คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 04 :: ทูตสื่อวิญญาณ 50 %
เหตุเกิดหลังจากที่เด่นคุณย้ายมาแทนที่เด่นฤทธิ์ที่โรงแรมแห่งนี้
ตอนนั้นตั้งแต่พี่ชายคนโตยังไม่แต่งงานกับภรรยาเลย ก็น่าจะผ่านมาร่วม 4 ปีแล้ว เด่นคุณจำได้ว่าเขากำลังเริ่มต้นความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
เธอเพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน
ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวนักการเมือง อนาคตไกล สวย อีกฝ่ายกำลังจะเรียนจบด้านกฎหมาย
และเด่นคุณตั้งใจว่าจะแต่งงานกับเธอ ดังนั้นพอถึงวันเกิดฝ่ายหญิง...เด่นคุณเลยพาเธอมาฉลองกันที่บ้านพักหลังนี้
ด้วยการที่ทั้งสองคนคบหากันมาได้ระยะหนึ่ง แล้วบรรยากาศที่เขาตั้งใจจัดงานฉลองวันเกิดแบบส่วนตัวให้มันก็เป็นใจ
เลยทำให้ทั้งคู่เลยเถิดถึงขั้นเด่นคุณคิดจะกินหัวกินหางกินกลางตลอด ถึงได้อุ้มหญิงสาวพาขึ้นห้องนอนตัวเอง
แต่ในจังหวะที่ทั้งคู่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มและกำลังมัวเมากับรสไวน์พร้อมรสรัก
หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น พร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง พลางเหยียดขาถีบเขาออกห่างตัวเอง
เอามือปิดหน้าปิดตาตัวสั่นงันงก
เด่นคุณตกใจมาก ชายหนุ่มพยายามประคองสติ เพราะด้วยอารมณ์ที่กำลังจะเลยเถิดไปไกล
ไหนจะยังต้องมาตกใจสุดขีดอีกทำให้เขาปรับตัวไม่ทัน กว่าหญิงสาวจะตั้งสติ
กว่าเขาจะหายตกใจก็ปาไปเกือบสิบนาที ตอนนั้นเด่นคุณไม่ได้สานต่อกับเธอ แต่พยายามถามความรู้สึกและเรื่องที่เกิดขึ้นแบบปุบปับ
ทว่าแฟนสาวของเขานั้นกลับไม่ยอมพูดอะไรเลย ที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอขอตัวกลับกรุงเทพฯ
เดี๋ยวนั้นเลย
ระหว่างที่นั่งรอส่งแฟนอยู่ที่สนามบิน เด่นคุณพยายามปลอบใจเธอทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวและซักถาม
หญิงสาวถึงได้ยอมเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือด้วยความตกใจสุดขีดว่า
“ตอนที่ฉันสติแตก จนเผลอถีบพี่ตกเตียง ฉันเห็นผู้หญิงผมยาว
หน้าตาเละเทะ ขี่คอพี่คุณอยู่ แล้วมันก็ชี้หน้ามาที่ฉันด้วย” เธอเล่าไปพลางเอามือปิดหน้าปิดตาไปอย่างรับไม่ได้
ด้วยความที่เป็นเด็กสาวยุคใหม่ ไฮโซ และไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ “ฉันกลัวมากจริงๆ นะคะ
ภาพนั้นยังติดตาอยู่เลย”
เด่นคุณพยักหน้าเข้าใจขณะกอดปลอบคนที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย
เพราะถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาและเธอคงมีความสุขด้วยกันแล้ว ที่สำคัญสีหน้าท่าทางของเธอ
ทำให้เขาเชื่อเต็มอกเลยว่าคนรักไม่โกหกตัวเองแน่นอน
แต่หลังจากนั้นแฟนสาวก็ตีตัวออกห่าง ความสัมพันธ์ของเขากับเธอแย่ลงเรื่อยๆ
ราวกับมีกำแพงหนาขึ้นมาขวางกั้นระหว่างกลาง จนกระทั่งหญิงสาวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
และไม่นานเธอก็ประกาศแต่งงานกับแฟนหนุ่ม...ซึ่งเป็นลูกชายนักการเมืองเหมือนกัน ปัจจุบันเธอก็กำลังตั้งท้องลูกคนแรก
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแฟนสาวของเขาแค่คนเดียว
เพราะทุกครั้งที่เขาพาหญิงสาวมาที่บ้าน ทั้งกำลังเริ่มคบหาดูใจ
หรือแค่พามาสนุกด้วยก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นตลอด ทุกคนจะเห็น ‘บุคคลที่ 3’ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เด่นคุณปักใจเชื่อว่าจะต้องเป็นฝีมือของน้องชายตัวดีเป็นแน่
ความคิดหนึ่งเลยผุดวาบขึ้นในหัวของเด่นคุณ ด้วยความนึกโกรธเคืองน้องชายที่ชอบขัดขวางความสุขเขา
เด่นคุณเคยอยากนึกจ้าง ‘หมอผี’ มาจับน้องชายตัวเองยัดใส่หม้อถ่วงน้ำ
แต่ก็ตัดใจทำอย่างที่คิดไม่ลง นั่นเพราะสงสารเด่นฤทธิ์
ยังไงก็พี่น้องกัน
แต่พอมีคนอื่นที่สามารถสื่อสารกับสิ่งเร้นลับในโลกที่สามได้ แถมยังสนิทสนมกันด้วย
มันเลยทำให้ความมืดมิดที่เคยบดบังหัวใจ ค่อยๆ มีแสงสว่างขึ้น ชายหนุ่มคิดว่าจะใช้วารวารีนี่แหละเป็น
‘ทูตสื่อวิญญาณ’ ยื่นทำสัญญาการอยู่ร่วมกันระหว่างเขากับเด่นฤทธิ์ให้ชัดเจนกันไปเลย
ถ้าไม่ทำข้อตกลงกัน มีหวังเขาได้ขึ้นคานทองวิเวกแน่
........
หลังจากวันหยุดที่แสนสั้นของวารวารีจบลงด้วยการอยู่โรงพยาบาลกับป้ากาบแก้ว เฝ้าคนป่วยแบบ 24 ชั่วโมง หญิงสาวก็กลับมาทำงานตามปกติ การเข้ากะตอนเช้าราวกับทำงานออฟฟิศเหมือนคนปกติทั่วไป ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นสดใสมากกว่าตอนทำงานกะกลางคืนเสียอีก
ทว่าพอมาถึงโรงแรม และกำลังจะเดินไปโซนพนังงานเพื่อเปลี่ยนใส่ยูนิฟอร์ม เสียงของมิรินทร์ก็ดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง
“วารี!”
หญิงสาวหันไปมองคนเรียก พร้อมกับยกมือไหว้และส่งยิ้มหวาน มิรินทร์จึงรีบสาวเท้าเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว
“ขา พี่มิรินทร์ มาทำงานเช้าจังเลยนะคะเนี่ย~” หญิงสาวมองเลขาฯ คนสนิทของเจ้านาย
ในใจเธอก็ลอบถอนหายใจเหนื่อยไปด้วย
เพราะลืมคิดไปเลยว่าเจ้านายคงยังติดใจเรื่องวันก่อนอยู่แน่ “พี่มิรินทร์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เธอยังไม่ต้องใส่ยูนิฟอร์มนะ ยืนรอคุณคุณตรงนี้ก่อน
คุณคุณมีเรื่องจะคุยด้วย” มิรินทร์เข้ามาหาเพื่อพูดแค่นั้น ก่อนจะชี้ไปยังห้องอาหาร
แล้วทำปากขมุบขมิบบอกว่าเดี๋ยวไปแจ้งเด่นคุณก่อน ปล่อยให้วารวารียืนงง
หัวคิ้วขยับเข้าหากันด้วยความสงสัยว่าเธอเป็นลูกจ้างต่ำต้อยแต่ให้เจ้านายเดินมาหามันถูกต้องแล้วหรือ
หรือว่า...เรื่องที่จะต้องพูดกันนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เธอไปหาที่ห้องทำงานแล้ว
ไม่นะ! หรือว่าจะโดนไล่ออกกลางอากาศ
วารวารีได้แต่ยืนหลับตา เท้ากระทืบกับพื้นทรายเร่าๆ
มือหนึ่งทุบหัวตัวเองเบาๆ ด้วยความเจ็บใจ
เธอไม่น่าเปิดปากพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย ให้ตายเถอะ!
แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังว้าวุ่นใจนั้น เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
ทำให้เธอหันไปมองเขาด้วยสายตาขุ่นเขียวทันที
“มีเรื่องอะไรเหรอวาฬ ทำไมพี่ชายฉันถึงต้องอยากเจอเธอด้วยล่ะ”
“คุณดีน...” หญิงสาวหันไปมอง ก่อนจะทำหน้าหงิกงอใส่ “ก็เพราะคุณนั่นแหละ
ฉันถึงเดือดร้อนไปด้วยเลย สงสัยโดนไล่ออกแหงๆ”
“ฉันเหรอ?” เด่นฤทธิ์ขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มเผล่ “ไอพี่คุณนี่มันหัวร้อนจังเนอะ ฉันแค่แกล้งนิดแกล้งหน่อยเอง”
“ฉันยังไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณคุณจะพูดเรื่องอะไรด้วย แต่ถ้าฉันโดนไล่ออกล่ะก็...คุณช่วยรับผิดชอบค่าครองชีพฉันด้วยนะคะ คุณสัญญาแล้วนี่ จำได้หรือเปล่า” นอกจากวารวารีจะยังพูดคุยกับเขาปกติ ไม่นึกกลัวแล้ว ยังจะทวงค่าชดเชยจากอีกฝ่ายด้วย
“ฉันจะหาเลขได้จากที่ไหนให้เล่า” เด่นฤทธิ์แสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “เธอขูดจากต้นไม้แถวนี้เอาเถอะนะ”
“จริงสิ ว่าแต่..” วารวารีเลิกสนใจเรียกร้องค่าชดเชยจากอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนไปมองหาบาดแผลจากเนื้อตัวของเขาแทน
แม้กระทั่งเจอกันครั้งนี้...เด่นฤทธิ์ก็ยังดูดีไม่ต่างจากคนปกติเลย
ทว่าพอเห็นวารวารีเงียบไปและเอาแต่สอดส่ายสายตามองตามเนื้อตัวของเขา เด่นฤทธิ์ก็หัวเราะออกมา
“อ๋อ เธอคงมองหาไอนี่อยู่สินะ”
เด่นฤทธิ์ลูบไปที่คอตัวเอง จากนั้นรอยแผลช้ำเลือดที่ล้อมรอบคอเขาก็ปรากฏขึ้นให้เห็น
“พอดีฉันติดหล่อน่ะ เลยไม่อยากให้คนอื่นเห็นฉันในแบบที่มันไม่น่ามองเท่าไหร่”
ชายหนุ่มพูดติดตลก
ถ้าให้เขาปรากฏตัวขึ้นเหมือนตอนที่ตายใหม่ๆ นั้น คนที่เห็นคงตกใจจนล่ำลือกันไปทั่วแน่ว่าบ้านพักตากอากาศของตระกูลดังเฮี้ยนเพราะผีลูกชายคนเล็ก
อีกอย่างนอกจากบาดแผลแล้ว เนื้อตัวของเขาก็ยังบวมฉึ่ง เขียวช้ำ น่าสะอิดสะเอียนแบบสุดๆ
เรื่องนี้คนที่รู้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นเด่นคุณที่เจอศพเขาคนแรก
ทว่าเด่นฤทธิ์จะปรากฏตัวตามปกติไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความเมตตาจากคนในครอบครัว
คนรักที่คอยหมั่นทำบุญแล้วอุทิศผลบุญให้เขาอย่างสม่ำเสมอ นั่นเพราะบุญกรรมที่ทำมาและสั่งสมเอาไว้ตั้งแต่อดีตชาติ
จนถึงปัจจุบันชาติ เขาถึงได้มีพลังอยู่ในอีกภพภูมิได้อย่างสงบและสบาย
เหลือก็แต่การที่เขาต้องทำโทษตัวเองด้วยการผูกคอตายทุกคืนเหมือนตอนที่ตัดสินใจจบชีวิตในค่ำคืนนั้น
ซึ่งมันเป็นบทลงโทษที่ทำให้เขาทรมานอย่างถึงที่สุด
“อีกอย่างนี่มันย่านธุรกิจนะวาฬ เกิดใครเขาเป็นแบบเธอแล้วมาเห็นเข้าล่ะ
คงได้ล่ำลือจนโรงแรมฉันเจ๊งพอดีน่ะสิ”
วารวารียิ้มขำในความช่างพูดช่างเจรจาของอีกฝ่าย ต่อให้ตายไปแล้ว แต่ความเป็นนักธุรกิจก็คงยังติดตัวเขาไปในอีกภพภูมิหนึ่งด้วย
“แม่หนูเอ้ย อย่างน้อยทำงานที่นี่มีทั้งคน ทั้งผี เป็นเพื่อนจะได้ไม่เหงานะ เรานี่มีบุญนะ”
ทว่าขณะที่ทั้งวารวารีและเด่นฤทธิ์กำลังคุยกันอยู่นั้น ชายชราที่อยู่ในชุดแทบจะแบบเดียวกับเด่นฤทธิ์ เขาใส่เสื้อเชิ้ตลายดอกไม้สดใส มีไม้เท้าข้างกาย สวมกางเกงสีครีมขาสามส่วนก็ปรากฏขึ้น ถ้าบอกว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อลูกกันก็ดูน่าเชื่ออยู่หรอก แต่จากประสบการณ์ของวารวารีแล้ว...อีกฝ่ายน่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางเสียมากกว่า
“วาฬ นี่ปูโมกข์ ปูเจ้าที่ที่คอยปกปักษ์รักษาบ้านพักของฉันกับไอพี่คุณน่ะ” เด่นฤทธิ์แนะนำอีกฝ่าย หญิงสาวเองก็ยกมือไหว้ทำความเคารพท่าน
“เออ เด็กดีมีสัมมาคาราวะ ปู่ชอบ”
ปู่โมกข์ชมพร้อมกับยกมือรับไหว้ “เห้อ...จะว่าไป เอ็งเห็นผีสาง เทวดา แบบนี้ตั้งเล็กคงลำบากแย่เลยเนอะ”
“วาฬชินแล้วล่ะค่ะคุณปู่” หญิงสาวยิ้มตอบ “แต่จะว่าไป คุณปู่ไม่ใส่ชุดประจำตำแหน่งเหรอคะ
ปกติวาฬเห็นเจ้าที่ชอบใส่ชุดขาวเหมือนคนถือศีลกัน บางทีก็มาแบบเต็มยศมีหมวกแหลมๆ
เหมือนเทวดาในละครด้วย”
“ใส่เต็มยศไปเพื่ออะไรกัน คร่ำครึเชียว” ปู่โมกข์ส่ายหน้าอย่างขัดใจให้กับความล้าหลัง
ไม่ทันสมัย โลกสมัยนี้เต็มไปด้วยวัตถุนิยมทั้งนั้น
อย่างน้อยก็ต้องก้าวตามให้ทันอารยะประเทศ “อย่างที่เจ้าดีนมันบอกนั่นแหละหนู
เราอยู่ทะเลก็แต่งทะเลสิ ไฮโซโก้เก๋จะตาย แต่งตัวตามยุค ใครไปใครมาจะได้ไม่ขายหน้าคนอื่นเขา
เผื่อผีฝรั่งมาเยือน เขาจะได้ไม่ตกใจคิดว่าปู่ตายสักเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว”
วารวารีเข้าใจแล้วว่าคู่นี้เหมือนกันเสียยิ่งว่าพ่อลูกอีก ทะเล้นและช่างพูดทั้งคู่
แถมยังมีอารมณ์ขัน แต่จะว่าไปแล้ว...มีเจ้าที่อารมณ์ดีแบบนี้ บ้านก็คงเต็มไปด้วยความสุขนั่นแหละ
“พวกคุณนี่เป็นผีที่ไฮโซที่สุดเท่าที่วาฬเคยเจอมาเลยนะคะ” หญิงสาวหัวเราะ
ก่อนจะตั้งข้อสงสัยเพิ่ม “ว่าแต่เข้ามาในเขตโรงแรมได้หรือคะ
หรือว่าปู่ก็ดูแลที่นี่ด้วยเหมือนกัน”
“ปู่ไม่ได้ดูแลที่นี่หรอก แต่ปู่กับเจ้าดีนเป็นเพื่อนกับปู่ใหญ่...เจ้าที่ของโรงแรมนี้
เอาไว้วันหลังจะแนะนำให้หนูรู้จักครบทีมนะ” ปู่โมกข์หันไปยักคิ้วให้กับผีรุ่นน้องอย่างเด่นฤทธิ์
ซึ่งท่าทางกวนกันไปกันมาทำให้วารวารีหุบยิ้มไม่ได้เลย
โดยที่หญิงสาวเองก็ไม่ทันรู้ตัวเหมือนกันว่าเด่นคุณกำลังลอบมองมาจากห้องอาหาร
คอยสังเกตพฤติกรรมเพี้ยนๆ ของเธอ “อีกอย่าง เจ้าดีนมันก็เป็นเจ้าของโรงแรมมาก่อน
ตายไปแล้วก็เลยให้พ่อหนุ่มมาช่วยงานนิดหน่อย”
“ก็ไม่นิดหน่อยนะ” พอพูดเรื่องงานขึ้นมา เด่นฤทธิ์ก็ทำหน้าเหนื่อย
หมดแรง “ชอบใช้ให้วิ่งจับผีอยู่เรื่อยเลย
วิ่งจนคิดว่าเกิดชาติหน้าคงได้เป็นนักกีฬากรีฑาทีมชาติแน่”
“ที่นี่..มีผีตัวอื่นด้วยเหรอคะ?” หญิงสาวถามด้วยความสนใจอย่างมาก เพราะนอกจากเด่นฤทธิ์กับปู่โมกข์ที่เธอเพิ่งผูกมิตรด้วยวันนี้แล้ว
วารวารีก็ยังไม่เคยเจอผีตัวอื่นเลย
แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้คำตอบจากเด่นฤทธิ์กับปู่โมกข์ เสียงเข้มๆ
ก็ดังขึ้นด้วยการเรียกชื่อเธอ ทำเอาทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“วารวารี!”
หญิงสาวหันไปก็เห็นหน้าเจ้านายจอมเย็นชา ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์
จ้องตรงมาที่เธอ ขายาวๆ ก้าวฉับๆ แต่วันนี้เด่นคุณไม่ได้อยู่ในชุดสูทเนี๊ยบนิ๊งเหมือนวันก่อน
วารวารีหันไปยกมือไหว้ตามมารยาท
ขณะที่เด่นฤทธิ์ขยับตัวเองเข้ามายืนใกล้ๆ พนักงานสาว ก่อนเขย่าแขน
“โฮะ...ระวังนะวาฬ!
ไอนี่น่ะมันเป็นนักวางแผนมือสะอาด ร้ายมากๆ” เด่นฤทธิ์จ้องไปยังพี่ชายตัวเอง
ปากก็เผาเด่นคุณไปด้วย “รู้มั้ย...ในบรรดาสามคนพี่น้อง ไอพี่คุณเนี่ยมันชั่วที่สุด
ฉันยังไม่ได้ครึ่งมันเลย”
วารวารีรับฟังที่เด่นฤทธิ์พูดเงียบๆ แต่ในใจกลับคิดว่าพี่น้องกัน ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก
“เธอชื่อวารวารีใช่มั้ย?”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า และเพราะตนกำลังตกประหม่าด้วยก็เลยเผลอเม้มปากจนเป็นเส้นตรง
ทว่าเด่นฤทธิ์ก็ยังไม่หยุดค่อนขอดพี่ชาย
“แหม ทำเป็นมาถาม ฉันรู้ดีน่า...เวลาแกจะใช้ใครต้องอ่านประวัติมาละเอียดยิบแล้วแน่ๆ”
“เธอน่ะ ตามฉันมานี่หน่อย”
เด่นคุณพูดแล้วเดินนำออกไปยังตัวบ้านพักของเขา ขณะที่วารวารีเดินตามหลังไปเงียบๆ
แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังไกลออกไปเกือบลับสายตา ก็มีสิ่งหนึ่งปรากฎชัดขึ้น จนทั้งเด่นฤทธิ์และปู่โมกข์ถึงขั้นร้องออกมาด้วยความตกใจ
“โอ๊ะ นั่น!”
เด่นฤทธิ์ยกมือขึ้นมาปิดปาก ขณะที่ปู่โมกข์นั้นพูดรำพึงรำพันเสียงเบา
“ด้ายแดง...”
“ปู่เห็นเหมือนกันเหรอ?” เด่นฤทธิ์หันมามองผู้อาวุโส
“ข้ามีบุญ บารมี มากกว่าเอ็ง ทำไมจะไม่เห็นวะ”
ความคิดเห็น