คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เพียงชิดใจ :: บทที่ 08 ตอน ความสุขเล็กน้อย 100 %
|| บทที่แปด ||
_____________________________________________________________________
ความสุขเล็กน้อย
พอได้ยินคำอวยพรผสมกับความยียวนกวนประสาทของน้องสาว
คนเป็นพี่ชายก็ถึงกับอยากเอื้อมมือไปเขกกะโหลกเจ้าตัวแสบในสายตาเขาสักทีสองที
“หืม
ไอนิล!” ศราไม่นึกเลยว่าจะได้ยินน้องสาวตัวเองพูดแบบนี้กับเขา
“คนที่สมควรอวยพรฉันคือพ่อกับแม่เว้ย ไม่ใช่แก”
พอศราโวยวายใส่แต่ท่าทีไม่ได้จริงจังมากนัก
ทว่าฝ่ายนิลเนตรกลับยักไหล่ให้อย่างไม่สะทกสะท้านกับคำโวยวายของพี่ชาย
หญิงสาวคิดเอาเองว่าให้เธออวยพรน่ะดีกว่าให้พ่อกับแม่อวยพรตั้งเยอะ
เพราะเท่าที่เห็นและสัมผัสมา...พวกท่านไม่เคยใส่ใจหรือประสบความสำเร็จในชีวิตเลยไม่ว่าด้านไหนก็ตาม
ตั้งแต่จำความได้ในชีวิตนอกจากตอนยังเด็กที่มีพ่อแม่คอยอุ้มชูดูแล เธอกับศราก็ใช้ชีวิตกันสองคนมาตลอด
นิลเนตรไม่อยากคิดถึงเรื่องในอดีตที่เลวร้ายจนทำลายบรรยากาศดีๆ
ไปเสียหมด หญิงสาวยิ้มขำกับท่าทีของพี่ชายที่โวยวายใหญ่โต ก่อนจะเปิดประตูรถ
“พ่อแม่เราคงมีเวลามาอวยพรให้พี่หรอกนะ
ป่านนี้อยู่ไหนกันบ้างก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดความจริงเพราะนานทีปีหนท่านทั้งสองคนจะติดต่อกลับมาหาเสียที
นิลเนตรไม่ต้องการดึงดราม่าให้เรื่องที่น่ายินดีต้องเศร้าลงตามไปด้วย
อีกอย่างเธอกับพี่ชายก็ชินชากับเรื่องที่ถูกพวกท่านเมิน หรือเลี้ยงดูแบบทิ้งๆ
ขว้างๆ แล้ว “ให้นิลอวยพรให้น่ะดีแล้ว อย่างน้อยนิลก็ประสบความสำเร็จในชีวิต
ไม่มากก็น้อยแหละน่า”
“นั่นสิ”
ศราเห็นด้วยกับน้องสาว ในครอบครัวของเขาหากถามหาคนที่ชีวิตมีจุดมุ่งหมาย
ชีวิตมีค่ามากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นนิลเนตร ตัวเขาเองเป็นพี่ชายถึงจะเรียนจบมีงานทำ
แต่ก็พาชีวิตตัวเองลงเหว กว่าจะคิดได้ก็เกือบสายเกินไป
ผิดกับนิลเนตรที่พยายามทำทุกวิถีทางให้จุดหมายของตัวเองถึงฝั่งฝัน “จะว่าไปเราสองคนที่โคตรเก่งเลยว่ะ
ผ่านเรื่องบ้าๆ มาได้ตั้งเยอะ”
ศรายิ้มพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาราวกับโล่งอก
ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ วันนี้เหมือนท้องฟ้าโปร่งสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง พอหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต
ทั้งชีวิตครอบครัว และเรื่องราวหลายอย่างที่ผ่านไปแล้ว
วันนี้เขาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ และชายหนุ่มเชื่อว่าต่อไปนี้อะไรๆ จะต้องดีขึ้นกว่าเดิม
“นั่นสิ”
นิลเนตรยิ้มตาม ก่อนจะตบไหล่พี่ชายเบาๆ อย่างให้กำลังใจกัน “เรื่องมันผ่านไปแล้วน่า
อย่าคิดมากเลย แต่ว่าตอนนี้รีบไปเหอะ เดี๋ยวนิลไปเรียนสายพอดี”
ศราส่งน้องสาวขึ้นนั่งข้างคนขับก่อนจะปิดประตูให้
จากนั้นตัวเองก็นั่งประจำที่ก่อนจะขับรถออกจากบ้าน โชคดีวันนี้รถไม่ติดอาจเพราะใกล้เทศกาลที่มีวันหยุดติดกันหลายวัน...หลายคนอาจลางานล่วงหน้าแล้วกลับต่างจังหวัดไปก่อน
ทำให้บนท้องถนนไม่มีรถราสัญจรหนาแน่นมากนัก
ใช้เวลาไม่นานศราก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าเขตประตูรั้วมหาลัยฯ ที่น้องสาวเรียนอยู่
“พี่จอดหน้าตึกข้างหน้าแหละ”
หญิงสาวรีบบอกเมื่อใกล้ถึงจุดหมายของตัวเอง
ศราจึงชะลอความเร็วรถก่อนจะจอดเทียบฟุตบาทหน้าตึกคณะฯ
“แกเรียนตึกนี้เหรอ?”
ชายหนุ่มทอดมองดูตึกตรงหน้าที่ค่อนข้างใหญ่โตกว่าตึกอื่นๆ
มิหนำซ้ำยังมีทางเชื่อมระหว่างตึกเล็กเข้าหาตึกใหญ่ และเพราะกระจกค่อนข้างใสมองทะลุได้
เขาถึงได้เห็นว่าข้างในชั้นแรกนั้นมีทั้งร้านสะดวกซื้อ ทั้งเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
ร้านค้าบริการนักศึกษา แคนทีนขนาดย่อม มีบันได้เลื่อนที่เชื่อมกับชั้นลอยซึ่งถูกจัดไว้เป็นที่นั่งเล่นเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่
และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เอาไว้ให้เสร็จสรรพ
ความจริงแล้วศราก็เคยเรียนอยู่ที่เดียวกับน้องสาวเหมือนกัน
แต่ว่าคนละตึก คนละคณะฯ ตอนที่เขาเพิ่งจบใหม่ๆ ตึกนี้เพิ่งเริ่มก่อสร้างด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทันสมัยใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้
“ก็ใช่สิ”
นิลเนตรบอกพี่ชายเสียงหนักแน่น ก่อนจะชี้ไปที่ตัวอักษรตัวโตหน้าตึก “เขียนตัวเบ้อเริ่มนั่นไง
ตึกคณะนิเทศศาสตร์”
“ฉันนี่แย่แค่ไหนกันวะ”
พอน้องสาวย้ำชัดว่าตนเองเรียนตึกนี้จริงๆ ศราก็อดสะท้อนใจไม่ได้ “แกเรียนใกล้จบแล้วด้วยซ้ำ
แต่ฉันเพิ่งจะเคยเห็นตึกที่แกเรียน” เขาแค่นหัวเราะขื่นๆ ในลำคอ ที่ผ่านมาเขาละเลยน้องสาวมากขนาดนี้เลยหรืออย่างไร
ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าน้องตัวเองเรียนคณะฯ อะไร
“บอกแล้วไง
เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ แล้วเรามาเริ่มต้นใหม่กัน” นิลเนตรบอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเข้าใจ
อีกอย่างเธอไม่อยากให้ศราคิดมากจนเฝ้าโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมา “นิลไปนะ หรือเราจะลงไปกินข้าวด้วยกันก่อน”
“ไม่ดีกว่า”
ศราส่ายหน้า “ฉันไปหากินข้างหน้าดีกว่า อีกอย่างยังมีงานที่ต้องสะสางอีกเยอะเลย”
“ก็ตามใจ”
นิลเนตรเปิดประตูกำลังจะก้าวลงจากรถของพี่ชาย
ทว่าศราก็รั้งน้องสาวไว้อีกครั้ง
“เอ่อ
เดี๋ยวสิยายนิล ฉันมีอะไรจะให้น่ะ” นิลเนตรหันกลับมาเผชิญหน้ากับพี่ชายอีกครั้ง
ขณะที่ศราเองหยิบซองสีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักหน้ารถ แล้วหยิบเงินปึกหนึ่งให้นิลเนตร
“เอานี่ไป”
“สองหมื่น!” นิลเนตรรับเงินไว้ก่อนจะนับ “พี่ไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ”
หญิงสาวมองพี่ชายด้วยสายตาเบิกกว้างขึ้น
เธอไม่ได้ตกใจกับจำนวนเงิน เพียงแต่แปลกใจมากกว่าที่จู่ๆ พี่ชายก็เอาเงินมากมายขนาดนี้มาให้
ที่ผ่านมานิลเนตรอาจเคยเป็นแต่ผู้หยิบยื่นเงินจำนวนขนาดนี้ให้พี่ชายใช้จ่าย
พอได้มาเป็นผู้รับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
หญิงสาวจ้องคนข้างกาย มองพี่ชายตัวเองด้วยสายตาไม่ค่อยไว้วางใจสักเท่าไหร่
“ฉันไม่ได้กู้ใครหรือเล่นมาได้หรอกน่า
เชื่อเถอะ” ศรารีบบอกเมื่อเห็นสายตาจับผิดของน้องสาว “น้ำพักน้ำแรงฉันทั้งนั้น
เงินบริสุทธิ์ผุดผ่อง แกสบายใจได้”
“แล้วเงินเยอะขนาดนี้ทำไมพี่ไม่เก็บไว้ใช้เอง
เผื่อต้องใช้จ่ายอะไรจะได้ไม่ลำบาก” นิลเนตรรู้ว่าพี่ชายหวังดีและอยากดูแลเธอบ้าง แต่เธอไม่อยากให้ศราต้องปรับตัวเป็นคนดีจนตัวเองต้องลำบากยากแค้น
หรือต้องกระเบียดกระเสียรใช้เงินเกินไป ที่สำคัญเงินที่ได้มาจากความตั้งใจทำงานเขาก็น่าจะเก็บไว้ชมเชยหรือซื้อของดีๆ
ให้ตัวเองเป็นรางวัลของหยาดเหงื่อ ไม่ใช่เอามาให้เธอแบบนี้
“เอาไปเหอะน่า
ถือว่าฉันใช้หนี้ให้แกก็ได้” พอเห็นน้องสาวลังเลและมีสีหน้าลำบากใจที่จะรับเงินเอาไว้
ศราจึงหยิบเงินก้อนนั้นกลับคืนมา พร้อมกับดึงกระเป๋าสะพายของนิลเนตรติดมือมาด้วย ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าสะพายก่อนจะยัดเงินลงกระเป๋าแล้วส่งคืนให้น้องสาวคนสวย
“รับไว้เหอะนะ ให้ฉันได้ทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีบ้าง”
“แล้วพี่มีใช้พอทั้งเดือนเหรอ”
นิลเนตรกังวลใจ กลัวว่าพี่ชายจะลำบากเพราะเธอ “อย่าลำบากเพราะนิลเลย”
“นี่พี่แกนะโว้ย
ฉันไม่โง่จนถึงขั้นปล่อยให้ตัวเองลำบากหรอกน่า”
“แต่ว่า..”
“บอกให้แกสบายใจตรงนี้เลยว่าเงินที่ฉันมีตอนนี้พอกินอาหารดีๆ
สบายไปถึงสองเดือน ไม่ต้องทนนั่งกินบะหมี่สำเร็จรูปหรือไข่ต้มให้แกสังเวชใจแน่”
มาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็ทั้งปลื้มใจ
ตื้นตัน และดีใจ ถึงจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับจากพี่ชาย
แต่มันก็ทำให้นิลเนตรรู้สึกว่าตนเองไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกอีกต่อไป
“ขอบคุณนะพี่ศรา”
นิลเนตรขยับตัวเข้าไปหาพี่ชายแล้วหอมแก้มเป็นการย้ำคำขอบคุณของเธอเบาๆ
ส่วนศราเองก็อึ้งไป
คงเพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์พี่น้องค่อนข้างห่างเหินกันมาก
กว่าศราจะรู้ตัวอีกน้องสาวคนสวยก็ลงจากรถไปแล้ว
ชายหนุ่มรีบลดกระจกรถ
ก่อนจะตะโกนออกไปบอกน้องสาวทั้งที่สองแก้มขึ้นสีเรื่อนิดๆ
“เลิกเรียนแล้วอย่าลืมโทรหาฉันล่ะ
ฉันจะมารับ ได้ยินมั้ยยายนิล”
“จันทร์
สรุปฉันสั่งร้านนี้นะ” มณิกาถามเพียงชิดจันทร์ด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
เพราะเพื่อนหน้าห้องกำลังพรีเซ็นต์งานอยู่
ทั้งสองคนกำลังเรียนคาบสุดท้ายในช่วงเช้า
นี่ก็ใกล้จะหมดเวลาเรียนเต็มที ส่วนช่วงบ่ายไม่มีเรียนเพราะอาจารย์มีธุระด่วนเลยยกเลิกคลาสแบบกะทันหัน
เพียงชิดจันทร์กับมณิกาจึงวางแผนว่าในช่วงกลางวันจะหาที่ปิกนิกพร้อมติวหนังสือไปด้วย
สถานที่ที่สองสาวจะปิกนิกนั้นคือ
‘สวนเอนกประสงค์’ ที่ทางมหาลัยฯ เพิ่งปรับปรุงสถานที่ใหม่
ที่นั้นมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีสวนดอกไม้ ลมพัดเย็นสบาย เป็นลานสนามหญ้ากว้างขวาง
มีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง พอปรับภูมิทัศน์ใหม่แล้วก็ได้รับความนิยมจากนักศึกษาในมหาลัยฯ
เป็นจำนวนมาก ทั้งเป็นสถานที่ถ่ายรูปอัพภาพสวยๆ ลงโซเชี่ยล ทั้งเป็นสถานที่นั่งเล่นผ่อนคลาย
พักผ่อนหย่อนใจ บางรายก็เอาเสื่อมาปูนั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้ใหญ่กัน
มณิกาเปิดดูรูปร้านหมูทอดร้านหนึ่งซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
ในรีวิวบอกเอาไว้ว่าหมูทอดร้านนี้กรอบนอกนุ่มในและยังมีน้ำจิ้มให้ห้ารสห้าแบบ
เมื่อเพียงชิดจันทร์ตกลงให้ร้านนี้เป็นมื้อกลางวัน มณิจึงสั่งอาหารผ่านแอพพิเคชั่นหนึ่งทันที
ดังนั้นพอหลังจากหมดคาบเรียน
อาหารที่สั่งก็มาส่งแบบพอดิบพอดี สองสาวพากันเดินไปที่สวนเอนกประสงค์
ซึ่งมณิกานัดกับมณิสรเอาไว้ที่นั่น พอไปถึงมณิสรก็จองที่พร้อมเอาเสื่อลายดอกไม้สีสันสดใสมาปูรอไว้เรียบร้อยแล้ว
สามสาวทานอาหารพร้อมกับคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ
ตามปกติ แต่พอเริ่มลงมือทานอาหารได้ไม่นาน สายตาของมณิสรก็เหลือบไปเห็นร่างสูงของนักร้องหนุ่มขวัญใจกำลังเดินเลาะสวนเอนกประสงค์เข้าพอดี
ให้ตายเถอะ! นี่เขาเดินมาแถวนี้เพื่อเรียกเรทติ้งหรือเปล่านะ!
มณิสรคิดในใจกับภาพที่เธอเห็นตรงหน้า
ขนาดทยากรเดินลัดเลาะท่ามกลางเงาแสงแดดที่ส่องพ้นเงาร่มไม้ใหญ่น้อย ทยากรไม่ได้แต่งตัวมากเลยแค่อยู่ในชุดนักศึกษาด้วยซ้ำ
แต่ก็ยังดูดีมากเสียจนเขาโดดเด่นกว่าใคร ท่ามกลางนักศึกษามากมายที่นั่งเล่นอยู่ในบริเวณนี้ด้วยซ้ำ
“แก
นั่นพี่ทานต์นี่นา”
มณิสรรีบสะกิดบอกมณิกากับเพียงชิดจันทร์ให้หันไปมองตามเธอ
ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเองทยากรก็มองมาพอดี นักร้องหนุ่มไม่รอช้า
พอเขาเห็นเพียงชิดจันทร์นั่งอยู่กับเพื่อนๆ ของเธอ ก็รีบสาวเท้าเข้าร่วมกลุ่มด้วย
“อ้าว น้องจันทร์”
ทยากรเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ที่สดใสเหมือนดอกทานตะวันล้อเล่นกับแสงอาทิตย์
แค่เพียงรอยยิ้มของเขาก็ทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว สดใสขึ้นมาทันตา “มานั่งทำอะไรกันตรงนี้”
สามสาวขยับพื้นที่เพื่อให้เขาเข้ามานั่งร่วมกลุ่มกับพวกเธอด้วย
โชดีเสื่อที่มณิสรเอามาใช้ปูค่อนข้างผืนใหญ่สามารถนั่งได้หลายคน
จึงสามารถนั่งได้แบบสบายๆ ไม่อึดอัด
เพียงชิดจันทร์กับมณิกาส่งยิ้มหวานๆ
ทักทายสมาชิกใหม่ของกลุ่มเป็นการต้อนรับ ขณะที่มณิสรจากเดิมเป็นสาวใจกล้า
ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นสาวขี้อายไปชั่วขณะ ทยากรมองทั้งสามคนอย่างรอคำตอบ
แต่เขาเห็นแล้วว่าพวกเธอคงเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งเล่นนั่งอ่านหนังสือกัน
ทางด้านทยากร
ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจบังเอิญผ่านมาเพื่อ ‘อ่อย’
เพียงชิดจันทร์เหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้เขาโชคดีมากที่บังเอิญมาเจอหญิงสาวที่สวนเอนกประสงค์
ความจริงแล้วเขาแอบมาหาที่สงบๆ นั่งแต่งเพลงใหม่ต่างหาก แต่พอเดินออกมาจากด้านหลังตึกตั้งใจจะแวะไปแคนทีนหาอะไรทาน
พอบังเอิญมองผ่านๆ เข้ามาที่สวนก็เห็นเพียงชิดจันทร์เข้าพอดี
พรหมลิขิตบันดาลชักพา
และเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก
กอปรกับเขาและเพียงชิดจันทร์เริ่มสนิทกันมากขึ้นจากเดิมแล้ว จึงทำให้ความเขินอายที่มีลดลงและความกล้าเข้ามาแทนที่
ทยากรจึงตัดสินใจเดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับสาวๆ เป็นครั้งแรก
อย่างน้อยก็สร้างความสนิทสนมคุ้นชินทั้งกับเพียงชิดจันทร์และเพื่อนๆ ของหญิงสาวไปด้วย
“คือพอดีคาบบ่ายพวกเราว่างค่ะ
เลยมานั่งติวหนังสือกัน อีกอย่างเบื่ออาหารในแคนทีนแล้วด้วย ก็เลยสั่งของมาทานกันนิดหน่อย”
มณิกาบอกชายหนุ่ม
“พี่ว่าไม่นิดแล้วนะ”
ทยากรมองกล่องอาหารตรงหน้าแล้วอมยิ้ม
“พี่ทานต์ทานด้วยกันสิคะ
ร้านนี้ร้านดังเลยนะ” มณิสรเอ่ยชวนชายหนุ่มเสียงหวานอย่างที่ทำให้ทั้งเพื่อนสนิทอย่างเพียงชิดจันทร์และฝาแฝดอย่างมณิกาต้องยิ้มขำกับท่าทางเขินอายเกินเหตุของเจ้าตัวแสบประจำกลุ่ม
“ดีเลย
พี่กำลังหิวอยู่พอดี” ทยากรรีบตอบรับคำชวนทันที เขาจึงอาสาเลี้ยงน้ำสาวๆ
เป็นการตอบแทนมื้อกลางวัน
กลุ่มของเพียงชิดจันทร์กลายเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น
หลายคนมองมาเพราะมีทยากรนั่งร่วมกลุ่มอยู่ด้วย ทยากรเองชินกับสายตาหลายคู่ที่มองมาแล้ว
เขาต้องอยู่หน้ากล้องและเล่นคอนเสิร์ตเลยไม่ได้รู้สึกอะไร ส่วนเพียงชิดจันทร์กับเพื่อนๆ
ของเธอ แม้ว่าจะยังไม่ชินกับการถูกจับจ้องแบบนี้ แต่สาวๆ ก็ไม่ได้แสดงอาการประหม่าใดๆ
ออกมา มิหนำซ้ำพวกเธอทำตัวตามสบาย ทำตัวปกติเป็นธรรมชาติจนทยากรรู้สึกเบาใจ
“เอ้อ
นี่สรุปแล้วพวกเราจะไปงานพี่หรือเปล่า น้องจันทร์บอกรายละเอียดหรือยัง”
ทยากรถามขึ้น เพราะเขาเห็นว่าเพียงชิดจันทร์เองก็เงียบไปเลย
“งาน
Fan Meeting หรือคะ จันทร์บอกแล้วค่ะ” มณิกาตอบ ก่อนจะเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายเพราะพวกเธอตัดสินใจแล้วว่าจะไปทำงานอื่นแทน
“ขอโทษนะคะพี่ทานต์ แต่พวกเราตัดสินใจแล้วว่าไม่ไป”
“ทำไมล่ะ?”
“พวกเรารับทำงานพิเศษไปแล้วค่ะ”
เพียงชิดจันทร์ตอบแทนเพื่อนๆ ของเธอ “จันทร์ขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอกพี่ทานต์ล่วงหน้า”
“ไม่เป็นไรหรอก
พี่เข้าใจ” ชายหนุ่มรีบปลอบโยน ความจริงหากเธอมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า...เขาจะว่าอะไรได้
“ว่าแต่จะทำงานพิเศษกันเหรอ”
“ค่ะ
คือจันทร์กับเพื่อนจะไปทำงานที่โรงแรมค่ะ” หญิงสาวบอก วันก่อนเธอเข้าไปขออนุญาตดาริณทำงานที่โรงแรมแล้ว
ตอนเธอพูดเปรยๆ กับดรัณ...ฝั่งดรัณก็ให้เธอมาถามผู้เป็นย่าเอาเอง
พอได้รับไฟเขียวหญิงสาวดีใจมาก เธอเลยเลือกที่จะทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินซื้อของขวัญให้ย่าก่อน
“ใกล้ถึงวันเกิดคุณย่าแล้วค่ะ จันทร์เลยจะหาเงินซื้อของขวัญให้คุณย่า”
เพียงชิดจันทร์บอกเหตุผลออกไป
ความจริงเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเพื่อนทั้งสองคนจะอยากทำงานพิเศษนี้ด้วย แต่พอเธอบอกออกไปทั้งสองคนก็ตอบตกลงทันที
เพียงชิดจันทร์เลยรีบโทรบอกดรัณอาหนุ่ม...ให้คุณอาของเธอช่วยล็อคตำแหน่งงานเอาไว้ให้
“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะพี่ทานต์
ยังไงงานกีฬาสัมพันธ์ของมหาลัยฯ พวกเราไปเชียร์แน่นอนค่ะ”
มณิสรที่นั่งเงียบบอกทยากรเพราะกลัวว่าเขาจะเสียใจ เธอเองเป็นแฟนคลับตัวยงของเขา อีกทั้งงานนี้ยังเป็นงานของมหาลัยฯ
ศึกแห่งศักดิ์ศรีของ 2 สถาบัน อย่างไรแล้วเธอก็ต้องไปเชียร์เขาอย่างแน่นอน
“เอาอย่างนี้ดีมั้ย
พี่ว่าเรามาแลกเบอร์กัน พอถึงวันงานพี่มารับดีกว่า เราจะได้ไปพร้อมกันเลย”
“ดีเลยค่ะ”
มณิสรตอบรับด้วยความยินดี แม้จะยังประหม่าอยู่นิดหน่อยเวลาอยู่ใกล้นักร้องขวัญใจก็ตาม
ปกติแล้วทยากรไม่ค่อยให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวกับใครถ้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกันเรื่องงาน
หรือไม่ก็ต้องเป็นคนสนิทจริงๆ ถึงจะสามารถติดต่อเขาโดยตรงได้
ชายหนุ่มไม่ชอบความวุ่นวาย
แต่สำหรับเพียงชิดจันทร์กับเพื่อนๆ ของเธอนั้นถือเป็นข้อยกเว้น
เขาแทบจะเป็นฝ่ายเสนอทุกอย่างเอง นั่นเพราะทยากรคิดว่าอนาคตทั้งหมดคงได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันจริงๆ
ความสัมพันธ์ของเขากับเพียงชิดจันทร์จะค่อยๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อีกอย่างอนาคตอันใกล้เขาก็ป้องกันเอาไว้เลยว่าเพียงชิดจันทร์กับเพื่อนจะไม่มีทางปฏิเสธเขา
หากเขาชวนพวกเธอไปไหนมาไหน เพราะเขามีช่องทางติดต่อทั้งสามคนแล้ว
พอทยากรขอแลกเบอร์
มีหรือว่าแฟนคลับตัวยงอย่างมณิกาและมณิสรจะปฏิเสธลงคอ กลับกันฝาแฝดสาวทั้งสองคนยินดีอย่างมาก
จากที่นั่งเกรงๆ ในตอนแรกเพราะเขาเป็นทั้งรุ่นพี่และนักร้องขวัญใจ
พวกเธอก็ทำตัวตามสบายมากขึ้น ยิ้ม เล่น และพูดคุยเหมือนเพื่อนที่คบหากันมานาน และยังชื่นชมทยากรในใจด้วยว่าเขานั้นเป็นคนดังแต่กลับไม่ถือตัว
เข้าถึงง่าย ใจดี และยังเป็นกันเองแบบสุดๆ
การตัดสินใจเข้ามาร่วมกลุ่มของทยากรครั้งนี้ดูเหมือนจะเรียกคะแนนจากสามสาวได้ไม่ยากนัก
และเขาหวังลึกๆ ว่าพวกเธอจะยินดีต้อนรับเขาเข้ากลุ่มเป็นสมาชิกด้วยอีกคน
“เอ๊ะ
นี่ไลน์พี่ทานต์เหรอคะ ม่านไม่แน่ใจ” มณิกาเอ่ยถามนักร้องหนุ่ม เพราะพอเธอเมมเบอร์ของทยากรแล้วไลน์ของเขาก็เด้งขึ้นมาทันที
แต่หญิงสาวไม่แน่ใจเท่าไหร่ นั่นเพราะรูปโปรไฟล์เขาเป็นรูปดอกทานตะวัน
ไม่ใช่รูปหน้าหล่อๆ ของทยากรเลย
“ใช่
นั่นพี่เอง”
“ม่านนึกว่าพี่ทานต์จะใช้รูปตัวเองตั้งเป็นโปรไฟล์เสียอีก”
“อย่างนั้นเราตั้งไลน์กลุ่มเอาไว้คุยกันดีมั้ยคะ”
มณิสรเสนอ
“อย่าเลย
ฉันว่าจะรบกวนพี่ทานต์นะ” เพียงชิดจันทร์บอกเสียงเบา เธอเกรงใจชายหนุ่มเหลือเกินเพราะเขาเป็นศิลปินที่กำลังมาแรง
ไหนจะต้องเรียน ไหนจะต้องทำงานอีก เพียงชิดจันทร์เกรงว่าหากตั้งไลน์กลุ่มแล้วเพื่อนเธอชวนเขาคุยไม่หยุด
ทยากรคงไม่เป็นพักผ่อนกันพอดี “พี่ทานต์ทั้งเรียน ทั้งทำงาน ต้องเล่นดนตรีดึกดื่นไม่ใช่หรือคะ
ขืนพวกเราชวนคุยในกลุ่มพี่ทานต์จะรำคาญเสียเปล่าๆ”
“เออ
จริงด้วย” มณิสรหน้าจ๋อยลงอย่างไม่ทันได้ฉุกคิด “ฉันเองก็ลืมคิดไปเลย อย่างนั้นเมี่ยงไม่รบกวนเวลาพักของพี่ทานต์ดีกว่า”
“พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่ารำคาญพวกเรา
และพี่ก็เคยบอกจันทร์ไปแล้วด้วยว่าพี่มีเพื่อนสนิทน้อย
มีพวกเราเป็นเพื่อนก็น่าสนุกดีออก” ทยากรยิ้มขณะหันไปมองคนขี้เกรงใจ เขาอยากบอกให้เพียงชิดจันทร์รู้ว่าเขายินดีและเต็มใจให้พวกเธอรบกวนอย่างมาก
“เอาเป็นว่าพี่ตั้งกรุ๊ปเองก็แล้วกันเนอะ พวกเราจะได้ไม่ต้องเกรงใจพี่”
พูดจบ
ทยากรก็กดตั้งกรุ๊ปในแชทไลน์ ด้วยการชวนสามสาวเข้ามาเป็นเพื่อน จากนั้นทั้งเขา
มณิสร และมณิกาต่างก็ส่งสติ๊กเกอร์ทักทายกันในกลุ่ม เว้นก็แต่เพียงชิดจันทร์
ทยากรไม่ได้พูดอะไร
จากที่เคยคุยกันและเท่าที่เขารู้จักเพียงชิดจันทร์นั้น เขารู้ดีว่าเพียงชิดจันทร์เป็นเด็กดี
แต่ก็ขี้เกรงใจมาก บางทีเขาคิดว่าเธออาจกำลังคิดอยู่ลึกๆ
ว่ากลุ่มไลน์นี้อาจจะรบกวนเวลาส่วนตัวของเขาจนส่งผลกระทบต่อการเรียน หรือไม่ก็เรื่องงาน
“จันทร์ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ
ชีวิตพี่เงียบเหงาจะตายไป” ชายหนุ่มบอก เพราะไม่อยากให้เธอเป็นกังวลใจกับเรื่องของเขา
“เงียบเหงาหรือคะ
พี่ทานต์มีเพื่อนทั้งในวงการและก็เพื่อนนอกวงการ ยุคนี้สมัยนี้ไม่มีใครไม่รู้จักพี่ทานต์
แล้วชีวิตจะเงียบเหงาได้ยังไงกัน” เพียงชิดจันทร์เถียง
เพราะเธอเชื่อว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยแสงสีและชื่อเสียงอย่างทยากรจะไม่มีทางเงียบเหงาเหมือนที่เขาพูดออกมาแน่
‘จันทร์นั่นแหละไม่รู้จักพี่’
ชายหนุ่มเถียงหญิงสาวช่างพูดอยู่ในใจ
เพียงชิดจันทร์เองก็ใช่ว่าจะรู้จักเขา เธอเพิ่งมารู้จักเขาอย่างจริงจังเพราะเพื่อนบอกว่าเขาเป็นศิลปินที่กำลังมาแรง
ลำพังตัวเธอเองเคยชายสายตามองคนดังอย่างเขาเสียเมื่อไหร่กัน และไม่ใช่เพราะเขาเป็นฝ่ายอ่อยเธอก่อนเหรอ
ถึงได้มานั่งอยู่ข้างๆ กันตรงนี้
“จันทร์
อย่ามองเหมือนไม่ไว้ใจพี่แบบนั้นสิ”
“จันทร์ว่าพี่ทานต์มีแผนจ้องจะจีบเพื่อนของจันทร์แน่ๆ
เลย” เพียงชิดจันทร์หรี่สายตาลงข้างหนึ่งอย่างต้องการจับพิรุธคนดัง “พี่ทานต์จะจีบม่านหรือเมี่ยงคะ”
เพียงชิดจันทร์ไม่ได้ไร้เดียงสาจนถึงขนาดไม่รู้เจตนาแอบแฝงของชายหนุ่ม
และในเวลานั้นจู่ๆ เธอก็เกิดอาการ ‘หวงเพื่อน’
ตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทว่ามณิสรที่โสดสนิทไม่สนใจอาการหวงเพื่อนเลยสักนิด
เธอกำลังตื่นเต้นกับคำพูดของเพียงชิดจันทร์จนหัวใจพองคับอก และก็รีบเปิดโอกาสให้ตัวเองทันที
“เมี่ยงโสดมากค่ะพี่ทานต์”
มณิสรบอกนักร้องหนุ่มด้วยกิริยาเขินอาย สองข้างแก้มขึ้นสีแดงเรื่อแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้โอกาสตรงหน้าให้หลุดลอยไป
“บอกมาตามตรงดีกว่าค่ะ
พี่ทานต์จีบยายม่านหรือเมี่ยงกันแน่” เพียงชิดจันทร์เค้นคอเอาคำตอบจากฝ่ายชาย
‘จีบเรานั่นแหละ’
ทยากรตอบเธอในใจขณะที่สายตาคมกริบประสานสายตาคู่สวยของเพียงชิดจันทร์ยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเองเต็มประดา
ความจริงเพียงชิดจันทร์เดาเกือบถูกแล้ว แต่ผิดตัวไปหน่อยแค่นั้นเอง
“พี่ทานต์จีบม่านไม่ได้แล้วนะคะรู้มั้ย
ม่านมันมีแฟนแล้ว” มณิสรรีบสกัดดาวรุ่งเพื่อให้ทยากรสนใจเธอแต่เพียงผู้เดียว
“อ้าว
อยู่ๆ ก็มาสกัดดาวรุ่งกันซะอย่างนั้น” มณิกาบ่น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เธอชอบทยากรมากก็จริง แต่ไม่ได้อยากควงแขนเขาเป็นแฟนเดินอวดใครต่อใคร
เขาเป็นคนในฝัน...ไม่ใช่คนในชีวิตจริง อีกอย่างเธอเองก็มีต้องชนะอยู่ในใจแล้วทั้งคน
“ตอนนี้พี่ทานต์ต้องจีบเมี่ยงแล้วล่ะค่ะ
เพราะเมี่ยงโสดมาก โสดม้ากกกก” มณิสรย้ำเสียงสูง ทำเอาทั้งทยากร มณิกา
และเพียงชิดจันทร์ลอบขำกับท่าทางของเพื่อนตัวแสบ
ปกติพวกเธอเห็นมาดร้ายๆ
แบบสาวสายลุยของมณิสรมากกว่า พอจู่ๆ เพื่อนของตัวเองมาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน
ทำสายตาเยิ้มๆ ใส่ผู้ชาย เลยกลั้นขำไม่ค่อยจะอยู่
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ
รุ่นพี่รุ่นน้องกันทั้งนั้นเลยนะ อีกอย่างพี่ไม่ได้จีบใครด้วย
แค่เห็นว่าพวกเราเป็นแฟนคลับ” ชายหนุ่มบอกเพราะไม่ต้องการให้เพียงชิดจันทร์เข้าใจเขาผิดไป
หญิงสาวช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
ถ้าเพียงชิดจันทร์มองแบบเข้าข้างตัวเองสักนิด เธอก็น่าจะรู้ว่าเขาคิดกับเธออย่างไร
“พี่ทานต์อย่าไปสนใจคำพูดของยายจันทร์เลยนะคะ
หวงเพื่อนอะไรกัน เพื่อนโตแล้ว” มณิสรไม่วายชงเข้าตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็ยอมชวนชายหนุ่มหนึ่งเดียวในกลุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเกรงว่าจะทำให้เขาอึดอัดใจ
“เอ้อ นี่พี่ทานต์รู้มั้ยคะว่าจันทร์เรียนเก่งมากเลย”
มณิสรอวดเพื่อนสนิทที่เธอแสนภาคภูมิใจให้ทยากรฟัง
“จริงเหรอ?”
ชายหนุ่มทำหน้าสนใจขึ้นมา ทั้งที่เขารู้ประวัติเพียงชิดจันทร์จากผู้จัดการส่วนตัวมาบ้างแล้ว
“แต่พี่ก็คิดเอาไว้แล้วแหละว่าอย่างจันทร์คงเรียนเก่งน่าดู ต้องเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ
1 แน่ๆ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
หญิงสาวถ่อมตัว
“ขนาดนั้นเลยค่ะ
เรียนแบบได้ทุนเรียนฟรีตลอดหลักสูตร ธรรมดาซะที่ไหนล่ะคะ จันทร์น่ะเก่งมากยังจะมาถ่อมตัวอีก”
มณิสรชวนชายหนุ่มคุยอย่างออกรสชาติ พอเธอได้เมาส์เรื่องของเพื่อนตัวเองความประหม่าที่เกิดขึ้นในตอนแรกๆ
ก็เลือนหายไปแทบจะหมดสิ้น “นี่ถ้าเมี่ยงกับม่านไม่ได้จันทร์ช่วยติวให้ในทุกๆ
วิชานะ คงไม่รอดหรอก”
“เราสองคนโชคดีจังที่มีเพื่อนดีคอยติวหนังสือให้”
ทยากรบอกพลางยิ้มส่งไปยังคนเก่งประจำกลุ่ม “ผิดกับพี่เลยแฮะ
เรียนไม่ค่อยได้เรื่องเลย” นักร้องหนุ่มบอก
เขาเด่นเรื่องร้องเพลงและทำกิจกรรมต่างๆ
ในมหาลัยฯ มากกว่าด้านวิชาการ การเรียนอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้
แต่ก็ไม่ถึงกับน่าชื่นชมเท่าที่ควร ยิ่งช่วงไหนรับงานเยอะ ต้องออกอีเวนท์บ่อยๆ
การเรียนก็แทบจะดิ่งลงเหวฮวบๆ เลยด้วยซ้ำ
“วันหลังพี่ให้จันทร์ติวให้ดีกว่า”
“จันทร์ไม่ได้เก่งขนาดนั้นซะหน่อย”
เพียงชิดจันทร์ยังคงถ่อมตัวเช่นเดิม
หญิงสาวคิดว่าตัวเองก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวลาเรียนก็ตั้งใจเต็มที่
เธอเรียนเก่งและหัวไวมากก็จริงอยู่ แต่เรื่องกิจกรรมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย เพียงชิดจันทร์เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์...คนเรามีด้านที่เก่งและไม่เก่งสลับกัน
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์มาตั้งแต่เกิดหรอก
“เออ
แล้วนี่พวกเราจะไปทำงานกันเมื่อไหร่ล่ะ”
ทยากรเลิกสนใจเรื่องการเรียนของเพียงชิดจันทร์ แม้เขาจะพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามแล้วเพราะอยากให้เพียงชิดจันทร์มาติวหนังสือให้
อย่างน้อยก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ ทว่าหญิงสาวก็ถ่อมตัวแกมปฏิเสธตลอด เขาเองเลยไม่อยากทำให้เธอลำบากใจ
จึงหันมาสนใจเรื่องงานพิเศษของพวกเธอแทนน่าจะดีกว่า
บางที เผื่อโลกจะกลมแล้วจะบังเอิญเจอกันบ้าง
“คิดว่าจะเริ่มงานเย็นพรุ่งนี้เลยค่ะ”
มณิกาเป็นคนตอบคำถาม
“แต่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุดนี่นา”
“ความจริงจะเริ่มงานตอนไหนก็ไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ
เพราะระดับยายจันทร์ของเราแล้วจะเข้าจะออกโรงแรมนั้นเมื่อไหร่ก็ได้
ยังไงทุกคนก็ยินดีต้อนรับ”
ความอวดเพื่อนของมณิสรทำให้ทยากรขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความอยากรู้
ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่เขาอยากจะสานสัมพันธ์ด้วยนั้นจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
ในสายตาของทยากรและเท่าที่เขารู้ประวัติเพียงชิดจันทร์มาจากผู้จัดการส่วนตัวนั้น หญิงสาวแทบจะสมบูรณ์แบบไปในทุกด้าน
เสียก็อย่างเดียว...เพียงชิดจันทร์เป็นผู้หญิงที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
และไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่นัก เลยทำให้หลายครั้งเธอก็ถูกกลืนหายเข้าไปในฝูงชนจนถูกมองข้ามไป
อีกทั้งเพียงชิดจันทร์ยังทำตัวธรรมดามาก
เธอเป็นลูกหลานคนมีสตางค์ มีธุรกิจที่บ้านที่ทำเงินมากมายก็จริง
แต่ในตัวหญิงสาวกลับไม่มีเครื่องใช้แบรนด์หรูเลยสักชิ้น และไม่ใช่แค่เธอ...แต่เพื่อนๆ
ของเธอทั้งสองคนก็เช่นกัน บางทีอาจจริงอย่างที่ดาวศุกร์เคยบอกก็ได้ว่า...คนที่ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
มักจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับทรัพย์สินที่ตัวเองมีสักเท่าไหร่
ไม่เหมือนพวกเศรษฐีเกิดใหม่ ใช้ของอู้ฟู่ กินอยู่หรูหรา เหมือนชดเชยความไม่เคยมีของตัวเอง
และเพราะเรียบง่ายไม่อวดรวยเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ
ไม่ใช้ชีวิตหรูหราเกินความจำเป็นนี่แหละ มันเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ทยากรตกหลุมรักเธอจนถอนหัวใจไม่ขึ้น
“น้องเมี่ยงพูดแบบนี้แสดงว่าจันทร์เป็นคนไม่ธรรมดา”
ถึงจะรู้ประวัติหญิงสาวมาบ้างแล้ว
แต่ทยากรก็อยากฟังจากปากคนใกล้ชิดเพียงชิดจันทร์เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ
ว่าสิ่งที่เขาได้รับรู้มานั้นจริงเท็จมากน้อยขนาดไหน
“ระดับลูกรักหลานรักเจ้าของโรงแรมอ่ะค่ะ”
มณิกาเป็นฝ่ายเอามือป้องปากทำท่ากระซิบกระซาบราวกับว่ามันคือ ‘ความลับสุดยอด’ ที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้
“แต่ยายจันทร์ของเราก็เป็นแบบนี้ ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีเงินจะใช้”
มณิกาอดแซวเพื่อนไม่ได้
หญิงสาวเชื่อว่าหากเป็นลูกหลานบ้านอื่นที่มีฐานะเกินอันจะกินแบบเพียงชิดจันทร์แล้วล่ะก็
คงไม่มานั่งทานข้าวกลางสนามหญ้าแบบนี้
หรือทานข้าวในโรงอาหารเหมือนคนปกติเขาทำกันแน่
คนพวกนั้นอาจต้องกินร้านหรูในห้างทุกมื้อ หรือไม่ก็ทำตัวเรื่องมากสุดจะทน
“จริงอย่างที่ม่านว่าค่ะ
ความจริงจันทร์ไม่จำเป็นต้องทำงานพิเศษก็ได้ ตัวเองมีร้านรองเท้าขายดิบขายดีอยู่แล้ว”
มณิสรร่วมด้วยช่วยเผาเพื่อนรักอีกคน “แต่ก็อย่างว่าแหละ ทำอะไรที่ไม่เคยทำมันก็ท้าทายดีเนอะ”
เธอพยักพเยิดหน้าไปหาเพียงชิดจันทร์อย่างคนช่างกระเช้า
“นี่พวกเธอจะเผาฉันให้พี่ทานต์ฟังเพื่อ?”
เพียงชิดจันทร์ทำสายตาขุ่นเขียวใส่เพื่อนทั้งสองคนด้วยความหมั่นไส้เหลือทน ที่จู่ๆ
ตัวเองก็กลายเป็นประเด็นสนทนาหลัก แล้วก็ถูกเผาจนยับเยินเสียด้วย
“เรื่องเธอมันสนุกสุดๆ
แล้วนี่” สองสาวฝาแฝดตอบแทบจะพร้อมกัน พร้อมกับหัวเราะคิกคักในลำคอ
ไม่นึกสนใจสายตาขุ่นเขียวของเพื่อนๆ เลย
ความจริงแล้วเรื่องฐานะทางบ้านเพียงชิดจันทร์ก็ไม่ได้จงใจจะปกปิดไม่ให้ใครรู้
เพียงแต่เธอไม่อยากเอาความร่ำรวยมาเป็นบรรทัดฐานในการใช้ชีวิต หรือเอาฐานะทางการเงินมาแบ่งชนชั้นในสังคมมากกว่า
“แอบสงสารคนที่มาจีบจันทร์เหมือนกันนะคะ
ได้แต่ส่งขนมให้ทุกวันๆ ถ้ารู้ว่าครอบครัวยายจันทร์ฐานะอลังการขนาดไหน แถมยังมีคุณอาเป็นมาเฟียสุดหล่ออีก
เขาจะถอดใจมั้ยเนี่ย” มณิสรไม่วายเผาเพื่อนสาวให้ทยากรฟังต่อ
“เขาอาจจะรู้แล้วก็ได้นะ”
ทยากรตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ขณะวางแผนเข้าหาผู้ใหญ่ของเธอเอาไว้ในใจ
ใช่! ทยากรกำลังคิดหาทางเข้าหาเธอและผู้ใหญ่ฝ่ายเพียงชิดจันทร์อย่างแนบเนียนมากที่สุด
ความคิดเห็น