ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพียงชิดใจ

    ลำดับตอนที่ #18 : เพียงชิดใจ :: บทที่ 17 ตอน เพื่อนที่ไว้ใจ ร้ายที่สุด 100 %

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.23K
      119
      3 มิ.ย. 62

    เพียงชิดใจ
    (นวนิยายรักชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูดอกรักผลิบาน)

    เก๋ไก๋

    || บทที่สิบเจ็ด ||

    _____________________________________________________________________

    เพื่อนที่ไว้ใจร้ายที่สุด


    “โห จันทร์ของย่าน่ารักมากเหมือนที่เพื่อนเรามาโม้ให้ย่าฟังเลย”

    เพียงชิดจันทร์เดินเข้ามาหาดาริณพร้อมกับทยากร ถึงแม้ทั้งสองคนจะเดินควงแขนกันเข้ามาหาท่าน แต่ดาริณก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมัวแต่ชื่นชมในความงดงามอันแปลกตาของหลานสาวคนโปรดอยู่

    “จริงเหรอคะ” เพียงชิดจันทร์ยิ้มหวานให้ท่าน เธอไม่รู้ว่าเพื่อนของเธอทั้งสองคนเก็บของเสร็จตั้งแต่ตอนไหน ถึงได้วิ่งแจ้นลงมาโม้เธอให้กับคุณย่าฟังได้รวดเร็วด่วนจี๋ขนาดนี้ หญิงสาวสอดสายตามองหาเพื่อนตัวแสบทั้งคู่ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา “แล้วนี่สองคนนั้นอยู่ไหนแล้วคะ”

    “อยู่ซุ้มของกินแล้วล่ะ” ดาริณบุ้ยหน้าไปยังซุ้มอาหาร ซึ่งวันนี้มีทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง และมีขนมนานาชนิด เอาไว้รองรับแขกที่มาร่วมในงานด้วย “เห็นบ่นว่าหิวกัน”

    ทว่าในขณะนั้นเองชิชานันท์ก็ขอปลีกตัวจากแขกผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เธอมาช่วยดาริณรับแขกได้สักพักแล้ว พอเห็นว่าเพียงชิดจันทร์ควงคู่มากับนักร้องหนุ่ม ก็เลยเดินเข้ามาสมทบเข้ากลุ่มด้วย

    “สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณย่า” เพียงชิดจันทร์กล่าวคำอวยพรให้กับผู้ใหญ่คนที่เธอรักมากที่สุดในชีวิตอีกท่านหนึ่ง ก่อนจะโผเข้ากอดท่านแล้วหอมแก้มซ้ายขวา “จันทร์กับน้าช้องขอให้ของขวัญก่อนเลย จะได้ช่วยคุณย่ารับแขกท่านอื่น”

    “คุณป้าคะ นี่ของขวัญช้องกับจันทร์นะคะ” ชิชานันท์ล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพายของตัวเอง ก่อนจะหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาส่งให้ญาติผู้ใหญ่ที่เธอเคารพรัก “สุขสันต์วันเกิดนะคะ ช้องกับจันทร์ตั้งใจคิดมากเลยค่ะ กว่าจะได้ชิ้นนี้”

    “ไหน ดูซิว่าเราสองคนซื้ออะไรมาให้ ป้าไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลยนะ” ดาริณบอกหลังจากรับกล่องของขวัญเอาไว้ในมือแล้ว ชีวิตท่านมีพร้อมทุกอย่าง ลูกก็โตจนสามารถพึ่งพาได้ ห่วงก็แค่ดรัณยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาเท่านั้น แต่ทุกอย่างในชีวิตตอนนี้ก็ลงตัวมาก แค่ทุกคนมากันพร้อมหน้า มีความสุข มาสนุกสนานกัน ท่านก็ดีใจมากแล้ว

    “คุณย่าแกะดูสิคะ ว่าถูกใจมั้ย” เพียงชิดจันทร์บอก ในใจก็พลอยลุ้นไปด้วย เพราะปกติเธอจะซื้อของชิ้นเล็กๆ ให้ท่านเป็นของขวัญ แต่ปีนี้พิเศษหน่อย เธอเลยเลือกของขวัญที่มีมูลค่า ถึงท่านจะไม่ได้ใช้ ทว่าในอนาคตมันก็มีมูลค่า และมูลค่าของมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    “โธ่เอ้ย ซื้อให้ย่ามากเกินไปหรือเปล่า ยังเป็นนักเรียนกันอยู่เลย”

    ดาริณแกะกล่องเปิดดูแล้วเห็นว่าเป็นสร้อยทองคำ ประเมินจากสายตาแล้วทองคำเส้นนี้น่าจะอยู่ราวๆ 5 บาทเป็นอย่างต่ำ ได้รับของขวัญชิ้นใหญ่จากหลานทั้งสองคนขนาดนี้ ท่านก็อยากจะเอื้อมมือไปตีสักทีสองที

    “รับไว้เถอะค่ะ” ชิชานันท์เห็นท่านมองคล้ายว่าจะตำหนิ เธอเลยรีบออกปากไม่ให้ท่านต่อว่าจนเสียบรรยากาศดีๆ ไปจนหมด “ช้องกับจันทร์ทำงานได้แล้ว ให้ของขวัญแค่นี้เอง”

    “คุณย่ารับไว้เถอะนะคะ จันทร์กับน้าช้องตั้งใจให้คุณย่าจริงๆ”

    พอเห็นหลานสาวทั้งสองคนออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ คนอย่างดาริณก็แพ้ทางอีกตามเคย ท่านจึงยอมรับเอาไว้ ก่อนจะดึงหลานสาวทั้งสองคนเข้ามากอด

    “ขอบคุณทั้งสองคนมากนะ ย่าชอบของขวัญชิ้นนี้ที่สุดเลย”

    “ส่วนผมก็มีมาให้คุณย่าเหมือนกันครับ” ทยากรที่มองความสัมพันธ์อันแนบแน่นในครอบครัวของเพียงชิดจันทร์จนอดยิ้มตามไม่ได้ พอได้โอกาสเขาก็เข้าไปกราบดาริณ แล้วมอบของขวัญที่ตนเองนำมาให้ท่าน

    “ขอบใจนะลูก แค่มาร่วมงานย่าก็ดีใจแล้ว” ดาริณยิ้มให้ ก่อนจะลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

    “ไม่ใช่แค่ของขวัญนะครับ แต่คืนนี้ทานต์จะร้องเพลงให้คุณย่าด้วย”

    “ก็ดีนะ งานย่าจะได้มีสีสันมากขึ้น” ดาริณยิ้มยินดี เพราะแขกในงานไม่ได้มีแต่ผู้ใหญ่ แต่ยังมีวัยรุ่นมาร่วมงานก็เยอะ นั่นเพราะส่วนใหญ่เป็นแขกของดรัณบ้าง และเพื่อนๆ ของหลานๆ บ้าง “งั้นย่าขอตัวจันทร์เอาไว้ช่วยรับแขกก่อนละกันนะ ทานต์พักผ่อนตามสบายนะลูก”

    “ครับ”

    ดาริณรั้งตัวหลานสาวคนโปรดเอาไว้ให้ยืนข้างท่านเพื่อช่วยต้อนรับแขก ที่สำคัญท่านอยากอวดหลานให้ใครๆ ได้รู้จักด้วย ในขณะที่ทยากรเลี่ยงตัวออกมา ชายหนุ่มคิดว่าจะเดินไปที่ซุ้มอาหาร จะได้ไปสมทบเข้ากับกลุ่มของมณิกาและมณิสร แต่ระหว่างที่เดินไปนั้นชิชานันท์ก็ตามมาด้วย

    “แหม ควงยายจันทร์เข้ามาหาคุณป้าเลยนะ” ชิชานันท์กระแอมกระไอให้กับพ่อตัวดี ที่ดูท่าว่าจะออกตัวแรงไม่น้อยเหมือนกัน “นายระวังตัวหน่อยก็ดีนะ เพราะงานนี้ทั้งพ่อแม่ของยายจันทร์ พี่แดน และคุณป้าก็อยู่กันครบทีม”

    “แล้วไง” ทยากรหยุดเดิน แล้วหันหน้ามามองอีกฝ่าย

    “คนเขาเตือนเพราะเป็นห่วงนายหรอกนะ” ชิชานันท์คิดอย่างนั้นจริงๆ “ฉันรู้ว่านายจะจีบหลานฉัน แต่ก็พึงรู้ไว้ด้วยว่ายายจันทร์น่ะเป็นหลานคนโปรดของตระกูลใหญ่ และเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว นี่มันคงเสือนะจ๊ะพ่อคุณ ไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ ถ้ายังไม่พร้อมจะเจอบททดสอบความจริงใจ หรืออยากตั้งหลักก่อน ก็น่าถอยห่างจันทร์ออกมาสักนิดนะ”

    “ขอบคุณนะที่เตือน”

    “แล้วนายจะถอยมาก่อนมั้ยล่ะ ฉันจะช่วย”

    “ไม่เป็นไร เรื่องนี้ขอจัดการเองดีกว่า ยังไม่ต้องการแม่สื่อ” ไม่ใช่ว่าทยากรไม่อยากรับความหวังดีจากชิชานันท์ แต่ว่าเขาควรจะเดินหน้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่มาคอยหลบหลังคนอื่น แบบนี้มันไม่แมนเลย “ความจริงจันทร์เป็นคนน่ารัก ก็ไม่แปลกหรอกที่ครอบครัวจะหวงจันทร์มาก”

    ทยากรโต้กลับ เขาไม่แปลกใจอยู่แล้วที่ครอบครัวจะหวงเพียงชิดจันทร์ เพราะทั้งกิริยามารยาท หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แถมยังเรียนเก่ง ว่านอนสอนง่าย จึงไม่แปลกเลยที่หญิงสาวจะกลายเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่ให้ความสนใจ เมตตา เอ็นดู และรักใคร่เป็นพิเศษ

    “พ่อจันทร์ดุนะ นายไหวเหรอ”

    ชิชานันท์เย้าอีกฝ่าย แต่ทยากรกลับกระตุกยิ้ม ก่อนตอบชิชานันท์ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    “ไหวสิ” เขามั่นใจที่จะจีบเพียงชิดจันทร์แล้ว เดินหน้าเข้าใกล้เธอมาได้ขนาดนี้ ต่อให้อุปสรรคข้างหน้าจะเป็นอะไรที่อันตรายมากกว่าบททดสอบสุดหินจากครอบครัวของหญิงสาว เขาก็ไม่กลัว และไม่คิดจะถอดใจทั้งนั้น “ก็คิดจีบจันทร์แล้วนี่ จะกลัวทำไม”

    “งั้นก็ขอให้นายโชคดีละกัน”


     

    งานวันเกิดดาริณผ่านพ้นไปท่ามกลางความสุขของทุกคนในครอบครัว และบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เข้าสู่ฤดูการสอบก่อนจะปิดภาคเรียน

    วันนี้ชิชานันท์มีสอบวิชาเดียว เธอคิดว่าหลังจากสอบเสร็จแล้วจะเตรียมตัวเก็บกระเป๋าเดินทาง เพราะหลังจากสอบเสร็จ เธอมีแพลนว่าจะไปเที่ยวกับครอบครัวที่ต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และมีแพลนที่จะต้องซื้อของอีกหลายอย่างก่อนไป

    “เดี๋ยวสิ” นิลเนตรเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ หลังจากเดินตามชิชานันท์ออกมาจากห้องสอบ

    หลายวันที่ผ่านมา...หลังจากงานเลี้ยงคืนนั้น นิลเนตรกับชิชานันท์ก็แทบจะไม่คุยกันเลย นิลเนตรอยู่กับจรัสทิวาจนแทบจะตัวติดกัน ในขณะที่ชิชานันท์อยู่คนเดียว หรือบางครั้งชิชานันท์ก็ไปกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นบ้าง ถึงไม่ได้สนิทกันมาก แต่เพราะคบกันอย่างเปิดเผย ไม่วางฟอร์ม วางมาดใส่กัน เลยทำให้ชิชานันท์รู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วยมากกว่าอยู่กับคนที่ตัวเองเคยสนิทด้วยเสียอีก ที่สำคัญเพื่อนอีกกลุ่มก็อ้าแขนยินดีต้อนรับเธอมาก

    “มีอะไร” ชิชานันท์หันไปมองเพื่อนรัก ซึ่งถึงแม้จะเกิดเรื่องขึ้นและเธอไม่ค่อยชอบใจในการกระทำของนิลเนตรมาก ทว่านิลเนตรก็ยังคือเพื่อนที่เธอรักและหวังดีด้วยเสมอ

    ถึงนิลเนตรจะเชื่อใจจรัสทิวาและมองว่าเธอเป็นคนผิดก็ตาม แต่ชิชานันท์จะขอมองนิลเนตรและคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่ทอดทิ้งไปไหน

    ความจริงชิชานันท์รับปากผู้ใหญ่ว่าเธอจะคุยกับนิลเนตรให้ และจะพยายามไกล่เกลี่ยเรื่องที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด ทว่าเอาเข้าจริง...เธอกลับรักศักดิ์ศรีตัวเองมาก มันค้ำคอจนเธอเป็นฝ่ายนิ่งเฉย เงียบ ไม่พูดจา และเมินเฉยอีกฝ่ายราวกับนิลเนตรและจรัสทิวาเป็นอากาศธาตุที่มองไม่เห็น ไร้ตัวตน

    ชิชานันท์ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความเข้าใจผิด ไม่คิดอธิบายให้เข้าใจ จนกระทั่งวันนี้...วันที่นิลเนตรมาขอคุยด้วยตัวเองก่อน

    ชิชานันท์คิดว่า บางทีความอึมครึมในความสัมพันธ์ระหว่างกัน อาจกดดันจนนิลเนตรเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง และตัดสินใจลดศักดิ์ศรีตัวเองลงมาคุยกับเธอก็ได้

    “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ ช้องนาง” นิลเนตรบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พอๆ กับสีหน้าสวยทันสมัยที่ไม่แสดงอารมณ์ “ส่วนตัว!

    เธอจงใจย้ำคำสุดท้ายอย่างชัดเจน เพราะไม่อยากให้เรื่องร้าวฉานภายในกลุ่มถูกเพื่อนคนอื่นจับตามอง จนเอาไปนินทากันอย่างสนุกปาก

    เวลานี้ เพื่อนคนอื่นสอบกันอยู่ในห้อง ชิชานันท์เป็นคนหัวดี นิลเนตรคาดว่าอีกฝ่ายคงทบทวนบทเรียนมาอย่างดีแล้วถึงได้ทำข้อสอบเสร็จเร็วกว่าเพื่อนคนอื่น และออกจากห้องมาก่อน ส่วนนิลเนตรที่จิตใจจดจ่ออยู่กับชิชานันท์จนสมองแทบไม่แล่น หญิงสาวก็รีบเขียนคำตอบเท่าที่ตัวเองทำได้แล้วตามอีกฝ่ายออกมา

    “เหรอ” ชิชานันท์เลิกคิ้วสูง วันนี้เธออารมณ์ดีมาก แต่ก็อดจะยียวนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกวนๆ ไม่ได้ เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านิลเนตรจะคุมสติตัวเองได้มากแค่ไหน “งั้นที่ไหนล่ะ”

    “ที่บ้านฉัน”

    “ได้สิ” ชิชานันท์ตอบตกลงทันที อันที่จริงเธอไม่คิดว่านิลเนตรจะเลือกสถานที่เคลียร์ปัญหาที่บ้านตัวเอง เพราะนิลเนตรรักความสงบมาก และไม่ชอบให้ใครไปมาหาสู่โดยพลการ แต่ถึงอย่างนั้นชิชานันท์ก็อดถามถึงเพื่อนอีกคนไม่ได้ บางที...ถ้ารอจรัสทิวาไปเคลียร์ปัญหาด้วย เรื่องมันอาจสนุกมากกว่านี้ “จะเรียกอีกคนไปด้วยก็ได้นะ ฉันใจกว้างมากเลย”

    “ไม่ต้อง!” นิลเนตรรีบปฏิเสธ หญิงสาวมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องระหว่างเธอกับชิชานันท์โดยตรง คนที่บังเอิญไปได้ยินแผนการร้ายกาจเข้า ไม่สมควรเข้ามายุ่งจนพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

    เพราะแค่นี้จรัสทิวาก็เสียมากแล้วที่เพื่อนสนิทอิจฉาริษยากันเอง

    “จะนั่งรถฉันกลับบ้านไปด้วยกันเลยมั้ยล่ะ” ชิชานันท์เสนอตัวอย่างมีน้ำใจ เนื่องจากเมื่อเช้าเธอมามหาลัยฯ ในเวลาไล่เลี่ยกับนิลเนตรพอดี ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขับรถมาเอง แต่เป็นพี่ชายขับรถมาส่ง “เมื่อเช้าพี่ศรามาส่งเธอนี่นา”

    “ไปสิ”

    หลังจากนิลเนตรตอบตกลง ชิชานันท์ก็ออกจากมหาลัยฯ ทันที ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ชิชานันท์ก็ขับรถมาจอดเทียบประตูรั้วบ้านของนิลเนตรแล้ว

    “พี่ศราไม่อยู่บ้านเหรอ” ชิชานันท์เข้ามาในบ้านของเพื่อนสาว เห็นว่าบ้านเงียบ มีเพียงคนทำความสะอาดที่ออกมาต้อนรับเธอแค่คนเดียว ในบ้านดูเรียบร้อยมาก จึงอดถามไม่ได้ “บ้านเงียบจัง”

    นิลเนตรไม่ตอบคำถามเพื่อน แต่สาวเจ้าของบ้านเดินไปนั่งที่โซฟาตัวนุ่ม พยายามทำใจให้สงบนิ่ง เพราะคิดว่าถ้าตนเองปล่อยเวลาให้นานกว่านี้สักหน่อย ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชิชานันท์อาจต่อกันไม่ติดอีกแล้ว หรือถึงเวลานั้น...เธออาจทำใจมองหน้าชิชานันท์ไม่ได้อีกเลยก็ได้

    หลายวันผ่านมานับจากงานเลี้ยงคืนนั้น นราธรเองก็ได้คุยกับเธอถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มขอร้องว่า ไม่ให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเพียงชิดจันทร์อีกเด็ดขาด

    นิลเนตรอดคิดไม่ได้ว่าเพราะเพียงชิดจันทร์เป็นเด็กเส้นใหญ่ไม่เบา ถึงได้มีผู้ใหญ่ออกโรงปกป้องและจ้องจะเอาเรื่องเธอขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เพียงชิดจันทร์กับชิชานันท์เป็นฝ่ายผิด ร้ายกาจจนถึงขั้นวางแผนทำลายชีวิตคนอื่น แต่เพราะที่บ้านมีฐานะ มีหน้ามีตาในสังคม มีอำนาจในมือ ทางผู้ใหญ่ก็เลยพยายามจะช่วยกันปกป้องลูกหลานตัวเองอย่างเต็มความสามารถ แล้วโบ้ยความผิดมาให้เธอ

    “ช้อง” นิลเนตรเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงเข้มข้นขึ้น ทั้งที่พยายามหักห้ามใจไม่ให้ตัวเองโกรธจนเสียเรื่อง แต่มันก็ช่างยากเหลือเกิน เมื่อยิ่งคิดถึงเหตุผลต่างๆ มันก็ยิ่งทำให้เธอเจ็บใจมากขึ้นเท่านั้น “หลายวันมานี้ ฉันพยายามใจเย็นที่จะคุยกับเธอมากเลยนะ”

    “เรื่องอะไร งานคืนนั้นเหรอ ที่เธอเกือบจะตบยายจันทร์ใช่หรือเปล่า” ชิชานันท์เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา แล้วเดินมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกับเจ้าของบ้านคนสวย ก่อนจะยิ้มขำอย่างจงใจยั่วโทสะนิลเนตรเต็มที่ “ฉันดูกล้องวงจรปิดแล้ว เธออาละวาดเหมือนคนบ้าเลยนะนิล”

    “เธอทำแบบนี้กับฉันทำไม?” นิลเนตรก็ไม่อยากเสียเวลา เพราะหากยืดเยื้อไม่เข้าเรื่องสักที เธอเกรงว่าตนเองนั้นจะทนเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ได้ เธออยากเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วสุด “ฉันไปทำอะไรให้เหรอช้อง”

    “ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าเธอพูดเรื่องอะไร” ชิชานันท์ย้อนถามอีกฝ่าย พลางจ้องใบหน้าสวยอย่างรอคำตอบ “ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยนิล”

    “อย่ามาตีหน้าซื่อนะ!” ยิ่งเห็นอีกฝ่ายตอบคำถามแบบยียวนกวนอารมณ์ เธอก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น “เธอคิดจะทำลายฉัน เพราะอิจฉาฉัน”

    “ใครบอกเธอ?” ชิชานันท์เป็นฝ่ายรุกนิลเนตร ทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม

    ความจริงแล้วที่เธออารมณ์ดี เพราะไม่ได้อยากยียวนนิลเนตรอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่านิลเนตรต่างหากที่เป็นฝ่ายยอมลดทิฐิ มาคุยกับเธอก่อน ชิชานันท์มั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนผิด เลยรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะที่คุมเกมอยู่เหนือนิลเนตร

    ขณะเดียวกันนั้น นิลเนตรเองถึงไม่ใช่คนผิด แต่หญิงสาวก็ก่อเรื่องซ้ำซ้อนเอาไว้หลายหน ชิชานันท์คิดว่าเพื่อนของเธอคงรู้สึกผิดกับเรื่องที่ตัวเองก่อ แต่ก็กลัวเสียหน้า บวกกับคำเสี้ยมที่ทำให้นิลเนตรเริ่มไม่แน่ใจในตัวเธอ เลยวางฟอร์ม จนไม่ยอมเป็นฝ่ายเข้ามาคุยก่อน

    ถึงอย่างนั้นความ อึดอัดในใจก็ทำให้ฟอร์มที่วางเอาไว้ต้องถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ซึ่งนั่นทำให้ชิชานันท์รู้สึกว่าอย่างน้อยๆ นิลเนตรก็ยังมีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง ถึงอยากเคลียร์ปัญหา เคลียร์เรื่องที่ค้างอยู่ในใจ ให้เรื่องราวมันจบๆ ไป

    “เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” นิลเนตรบอกปัด

    “น้ำตาลใช่มั้ย” ชิชานันท์ยิงตรงจนอีกฝ่ายถึงกับผงะไปเล็กน้อย มิหนำซ้ำชิชานันท์ยังหัวเราะเหมือนกับว่าได้ฟังเรื่องตลกแล้วถูกอกถูกใจ ก่อนจะปรบมือดังๆ “ว้าว ฉันต้องปรบมือให้น้ำตาลเลยนะเนี่ย ที่เป่าหูเธอจนสำเร็จ”

    ชิชานันท์คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนที่วางแผนเรื่องโง่ๆ แบบนี้คงมีแต่จรัสทิวาคนเดียวเท่านั้น ให้ตายเหอะ! เสี้ยมให้คนเขาแตกคอกันเพราะความอิจฉา...สมกับเป็นจรัสทิวา ผู้ขาดความอบอุ่นเสียจริงๆ

    “ช้องนาง!

    นิลเนตรตวาดใส่อีกฝ่ายอย่างเหลืออด ทั้งๆ ที่เธอพยายามข่มอารมณ์ในใจให้เย็นแล้วเย็นอีก พยายามชวนคุยดีๆ แต่ชิชานันท์ก็ยั่วโทสะเธอไม่ยอมหยุด อีกทั้งยังลากคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างจรัสทิวาเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

    “เธอคิดว่าฉันอิจฉาเธอ อยากทำลายเธอ” ชิชานันท์แค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะย้อนถามอีกฝ่ายด้วยความใคร่รู้ “ถามจริงๆ เหอะนะนิล เธอมีอะไรที่ฉันควรอิจฉาบ้างเหรอ ไหนลองบอกมาให้ฟังหน่อย”

    นิลเนตรอึ้งไปเมื่อเจออีกฝ่ายย้อนถามตรงๆ แล้วคำถามนั้นก็สะท้อนใจ จนคนโดนถามถึงกับอึกอักพูดไม่ออก

    นิลเนตรอยากจะบอกเหตุผลที่จรัสทิวาบอกกับเธอให้ชิชานันท์ฟัง แต่อีกใจหนึ่งก็ลังเลและรู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องไร้สาระมาก คนอย่างชิชานันท์จะอิจฉาเธอด้วยเรื่องแค่นี้จริงๆ น่ะเหรอ ตอนนั้นเธอไม่มีสติกอปรกับจรัสทิวาทำให้เธอไม่ทันได้ไตร่ตรองเหตุผลดูให้ดีก่อน แต่พอพยายามใจเย็น และถูกชิชานันท์ถามคืนแบบนี้ เธอก็พอจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว

    ที่สำคัญ...นิลเนตรรู้ว่าที่จริงนั้นชิชานันท์ก็ไม่มีอะไรด้อยไปกว่าเธอเลยสักนิด เพื่อนของเธอมีดีมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม

    “มองสำรวจตัวเองสิ แล้วเธอตอบฉันมา” ชิชานันท์กอดอกมองเพื่อนตรงหน้า เธอรู้ว่านิลเนตรเองก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจ และคงพอจะมีสมองตรองอะไรขึ้นมาได้บ้าง “ฉันควรอิจฉาเธอเรื่องอะไรดีล่ะ ครอบครัว คนรัก หรือว่าสถานะทางการเงิน อ้อ...ชื่อเสียงอย่างนั้นเหรอ บอกไว้เลยว่าฉันไม่ปรารถนาเป็นดาวเหมือนเธอหรอกนะ ฉันไม่ชอบถูกใครจับตามองน่ะ มันน่ารำคาญ”

    นิลเนตรกลืนน้ำลายลงคอ หญิงสาวรู้ว่าครอบครัวชิชานันท์ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลยสักนิด ทั้งพ่อแม่ของเพื่อนเธอก็อยู่ครบ ไม่ได้กำพร้า ไม่มีใครล้มหายตายจาก ไม่มีการหย่าร้าง อีกทั้งทั้งคู่ยังมีหน้ามีตาในสังคม หน้าที่การงานมั่นคง ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยมากมายเหมือนครอบครัวนักธุรกิจคนอื่น แต่ก็มีกินมีใช้เหลือเฟือ

    มากไปกว่านั้น...ครอบครัวของชิชานันท์ยังถูกคนในสังคมจับตามองเพราะคุณพ่อของเพื่อนเธอเป็นตระกูลผู้ดีเก่า แล้วที่สำคัญตัวชิชานันท์เองก็มีทุกอย่างครบเครื่อง หน้าตาก็ดี ผิวพรรณสวย รูปร่างน่ามอง ฐานะการเงินก็พร้อม อีกทั้งยังมีกิจการเป็นขงตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยด้วย ถึงไม่ได้เป็นคนดังมีชื่อเสียง แต่ชิชานันท์ก็ไม่จำเป็นต้องอิจฉาใคร

    “ก็อิจฉาที่มีคนรักฉันมากกว่าไง...” นิลเนตรตอบเพื่อนแบบอึกอักไม่เต็มเสียง หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหาข้อแก้ตัวจนสีข้างจะถลอกอยู่รอมร่อ ทั้งที่ความโกรธในตอนนั้นมันพุ่งแตะเพดานจนขาดสติก็เพราะเรื่องที่ชิชานันท์อิจฉาเธอเพราะมีคนรักเธอมากกว่า

    แต่วินาทีนี้ นิลเนตรกลับรู้สึกว่าเหตุผลนี้มันช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

    “ตายล่ะ! แกเป็นเด็กน้อยสามขวบเหรอนิล” ชิชานันท์แค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอก หญิงสาวคาดไม่ถึงเลยว่า คนจอมเสี้ยม อย่างจรัสทิวาจะให้เหตุผลลยุแยงได้ตลกขนาดนี้ แต่ที่เป็นตลกร้ายนั่นคือ...นิลเนตรเองก็ไร้สติและหลงเชื่อคำพูดปั้นน้ำเป็นตัวจนหน้ามืดตามัว “อายุเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาทะเลาะกันเรื่องใครแย่งความรักใครไปอีก น่าขายหน้าชะมัด”

    “ไม่ต้องทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย” ถึงจะต่อว่าชิชานันท์ด้วยสีหน้าบึ้งตึงและยังขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายชอบพูดจาห้วนกระด้างกับเธอ ชอบประชดประชัน ว่าแดกว่าดันอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของนิลเนตรก็อ่อนลงมากทีเดียว

    “เอาจริงนะ” ชิชานันท์พูดพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด พร้อมกับเอานิ้วเคาะที่ปลายคาง พลางพินิจคนตรงหน้าไปด้วย “ถ้าฉันเป็นน้ำตาล ฉันก็อยากแกล้งแกเหมือนกัน อยากปั่นหัวให้สนุกไปเลย”

    “ทำไม” นิลเนตรที่ใบหน้ายุ่งยับอยู่แล้ว กลับยุ่งยับหนักกว่าเดิม น้ำเสียงที่ใช้ถามก็เข้มข้นขึ้นจากเดิมด้วย

    “แหม! ก็เธอดิ้นตามเกมง่ายเหลือเกินไงล่ะ เชื่อเก่งงงง โง่เก่งงงงง” ชิชานันท์พูดอย่างจงใจประชดและต่อว่าอีกฝ่ายในคราวเดียวกัน เน้นย้ำด้วยการลากเสียงยาวใส่เพื่อน

    “นี่ ไม่ต้องมาด่ากันได้มะ”

    “อ้าว! ต้องด่าสิเพราะมันเป็นเรื่องจริง” ชิชานันท์ว่า ก่อนจะอธิบายเหตุผล “ก็แกมันไม่มีจุดยืนในตัวเองไง ไขว้เขวอย่างกับต้นอ้อลู่ลม พอน้ำตาลพูดแกก็เชื่อจนไม่มีสติ พอฉันพูด แกก็ลังเลใจ ขนาดตอนนี้แกก็ทำหน้าลังเลจนเห็นได้ชัดแล้ว”

    ชิชานันท์บอก เพราะสีหน้าของนิลเนตรแสดงออกชัดเจนมากจนไม่ต้องสังเกตยังมองออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

    นิลเนตรอาจดูเก่ง แข้งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น มันเป็นการแสดงเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง ทว่าแท้จริงแล้วจิตใจของหญิงสาวอ่อนแอมาก อ่อนแอจากการโดนทำร้ายจิตใจซ้ำๆ โดยเฉพาะกับเรื่องความรัก ความเชื่อใจ ไม่อย่างนั้นจรัสทิวาคงไม่หยิบประเด็นงี่เง่าแบบนี้ขึ้นมาเล่นกับความรู้สึกของอีกฝ่ายหรอก

    จรัสทิวารู้จุดอ่อนนิลเนตรไปเสียทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้เลยว่าชิชานันท์เองก็รู้ทันและรู้จุดอ่อนของจรัสทิวาเหมือนกัน เพียงแต่ชิชานันท์ยังทำใจเย็น ปล่อยให้คนร้ายตายใจไปก่อน แล้วค่อยตามเล่นงานทีหลัง แบบนั้นน่ะสนุกกว่ากันเยอะเลย

    “เธอจะให้ฉันเชื่อใคร แล้วจะให้ฉันตัดสินจากอะไร” นิลเนตรเองรู้ว่าตัวเองกำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะจากท่าทีของจรัสทิวา อีกฝ่ายดูจริงจังเป็นห่วงเธอมาก อีกทั้งเหตุผลทุกอย่างมันก็เอื้อให้เธอเชื่อไปจนหมดใจ

    แต่กับชิชานันท์ เธอมีแค่มิตรภาพระหว่างกันเท่านั้นที่ทำให้เกิดความลังเลใจ เนื่องจากที่ผ่านมาชิชานันท์ไม่เคยแสดงท่าทีอิจฉาเธอ มิหนำซ้ำหากเธอทำผิด...ชิชานันท์ก็จะตักเตือนเธอด้วยความหวังดีอย่างตรงไปตรงมา และใส่ใจเธอ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยพูดจาเพราะๆ หรือทำตัวน่ารักเลยก็ตาม

    “ไม่รู้สิ” ชิชานันท์ไหวไหล่ “ฉันรู้แค่ว่าฉันคบกับใครก็จะศึกษาเขาอย่างละเอียด ให้ใจ รู้ทุกซอกทุกมุมในชีวิต คบแบบเปิดเผยจริงใจ ไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้น”

    “เธอจะพูดว่าอะไรกันแน่”

    “กินปลาเยอะๆ นะนิล จะได้ฉลาดเฉลียวทันคนอื่นเขาบ้าง” คนพยายามบอกใบ้ทางอ้อมถึงกับทำหน้าเมื่อยทันที พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนคำพูดของเธอมันจะไม่มีผลต่อสมองของนิลเนตรสักนิดเลย “กินหินเข้าไปด้วยก็ได้ เอาไว้ถ่วงความรู้สึกให้มันหนักแน่นขึ้น”

    “ไม่ต้องมาหลอกด่าฉันเลย”

    “ไม่ได้หลอกด่านะยะ!” ชิชานันท์หมดความอดทนกับความซื่อบื้อของเพื่อนตัวเองก็ถึงกับแหวใส่ หญิงสาวอดคิดในใจไม่ได้ว่า ไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวครั้งนี้ เห็นทีเธอคงต้องซื้อปลากลับมาฝากเพื่อนเสียแล้ว “นี่ด่าตรงมาก บอกเลยว่าเธอฉลาดน้อย หรือเรียกสั้นว่า...โง่!

    “ช้องนาง!” คนโดนด่าได้แต่ถลึงตา และแหวใส่คนว่าเสียงขุ่นเขียว

    เธอกับชิชานันท์มีปากเสียงกันค่อนข้างบ่อย ชอบเถียงกันอยู่เนืองๆ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วก็โกรธกันแบบจริงๆ จังๆ ไม่ลงสักที ยิ่งพอมาเผชิญหน้ากันอย่างนี้ด้วยแล้ว นิลเนตรก็มักจะเป็นฝ่ายยอมโอนอ่อนให้ชิชานันท์อย่างว่าง่ายอยู่เสมอ

    หรืออาจเพราะถึงชิชานันท์จะเป็นคนพูดแรง พูดตรง หวานใส่ใครไม่เป็น แต่ทุกคำพูดของอีกฝ่ายมักมีเหตุผลดีๆ มาให้ฉุกคิดเสมอ หรืออีกนัยหนึ่ง...นิลเนตรสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ชิชานันท์มีให้เธอก็ได้

    “จะบอกไว้อย่างเลยนะนิล แล้วกรุณาจำเข้าไปในสมองเธอด้วย ผู้หญิงเราน่ะ...สวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฉลาดด้วย” ชิชานันท์พูดจาแรงๆ ใส่เพื่อนเพราะอยากให้อีกฝ่ายมีความนึกคิดทันคนขึ้นมาบ้าง

    หญิงสาวยอมรับว่านิลเนตรสวย แต่ความฉลาดและความทันคนก็เป็นเรื่องสำคัญมากในการใช้ชีวิต ยิ่งถ้าอยากทำงานในสังคมที่มีผู้คนลอบจัด มีเหลี่ยมร้อยเล่ห์ด้วยแล้ว ถ้าเป็นคนเชื่อคนง่าย ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมร้อยอุบาย ชิชานันท์เกรงว่าเพื่อนสาวของเธอไม่น่าจะอยู่ในวงการบันเทิงได้นาน

    ชิชานันท์เป็นห่วงเพื่อนสาวมาก ถึงนิลเนตรจะเป็นสาวแกร่งสู้ชีวิต แต่เพราะความเป็นคนคิดน้อยเกินไปแบบนี้ เลยทำให้ทุกคนรอบตัวใช้ความเจ้าเล่ห์เข้าหานิลเนตรตลอด

    “เอาล่ะๆ เสียเวลาจริงๆ ฉันกลับแล้วนะ”

    ชิชานันท์ไม่อยากพูดให้เพื่อนเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้ หญิงสาวส่ายหน้าและทำท่าจะลุกกลับไปที่รถของตัวเองซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านของเพื่อนเพราะเธอยังมีธุระที่จะต้องไปทำต่อ แต่ก็ถูกนิลเนตรรั้งเอาไว้อีกครั้ง

    “เดี๋ยวสิช้องนาง เรายังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย”

    “ฉันว่าเธอมีคำตอบในใจแล้วล่ะ อย่าให้ฉันต้องนั่งด่าแกซ้ำๆ เลยนิล” ชิชานันท์ไหวไหล่ ใบหน้าสวยแกมหยิ่งของเธอมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเล็กๆ “อ่อ ฉันบอกอะไรให้นะนิล ฉันคบกับแกเพราะหัวใจ ไม่มีอะไรเป็นการแสดงทั้งนั้น เอาง่ายๆ เพราะคนอย่างแกไม่ค่อยฉลาด ถ้าไม่กระทุ้งด้วยคำพูดแรงๆ แกก็ไม่รู้สึก”

    “ปากดีนัก”

    พอโดนต่อว่าไปหลายที นิลเนตรก็อดไม่ได้ที่จะเอาคืนเพื่อนตัวเองบ้าง ด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวเลยเอื้อมมือไปหยิกแขนของชิชานันท์สักที แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านสักนิด มิหนำซ้ำยังยิ้มแป้นแล้นใส่อีก

    “ฮ่าๆ ฉันจะบอกว่าเรารู้จักกันและกันดีมากพอ ฉันรู้จักครอบครัวของเธอ เธอเองก็รู้จักครอบครัวของฉัน รู้ว่าใครเป็นใคร ทำงานทำอาชีพอะไร” ชิชานันท์พูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น ถึงจะโดนเพื่อนสาวหยิกเข้าที่แขนแต่กลับยิ้มออกได้อย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะย้อนให้นิลเนตรลองนึกถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่ม เพื่อนที่เธอก็มองว่าอีกฝ่ายจริงใจและหวังดี “แล้วสำหรับอีกคนล่ะ เธอรู้จักดีแค่ไหนกันเชียว”

    นิลเนตรรู้ได้ในทันทีว่าชิชานันท์นั้นจงใจหมายถึงใคร และกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ทว่าเธอก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าเหตุใดเรื่องเพียงชิดจันทร์ซึ่งเป็นญาติกัน ชิชานันท์ถึงไม่เคยปริปากบอกใคร แถมยังทำเป็นไม่รู้จักกันด้วย

    “แต่เธอปิดเรื่องเด็กคนนั้นกับฉัน”

    “ไม่ได้ปิดหรอก แค่ไม่อยากให้ใครรู้น่ะ” ชิชานันท์ส่ายหน้า “จันทร์กับฉันเป็นญาติกันก็จริง แต่ก็เป็นสายญาติห่างๆ จันทร์เป็นหลานใน ฉันเป็นหลานนอก กลมเกลียวกันเพราะอยู่เชียงใหม่เหมือนกัน แถมยังชอบอะไรคล้ายๆ กันอีก แต่ที่ทำเป็นไม่รู้จักกัน ก็เพราะรู้ว่ามีคนไม่หวังดีอยู่ใกล้ๆ เลยไม่อยากทำให้คนๆ  นั้นรู้จักจันทร์น่ะ”

    จะว่าชิชานันท์ไม่เคยไว้ใจจรัสทิวาเลยก็ได้ สายตาของอีกฝ่ายส่อเจตนาในใจชัดเจน มันส่อแววร้ายลึกตั้งแต่อีกฝ่ายเข้ามาตีสนิทอยากเป็นเพื่อนกับนิลเนตรแล้ว เมื่อเป็นแบบนั้นเธอก็เลยเลือกที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้เรื่องครอบครัวและคนรอบข้างของตัวเองน้อยที่สุด

    ชีวิตในวัยมหาลัยฯ ไม่ได้น่ารักสดใสเหมือนวันมัธยม ต้องยอมรับว่านี่คือโลกเสมือนจริง เพื่อนก็มีหลากหลายรูปแบบ ยิ่งต่างคนต่างเริ่มโต มีแนวทางชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น ความคิดความอ่าน เหลี่ยมลายก็จะฉายออกในช่วงเวลานี้ ดังนั้นเรื่องการอ่านใจ การมองคนก็ต้องเฉียบขาดเพื่อเอาตัวรอดในระดับหนึ่งด้วย

    จรัสทิวาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงจะมาในคราบ เพื่อนสนิทที่แสนดี แต่ภายใต้ถ้อยคำพูดจาหวานซึ้ง ช่างเอาอกเอาใจกลับเคลือบยาพิษเอาไว้อย่างน่ากลัว

    “สรุปว่าเด็กคนนั้นเป็นเหยื่อเหรอ”

    “โอเมก้าเริ่มทำงานแล้วล่ะสินะ” ชิชานันท์ยิ้มขำ เมื่อเห็นนิลเนตรหยุดนึกแล้วทำท่าเหมือนเพิ่งประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดออก

    แต่เรื่องสำคัญที่ชิชานันท์ต้องการจะพูดกับเพื่อนวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจากอารมณ์วู่วามชั่ววูบ แต่หญิงสาวอยากบอกให้นิลเนตรเข้าใจและมั่นใจว่าเธอและเพียงชิดจันทร์เองนั้น จะไม่มีทางทำร้ายนิลเนตรอย่างเด็ดขาด

    “นิล ฉันกับจันทร์ไม่มีอะไรจะอิจฉาเธอหรอก และไม่คิดจะแย่งคนรักอย่างนัทด้วย ฉันมีคนที่คบอยู่แล้ว ส่วนยายจันทร์เอง อีกไม่นานก็คงได้เปิดตัวแฟน” ชิชานันท์จับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนสาว จ้องลึกเข้าไปนัยน์ดวงตาคู่สวย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “อีกอย่างนัทให้เกียรติเธอ ไว้ใจเธอ เธอเองก็ควรเชื่อใจนัท ให้เกียรตินัทเหมือนกัน การที่เธอหึงหวงแบบไร้สติ มันแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา...ความรักของเธอกับนัทมันไม่มั่นคงเลย”

    “ฉันเข้าใจแล้ว” นิลเนตรยอมรับฟังอย่างง่ายดาย เหตุผลของชิชานันท์ทำให้เธอมีสติมากขึ้นเสมอ “แล้วปิดเทอมนี้เธอ...”

    “ฉันจะไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวน่ะ อยู่เมืองไทยอากาศก็ร้อน คนก็ร้อน ทั้งโง่ทั้งบ้า” ชิชานันท์พูดขึ้นทั้งที่นิลเนตรยังพูดไม่จบดี ก่อนจะหัวเราะคิกตบท้ายที่หลอกด่าเพื่อนสำเร็จ “อีกอย่างถ้าฉันจะบอกว่าเธอควรระวังน้ำตาล แกจะเชื่อฉันมั้ย”

    ชิชานันท์พูดคล้ายเตือนไปด้วย แต่เธอก็ไม่ได้คาดหวังในคำตอบของอีกฝ่าย

    “บอกเหตุผลฉันสิ แล้วฉันจะเชื่อเธอ...ช้องนาง”

    “ไม่บอกหรอก หัดคิดเองบ้าง คนอื่นคิดให้มากๆ เดี๋ยวสมองแกก็ฝ่อกันพอดี” พูดจบชิชานันท์ก็ลุกขึ้น หญิงสาวจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินออกไปยังรถที่จอดอยู่ด้านนอก โดยมีนิลเนตรเดินเคียงข้างมาส่ง “ฉันแนะนำนะว่าแกควรรู้จักครอบครัวน้ำตาลให้มากกว่านี้”

    หญิงสาวพูดจบก็เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ แล้วสตาร์ทเครื่องก่อนจะขับออกไปได้นิดนึง แล้วก็จอด

    ชิชานันท์ลดกระจกรถลง กวักมือเรียกคนที่ยืนส่งเธออยู่หน้าบ้าน จนนิลเนตรที่ยืนมองต้องวิ่งเข้าไปหา

    “อะไรอีก จะขับๆ หยุดๆ ทำไม มันอันตราย”

    “จะบอกบุญน่ะ” ชิชานันท์ว่าพลางยิ้ม ก่อนจะขยิบตาให้ “คนที่เธอควรทำความรู้จักเป็นคนแรกนั่นก็คือ...พ่อของน้ำตาล คนนี้เด็ดสุด”

    พูดจบชิชานันท์ก็เลื่อนกระจกขึ้น ก่อนจะขับออกไป ไม่สนใจคนที่ยืนทำหน้าครุ่นคิดอยู่ที่หน้าบ้านเลย




    ...Loading 100 %...

    แล้วเจอกันนะคะ

    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×