ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เคียงรักยาใจ (Set...รักในเงาใจ) รีอัพ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ♥ เพื่อนตัวร้าย อัพเดตเนื้อหา 100 %

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 377
      5
      7 มิ.ย. 64



    บทที่ 1
    เพื่อนตัวร้าย
    _____________________________________________________________



    หลังจากเลิกการประชุม

    แม่นะแม่

    หญิงสาวแค่นหัวเราะให้กับตัวเองกับแผนการของมารดา

    ดูเหมือนว่าทุกคนจะสนอกสนใจกับเรื่องความรักของเธอเสียเหลือเกิน ดูเดือดร้อนแทนเธอกันไปหมดไม่เว้นแม้แต่แม่

    การที่เธอไม่มีแฟนมันเป็นปัญหาระดับชาติหรืออย่างไร ทำให้ใครต้องเดือดร้อนหรือเปล่า...ก็ไม่ มีแต่คนรอบข้างนี่แหละที่อยากจะเห็นหน้า ‘ว่าที่แฟน’ ของเธอกันเสียเหลือเกิน

    ข้ออ้างว่าด้วยเรื่องความเป็นห่วงใยจากมารดานั้นมันเป็นเรื่องจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่อีกครึ่งมันไม่ใช่เลย เพราะแท้จริงแล้วท่านกลัวว่าเธอจะเป็นประเภทรักเพศเดียวกันเสียมากกว่า

    ถึงแม้ตอนนี้พิมพ์พิศาจะมีอายุเข้าใกล้เลขสามเต็มทน แต่นักเขียนสาวก็ไม่ได้คิดหาใครมาเป็นคู่ชีวิตจริงจังสักที อาจเป็นเพราะปมด้านความรักเหมือนที่คุณอาธิติของเธอบอกก็ได้ เพราะพอมีความรักเข้าจริงๆ จังๆ ก็ใช่ว่าจะสวยหรูเหมือนในนิยายที่เธอเขียน และเท่าที่เคยประสบพบเจอกับตัวเอง พิมพ์พิศาก็พบเจอกับความเจ็บปวดทั้งนั้น

    ดังนั้นหลังจากเลิกประชุม พิมพ์พิศาก็ออกจากสำนักพิมพ์เลย เธอเอาต้นฉบับของนักเขียนคนอื่นที่ตรวจค้างไว้ โอนหน้าที่ให้คนในกองบรรณาธิการทำแทนแล้ว จะได้มีสมาธิมุ่งมั่นแต่งนิยายเรื่องใหม่ให้เสร็จทันกำหนดตามคำสั่งของธิติ

    หลังจากขับรถออกจากสำนักพิมพ์ พิมพ์พิศาตั้งใจแวะห้างสรรพสินค้าเพื่อหาซื้อหนังสืออ่านเล่นสักหน่อย

    หนังสือที่หญิงสาวเลือกซื้อหานั้น มีทั้งนิตยสารแฟชั่น หนังสือประเภทจิตวิทยา และนิยามความรัก รวมถึงหนังสือนิยายจากนักเขียนคนอื่น

    นักเขียนสาวเลือกหยิบหนังสือติดมือมาหลายประเภท ด้วยว่าหนังสือพวกนี้ก็เป็นส่วนช่วยในการสร้างสรรค์งานเขียนของเธอได้เหมือนกัน

    แต่ก็ไม่บ่อยนักที่หญิงสาวจะแวะมาเดินเล่นเหมือนเช่นวันนี้ เนื่องจากโดยส่วนใหญ่พิมพ์พิศาจะแวะเข้าซุปเปอร์มาเก็ตมากกว่ามาเดินช็อปปิ้งซื้อของอย่างอื่น อีกอย่างเธอชอบซื้อพวกของสด อาหารสำเร็จรูป รวมถึงของใช้ส่วนตัวต่างๆ ตุนเอาไว้ เพราะถ้าไม่จำเป็นพิมพ์พิศาก็จะไม่ออกไปไหนเลย นอกจากออกไปที่สำนักพิมพ์

    และถึงแม้การมาเดินในสถานที่แบบนี้คนเดียวจะทำหญิงสาวรู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อยก็ตาม แต่เพราะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง มีความรักสันโดษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรื่องการไปไหนมาไหนคนเดียวจึงไม่ทำให้พิมพ์พิศาคิดว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตเลย

    “อุ้ยมาเดินเล่นคนเดียวเหรอจ๊ะคนสวยเสียงทักทายแกมกระแนะกระแหนดังขึ้นจากทางด้านหลังของนักเขียนสาวขณะที่เธอยืนเลือกหนังสืออยู่ ต้นเสียงนั้นทำให้พิมพ์พิศาหันไปมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก

    อีกฝ่ายไม่ต้องแนะนำตัว...พิมพ์พิศาก็รู้ว่าใครกันที่อักทายเธอได้กวนประสาทขนาดนี้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของอีกฝ่ายที่ส่งมาทักทายกัน พิมพ์พิศาก็แทบอยากจะเดินหนีไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

    วันบ้าอะไรวะเนี่ย ซวยชะมัด!

    คนที่ทักทายเธอนั้นคือ อินทุอร’ หรือ ‘อินอร’ ผู้หญิงที่เหมาะกับคำนิยามที่ว่า...สวยเป๊ะตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเล็บเท้า อินทุอรมีการแต่งตัวที่เต็มไปด้วยจัดจ้านแบบไม่แคร์สื่อ แม้ใบหน้าจะสวยแบบธรรมชาติ แต่อีกฝ่ายก็ประโคมเครื่องสำอางจัดเต็มให้ดูสวยเฉี่ยวทันสมัยไม่แพ้ผู้หญิงคนไหน สมฉายา เจ้าแม่แฟชั่นในสมัยเรียน

    ทุกอย่างระหว่างเธอกับอินทุอรนั้นเริ่มต้นจากมิตรภาพที่แสนดี แต่น่าเสียดายที่เรื่องพวกนั้นมันก็เป็นแค่ความหลัง ความเป็นเพื่อนถูกลบล้างออกไปเพียงเพราะผู้ชายเจ้าเสน่ห์คนหนึ่ง และที่สำคัญจากเพื่อนสนิท ตอนนี้พิมพ์พิศากับอินทุอรเปลี่ยนสถานะมาเป็น คู่ปรับกันแล้ว

    “จะหนีไปไหนพริม” อินทุอรรีบคว้าแขนของอดีตเพื่อนรักไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเดินหนีหน้ากันไปง่ายๆ แต่เล็บยาวๆ ของเจ้าตัวก็ดันเผลอจิกลงบนแขนอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ

    พิมพ์พิศาหมดทางเลี่ยงหน้า ถึงได้มองอีกฝ่ายก่อนจะจงใจฉีกยิ้ม

    “อ้าวอินอรนั่นเอง แหม! นึกว่าใครเสียอีก” หญิงสาวกลั้นใจทักอีกฝ่ายกลับ ขณะที่สะบัดแขนตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการร้ายๆ ของอดีตเพื่อนรัก

    พิมพ์พิศาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเจอกันครั้งนี้ทำให้เธอนั้นถึงกับอึ้งหนักมาก เมื่อก่อนอินทุอรก็สวยมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายสวยจัดเหมือนพวกดาราดัง แต่จากการประเมินคร่าวๆ ด้วยสายตา...นักเขียนสาวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนของเธอแอบไปจิ้มเสริมหรือเติมอะไรเข้าใบหน้าตึงๆ บ้างรึเปล่า

    “จำกันได้แล้วเหรอจ๊ะ แต่แหม..ความจำสั้นเหมือนปลาทองเลยนะ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีเอง ลืมเพื่อนรักอย่างฉันแล้วรึไง” อินทุอรค่อนขอด

    “ทำไมพูดว่าแค่ไม่กี่ปีล่ะจ๊ะเพื่อน ต้องพูดว่า ‘ตั้งหลายปี’ ต่างหากถึงจะถูก เอ..ความจริงตั้งหลายปีที่ไม่เจอเธอเนี่ย ชีวิตฉันสงบสุขมากเลย จะกลับมาสร้างความปวดหัวให้คนอื่นทำไมล่ะ” พิมพ์พิศายอกย้อนกลับ

    “อย่ามาสนใจเรื่องฉันดีกว่า แล้วนี่มาเดินเล่นคนเดียวเหรอ อดีตแฟนฉันล่ะ ผู้ชายที่เธอเซ้งต่อฉันล่ะไปไหนแล้ว มาด้วยรึเปล่า” คำถามที่แฝงเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ และท่าทีมองหาใครบางคนทำเอาพิมพ์พิศาอยากกรีดร้องออกมาดังๆ

    โอ๊ยนี่มันวันโลกาวินาศชัดๆ

    พิมพ์พิศารู้ว่าอินทุอรยังเคืองเรื่อง พฤกษ์อดีตคนรักที่หลังจากเลิกรากับอินทุอร พฤกษ์ก็เบี่ยงความสนใจแล้วมาขอคบกับเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพื่อนในกลุ่มต่างสัญญากันแล้วดิบดีว่าจะไม่คบแฟนของเพื่อนอย่างเด็ดขาด

    แต่พิมพ์พิศาก็เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้นเสียเอง

    “เลิกกันแล้วล่ะสิ” คำพูดของอินทุอนเปี่ยมไปด้วยความสะใจอย่างไม่ปิดบัง “เท่าที่ฉันรู้มาคือพฤกษ์ขอห่างกับเธอใช่หรือเปล่า บอกแล้วไงว่าผู้ชายประเภทนั้นไว้ใจไม่ได้”

    พฤกษ์เป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ด้วยหน้าตาที่ดีมาก กอปรกับฐานะที่บ้านร่ำรวย เขาจึงฮอตปรอทแตก มีสาวๆ เข้าหาไม่ขาด

    แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็เลือกอินทุอรให้มาเป็นคนรู้ใจ เรียกได้ว่าเพราะหน้าตาดีทั้งคู่ ถึงได้ถูกขนานนามให้เป็นคู่รักแห่งปีของมหาลัยฯ ทุกสายตาต่างจับตามองสองคนนี้ มีทั้งเสียงชื่นชมยินดี และเสียงนินทาด้วยความหมั่นไส้ แต่ไม่ทันข้ามปีทั้งคู่ก็เลิกรากันด้วยนิสัยที่ไปกันต่อไม่ไหว

    อินทุอรเป็นคนใจร้อนและเอาแต่ใจตัวเอง พฤกษ์ก็มีนิสัยไม่ต่างกัน

    “อย่าบอกนะว่าพอเลิกกับหมอนั่นแล้ว เธอก็โสดยาวๆ เลย หมอนั่นเจ้าชู้จะตายไป ฉันเตือนแล้วก็ไม่ฟัง จะฝังใจกับรักที่มันไปไม่รอดก็ไม่แปลกหรอก” เสียงของอินทุอรดึงพิมพ์พิศากลับมาอยู่กับปัจจุบัน “นี่อย่าคิดมากไปเลยนะพริม เอาตัวเองลงมาจากคานทองวิเวกเถอะ เดี๋ยวแก่ตัวไปจะไม่มีคนดูแล นอนติดเตียงเหงาๆ อยู่ในคอนโดฯ คงลำบากแย่”

    พิมพ์พิศาอยากจะบ้าตายกับคำพูดเจ็บแสบของเพื่อนรัก ถ้าในร้านหนังสือนี้ไม่มีคนพลุกพล่านล่ะก็..เธอคงเขวี้ยงสันหนังสือใส่หน้าสวยๆ ของอีกฝ่ายให้ดั้งหักไปแล้ว

    ปากร้ายชะมัด!

    “แล้วเธอล่ะ สวยแต่ปากเสียอย่างนี้มาเดินเล่นคนเดียวเหรอจ๊ะ เอ๊ะๆ หรือว่าแฟนฝรั่งขอเลิกเพราะความปากหมาไปแล้ว” พิมพ์พิศาได้ทีก็ขอด่าคืนบ้าง

    “ฉันกับเควินยังไม่เลิกกันย่ะ!” อินทุอรแหวใส่เสียงแหลม

    “อ้าวเหรอ ขอโทษทีนะที่คิดแบบนั้น”  พิมพ์พิศากล่าวขอโทษอีกฝ่ายแบบขอไปทีก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาคนฟังรู้สึกเจ็บแสบเหมือนโดนพริกทั้งสวนสาดใส่ ฉันลืมไปเลยว่าคุณเควินอะไรนั่นคงฟังภาษาไทยไม่ออกหรอก เวลาเธอหลุดด่าภาษาบ้านๆ ตามความเคยชิน เค้าก็คงฟังไม่รู้เรื่อง จริงไหมล่ะ”

    “ไอบ้าพริม!

    “ฉันไปนะ ไม่อยากฟังเสียงขอส่วนบุญของ....” พิมพ์พิศาโบกมือลาสวยๆ

    แต่ความตั้งใจของนักเขียนสาวก็มีอันต้องสะดุดลง เมื่ออินทุอรจงใจยั่วโทสะด้วยคำพูดจนพิมพ์พิศาต้องหันหน้ากลับมาหาอย่างเอาเรื่อง

    “ปกติเธอแก้ปัญหาด้วยการเดินหนีอย่างนี้น่ะเหรอ โกรธที่ฉันถามถึงพฤกษ์จนแทบบ้าเลยล่ะสิ รักที่วาดหวังเอาไว้ มันคงไม่เป็นอย่างที่เธอคิดสินะ ถึงได้ตั้งหน้าเล่นงานฉัน ถ้าเธอยังจมปลักไม่เลิก ตอนแก่ก็คงได้นอนติดเตียงแห้งตายไปจริงๆ นั่นแหละ”

    “ขอโทษนะ ฉันไม่ได้จมปลักอย่างที่เธอพูดเพ้อเจ้ออะไรนั่นเลย ถึงฉันจะห่างกับพฤกษ์ แต่คนอย่างฉันก็ไม่ขาดแคลนผู้ชายหรอก รู้ไว้ด้วย!” ปกติพิมพ์พิศาไม่ใช่คนชอบเอาชนะคะคานใคร แต่คราวนี้เธอกลับยอมเสียหน้าไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองไม่คิดจะมีแฟนเลย

    “เหรอยะ แล้วไหนล่ะคนรักของเธอ แค่เงาก็ยังไม่เห็นเลย”

    “พอดีแฟนฉันไปเดินดูของชั้นอื่นอยู่น่ะ” นักเขียนสาวแก้ตัวเป็นตุเป็นตะ เธอเลือกวางสีหน้าเรียบเฉยเพื่อให้คำพูดน่าเชื่อถือขึ้น

    “เชื่อคำพูดเธอ ฉันก็ออกลูกเป็นลิงแล้ว อย่ามาโกหกหน้าตายดีกว่าเพราะฉันไม่เชื่อ” อินทุอรหรี่ตาลงข้างหนึ่งเพื่อจับพิรุธของเพื่อนรัก แต่ยังไม่ทันไรพิมพ์พิศาก็ออกอาการดี๊ด๊าเกินเหตุ จนเธอต้องมองตามสายตาของเพื่อนรักไป

    “นั่นไง เขามาพอดีเลย” พิมพ์พิศาหันไปโบกไม้โบกมือให้กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านหนังสือ พลางส่งยิ้มกว้างให้จนตาหยี่

    เอาเข้าจริงหญิงสาวก็ไม่รู้ว่าเพราะโชคช่วยหรือพระเจ้าเห็นใจคนอับโชคเรื่องความรักกันแน่ ถึงได้เมตตาปราณีด้วยการส่งเทพบุตรรูปงามให้เดินเข้ามาในร้านหนังสือในช่วงเวลาคับขันอย่างนี้ แถมเทพบุตรที่ว่านั่นยังเป็นหนุ่มลูกครึ่งด้วย

    ในเมื่ออินทุอรมีแฟนฝรั่งได้ เธอก็หาแฟน(หลอกๆ)อินเตอร์ได้เหมือนกัน

    ไปให้สุดเลยพริม..

    Hey baby this way (ทางนี้ค่ะที่รัก) นักเขียนสาวรีบเรียกเขา เมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตาเธอพอดี

    พิมพ์พิศาพยายามเหลือเกินที่จะใช้เสน่ห์ในตัวเองหว่านใส่เขา จะบอกว่านี่เป็นการ ‘อ่อยผู้ชายครั้งแรกในชีวิตก็คงใช่

    ผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาเลย เขาเพียงแค่ส่งยิ้มคืนกลับมาให้ เป็นรอยยิ้มละมุนและอบอุ่น ก่อนจะเดินเข้ามาหาพิมพ์พิศา

    “เห้ย..นี่เธอแอบลักไก่ฉันป่ะยะ” อินทุอรถามเพื่อนพลางพิจารณาไปยังหนุ่มลูกครึ่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเธอ

    “อินอร...รบกวนเธอช่วยเอาสมองก้อนน้อยๆ คิดสิว่าถ้าฉันลักไก่เนี่ย เขาจะเดินเข้ามาหาฉันตามคำเรียกมั้ย ในช่วงที่อินทุอรกำลังชั่งใจอยู่นั้น พิมพ์พิศาก็ถือโอกาสสาวเท้าเข้าไปหาหนุ่มลูกครึ่งที่เธอเพิ่งส่งยิ้มหวานหว่านเสน่ห์ไปให้หยกๆ ทันที

    แต่ภายใต้สีหน้าของความยิ้มแย้มดั่งคนมีความรักนั้น พิมพ์พิศากลับคิดในใจอย่างร้อนรนว่าอย่างน้อยเธอก็ควรเดินเข้าไปเตี๊ยมกับเขาก่อน ขืน โป๊ะแตกหน้าแหกขึ้นมา ยายเพื่อวตัวดีได้หัวเราะเยาะเธอจนฟันร่วงหมดปากแน่

    “ขอยืมตัวมาเป็นแฟนหน่อยนะคะ ถ้าหลอกเพื่อนสำเร็จแล้วฉันจะพาไปเลี้ยงของอร่อยตอบแทนคุณเลย”

    พิมพ์พิศาเดินเข้าไปประชิดคนร่างสูง หญิงสาวรีบกระซิบกระซาบขอโทษขอโพยเขาเสียยกใหญ่ ก่อนจะถือวิสาสะคล้องแขนให้ดูเหมือนเป็นคนรักกันจริงๆ แล้วพาเขาเดินมาตรงหน้าอินทุอร

    “คนนี้น่ะเหรอแฟนเธอ เหลือเชื่อชะมัดเลย” อินทุอรไล่สายตามองผู้ชายตรงหน้าแบบไม่อยากเชื่อเท่าไหร่นัก จะบอกว่าเขาดูดีเกินไปก็น่าจะใช่ อีกอย่างคือเขาดูเป็นผู้ชายที่เรียบเฉย แม้จะละมุนละไมและอบอุ่น แต่ก็จืดชืดเกินกว่าที่คนอย่างพิมพ์พิศาจะคว้าเอามาเป็นแฟนไหว

    หล่อ แต่คงไม่อร่อย

    อินทุอรคิดในใจ เพราะดูจากผู้ชายที่พิมพ์พิศาชอบแล้ว อดีตเพื่อนของเธอมักชอบผู้ชายมาดร้าย เจ้าเสน่ห์มากกว่าผู้ชายจืดชืดแบบนี้

    “แล้วแฟนเธอทำงานอะไรล่ะ” อินทุอรซักไซ้หาพิรุธ พร้อมกับลอบกวาดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง

    แม้ผู้ชายตรงหน้าจะไม่ใช่หนุ่มลูกครึ่งที่หน้าหล่อคมเข้มออกทางฝั่งยุโรป ไม่ได้มีนัยน์ตาสีฟ้า แต่เขาก็ดูดีตามแบบพิมพ์นิยมที่สาวชอบ ใบหน้าขาวตี๋ ดวงตาเรียวเล็ก จมูกโงเป็นสัน คงเป็นลูกผสมจีน ใต้หวัน หรือไม่ก็เกาหลีนั่นแหละ...อินทุอรคิดในใจ

    “หมอ แฟนฉัน..เป็นหมอ” นักเขียนสาวตอบอึกอักเพราะเธอไม่คิดว่าอดีตเพื่อนรักนั้นจะช่างถาม เราเพิ่งตกลงคบกันได้เดือนกว่าๆ เอง”

    “เหรอ เอาเป็นว่าฉันจะเชื่อเธอละกันนะ แต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน...ฉันเจอแม่เธอเข้าโดยบังเอิญเห็นท่านบ่นๆ บอกว่าเธอยังไม่มีแฟน ถ้ามีแฟนแล้วก็โทรไปรายงานท่านหน่อยก็แล้วกัน แม่เธอจะได้หายห่วง”

    “อืม เอาเป็นว่าฉันจะหาเวลาโทรบอกแม่เองแล้วกัน” พิมพ์พิศาถึงกับโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากตัว อย่างน้อยเธอก็ไม่เสียหน้ากับตัวแสบอย่างอินทุอร หมดธุระแล้ว งั้นฉันกับแฟนขอตัวก่อนนะ”

    หญิงสาวบอกพลางลากหนุ่มลูกครึ่งเดินไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน เธอยึดมือเขาไว้ข้างหนึ่งเพื่อดูทีท่าของอินทุอรก่อน พอเห็นว่าอดีตเพื่อนรักนั้นออกจากร้านหนังสือไปแล้ว ถึงได้เลิกจับมือเขา

    พิมพ์พิศานำหนังสือที่เลือกเอาไว้ก่อนหน้านี้มาจ่ายเงิน ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายยืนรอเธอก่อน

    อินทุอรไปแล้ว แม้จะยอมเลิกระรานง่ายแบบผิดวิสัยไปหน่อย แต่มันก็ดีสำหรับเธอมากที่จะไม่ได้ต้องตกเป็นเป้าสายตาให้อายใครอีก

    เจอแม่เพื่อนตัวแสบทีไร มีอันต้องมีเรื่องวุ่นวายใจให้ชวนปวดหัวตลอด แต่ถึงอย่างนั้น...หญิงสาวก็อยากจะขอบคุณชายหนุ่มหน้าสะอาดเอี่ยมที่ยอมช่วยแกล้งเป็นแฟนเธอ

    “จัดการธุระของคุณเรียบร้อยแล้วหรือครับ?” เป็นครั้งแรกที่เขายอมเปิดปากจากที่เงียบมาตลอด

    “อ้าว คุณพูดไทยได้ด้วยนี่” พิมพ์พิศาอ้าปากค้างเติ่ง เพราะไม่เห็นเขาปริปากพูดอะไรเลย เอาแต่ทำภาษามือบอกใบ้ จนเธอคิดเอาเองว่าเขาคงฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง พูดไทยได้ทำไมไม่บอก”

    “ก็คุณไม่ได้ถามผมนี่ แล้วอย่าลืมทำตามสัญญานะครับ ผมกำลังหิวเลย” เขาทวงสัญญาที่เธอให้ไว้ก่อนหน้านี้

    พิมพ์พิศายังรู้สึกหน้าชาไม่หาย หนุ่มหน้าตี๋นี่ทำเธออายจนอยากจะวิ่งหนีกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอดไป เขาคงรู้เรื่องที่เธอกับอินทุอรคุยกันทุกคำแล้ว เถียงและเอาชนะกันด้วยเรื่องไร้สาระราวกับเด็กสามขวบ นี่ถ้าไม่ติดสัญญาที่ให้ไว้กับเขาล่ะก็..อย่าหวังว่าเธอจะยืนหน้าตึงรอเลี้ยงข้าวเลย

    “ไม่ลืมหรอกค่ะ สัญญาน่ะ” คนอย่างพิมพ์พิศา พูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ไม่คิดเบี้ยวใครง่ายๆ “คุณอยากทานอะไรล่ะคะ?”

    “ผมชื่อ ‘อนาวินทร์’ ครับ คุณเรียกผมว่า ‘ราม’ เฉยๆ  ก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการพร้อมรอยยิ้ม ขระที่นักเขียนสาวงงเป็นไก่ตาแตก

    “ห๊ะ?”

    พิลึกคนแท้ ถามอย่าง ตอบอย่าง

    ชื่อผมไทยมากเลยใช่ไหม...คุณถึงได้ขมวดคิ้วยุ่งแบบนั้นน่ะ เขาเดาความคิดผ่านสายตาของเธอ

    “ไม่ใช่ค่ะ ฉันถามว่าคุณอยากทานอะไร แล้วจู่ๆ คุณก็แนะนำตัวเองซะงั้น”

    “คุณจะไปทานข้าวกับผม ทั้งที่เราไม่รู้จักกันเลยเนี่ยนะ” ชายหนุ่มขำ “แล้วคุณล่ะชื่ออะไร?”

    “พริมค่ะ”

    “คุณพริม” เขาทวนชื่อเธอครั้งหนึ่ง “แต่คุณเก่งนะครับ เดาถูกด้วย”

    “เดาอะไรถูกเหรอคะ?” หญิงสาวมึนงงกับคำพูดของเขา

    “ก็คุณบอกกับเพื่อนคุณว่า..ผมเป็นหมอ”

    “แล้วคุณก็เป็นหมออย่างนั้นหรือคะ”

    “ครับ” พิมพ์พิศามองหน้าเขาพลางครุ่นคิดในใจ ถ้าเขาเป็นคุณหมอจริงๆ ก็คงเป็นคุณหมอที่ใจดีและมีเสน่ห์มาก จนคนไข้สาวๆ อยากป่วยเป็นแน่

    “ฉันแค่เดาตามลักษณะของคุณน่ะค่ะ คุณดูใจเย็น แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบนี้ ถ้าให้ฉันเดาต่อเล่นๆ ว่าคุณเป็นหมอแผนกอะไร ฉันก็ขอเดาว่าคุณคงเป็นหมอเด็ก ใช่รีเปล่าคะ?”

    “เก่งจัง ผมเป็นหมอที่อยู่แผนกเด็ก รักษาเด็กที่เป็นโรคหัวใจโดยเฉพาะ” เขาปรบมือให้หญิงสาวตรงหน้าด้วยความชื่นชม

    “แล้วตกลงว่าคุณหมอจะทานอะไรคะ? ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณใครซะด้วยสิหญิงสาวตัดบท

    “คุณเป็นเจ้ามือก็เลือกร้านสิครับ”

    “เดี๋ยวฉันก็เลือกร้านข้างทาง ริมถนน หาที่นั่งร้อนๆ ให้คุณหรอก”

    “ผมไม่เกี่ยงนะ ปกติผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อยู่แล้ว”

     


    สุดท้ายพิมพ์พิศาก็เลือกร้านอาหารร้านโปรดของตัวเอง เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีของทอดแล้วข้าวประเภท set เป็นหลัก

    “คุณหมออยากทานอะไรเพิ่มก็สั่งเลยนะคะ”

    “ไม่แล้วล่ะครับ ผมเกรงใจเจ้ามือจะแย่” อนาวินทร์บอกเสียงสดใส หลังจากสั่งเมนูที่ต้องการกับพนักงานทางร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเกรงใจคุณที่อุตส่าห์ช่วยให้ฉันรอดพ้นจากพวกปากเหยี่ยวปากกา ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

    หญิงสาวเผลอทำหน้าบึ้งให้กับความซวยของตัวเอง อินทุอรพูดจาถอดแบบธิติมาไม่มีผิด สั่งเธออย่างกับเป็นแม่อีกคน แต่คนที่นั่งตรงข้ามกันกลับยิ้มขำ

    “นี่คุณหมอคะ คุณไม่ต้องขยันแจกยิ้มให้ฉันก็ได้ค่ะ ฉันเห็นคุณยิ้มให้ฉันตั้งแต่ร้านหนังสือจนถึงตอนนี้ คุณยังไม่หยุดยิ้มเลย” หญิงสาวเอ็ดเขาเสียงเขียว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะและยิ้มให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า

    “ก็คุณชอบทำหน้าตลกนี่นา เดี๋ยวหน้าบึ้ง เดี๋ยวก็ยิ้ม แต่ยิ้มเถอะครับ...คุณน่ารักจะตายไป เวลาคุณยิ้มนะอะไรๆ ก็ดูสดใสขึ้นด้วย” ชายหนุ่มบอกหน้าตาย ขณะที่คนฟังอย่างพิมพ์พิศาหน้าร้อนผ่าวไปกับคำชมของเขา ว่าแต่คุณพริมทำงานอะไรเหรอครับ”

    “ฉันเป็นนักเขียนค่ะ เขียนนิยายทั่วไปแล้วก็เป็นหนึ่งในกองบรรณาธิการคอยตรวจต้นฉบับนิยายคนอื่นด้วย”

    “จริงเหรอครับเนี่ย ผมชอบอ่านหนังสือประเภทนี้อยู่เหมือนกันนะ นิยาย Romance อะไรทำนองนี้ แล้วผมก็มีนักเขียนในดวงใจคนหนึ่งด้วย ใช้นามปากกาว่า ลูกไม้’ ไม่รู้ว่าคุณพริมพอจะรู้จักบ้างมั้ย

    รู้จักสิ รู้จักดีเลย ก็นี่เป็นนามปากกาของเธอนี่นา

    “แล้วทำไมคุณถึงชอบผลงานของนักเขียนคนนี้ล่ะคะ” พิมพ์พิศามองอีกฝ่ายอย่างต้องการหยั่งเชิง

    ก็นิยายที่ลูกไม้เขียนน่ะครับ มีทั้งความเรียบง่าย เน้นเนื้อหาสาระและปมของตัวละครเป็นหลักมากกว่าจงใจเขียนเพื่อขายฉากอย่างว่าอย่างเดียว ผมไม่ค่อยชอบนิยายประเภทยัดเยียดฉากเลิฟซีนให้คนอ่าน แล้วเนื้อหาสาระไม่ค่อยมี แต่นิยายของลูกไม้ สำนวนการเขียนดีเลย อีกทั้งยังสอดแทรกแง่คิดเอาไว้ในนิยายแทบทุกเรื่องที่เธอเขียนด้วย นิยายเรื่องที่ผมชอบที่สุดก็คงเป็นเรื่อง ‘กามเทพบ้านนา’ จำได้ว่าแย่งกับเพื่อนเพื่อชิงเล่มสุดท้ายในร้านหนังสือด้วยซ้ำ เรื่องนั้นขายดีจนผมภูมิใจแทนนักเขียนเลย”

    เธอเองก็ภูมิใจในผลงานของตัวเองมากเช่นกัน

    “นี่คุณหมออวยนักเขียนคนนี้เกินไปรึเปล่าคะเนี่ย อีกอย่างคุณรู้ได้ยังไงว่านักเขียนคนนี้เป็นผู้หญิง อาจเป็นเพศที่สามหรือไม่ก็เป็นผู้ชายแท้ๆ ก็ได้”

    “ผมพูดเหรอครับว่าเป็นผู้หญิง?” อนาวินทร์ถามกลับอย่างไม่รู้ตัว

    “ก็คุณพูดว่า เธอ

    “เดาจากนามปากกาน่ะครับ เซ้นส์มันบอก”

    “ไม่รู้ว่าเรื่องงาน คุณใช้เซ้นส์ตัวเองตัดสินอย่างนี้ด้วยรึเปล่า” หญิงสาวจงใจประชดพ่อนักเดาเข้าเต็มคำ

    “ถ้าเป็นเรื่องของการรักษาผมใช้จิตวิทยาและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ครับ ยังมีอีกหลายอย่างที่ใช้ควบคู่กับการรักษาด้วย เช่นงานวิจัยทางการแพทย์ และกรณีศึกษาที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็พิจารณาเป็นเคสๆ ไป”

    “จากที่ฟังคุณเล่ามา ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นนักอ่านนิยายของลูกไม้ตัวโยงเลยสินะ” นักเขียนสาวแย้มยิ้มออก เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาชีพที่ต้องคร่ำเคร่งอยู่บนความเป็นความตายอย่างเขา จะมีเวลามาอ่านนิยายรักๆ ใคร่ๆ ด้วย

    “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิดนะครับ ปกติผมอ่านนิยายของสำนักพิมพ์ดาวกระดาษอยู่แล้ว นิยายของนักเขียนสำนักพิมพ์อื่นผมเองก็ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ เคยอ่านของสำนักพิมพ์อื่นอยู่บ้าง...บางเรื่อง แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณพริมเป็นเหมือนผมรึเปล่าที่จะเลือกอ่านหนังสือของนักเขียนที่เราถูกจริตด้วยจริงๆ แบบว่าชอบสำนวนและวิธีการเขียนของเขาไปแล้ว” เพราะคุยเรื่องงานเขียนกันถูกคอ ได้ทีชายหนุ่มก็ร่ายยาว เนื่องจากนานทีปีหนเขาจะได้เจอนักเขียนตัวเป็นๆ มานั่งตรงหน้าแบบนี้

    และการเจอพิมพ์พิศาในครั้งนี้ ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองคิดผิดถนัดเกี่ยวกับจินตนาการที่ตนมีต่อนักเขียนทั่วประเทศ

    เมื่อก่อนอนาวินทร์มักคิดว่านักเขียนส่วนใหญ่จะต้องเป็นผู้หญิงที่มีอายุหน่อย ใส่แว่นสายตาหนาเตอะ และอ้วนฉุขัดกับบุคลิกของตัวละครที่แต่งแบบสุดขั้ว แต่หญิงสาวตรงหน้าเขากลับเข้ามาเปลี่ยนความคิดที่มีไปในทันที

    พิมพ์พิศาเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักน่ามอง งดงามเหมือนเดินออกมาจากความฝันของผู้ชายหลายคน ที่จริงเธอมีบุคลิกที่ใกล้เคียงกับนางเอกในนิยายที่เขาชอบอ่านด้วยซ้ำ

    แต่ในระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกันอาหารที่สั่งไปก็เริ่มมาเสิร์ฟแล้ว

    “จริงสิ ปกติแล้วคุณพริมใจดีเลี้ยงข้าวผู้ชายทุกคนที่ช่วยคุณแบบนี้รึเปล่าครับ” เมื่อมองอาหารตรงหน้าที่เรียงราย ชายหนุ่มก็ต้องยิ้มจนตาหยีอีกรอบ เขาไม่คิดเลยว่าเจ้ามือจะใจปล้ำเลี้ยงมากมายขนาดนี้

    “ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้เลี้ยงผู้ชายทุกคน ฉันเลี้ยงคุณหมอเป็นคนแรก” นักเขียนสาวตอบไปตามความจริง นั่นเพราะเธอไม่เคยบังเอิญซวยเจออินทุอรที่ห้างสรรพสินค้าเหมือนเช่นวันนี้ “ถ้าคุณหมออยากทานอะไรเพิ่มก็บอกนะคะ เดี๋ยวฉันสั่งให้”

    “หืม..แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ ทานสองคนยังไม่รู้เลยว่าจะทานหมดรึเปล่า” หมอหนุ่มบอกพร้อมตักอาหารที่สั่งเข้าปาก “จริงสิ ในฐานะที่คุณพริมเป็นนักเขียน ผมพอถามคุณได้ไหมครับว่าคุณอยู่สำนักพิมพ์ไหน เผื่อผมจะลองอ่านงานเขียนของคุณบ้าง”

    “ฉันอยู่สำนักพิมพ์ดาวกระดาษค่ะ” นักเขียนคนสวยตอบอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

    “แล้วคุณใช้นามปากกาว่าอะไรครับ” คำถามของหมอหนุ่ม ทำเอาพิมพ์พิศาแทบสำลัก

    จะให้เธอตอบเขาว่าอย่างไรล่ะ ตอบว่าเป็นนักเขียนที่เขาชื่นชอบผลงานจะเป็นจะตายน่ะเหรออย่าดีกว่า!

    เพราะไม่เคยเปิดเผยตัวตนให้ใครรู้มาก่อน เธอเน้นขายฝีมือ ไม่เน้นขายหน้าตา ดังนั้นเลยไม่สะดวกที่จะตอบคำถามของเขา

    “ฉันไม่สะดวกที่จะบอกคุณค่ะคุณหมอ ขอโทษด้วย”








    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×