าครอบครัวยายจันทร์ฐานะอลังการขนาดไหน แถมยังมีคุณอาเป็นมาเฟียสุดหล่ออีก เขาจะถอดใจมั้ยเนี่ย” มณิสรไม่วายเผาเพื่อนสาวให้ทยากรฟังต่อ

    “เขาอาจจะรู้แล้วก็ได้นะ” ทยากรตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ขณะวางแผนเข้าหาผู้ใหญ่ของเธอเอาไว้ในใจ

    ใช่! ทยากรกำลังคิดหาทางเข้าหาเธอและผู้ใหญ่ฝ่ายเพียงชิดจันทร์อย่างแนบเนียนมากที่สุด




    ...Loading 100 %...

    นี่คือนิยายอารมณ์ดีชิมิ^^ มีทั้งความเข้าใจผิดแบบเปิ่นๆ มีทั้งความอ่อยแรง และเสนอตัวเอง
    และมีทั้งความสกัดดาวรุ่ง
    ส่วนพี่ทานต์ก็ไม่กล้าเถียงหนูจันทร์สักคำ เถียงก็เถียงเบาๆ ในใจ
    นี่ยังไม่เป็นแฟนกันยังไม่กล้ามีปากเสียงกับน้องเลย พี่หล่อทั้งหน้าตาและจิตใจจริงๆ










    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×