ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพียงชิดใจ

    ลำดับตอนที่ #13 : เพียงชิดใจ :: บทที่ 12 ตอน คุณย่าใจดี 100 %

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.78K
      61
      18 พ.ค. 62

    เพียงชิดใจ
    (นวนิยายรักชุด...รักทุกฤดู :: ฤดูดอกรักผลิบาน)
    Fotografar é maravilhoso! Mas, venho tendo dores horríveis nas costas (ou será que é a idade... 🤔😂) Então, hoje meu dia vai ser mais…

    || บทที่สิบสอง ||

    _____________________________________________________________________

    คุณย่าใจดี


    “มีเด็กๆ เต็มบ้านแบบนี้ ค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย” ดาริณบอก ใบหน้าของหญิงวัยเข้าสู่เลขหกระบายยิ้มแจ่มใส ขณะที่ตอนนี้ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะอาหารตัวยาวตรงลานสนามหญ้าหลังบ้าน ซึ่งถูกจัดขึ้นให้เป็นที่ใช้สำหรับสังสรรค์ในเย็นวันนี้ “จริงมั้ยตาแดน”

    “ครับคุณแม่” ดรัณตอบรับมารดาสั้นๆ อย่างเห็นด้วย

    เมื่อเย็นพอแข่งกีฬาเสร็จ เพียงชิดจันทร์ก็โทรล่วงหน้าไปบอกกับดาริณว่ากำลังจะเข้าไปและมีใครที่ติดสอยห้อยตามไปบ้าง หลังการแข่งขันฟุตบอลครึ่งแรกจบลง...เพียงชิดจันทร์เจอต้องชนะก็เลยชวนให้อีกฝ่ายมาทานอาหารที่บ้านด้วยกัน ต้องชนะเองเห็นว่ามณิกาไปด้วยเลยตอบตกลงทันที

    ไม่เพียงเท่านั้นเพียงชิดจันทร์ยังเจอกับปฐวีเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันกับต้องชนะ หญิงสาวรู้จักอีกฝ่ายเพราะเขาเพิ่งเข้าทำงานในบริษัทของดรัณ ปฐวีช่วยอรรถการทำงาน เป็นผู้ช่วยเรื่องเอกสารต่างๆ แต่เธอไม่คิดเลยว่าโลกจะกลม ถึงได้เจอกันในสถานะเพื่อนของแฟนเพื่อน

    ทุกคนตามมาที่บ้านของเพียงชิดจันทร์ ขณะที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งอาหารคาวหวาน และเครื่องดื่ม ยิ่งวันนี้ดรัณกลับบ้านเร็ว และชิชานันท์ก็ตอบรับคำชวนจากเพียงชิดจันทร์ เลยทำให้ปาร์ตี้เล็กๆ ดูอบอุ่นกว่าที่ดาริณคิดเอาไว้

    “เห็นจันทร์บอกย่าว่าเราทำงานที่บริษัทเดียวกัน เป็นยังไงบ้าง ทำได้มั้ย ตาแดนใช้งานเราหนักไปหรือเปล่า”

    หลังจากลงมือรับประทานอาหารไปได้สักพักหนึ่ง ดาริณก็เริ่มพูดคุยกับเด็กๆ เพื่อนของหลานสาวสุดที่รัก ท่านแอบแปลกใจเหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้พบเจอกับเพื่อนผู้ชายของหลานรักสักเท่าไหร่ จึงอดซักไซ้ไถ่ถามความเป็นไปของแต่ละคนไม่ได้

    “ได้ครับ งานไม่ได้หนักหนาอะไร” ปฐวีตอบ งานที่เขาทำถือว่าสบายในระดับหนึ่ง เขาเป็นผู้ช่วยอรรถการ เลขาฯ คนสนิทของดรัณ ช่วยตรวจทานดูเอกสารก่อนส่งถึงมือเจ้านาย อีกทั้งตอนที่เพิ่งถูกส่งมาทำงานก็ได้รับการสอนงานจากคนที่ทำงานมาก่อน และหากประเมินจากค่าตอบแทนที่ได้รับ นี่ถือว่าเขาคุ้มมากที่ได้เงินจากการทำงานระหว่างเรียนเทียบเท่าคนจบปริญญาหมาดๆ เลย

    “ตาอรรถบอกย่าว่าเราทำงานใช้ได้ ปิดเทอมก็มาทำงานที่นี่สิ”

    หลานสาวรักใคร สนิทสนมกับใครก็พลอยทำให้คนเป็นย่าเอ็นดูอีกฝ่ายไปด้วย

    ดาริณไถ่ถามปฐวีด้วยความเอ็นดู เห็นว่าอีกฝ่ายเพิ่งเข้ามาทำงานกับดรัณเพราะทางมหาลัยฯ แผนกจัดหางานพิเศษระหว่างเรียนส่งตัวมา อีกทั้งเด็กหนุ่มก็ดูหน่วยก้านใช้ได้ ไม่ได้เกเร มีความมุ่งมั่นอยู่ในแววตา และอีกฝ่ายก็ทำงานจนอรรถการ หรือแม้แต่ดรัณเองก็ยังออกปากให้คำชื่นชม ดาริณเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีเลยชักชวนให้เด็กหนุ่มมาทำงานด้วยเสียเลย

    “ขอบคุณที่เมตตาครับ แต่ช่วงปิดเทอม ผมต้องกลับไปช่วยงานพ่อที่บ้าน ผมแค่ทำงานหารายได้ระหว่างเรียน” ปฐวีบอกดาริณด้วยความนอบน้อมที่ท่านเอ็นดูถึงขนาดจะรับเข้าทำงาน ความจริงหากเขาเป็นคนกรุงเทพฯ จะไม่ลังเลใจที่จะรับข้อเสนอดีๆ นี้เลย แต่ว่าเขาต้องกลับบ้าน มีภาระไปสานต่อกิจการงานของครอบครัว เลยไม่สะดวกที่จะรับงานแบบเต็มตัวเท่าไหร่

    “บ้านของนายทำงานอะไร” ดรัณที่นั่งเงียบฟังแม่คุยกับเด็กฝึกหัดงานของเขา ก็เอ่ยถามขึ้นบ้าง

    “ทำโรงงานเฟอร์นิเจอร์ครับ เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้เสียส่วนใหญ่ แต่ออกแบบทำเครื่องเรือนอื่นๆ ก็รับครับ” ปฐวีตอบ ซึ่งนั่นเป็นกิจการหลักที่หล่อเลี้ยงครอบครัวเขามาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้

    “เป็นกิจการของตัวเอง หรือเป็นลูกจ้างเขา” ดรัณถาม

    “กิจการของครอบครัวครับ ตอนนี้พ่อทำคนเดียว เพราะผมกับพี่ชายยังเรียนอยู่”

    ปฐวียังเล่าให้ดรัณกับดาริณฟังอีกว่าพี่ชายมีอันต้องดรอปเรียนแล้วช่วยพ่อดูแลหลายอย่าง ที่บ้านมีกิจการร้านอาหารร่วมด้วย พี่ชายต้องดรอปเรียนไปหลายปีก็เพื่อให้เขาเรียนก่อน ประมาณว่าต้องผลัดกันทำงาน ผลัดกันเรียน เพราะให้บิดาทำคนเดียวท่านก็ไม่ไหวแล้ว

    ดาริณกับดรัณได้ฟังอย่างนั้นก็นึกชื่นชมเด็กตรงหน้าไม่น้อย

    พูดคุยกันไปมาได้สักระยะเกี่ยวกับโรงงานเฟอร์นิเจอร์ของปฐวี เรียกว่าซักฟอกจนคนโดนถามนั้นแทบจะขาวสะอาดเอี่ยมกันแล้ว คนต่อมาที่ดาริณให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คงไม่ใช่ใครอื่นไกล นอกจากคนที่นั่งติดอยู่กับหลานสาวสุดที่รักของท่าน และหลายครั้งดรัณก็ปลายสายตาคมๆ มองไปหา

    “เห็นจันทร์บอกย่าว่าเราเป็นนักร้อง เป็นคนดังนี่นา” ดาริณซักทยากรเป็นคนถัดมา ทำเอาเสียงคนที่คุยกันจอแจ เริ่มค่อยๆ เงียบลงฟังอย่างตั้งใจ

    “ไม่ใช่คนดังครับ ผมเป็นแค่นักร้อง” ทยากรบอกพร้อมด้วยรอยยิ้มละมุน เขาไม่ได้ถ่อมตัวเพราะอาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองคือขายเสียงชวนฟัง ทำให้คนรอบตัวมีความสุข ส่วนคนดังมันก็เป็นแค่กระแสความนิยมเพียงฉาบฉวย ทยากรไม่อยากให้ท่านมองว่าเขาใช้ชื่อเสียงและหน้าตาหากินเลย

    “ไม่จริงค่ะคุณย่า ถ้าคุณย่าดูข่าวบันเทิงจะเห็นหน้าพี่ทานต์บ่อยกว่าดาราบางคนอีก” มณิสรเห็นทยากรถ่อมตัว เธอก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ในเมื่อเขาดังจนเป็นที่จับตามองของคนรุ่นใหม่ หญิงสาวคิดว่าการเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าเสียหายอะไรเลย

    “แล้วอย่างนี้มีเวลาเรียนด้วยหรือจ๊ะ ย่าชื่นชมนะ เด็กที่ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย” สายตาชื่นชมของดาริณไม่ได้เผื่อแผ่ไปหาทยากรเพียงคนเดียว แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงปฐวีและคนอื่นๆ ที่นั่งร่วมกันอยู่ด้วย

    “ผมยอมรับครับว่าเรียนไม่ค่อยจะทันคนอื่นเท่าไหร่ อาจจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันไปสักปีเพราะต้องทำงานตอนกลางคืนด้วย แต่ผมก็พยายามตามเก็บวิชาที่เหลืออยู่”

    ทยากรบอกไปตามตรง เพราะไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องโกหกใคร ในเมื่องานของเขาไม่ได้เป็นเวลาที่แน่นอน บ่อยครั้งก็จำเป็นต้องขาดเรียน หรือเข้าเรียนไม่ทันเพราะงานเลิกดึกดื่นจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นนักร้องหนุ่มคนดังก็ยังมุ่งมั่นตั้งใจคว้าใบปริญญาที่อยู่เพียงแค่เอื้อมมาครองให้ได้

    เสียงหัวเราะเกิดขึ้นประปราย พร้อมกับเสียงเถียงกันเล็กๆ น้อยๆ บนโต๊ะอาหารอย่างครื้นเครง แต่ดาริณก็ยังไม่วายแวะไปแซวอีกหนึ่งหนุ่มที่กำลังนั่งแกะกุ้งแกะปูให้กับหญิงสาวข้างกาย แต่แกะเท่าไหร่ก็เหมือนว่าเจ้าตัวจะโดนแกล้ง เพราะอีกคนแย่งไปทานซะหมด

    “แล้วเราล่ะ คิดอะไรไปจีบลูกสาวบ้านนั้น ไม่โดนยายเมี่ยงแกล้งซะอ่วมเลยเหรอเนี่ย” ทั้งๆ ที่เห็นกับตาว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็โดนแฝดตัวแสบกำลังแกล้ง แต่ต้องชนะก็ยังไม่ปริปากพูดหรือต่อว่าเลย ไม่รู้ว่าเพราะเกรงใจแฟนสาวตัวเอง หรือเพราะไม่กล้าหือกล้าอือกับมณิสรกันแน่

    “โดนแกล้งจนชินแล้วครับ” ต้องชนะตอบ แต่คำตอบนั้นกลับเรียกรอยยิ้มจากคนรอบข้างไปได้ตามๆ กัน เห็นจะมีคนที่ทำหน้ายุ่งคนเดียวนั่นก็คือ...มณิสร

    “เมี่ยงย้ายที่ไปนั่งใกล้ๆ อาแดนมั้ยล่ะ ให้อาเขาแกะให้บ้าง เราน่ะแย่งเจ้าม่านกินหมดแล้ว คนแกะก็แย่กันพอดี” ดาริณพยักพเยิดหน้าไปทางลูกชายคนเดียว ซึ่งดรัณนั่งอยู่กับหลานสาวอย่างชิชานันท์ แต่ยังไม่ทันที่มณิสรจะย้ายไปไหนดีเลย ชิชานันท์ก็ร้องโวยวายขึ้นเสียก่อน

    “โหคุณป้าคะ พี่แดนยังใช้ช้องแกะให้อยู่เลยนะคะ” ชิชานันท์โอดครวญเรียกคะแนนความเห็นใจจากดาริณ ทำเอาดาริณมองลูกชายด้วยสายตาดุๆ

    “ขี้ฟ้องจังนะ” ดรัณหันไปต่อว่าลูกพี่ลูกน้อง ก่อนจะบอกมารดาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงนิดหน่อย “ก็ใส่แขนยาวนี่แม่ ไม่อยากให้เสื้อเปื้อนก็เลยให้ยายช้องช่วยแกะกุ้งแกะปูให้ แม่ไม่น่าทักเลย ยายช้องได้ทีฟ้องยาวเหยียด”

    ดรัณหันไปทำตาเขม่นใส่ชิชานันท์ด้วยความหมั่นไส้ ถ้าแม่ของเขาไม่ทักขึ้นมา ยายลูกพี่ลูกน้องก็เต็มใจแกะนั่นนี่ให้ ไม่เห็นปริปากบ่นอะไรสักคำเดียว แต่พอดาริณทักเท่านั้นแหละ...ชิชานันท์ก็ทำเป็นโอดครวญ ฟ้อง เรียกร้องขอความเห็นใจใหญ่เลย

    “ตาแดน เรานี่ไม่ไหวเลยนะ ใช้น้องได้ยังไง” ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าชิชานันท์เองก็เต็มใจแกะอาหารทะเลให้ดรัณ แต่ดาริณก็อดเอ็ดลูกชายเสียงเข้มไม่ได้ “เป็นผู้ชายแทนที่จะบริการผู้หญิง”

    “พี่แดนไม่ทำให้ช้องหรอกค่ะคุณป้า เพราะจะเป็นสุภาพบุรุษก็เฉพาะอยู่กับสาวๆ เท่านั้นแหละ” ชิชานันท์ได้ทีก็ขอเรียกคะแนนความน่าสงสารเพิ่มขึ้นอีกนิด

    “หุบปากไปเลยยายช้อง”

    ถึงทั้งสองคนจะโต้เถียงกันไปก็เท่านั้น เพราะความเป็นญาติกัน ถึงจะคนละฝั่งสายเลือด ทว่าความสนิทสนมก็ทำให้ดาริณเลิกสนใจทั้งคู่

    ความจริงแล้วการโต้เถียงกันระหว่างดรัณกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่น คนในบ้านก็เห็นแทบจะเป็นเรื่องชินตา ถึงดรัณจะโตกว่าและทำเหมือนจะเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย วางอำนาจไปสักนิด ทว่าเอาเข้าจริง ดรัณก็ยอมอ่อนข้อให้น้องๆ อยู่ดี

    ส่วนน้องๆ เองก็ทำเป็นบ่นไปงั้นๆ แสนงอนไปบ้างตามประสา ถึงปากจะพูดจาคล้ายจะฟ้องว่าโดนดรัณข่มเหงอยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจดรัณ เรียกว่าสายสัมพันธ์เครือญาตินั้นตัดไม่ตายขายไม่ขาด สุดท้ายก็พึ่งพากันและกันอยู่วันยังค่ำ

    ทว่าก็แค่นั้น เพราะหลังจากต่อว่าดรัณแล้ว ดาริณก็กลับไปสนใจหลานสาวสุดที่รักอย่างเพียงชิดจันทร์กับเพื่อนๆ ของหลานต่อ

    “ยายเมี่ยง เราไปขัดขวางคนรักกันมันบาปนะลูก ย้ายมานั่งใกล้ๆ ย่านี่มาเร็ว เราน่ะอย่าไปกวนใจเขา” ดาริณหันไปพูดกับตัวแสบเรื่องที่ค้างไว้ต่อ ท่านพอรู้นิสัยของมณิสร และดูจากท่าทางก็รู้ว่าอีกฝ่ายเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย ผิดกับมณิกาที่เรียบร้อย พูดน้อย และดูท่าจะยอมคน แต่เห็นต้องชนะโดนแกล้งต่อหน้าต่อตาแบบนี้แล้ว ท่านก็อดสงสารเด็กหนุ่มไม่ได้ “แกล้งคนอื่นมากๆ เข้า เดี๋ยวพระเจ้าก็ลงโทษให้หนูขึ้นคานหรอกนะ”

    “คุณย่า!

    มณิสรตาโตเป็นไข่ห่าน รู้ทั้งรู้เต็มอกว่าย่าของเพียงชิดจันทร์กระเช้าเย้าแหย่เล่น และมันก็เป็นนิทานหลอกเด็กทั้งเพ แต่พอทบทวนตัวเอง...เธอก็แกล้งคนอื่นเอาไว้เยอะจริงๆ โดยเฉพาะกับต้องชนะ เลยอดหวั่นใจกับคำขู่หลอกเด็กไม่ได้

    เสียงหัวเราะเฮฮามีอยู่ในการสนทนาอยู่แทบทุกหัวข้อ ดาริณเข้ากับเพื่อนๆ ของหลานสาวได้เป็นอย่างดี ทุกคนเองก็ดูรักและเคารพท่านมาก ดรัณคิดว่าในสายตาเด็กๆ มารดาของเขาจะต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ใจดีและน่าเข้าหามากคนหนึ่ง

    เห็นอย่างนี้แล้วดรัณก็ดีใจที่แม่ตัวเองมีความสุขจนรอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้า เขารู้ตัวว่าตนเองไม่ค่อยมีเวลาให้มารดาสักเท่าไหร่ แต่ก็โชคดีมากเหมือนกันที่มีหลานสาวอย่างเพียงชิดจันทร์มาอยู่ร่วมบ้านด้วย ไม่อย่างนั้นชีวิตของดาริณคงเงียบเหงากว่านี้มาก และในฐานะลูกชายคนเดียว เขาคงรู้สึกผิดที่ทำให้แม่ไม่มีความสุข

    “คุณป้าดูสดใสนะคะพี่แดน ดูสดชื่นขึ้นเป็นกองเลย” ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการพูดคุย และเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหาร ชิชานันท์ที่นั่งข้างดรัณก็เอ่ยขึ้น หญิงสาวสังเกตมานานแล้วว่าดาริณดูสดใสเป็นพิเศษเวลาอยู่กับเด็กๆ อย่างพวกเธอแตกต่างจากทุกวัน เลยอดกระทุ้งลูกพี่อย่างดรัณไม่ได้ “พี่แดนน่ะถึงวัยจะมีหลานให้คุณป้าเลี้ยงแล้วนะ ทำไมยังช้าอยู่อีก”

    “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเราไม่เกี่ยว” ดรัณตอบกลับ ทำตาดุๆ ใส่ชิชานันท์ แล้วก็เงียบขรึม ก่อนจะยกไวน์ขึ้นจิบกลบเกลื่อนคำถามแทงใจนั่น

    เขาอายุเข้าเลขสามแล้ว ควงผู้หญิงมาก็ตั้งมากมาย แต่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ล้วนก็หวังผลประโยชน์ทุกราย อีกอย่างเขายังไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจจริงๆ เลยสักคน

    “ไม่เกี่ยวหรือไม่อยากให้เกี่ยวกันแน่” ชิชานันท์เบ้ปากใส่อย่างรู้ทัน “ช้องเห็นพี่แดนควงสาวๆ ไม่ซ้ำหน้าเลย ก็เลือกมาสักคนสิคะ สวยๆ ทั้งนั้น”

    “ถ้ามันเลือกง่ายเหมือนที่พูดน่ะ พี่เลือกไปนานแล้วมั้ย”

    “ที่แท้ก็มัวแต่เลือกมาก”

    “มันก็ดีกว่าไม่เลือกนั่นแหละ คู่ชีวิตนะ ไม่ได้เลือกผักเลือกปลาที่จะสุ่มหยิบอันไหนก็ได้ ของอย่างนี้คงต้องดูกันยาวๆ เลย”

    “ค่า” ชิชานันท์ลากเสียงยาวอย่างตั้งใจประชดประชันคนช่างเลือก “แต่เลือกมากก็ระวังขึ้นคานนะคะ”

    ดรัณหันไปจ้องหน้าลูกพี่ลูกน้องของเขาคล้ายกำลังจะกินหัวอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันที่ชิชานันท์จะโต้กลับ เสียงของดาริณที่เผอิญหันมาเจอทั้งสองคนที่ทำท่าจะตีกันก็ทำเอาทั้งดรัณและชิชานันท์ต้องยุติการโต้เถียงเรื่องไร้สาระลงก่อน ไม่อย่างนั้นคงโดนบ่นให้อายเด็กๆ อีกชุดใหญ่แน่

    “สองคนนั้น เถียงอะไรกัน”

    “เปล่าครับ กำลังคุยเรื่องงานวันเกิดคุณแม่” ดรัณรีบแก้ตัวแล้วยิ้มกลบเกลื่อนทันที

    “จริงสิคะคุณย่า งานวันเกิดคุณย่าปีนี้ เมี่ยงขออนุญาตแปลงโฉมให้หลานสาวสุดที่รักเองนะคะ” พอมีคนเปิดประเด็นขึ้นมา คนที่มีแผนการอยู่ในใจอย่างมณิสรก็รีบเสนอตัวเองทันทีทันใด ทำเอาคนที่จะถูกเพื่อนจับเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงกับขนลุกซู่

    เพียงชิดจันทร์รู้สึกกลัวเพื่อนตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    “ย่าไว้ใจเราได้เหรอเมี่ยง” ดาริณเลิกคิ้วขึ้น แต่พอเห็นท่าทีขึงขังเอาจริงเอาจัง ท่านก็ไม่อยากขัดความตั้งใจของหลาน

    “แน่นอนค่ะ งานนี้เมี่ยงลงทุนสุดฝีมือเลย” มณิสรยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแน่วแน่ ก่อนจะหันไปขอความร่วมมือจากฝาแฝดตัวเอง “เนอะม่านเนอะ แกจะช่วยฉันแปลงโฉมยายจันทร์ใช่มั้ย เอาให้เหมือนเจ้าหญิงไปเลย”

    “ถามความสมัครใจเพื่อนก่อนเถอะ หน้าตาไอจันทร์ดูไม่พร้อมให้แกจัดการแปลงโฉมเลยสักนิด” มณิกาบุ้ยหน้าไปหาคนที่นั่งเงียบ ทำหน้าตาประหวั่นพรั่นพรึงกับท่าทีจริงจังของมณิสร

    “ว่าไงจันทร์ แกโอเคมั้ย” มณิสรจ้องหน้าเพื่อนอย่างเอาคำตอบ

    “ไม่” เพียงชิดจันทร์แทบจะส่ายหน้าหวือทันที

    “ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกจะต้องปฏิเสธความหวังดีจากเพื่อน” มณิสรยิ้มหวานแต่ไม่คิดยอมแพ้ และไม่สนใจว่าเพียงชิดจันทร์จะเห็นดีด้วยหรือไม่ “แต่ไม่เป็นไร แกไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ฉันเต็มใจทำเพื่อแกเลย”

    เพียงชิดจันทร์อยากพูดกับเพื่อนตัวแสบจริงๆ เลยว่าเธอไม่ได้เกรงใจ เพียงแต่..เธอไม่มั่นใจในฝีมือของเพื่อนต่างหาก

    “ให้หนูเมี่ยงลองแต่งตัวให้ก็ดีนี่ ให้ม่านช่วยด้วยอีกคน” ดาริณเห็นว่างานวันเกิดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน ถึงจะจัดแบบกันเองแล้วเชิญแค่คนในครอบครัว เครือญาติ แต่ก็มีแขกผู้ใหญ่หลายท่านมาร่วมงานนี้ด้วย เพียงชิดจันทร์เองก็ควรจะแต่งชุดสวยๆ ยืนรับแขกให้สมกับเป็นหลานสาวสุดที่รักของท่าน “ย่าอยากเห็นจันทร์ใส่ชุดสวยๆ นะลูก”

    “นั่นไง คุณย่าให้ผ่านแล้ว แกก็ไม่ต้องเขินหรอกน่า” มณิสรรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเจ้าของงานเสียอีก แค่คิดคร่าวๆ เอาไว้ในใจว่าเธออยากแปลงโฉมเพียงชิดจันทร์ให้เป็นไปแบบไหน เธอก็อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ แล้ว “มีไอม่านช่วยด้วยทั้งคน”

    สุดท้ายแล้วเพียงชิดจันทร์ก็จำต้องยอมรับชะตากรรมตัวเองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงวันงานวันเกิดของคุณย่าเธอจริงๆ เธอก็คงตกเป็นลูกไก่ในกำมือของเพื่อนตัวแสบ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด และชั่วโมงนั้นอย่างมากที่สุด เธอคงทำได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือสวดมนต์ ภาวนาขอให้ตัวเองออกมาดูได้ก็พอ

    แต่กว่าจะถึงวันนั้น เวลานี้ก็มีเรื่องให้หัวใจชุ่มชื่นขึ้นมาบ้าง

    ตอนแรกเพียงชิดจันทร์ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเพื่อนฝาฝแดที่บอกว่าทยากรมีใจให้เธอ แต่พอโดนตอกย้ำมากๆ เข้า กอปรกับการที่ชายหนุ่มข้างกายดูแลเธออย่างดี คอยแกะกุ้งแกะปูให้ และคอยเอาใจคนในครอบครัวเธอด้วยรอยยิ้มละมุนน่ามอง เพียงชิดจันทร์ยอมรับว่าเธอเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้

    ไม่เอาน่า อย่าคิดเข้าข้างตัวองสิจันทร์

    หญิงสาวบอกกับตัวเองว่าอย่าเผลอหวั่นไหวไปกับรอยยิ้ม สายตา และการดูแลอย่างดีของทยากร ไม่เช่นนั้นเธออาจผิดหวังภายหลังได้ แต่หลายครั้งหญิงสาวก็เผลอลอบสังเกตพฤติกรรมของทยากรอย่างเงียบๆ แทบจะตลอด เพียงชิดจันทร์ยอมรับว่าเขาเองก็น่ารักดี แต่เธอก็ปักใจเชื่อไม่ลงว่าเขาจะชอบพอเธอจริงๆ

    “คุณป้าคะ ของขวัญปีนี้ช้องขอรวมกับจันทร์นะคะ”

    ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงการเตรียมงานวันเกิดของดาริณ ชิชานันท์ซึ่งปกติเธอจะหาของขวัญมาให้ดาริณส่วนตัวนั้น ปีนี้หญิงสาวคิดว่าเธอจะขอรวมกับหลานสาวตัวเอง แต่ของขวัญจะเป็นอะไรที่มีมูลค่ามากขึ้นกว่าปีก่อนๆ และเธอก็คุยกับเพียงชิดจันทร์ไว้แล้ว

    “ได้สิ” ดาริณบอก ส่วนตัวท่านเองก็ไม่ได้เป็นคนคิดมากเรื่องของขวัญอยู่แล้ว แค่ลูกหลานมากันพร้อมหน้าพร้อมตานั่นก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เลอค่ามากที่สุด ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด “ย่าเชิญพวกเราด้วยเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องหอบอะไรมาให้ย่ากันหรอก แค่มาร่วมงาน มาสนุกกันก็พอ”

    ดาริณถือโอกาสชวนทุกคนมาร่วมงานวันเกิดของตัวเองด้วย ท่านรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างถูกชะตากับเด็กๆ กลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ เลยอยากให้ทุกคนได้มาร่วมสนุกและพูดคุยกัน

    “นี่ครับคุณย่า ทานต์แกะให้” ทยากรยกจานกุ้งที่เพิ่งแกะเสร็จใหม่ๆ ให้ดาริณ เขาไม่ได้ต้องการประจบประแจงเอาใจเลย แต่เขาเห็นท่านคุยจนเพลินกับคนอื่นๆ จนแทบไม่ได้แตะอะไรเข้าปากด้วยซ้ำก็เลยอาสาแกะอาหารให้ เพราะไหนๆ มือของตัวเองก็เปื้อนแล้ว “ทานต์เห็นคุณย่าทานไปนิดเดียวเองครับ เลยแกะกุ้งเพิ่มให้”

    “โห ขอบใจนะจ๊ะ” ดาริณยิ้มกริ่มในความมีน้ำใจของเด็กหนุ่ม แล้วเอื้อมมือไปรับจานกุ้งไว้ “ฝีมือแกะกุ้งใช้ได้เลยนะเรา”

    ทว่าถึงอย่างนั้นแล้วไม่ใช่ทยากรที่จะถูกเพียงชิดจันทร์ลอบมองอยู่บ่อยครั้ง แต่นักร้องหนุ่มคงไม่รู้ตัวเลยว่ายังมีสายตาอีกสองคู่ที่กำลังมองเขาอยู่เงียบๆ แต่อันตรายมาก

    “ช้องว่านายนักร้องนี่จีบหลานเราชัวร์ๆ เลยพี่แดน”

    “อืม เห็นหลายทีละเหมือนกัน”


     

    หลายวันต่อมา

    หลังเลิกเรียน เพียงชิดจันทร์เข้ามาทำงานที่โรงแรมเหมือนกับทุกๆ วัน หญิงสาวโดนส่งตัวมาช่วยพ่อตัวเอง งานหลักคือนั่งดูเอกสาร ตรวจทานความเรียบร้อย เป็นผู้ช่วยเลขานุการหน้าห้องพ่อตัวเองอีกที

    แต่วันนี้พนักงานดูวุ่นวายผิดปกติ เดินกันไปกันมา ราวกับมีเรื่องร้อนรนเร่งด่วน แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดหาคำตอบดี อรรถการก็เดินเข้ามาในครรลองสายตาของเธอเข้าพอดี

    “มีเรื่องอะไรกันหรือคะอาอรรถ เห็นคนวิ่งวุ่นเลย” เพียงชิดจันทร์ถามคนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด เพราะอรรถการก็เดินมาด้วยท่าทางรีบร้อนไม่ต่างจากคนอื่นๆ เหมือนกัน ในมือของเขามีแฟ้มเอกสารถือแนบมาด้วย

    “งานด่วนครับ” ถึงจะรีบมากขนาดไหนอรรถการก็ไม่ได้เดินผ่านเพียงชิดจันทร์ไปอย่างหน้าตาเฉย แต่กลับหยุดแล้วตอบคำถามของเธอได้อย่างมืออาชีพ เพียงชิดจันทร์เห็นแล้วยังอดชื่นชมเลขาฯ ฝีมือดีของคุณอาไม่ได้เลย

    “แล้วทำไม ทุกคนต้องวิ่งวุ่นด้วยล่ะคะ จันทร์เห็นทุกคนดูร้อนรนมาก แต่คุณพ่อก็ยังให้จันทร์นั่งอ่านเอกสารนั่นนี่เหมือนไม่มีอะไรให้ช่วยเลย”

    “คือวันนี้ห้องประชุมของเรามีจัดเลี้ยงพร้อมกันทุกห้องเลย พนักงานประจำไม่พอ บางส่วนก็เข้ากะไปแล้วสองสามกะ จะให้ทำต่อก็ไม่ไหว นักศึกษาที่มาช่วยงานก็ไม่พออีก แล้วบนออฟฟิศก็กำลังจะมีประชุมในอีกหนึ่งชั่วโมงครับ”

    อรรถการบอกเหตุผลของความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เพียงชิดจันทร์ฟัง หญิงสาวที่นั่งแทบจะหลับคากองเอกสารก็ถึงกับตาสว่างทันทีทันใด

    เพียงชิดจันทร์ได้ฟังอรรถการร่ายยาวก็ถึงกับอึ้งไปสามวินาที มิน่าล่ะทุกคนถึงได้วิ่งวุ่นเหมือนมีงานใหญ่ โรงแรมมีปัญหาให้แก้มากมายขนาดนี้ แต่คนรอบตัวเธอยังขัดขวางให้เธอนั่งอ่านเอกสารสบายใจเฉิบอยู่อีกอย่างนั้นหรือ

    หญิงสาวคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ตอนแรกที่คุณย่าออกปากอนุญาตให้เธอมาทำงานพิเศษ วันแรกๆ เธอได้ทำงานในส่วนของห้องจัดเลี้ยง ได้เสิร์ฟน้ำ เตรียมอาหารว่างสำหรับผู้เข้าประชุม คอยดูแลบริการลูกค้าในส่วนต่างๆ อันนั้นสนุกกว่าตั้งเยอะ ไม่น่าเบื่อเหมือนนั่งอยู่หน้ากองเอกสารจนแทบจะหลับอยู่แบบนี้

    หญิงสาวรู้อยู่หรอกว่าการที่ตัวเองโดนดึงตัวมาช่วยงานพ่อตัวเองแบบนี้ก็เพราะทั้งพ่อ และคุณอาของเธอไม่ต้องการให้เธอทำงานออกแรงหรือต้องลำบากใจในการรับหน้าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ อยากให้เธอทำงานสบายๆ จนนั่งเบื่อจนตาจะปิด แต่ในความหวังดีของผู้ใหญ่ เพียงชิดจันทร์กลับรู้สึกว่าตัวเองกินแรงคนอื่นยังไงก็ไม่รู้

    อรรถการบอกแค่นั้นก่อนจะขอตัวเข้าไปในห้องดลภาคี เพียงชิดจันทร์ไม่รอช้า หญิงสาวรีบเดินตามหลังของอรรถการเข้าไปเหมือนนึกอะไรดีๆ ออก นี่คงเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ไปทำงานอย่างจริงจังเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง

    “อาอรรถคะ จันทร์ขอไปช่วยนะคะ จันทร์อยากไปทำที่ห้องจัดเลี้ยง”

    คนอยากช่วยงานรีบเสนอตัวด้วยรอยยิ้มร่าเริง ดลภาคีที่นั่งอ่านเอกสารต่างๆ รวมถึงข้อมูลสำคัญที่กำลังจะเข้าประชุมในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองหน้าลูกสาวด้วยสายตาดุๆ อย่างไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ อรรถการเห็นเจ้านายมองแบบนี้แล้วเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

    “แต่...” อรรถการมองไปทางเจ้านายใหญ่อีกคนหนึ่ง แล้วได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่กล้าตัดสินใจ เขาไม่มีสิทธิ์อนุญาตหรือใช้ให้เพียงชิดจันทร์ทำอะไรตามใจชอบได้ แต่ดลภาคีมีสิทธิ์ขาดอย่างไม่ต้องสงสัย

    เพียงชิดจันทร์ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบคนอื่นเพราะเส้นสายและบารมีของคนในครอบครัวโดยแท้ แต่เธอไม่ได้ต้องการเอาเปรียบใครเลย ในเมื่อเธอเองก็รับเงินค่าจ้างเหมือนคนอื่นๆ ฉะนั้น...ถ้าคนอื่นต้องทำงานใช้แรงหามรุ่งหามค่ำ แล้วเธอจะมานั่งสบายๆ อยู่บนออฟฟิศได้ยังไงกัน

    เท่าที่รู้มาโรงแรมรับนักศึกษาฝึกงานเยอะมาก และยังจ้างงานให้นักศึกษาที่อยากมีรายได้ระหว่างเรียนมาทำงานที่นี่อีก บางส่วนได้อยู่ในออฟฟิศ แต่ก็ต้องทำงานคอยช่วยเหลือแผนกตัวเอง ทำเอกสารนู้นนี่นั่นมากมายหลายอย่าง หรือบางคนก็ต้องลงไปให้บริการลูกค้า บางคนได้ทำในส่วนห้องจัดเลี้ยง ซึ่งนั่นเป็นงานหนักมาก กว่าจะเลิกงานก็ดึกดื่น

    “นะคะคุณพ่อ จันทร์ขอไปช่วยงานข้างล่างนะคะ” หญิงสาวทำเสียงอ้อนใส่ ทำดวงตาเป็นประกาย แล้วเดินเข้าไปเกาะขอบโต๊ะทำงาน “อาอรรถบอกว่าคนไม่พอนี่คะ ให้จันทร์ไปเถอะนะ จันทร์อ่านเอกสารไม่รู้เรื่องเลย จะหลับอยู่แล้ว”

    ความจริงถ้าเลขาฯ ของพ่อเธอให้เธอช่วยแบ่งเบางานมาบ้าง เพียงชิดจันทร์ก็จะไม่พูด ไม่บ่นอะไรเลย แต่พออีกฝ่ายเห็นว่าเธอเป็นลูกสาวเจ้านายใหญ่ก็ไม่กล้าใช้งาน ไม่ให้ทำอะไรเลยนอกจากบอกว่า คุณจันทร์ศึกษาเอกสารพวกนี้ไปคร่าวๆ นะคะเพียงแค่นั้น

    แต่อย่างว่าแหละ อรรถการที่ดูมีอำนาจมากกว่ายังไม่กล้าเอ่ยปากใช้งานเธอเลย เขาเองก็คงลำบากใจและกลัวจะโดนต่อว่าเหมือนกัน

    “ให้คนอื่นทำ” ดลภาคีบอก โดยไม่สนใจสายตาอ้อนวอนของลูกสาวเลยสักนิด “ถ้าง่วงก็ลงไปเดินเล่นด้านล่างไป หรือไม่ก็แวะไปดูร้านรองเท้าตัวเอง”

    ดลภาคีออกปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาไม่ฉายแววเห็นใจหรืออยากตามใจเลยสักนิด

    แต่เพียงชิดจันทร์ก็ไม่ได้สนใจคำสั่งของบิดาเลย หญิงสาวยังคงดื้อดึงที่จะลงไปช่วยงานทุกคนให้ได้

    “ไม่เอาหรอกค่ะ จันทร์ไปช่วยงานในห้องจัดเลี้ยงดีกว่า”

    “แต่คุณดล...” อรรถการมีสีหน้าลำบากใจ ในเมื่อดลภาคียังไม่เอ่ยปากอนุญาต สีหน้ายังนิ่งเรียบสนิท แต่คนเป็นลูกสาวทำท่าว่าจะออกจากห้องนี้ไปเสียแล้ว

    “อรรถ คุณป้ากับนายแดนล่ะ”

    พอดลภาคีถามถึงอีกสองคน เพียงชิดจันทร์ที่ทำท่าจะเดินออกจากห้องทำงานก็หยุดนิ่ง แล้วหันกลับมามองทั้งพ่อและอรรถการพูดคุยกัน

    ความจริงดลภาคีถามอรรถการก็เพื่อเช็คความแน่ใจ ดาริณได้รับเชิญมางานเลี้ยงที่นี่ด้วย มีงานหนึ่งเป็นงานใหญ่ เป็นงานแต่งงานลูกชายนักธุรกิจในแวดวงอสังหาริมทรัพย์กับหลานสาวของผู้จัดละครท่านหนึ่ง ซึ่งดรัณต้องลงไปร่วมงานนี้ด้วย ฉะนั้นเรื่องที่มีประชุมด่วน...ดลภาคีจึงต้องเข้าร่วมประชุมแต่เพียงผู้เดียว

    เพียงชิดจันทร์เองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย ความจริงเธอเองก็ทราบมาเหมือนกันว่าคุณย่าได้รับเชิญมางานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ที่นี่

    “คุณดาริณมาถึงสักพักแล้วครับ” อรรถการรายงาน ซึ่งดาริณมานั่งรอในห้องรับรองแขกประจำชั้นได้สักพักแล้ว “ตอนนี้คุณดาริณกับคุณดรัณอยู่ในงานแล้วครับ”

    “ก็ดี” ดลภาคีพยักหน้ารับรู้นิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วยิ้มเย็นๆ “สรุปฉันต้องเข้าประชุมคนเดียวใช่มั้ย”

    “ครับ” อรรถการตอบรับ “แต่ถ้าผมจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะรีบตามเข้าไปครับ”

    “คุณพ่อ สรุปว่าให้จันทร์ไปช่วยงานด้านล่างนะคะ”

    “...”

    นิ่งทั้งเจ้านายและลูกน้อง

    “นะคะ ก็โรงแรมเป็นของเรานี่นา จันทร์ในฐานะลูกสาวและหลานสาวของหุ้นใหญ่ทั้งสองคน ถ้าโรงแรมเรามีปัญหาก็ควรจะช่วยกันแก้ไขไม่ใช่หรือคะ จันทร์เรียนมาก็อยากช่วยงานทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่อยากเอาเปรียบใคร เรื่องแค่นี้เอง ให้จันทร์ช่วยไม่ได้เหรอคะ”

    “เห้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ” ดลภาคีถึงกับถอนหายใจอีกครั้งในความพยายามพูดจาโน้มน้าวของลูกสาว “พูดขนาดนี้แล้ว พ่อคงขัดใจเราไม่ได้สินะ”

    “ขอบคุณค่ะ” เพียงชิดจันทร์ยิ้มกว้าง เมื่อบิดาเอ่ยปากอนุญาต

    “ปิดเทอมกลับไปอยู่บ้านกับแม่เลยไป”

    “เรื่องนี้เราค่อยพูดกันเถอะค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวาน ก่อนจะชวนอรรถการไปยังห้องจัดเลี้ยง “อาอรรถจะไปห้องจัดเลี้ยงอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ งั้นไปด้วยกันเลย”



     

    ...Loading 100 %...

    ตอนหน้าต้องมีคนหมั่นไส้น้ำตาลแน่ๆ นางร้ายมากค่ะ บอกเลย
    ปล.คุณต้าร์ (ปฐวี) อยู่เรื่อง #ดั่งรักลงทัณฑ์ (อยู่ในเซ็ทเดียวกับเรื่องนี้)
    ใครที่ยังไม่ได้อ่านตามไปอ่านได้นะคะ



    นี่คืออิมเมจ อาแดน ค่ะ

    อาสุดหล่อของหนูจันทร์ เฮียแกหล่อ มาดเข้มมาก และก็รักหลานมากด้วย

    อาแดนปรายตามองพี่ทานต์บ่อยๆ พี่ทานต์ระวังตัวไว้เลยนะคะ

    Cr. รูปภาพ :: Godfrey Gao

    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×