คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เสน่หาไร้ปราณี - Chapter 03 - ข้อเสนอ & มัดมือชก 100 %
Chapter 3
ข้อเสนอ & มัดมือชก
“เรื่องของผู้ใหญ่
เด็กอย่ายุ่ง!”
พี่ชายคนรองใช้นิ้วจิ้มไปที่จมูกน้องสาวคนเล็ก
เฉิง ซูมี่ ยกมือปัดออกด้วยความงอนนิดๆ ก่อนจะสวนกลับ
“เค้าโตแล้วย่ะ”
คนเป็นน้องฮึดฮัดอย่างขัดใจที่พวกพี่ชายของเธอนั้นมักมองเธอเป็นเด็กน้อยในสายตาเสมอ
อีกอย่างทั้งโอคาตะและเดนก็มีโอกาสเจอกันบ่อย เพราะทั้งสองคนอาศัยอยู่ข้างนอก เฉิง
ซูมี่เชื่อสุดใจเลยว่าพี่ชายทั้งสองคนของตนต้องกำลังรวมหัวทำอะไรไม่ดีแน่ๆ “เชอะ! น้องสาวคนนี้เป็นถึงCEO ดูแลศูนย์การค้าดังเชียวนะ
แต่จะว่าไปต่างคนต่างก็บริหารงานของตัวเอง เป็นผู้บริหารระดับสูงทั้งนั้น
อย่าคิดทำอะไรไม่ดีเชียวล่ะ”
“ห่วงเรื่องของเราเถอะน่า
ไหนบอกทำงานหัวหมุนไง” โอคาตะเอื้อมมือไปยีผมเด็กน้อยของบ้าน โดยไม่สนใจคำเตือนอย่างห่วงใยของน้องสาวสักนิด
อันที่จริงเขาไม่ได้วางแผนกับเดนทำเรื่องอะไรเลวร้ายสักหน่อย
อาจมีอะไรที่ผิดแผนไปบ้าง แต่เชื่อเหอะว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันจะค่อยๆ
เข้ารูปเข้ารอยของมันเอง
เพราะเมื่อไหร่ที่เขาจับตัวริเอะมาทำงานด้วยได้
เรื่องที่เธอประกาศไว้เมื่อตอนยังเป็นเด็กน้อย เขานี่แหละ...จะทำให้เรื่องนั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา
“แล้วนี่มั่นใจเหรอว่าปิดประตูตายแบบนี้
เด็กคนนั้นจะวิ่งกลับมาหานายอีก” เดน ถามต่อด้วยความสนใจ เพราะโดยปกติโอคาตะไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหนอย่างจริงจังเลย
อาจมีบ้างตามประสาผู้ชายที่ ‘ซื้อกิน’ เป็นครั้งคราว แต่ไม่เห็นว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่โอคาตะอยากผูกมัดด้วยสักนิด
คงมีแต่เด็กคนนี้แหละที่แค่เพียงเห็นแฟ้มที่เปิดอ้าออกอย่างไม่ตั้งใจ
อีกฝ่ายก็รีบล็อกตัว ล็อกตำแหน่งให้เธอเลย
มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ
“แน่สิ”
โอคาตะซังบอกเสียงนิ่งเรียบ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ในเมื่อการเงินของย่าเด็กนั่นอยู่ในมือฉัน
ยังไงเด็กคนนั้นก็ต้องใช้หนี้อยู่ดี”
“การเงินของย่า...”
เดนทำท่าครุ่นคิด “อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนที่เอาร้านอูด้งทำมาค้ำเพื่อกู้เงินเป็นย่าของเด็กผู้หญิงคนนั้น”
“อืม”
“แต่พี่ใช้เงินมูลนิธิรับย่าไว้นี่
ทำไมยังอยู่ในสถานะลูกหนี้อีกล่ะ”
“มันเรื่องของฉันนะ”
เรื่องนี้ก็อาจเป็นอีกหนึ่งความบังเอิญที่โอคาตะไม่ได้คาดคิดมาก่อนเหมือนกัน
เพราะในวันหนึ่งที่เขาตั้งใจไปหาเดน ซึ่งเข้าไปตรวจงานที่ธนาคาร นาโอกะ แบงค์ นั้น...เขาดันเดินสวนกับโยเนะเข้า
เขาเห็นว่าคุณย่าโยเนะเดินไม่ค่อยไหว
หน้าตาซีดเซียว ยกมือทาบหน้าอกบ่อยๆ หอบเอกสารออกจากธนาคารไปด้วยหน้าตาที่ผิดหวัง
โอคาตะเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าท่านจะต้องเดือดร้อนเรื่องเงินมากแน่
พอคิดได้อย่างนั้น...ชายหนุ่มจึงสอบถามข้อมูลจากพนักงานที่ทำธุรกรรมให้กับโยเนะ
ถึงได้รู้ว่าท่านเอาร้านอูด้งมาทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวนหนึ่ง แต่ด้วยตัวร้านไม่ได้อยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน
สถานะการเงินของครอบครัวก็ไม่มั่นคงนัก อีกทั้งประเมินจากทรัพย์สินที่มีเพียงชิ้นเดียวแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ทำธุรกรรมกู้ยืมไม่ผ่าน ที่สำคัญเหตุผลในการกู้ยืมเงินก็ไม่ใช่เอาไปต่อยอดธุรกิจที่มี
แต่เป็นการกู้เพื่อเอาเงินไปรักษาตัวเอง
เจ้าหน้าที่เห็นว่าคุณสมบัติของผู้กู้ไม่มีอะไรเข้าข่ายที่ทางธนาคารจะอนุมัติเงินได้
เลยไม่ได้ปล่อยเคสของโยเนะให้ผ่าน
พอโอคาตะรู้เรื่องก็รู้สึกเศร้าใจมาก
เพราะคุณย่าเป็นคนดี ทั้งเคยช่วยเขาในยามที่ชีวิตลำบาก ซึ้งน้ำใจที่ท่านให้ข้าวให้น้ำ
แล้วเอจิพ่อของริเอะที่วันนั้นอาสาไปส่งเขาที่โรงพยายาลยังช่วยจ่ายค่ารักษาแม่ให้ด้วยเงินจำนวนหนึ่ง
แม้ว่าเงินนั้นจะได้มาจากการเล่นพนันก็ตาม
กระทั่งคิดทบทวนทุกอย่างดีแล้ว สืบดูความเป็นอยู่ของโยเนะอย่างละเอียด โอคาตะจึงให้คนของธนาคารติดต่อโยเนะกลับไป บอกว่าทางฝ่ายธุรกรรมสินเชื่อเพื่อการกู้ยืมได้เสนอเรื่องของโยเนะเข้าที่ประชุมและทางผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นกรณีที่น่าสนใจจึงได้อนุมัติเงินกู้สำหรับค่ารักษาพยาบาลเป็นกรณีพิเศษ ทั้งที่ความจริงแล้วโอคาตะรับโยเนะเข้าเป็นคนไข้ในมูลนิธิของนาโอกะต่างหาก
แต่เพราะอยากเฝ้าดูท่านไปเรื่อยๆ เขาถึงได้ทำทุกอย่างเหมือนให้กู้ยืม แล้วที่ผ่านมาโยเนะก็จ่ายเงินตรงเวลาตลอด ไม่เคยผ่อนผันสักครั้ง
แม้ว่าโอคาตะไม่ได้ต้องการเงินคืนก็ตาม เขาแค่อยากดูว่าโยเนะเปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า เอจิจะมีความรับผิดชอบมากขึ้นมั้ย แต่ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ที่สำคัญเขายังได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เต็มๆ
“หึ! ทำเป็นเล่นแมวจับหนูกันไปเถอะ” น้องสาวเอ่ยขึ้นอย่างรู้เท่าทันความคิดพี่ชายทั้งสองคน
ไอประเภทแววตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์แบบปิดไม่มิดเนี่ย
เธอมองปราดเดียวก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องผู้หญิงแน่นอน “สักวันหนูที่เห็นว่าจับเข้ากรงง่ายๆ
อาจจะกลายเป็นแม่เสือสาวที่พ่อเสืออย่างพวกพี่ต้องยอมสยบกลายเป็นลูกแมวน้อยอยู่ในอุ้งมือมารก็ได้”
“ช่วงนี้อู้งานเอาเวลาไปดูซีรี่ย์ล่ะสิ
พูดเป็นการ์ตูนไปได้” โอคาตะยิ้มขำในความคิดของซูมี่
“แล้วจะรู้ว่าหัวเราะทีหลังมันดังกว่า”
น้องสาวเชิดหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจว่าสักวันหนึ่ง
พี่ชายคนโตของบ้านจะต้องตกหลุมพรางที่ตัวเองวางเอาไว้แน่
การเล่นกับความรู้สึกของคนมันไม่สนุกเลย
เพราะสุดท้ายคนที่เจ็บที่สุดก็มักจะเป็นคนเริ่มเกมเสมอ “ซูมี่คนนี้แหละจะปลุกระดมพี่สะใภ้ให้ทีมพ่อบ้านหงอยเหงาจนเป็นโรคซึมเศร้ากันไปข้างนึงเลย”
“ฝันไปเถอะ”
เดนส่ายหัว กับความช่างจินตนาการของน้อง
อีกอย่างทั้งเขาและพี่ชายอย่างโอคาตะก็ไม่ใช่ ‘หมูในอวย’ ที่จะยอมให้สาวที่ไหนมาควบคุมได้ง่ายๆ สักหน่อย “ใครเขาจะยอมสิ้นลายแบบนั้นกัน
ไม่มีทาง!”
....................................
ราว
2 อาทิตย์ผ่านมาหลังจากที่ไปสอบสัมภาษณ์กับทาง นาโอกะ กรุ๊ป
หญิงสาวส่งประวัติตัวเองผ่าน
E-Mail เพื่อสมัครงานไปหลายที่ แต่ก็นับได้เลยว่ามีไม่กี่บริษัทที่เรียกเธอไปสัมภาษณ์
ทว่าเพียงแค่ด่านแรก...ทุกบริษัทก็ปฏิเสธเธอหมด อีกทั้งเธอยังถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ
อีกต่างหาก
“ขอโทษนะคะ ทางเราเช็คประวัติของคุณแล้ว เอ่อ..คุณไม่สามารถเข้าทำงานกับเราได้จริงๆ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลบริษัทหนึ่งพูดจากับเธอด้วยท่าทางเกรงใจ ก่อนจะยื่นแฟ้มประวัติส่งคืน
เธอโดนปฏิเสธอีกแล้ว แต่ไม่มีบริษัทไหนแจ้งเหตุผลเลย
“แต่..” ริเอะจังพยายามรั้งเอาไว้ เพราะเธอไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคะตาเลย แล้วจะมาแพ้เพราะคำขู่ของคนโรคจิตที่สบประมาทเธอไว้ก็ไม่ได้ด้วย
ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เจ้าชีวิต
ไม่ใช่พระเจ้า และยมทูตที่จะมาสั่งให้เธอทำอะไรตามใจก็ได้ ชีวิตของเธอ ...เธอย่อมกำหนดได้เอง
“ขอร้องนะคะ
ถ้าฉันรับคุณเข้าทำงานต้องมีปัญหาตามมาแน่” ท่าทางเกรงอกเกรงใจหรือรังเกียจริเอะเองก็มองไม่ออก
แต่อาการที่รีบออกตัวทั้งที่เธอยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำก็ทำให้ความหวังที่มีหรี่แสงลงเรื่อยๆ
“แต่ว่าฉัน..”
“นะคะคุณริเอะ
ถึงคุณจะเก่งมากแค่ไหน แต่ฉันรับคุณไม่ได้จริงๆ”
จนท้ายที่สุดแล้ว
ริเอะก็ต้องยอมรับความผิดหวังกลับมาที่ร้านคุณย่าด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยากเหมือนทุกครั้งที่ออกไปสัมภาษณ์งาน
ใบหน้ากลมๆ
ที่แฝงไปด้วยความไม่สบอารมณ์ทำเอาคนเป็นพ่อที่กำลังทำความสะอาดเตรียมตัวเปิดร้านนั้นเอ่ยทักทายลูกสาว
“น่าบูดกลับมาแบบนี้แสดงว่า..”
“ทุกที่บอกว่าหนูไม่ผ่านงาน..”
หญิงสาววางกระเป๋าสะพาย นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในร้านเอามือเท้าคาง ทำสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
ไอบ้านั่น! ทำชีวิตเธอพังหมดแล้ว
“เป็นไปได้เหรอ ริเอะจังของย่าเก่งจะตายไป ได้ทุนเรียนอีกต่างหาก” คุณย่าโยเนะที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังครัวพูดขึ้น ในใจก็นึกสงสารหลานสาวคนเดียวเพราะริเอะผิดหวังกับเรื่องงานติดต่อกันมาหลายครั้งแล้ว “ทีไอบริษัทใหญ่โตอย่าง นาโอกะ กรุ๊ป ริเอะยังผ่านเข้ารอบลึกเลยนะ”
“นั่นสิ อย่าไปสนใจเลย ริเอะขายอูด้งกับพ่อกับย่าก็ได้ เป็นเจ้านายตัวเองก็ดีจะตายไป” เอจิให้กำลังใจลูกสาว “บางทีการทำงานในบริษัทมันก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ดีในชีวิตเสมอไปหรอกนะลูก การเป็นนายตัวเองอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในระยะยาวก็ได้”
“ก็ถ้ายังหางานไม่ได้ ก็คงต้องทำอย่างที่พ่อว่านั่นแหละค่ะ”
..........................
ร้านอาหารไทย
- พิลาสลักษณ์
“อ้าวริเอะจัง”
เจ้าของร้านอาหารไทยที่อายุมากกว่าเธอราวสามสิบปีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่นละมุน
‘พิลาสลักษณ์’ คือชื่อของผู้หญิงคนนี้
เธอเป็นสาวไทยที่แต่งงานกับลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น และเป็นแม่ของเพื่อนสนิทเธอ
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
ริเอะยกมือไหว้ทั้งพิลาสลักษณ์และ ‘โฮชิ’ ผู้เป็นสามี ด้วยกิริยานอบน้อมอย่างคนไทย
ที่สำคัญเธอยังใช้ภาษาไทยสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ดีอย่างคล่องปากราวกับเจ้าของภาษาด้วย
“ไทม์ล่ะคะ อยู่บ้านหรือเปล่า”
“อยู่สิ
กำลังเตรียมของอยู่ในครัวนั่นแหละ” โฮชิตอบด้วยภาษาไทยกลับมา
แต่สำเนียงไม่ได้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนภรรยานัก
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
ริเอะจังบอกก่อนจะเดินเข้าไปด้านหลังของร้าอาหารที่ถูกตกแต่งด้วยอัตลักษณ์ความเป็นไทย
ทั้งไม้สลัก ลายผ้าขาวม้าที่ถูกปรับแต่งในรูปแบบที่รองถ้วยชามผสมผสานกับความเป็นญี่ปุ่นอย่างลงตัว
ทำให้ร้านอาหารไทยหนึ่งเดียวในย่านนี้มีเสน่หาดึงดูดคนญี่ปุ่นให้เข้ามาลิ้มลองรสชาติอาหารมาก
“อ้าว
ริเอะ ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะ” พ่อครัวใหญ่อย่าง ‘ไทม์’
เอ่ยทักเมื่อหันไปเห็นเพื่อนสาวตัวเองยืนกอดอกมองเขาทำนั่นทำนี่
แล้วยิ้ม “มายืนเงียบๆ ตกใจหมด”
“แหมทำเป็นขวัญอ่อนไปได้
แต่ฉันมาเพราะคิดถึงอาหารไทยของพ่อครัวที่ชื่อไทม์ล่ะมั้ง
แบบว่าร้านไหนก็ไม่อร่อยเท่าร้านนี้” ริเอะแซวเพราะหลังจากเรียนจบแล้ว เธอก็ได้ข่าวว่าไทม์บินไปประเทศไทยเพื่อเรียนต่อด้านอาหารเพิ่มเติมจากทักษะที่ตัวเองมีตั้งแต่เกิด
ก่อนจะกลับมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงรองจากแม่ที่ร้านอาหารนี้
จะว่าไปเธอกับไทม์ใช้ภาษาไทยสื่อสารด้วยกันตลอด
นี่คงเป็นความดีของฮานาโกะที่พอแต่งงานกับไดจิ...ความหัวสูงก็ทำให้ฮานาโกะส่งเธอเรียนโรงเรียนนานาชาติ
แล้วเลือกภาษาที่สามเป็นภาษาไทยให้เธอเรียน
ถึงได้เจอเพื่อนและครูเป็นคนไทยแทบจะตลอดหลายปี มิหนำซ้ำแม่ของเธอยังชอบพบปะคบค้ากับภรรยาต่างชาติของเหล่าคนในแวดวงธุรกิจด้วย
ซึ่งจะว่าไปแล้วผู้หญิงไทยก็ได้ดิบได้ดีเยอะมาก
ส่วนไทม์เธอกับเขารู้จักกันตอนเรียนมัธยม
พอรู้ว่าไทม์เป็นคนไทยด้วยภาษาและความไม่ถือตัวทำให้ทั้งสองคนเข้ากันได้ง่าย
และกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด
“งั้นก็อยู่กินข้าวด้วยกันเลยนะ
นี่กำลังจะย่างไก่พอดี มีตำไทยด้วย รสเปรี้ยวๆ หวานๆ ของโปรดเธอเลยนี่” ไทม์บอก
เขาติดนิสัยพ่อกับแม่มาเกินร้อย เวลาใครมาบ้านก็ชอบชวนกินข้าว แล้วต้อนรับด้วยอาหารที่ตัวเองทำ
“โห
มาถูกเวลาเลยแฮะ” ริเอะจังเดินเข้าไปมอง เห็นไทม์เอาน่องไก่ชิ้นใหญ่หมักไว้ในกะละมังหลายชิ้น
“สงสัยฉันจะมีโชคเรื่องกินมากกว่าเรื่องงาน”
“ทำไมล่ะ
คราวก่อนเธอบอกว่าได้สัมภาษณ์งานในบริษัทใหญ่โตนี่นา”
“ก็จริง
ได้แค่สัมภาษณ์นะ ไม่ได้งาน” หญิงสาวบอกเสียงอ่อย แต่เธอไม่ได้เล่าให้ไทม์ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง
“แล้วที่อื่นล่ะ”
“ไม่ได้สักที่”
ริเอะถอนหายใจ “พอดีมีปัญหานิดหน่อยน่ะ นี่ก็กะว่าจะทำร้านอาหารจริงจังแล้ว
พ่อบอกว่าไม่มีคนช่วยพอดี ก็ถ้าไม่ได้งานจริงๆ ก็คงทำร้านอูด้งกับพ่อกับย่านั่นแหละ
นายอย่าลืมไปกินล่ะ...ฉันเลี้ยงฟรีตลอดชีวิตเลย”
“ฉันกินจุนะ เดี๋ยวร้านแกเจ๊งพอดี” ไทม์หัวเราะ “แต่เป็นนายตัวเองก็ดีนะแก ฉันก็ทำอาหาร สนุกจะตายไป”
“ร้านแกมันใหญ่โต อยู่ตัวแล้ว ได้ออกรายการโทรทัศน์ ได้ลงนิตยสาร” ริเอะบอก เท่าที่รู้จากไทม์ พ่อของไทม์เป็นพ่อครัวในโรงแรมห้าดาวที่ไทยมาก่อน พอแต่งงานกับพิลาสลักษณ์ทั้งคู่ก็ย้ายมาญี่ปุ่น และตัดสินใจเปิดร้านอาหารไทย จะว่าไปไทม์มีสายเลือดพ่อครัวตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ “ร้านฉันเล็กนิดเดียวเอง แถมไม่ได้อยู่ในทำเลทองอีก”
“ร้านอูด้งคุณย่าแกก็อร่อยเหมือนกันนั่นแหละ” ไทม์ไม่ได้อยากจะอวยเพื่อนเพราะอยากปลอบใจเธอเลย เขาพูดความจริงเพราะตนเองก็เคยไปชิมอูด้งที่คุณย่าและคุณพ่อของริเอะทำอยู่หลายครั้ง บอกเลยว่ารสชาติถูกใจเขามาก ขนาดเขาติดในรสอาหารไทย ยังรู้สึกเลยว่าอูด้งร้านริเอะอร่อย ทานแล้วสดชื่น
แต่ก่อนจะชวนคุยกันยาวเหยียดไปมากกว่านี้
ไทม์เห็นว่าริเอะไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับเรื่องงานมากนัก แล้วหญิงสาวก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่หงุดหงิด
เลยลองออกปากเรื่องสำคัญกับอีกฝ่ายดู นั่นเพราะช่วงหลังมานี้...ริเอะแทบไม่เคยพูดถึงฮานาโกะแม่ของเธอเลย
“เออ..ริเอะ
ช่วงนี้แม่แกแวะมาที่ร้านฉันบ่อยนะ ถามถึงแกด้วย”
ริเอะไม่ได้พูดถึงแม่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีความสำคัญในชีวิตตัวเองอีกแล้ว
แต่สำหรับฮานาโกะ...พักนี้ท่านแวะเวียนมาที่ร้านของเขาบ่อยมาก
ไม่ใช่เพราะร้านขายอาหารไทยเป็นหลัก แต่เพราะฮานาโกะรู้ว่าไทม์เป็นเพื่อนกับลูกสาวของตนต่างหาก
ถึงได้แวะมาทั้งทานข้าวและไถ่ถามเรื่องราวของลูกสาวจากเพื่อนสนิทอย่างเขาบ่อยๆ
“อืม”
ริเอะตอบสั้นๆ สีหน้าจากที่เคยยิ้มแย้มก็พลันหุบยิ้มไปทันควัน
เธอเองก็ลืมเรื่องของฮานาโกะไปเสียสนิท
เจอกันครั้งล่าสุดก็คงตอนที่เธอเรียนจบ ท่านเอาของขวัญมาแสดงความยินดี
แต่ก็ไม่ได้พูดจาอะไรกันมากมายเหมือนกับตอนที่เธออาศัยอยู่ด้วย
“เห้ย
ไม่ไร้เยื่อใยไปหน่อยเหรอ” ไทม์เย้าขำๆ แต่ริเอะกลับไม่ยิ้มเลย ทว่าถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจเพื่อนสนิทดี
แหม..ใครจะไปหน้าระรื่นเมื่อพูดถึงอีกฝ่ายลง ในเมื่อสามีใหม่ของแม่อย่างไดจิทำกับริเอะร้ายแรงขนาดนั้น
มันก็ไม่แปลกหรอกที่เพื่อนสาวของเขาจะพลอยเกลียดแม่ตัวเองไปด้วย
นี่ถ้าเขาไม่สนิทกับริเอะ
เชื่อเลยว่าหญิงสาวคงไม่เปิดปากเล่าเรื่องราวในชีวิตที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับด้านมืดให้ฟังหรอก
“ช่วงหลังฉันกับแม่ไม่ค่อยได้คุยกันหรอก”
หญิงสาวตอบเพื่อนไปตามตรง ไม่คิดถามด้วยว่าแม่ของตนถามเรื่องอะไรกับไทม์บ้าง
เธอคิดถึงแม่ก็จริง แต่จะให้กลับไปอยู่ในสถานที่เดิมๆ ที่ทำให้ใจของเธอเป็นแผลรอยใหญ่มันก็เป็นไปไม่ได้
ที่สำคัญหลังจากที่เธอตัดสินใจออกจากบ้านหลังนั้นแล้วกลับมาอยู่กับย่ากับพ่อ
พ่อก็ทำตามสัญญา ยอมเลิกเล่นพนันอย่างเด็ดขาด แล้วตั้งใจทำมาหากินสุจริต
ขณะที่ตอนนั้นโยเนะเลิกขายอาหารทะเลที่ตลาด แล้วเอาเงินเก็บที่มีมาทำร้านอาหารเล็กๆ
หญิงสาวจำได้ว่า
แม้ว่าตอนนั้นการตั้งต้นชีวิตใหม่จะลำบากไปสักหน่อย แต่เธอ ย่า และพ่อก็จับมือกันผ่านมาได้
จนอดคิดไม่ได้ว่าการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแต่เต็มไปด้วยความรักของคนในครอบครัว
มีรอยยิ้มได้ทุกวันเพราะมีความสุข มันก็ยังดีกว่าการที่เธอเลือกทางเดินสบายที่เต็มไปด้วยความจอมปลอม
สังคมที่แม่ชอบคือการโอ้อวดตัวเอง ทุกคนใส่หน้ากากเข้าหากัน แล้วฉีกยิ้ม
ถ้าเธออยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงก็คงมีเงินทองใช้สุขสบาย
แต่มันคงเป็นตราบาปอันยิ่งใหญ่ในชีวิตที่จะต้องมีสามีคนเดียวกับแม่
ขืนเป็นแบบนั้นเธอคงเกลียดและขยะแขยงตัวเองเป็นบ้า
“ไอพ่อเลี้ยงเลวไดจิซังยังตามรังควานแกอยู่หรือไง”
ไทม์เค้นถามเมื่อเห็นเพื่อนสาวเงียบและสีหน้าเปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ากระดาษ
“ถ้ารังควานกันโต้งๆ
ก็คงไม่กล้าหรอก เพราะพ่อกับย่าฉันเอาจริง เลยต้องใช้แม่เป็นสะพาน” หญิงสาวถอนหายใจหน่ายๆ
เธอคงจะรู้สึกดีกว่านี้มากถ้าตอนที่เกิดเรื่องขึ้นแม่คิดจะเข้าข้างหรือออกโรงปกป้องลูกในไส้อย่างเธอสักนิด
ก็เหมือนที่ย่ากับพ่อด่าแม่ว่าไม่มีความเป็นแม่หลงเหลืออยู่ในตัว...เพราะนอกจากแม่จะไม่คิดว่าไดจิเป็นฝ่ายผิดแล้ว
ยังคิดจะลากให้เธอกลับไปอยู่ด้วยอีก
กลับไปเป็นเครื่องสังเวยอารมณ์ตัณหาของพ่อเลี้ยงเฒ่า
นี่คือสิ่งที่เธอเสียใจและเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตแล้ว
“แม่แกก็แปลก
พูดตรงๆ นะ คิดยังไงอยากให้ลูกมีสามีคนเดียวกับตัวเองวะ” ไทม์ส่ายหัว
เขาเองไม่ได้เข้าข้างเพื่อน แต่คิดในหลักของความเป็นคนแล้ว
ฮานาโกะก็ไม่น่าจะใจร้ายใจดำทำเรื่องวิปริตขนาดนั้นได้ลงคอ
จะว่าหลงเงินจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี อันนี้มันก็เกินไปหน่อย “แบบนี้ขายลูกกินชัดๆ
เลย”
“ฉันเลยไม่กลับไปวุ่นวายไง
อยู่กับย่ากับพ่อก็มีความสุขดีแล้ว”
“แต่เท่าที่รู้จากแม่แกมา
ท่านบอกว่าช่วงนี้ไดจิซังไม่สบายหนักนะ แม่แกก็ดูโทรมๆ ไปเยอะ” ไทม์มีโอกาสได้เจอกับแม่ของริเอะตั้งหลายครั้ง
ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพราะทุกครั้งที่ฮานาโกะติดต่อกับลูกสาว ริเอะจังมักจะนัดเจอแม่ที่ร้านเขาเสมอ
ส่วนหนึ่งก็เพราะเธออยากให้มีคนรู้เห็น เกิดอะไรขึ้นมาก็จะได้ช่วยเหลือทัน
ริเอะจังฉลาดและรู้จักเอาตัวรอดตั้งแต่เด็กๆ
ไทม์ที่เป็นเพื่อนเลยหายห่วง ไม่ต้องกลัวว่าริเอะจะโดนคนอื่นแกล้ง
แต่เรื่องที่ไทม์เพิ่งบอกเธอ...หญิงสาวกลับไม่รู้สึกสงสารไดจิหรือแม่ตัวเองเลยสักนิด
เพราะคิดว่ามันคือ ‘ผลกรรม’ ที่ทั้งสองคนสมควรได้รับแล้ว
ตอนนี้จะมาเรียกคะแนนความสงสาร
เห็นใจ จากเธอ...บอกเลยว่ามันไม่มีประโยชน์!
“ไดจิซังตายเมื่อไหร่
ฉันคงหายใจได้เต็มปอด” ริเอะจังทำหน้ากระอักกระอ่วนราวกับคนท้องอืด คลื่นเหียน
ทุกครั้งที่ในบทสนทนามีเรื่องของไดจิกับแม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เธอจะรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออกราวกับมีมือปริศนามาบีบคอเอาไว้อย่างนั้น
“โหว..”
ไทม์อ้าปากค้าง ถึงคำพูดของเพื่อนจะแรง และตรงไปตรงมา ประเภทสมองคิดยังไง
ปากก็พูดแบบนั้น แต่ชายหนุ่มกลับหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ
เพราะเอาเข้าจริงไดจิเองก็มีประวัติไม่ดีเท่าไหร่นัก ยิ่งมีเรื่องกับริเอะอีก
เขาคิดว่ามันสมควรแล้วที่ตาเฒ่าจะโดนสาปแช่ง
ไทม์ไม่อยากทำให้ริเอะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้
จึงเริ่มลงมือทำอาหารต่อ ริเอะรู้งานเลยเข้าไปยืนช่วยขูดแครอทกับมะละกอให้เป็นเส้นอยู่ข้างๆ
ขณะที่ไทม์ชวนคุยเรื่องอื่นต่อ
“เออ...จริงสิ
แกยังจำ ‘เทโจซัง’ ได้มั้ย เห็นว่าตอนนี้กลับมาทำงานเป็นหมออยู่ญี่ปุ่นเต็มตัวแล้วนะ”
เทโจ
คือรุ่นพี่ที่โรงเรียน เขาย้ายเข้ามาเรียนในช่วงมัธยมปลาย และด้วยความที่เป็นลูกครึ่งเกาหลี
หน้าตาดีมาก เลยค่อนข้างมีชื่อเสียง มิหนำซ้ำยังเรียนเก่ง เป็นนักกีฬา สาวๆ ในโรงเรียนเลยให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
เรียกได้ว่าถ้าใครเรียนในรุ่นที่เทโจยังอยู่ ทุกคนไม่มีใครไม่รู้จักเทโจซังเลย
และยิ่งไปกว่านั้น
ริเอะกับไทม์ดันสอบติดที่มหาลัยฯ เดียวกับเทโจซัง ตามประสาเด็กพอรู้ว่ามีรุ่นพี่รุ่นน้องที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน
ก็เลยยิ่งสนิทกันมากขึ้น
“เทโจซัง..” ริเอะมองหน้าไทม์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ไทม์จึงช่วยย้ำต่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“โสดด้วยนะเว้ย”
พอเห็นสีหน้าเพื่อนชายยิ้มอย่างมีเลศนัย
ริเอะก็แกล้งหันไปสนใจขูดแครอทต่อ
“มันก็เรื่องของเขาสิ
จะโสด จะแต่งงาน ใครจะคลั่งรักใคร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย” แต่คำพูดเหมือนกับว่าเทโจซังเป็นคนอื่นคนไกลของริเอะ...กลับโดนไทม์เอาไหล่กระแทกเบาๆ
“อ้าว
ก็แกชอบเทโจมาตั้งนานนี่นา อย่ามาทำเป็นซึนหน่อยเลย
แกเข้าชมรมคณิตศาสตร์เพราะมีเทโจซังเป็นหัวหน้าชมรมไม่ใช่เหรอไง ตอนเรียนมหาลัยฯ แกยังเข้าชมรมร้องเพลง
เพระเทโจเข้าขมรมนี้ แล้วตอนแข่งกีฬาแกก็ไม่ได้ไปเชียร์ฉัน แกเอาฉันบังหน้า เพราะที่แท้ตั้งใจไปเกาะขอบสนามเอาขนมไปให้ฉัน
เพราะอยากเจอเทโจซังต่างหาก”
“พอ..!” ริเอะรีบยกมือห้ามปราม ราวกับทนฟังวีรกรรมของตัวองไม่ได้
“แกรู้เยอะไปแล้ว รู้จักฉันดีกว่าฉันรู้จักตัวเองอีก”
“ก็...ฉันเป็นเพื่อนสนิทแกไง”
ไทม์ยิ้มขำ ขณะที่เพื่อนสาวหลับตาเหมือนกำลังพยายามสงบสติตัวเอง
“บอกมาเลย
ว่าเทโจซังอยู่โรงพยาบาลอะไร” ริเอะหันไปทำหน้าจริงจังใส่
ในเมื่อไทม์รู้ใจเธอเหมือนมาสิงร่างกันขนาดนี้แล้ว เธอจะทำตัวสงวนท่าทีไปเพื่ออะไร
เทโจหล่อจนสาวๆ
หลงกันเป็นแถบ แล้วเธอจะเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ชอบราวกับเป็นติ่งดาราดังบ้าง
มันแปลกตรงไหน
“นี่..อย่าบอกนะว่า
คราวนี้แกจะเล่นใหญ่ ปลอมตัวไปเป็นคนไข้เพื่อเจอหน้าเทโจอ่ะ” ไทม์สรุปเอง “เห้ย จะลงทุนไปหรือเปล่าเนี่ย”
“ไอบ้านี่!” หญิงสาวทำตาขุ่นใส่เพื่อนตัวดี ไทม์จะจินตนาการเบอร์ใหญ่อะไรขนาดนั้น “มัวแต่พูด
เมื่อไหร่ไก่จะขึ้นเตาเนี่ย ฉันหิวแล้วนะ”
ริเอะจังเปลี่ยนเรื่อง
เพราะไม่อย่างนั้นไทม์คงเอาเรื่องที่เธอแอบชอบเทโจมาแซวไม่เลิกจนอดกินของอร่อยกันพอดี
................................
ริเอะจังอยู่คุยเล่นกับไทม์และครอบครัวของเพื่อนจนกระทั่งถึงช่วงบ่ายแก่ๆ
ร้านของไทม์เปิดตอนเย็น เธอเลยไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของอีกฝ่ายถึงได้ขอตัวกลับ
พ่อแม่ของไทม์เดินมาส่งเธอถึงหน้าร้านเหมือนที่เคยทำประจำ
ตอนที่เธอบอกลาพวกท่าน พิลาสลักษณ์ก็ดึงเธอเข้าไปกอด
“แล้วมาอีกนะริเอะจัง”
พิลาสลักษณ์บอก ท่านเคยบอกว่าเธอเองก็เหมือนลูกสาวอีกคน รักและเอ็นดูไม่น้อยไปกว่าไทม์เลย
ส่วนไทม์เองก็เคยบอกว่าพ่อกับแม่อยากมีลูกสาวมาก แต่เขากลับเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวซะงั้น
“เกรงใจค่ะ
ริเอะไม่ได้เอาอะไรมาฝากคุณป้ากับคุณลุงเลย แถมยังกินซะอิ่มอีก”
หญิงสาวย่นจมูกทำหน้าทะเล้นทำให้พ่อของไทม์ยิ้มขำ
“ไม่เป็นไรๆ
คิดมากๆ” โฮชิบอกด้วยภาษาไทยที่มีสำเนียงแปล่งหู
“เขาต้องพูดว่า
‘อย่าไปคิดมาก’ ต่างหากล่ะพ่อ”
พิลาสลักษณ์ช่วยแก้คำผิดให้สามี
“งั้นหนูไปแล้วนะคะ”
ริเอะยกมือไหว้พวกท่าน ขณะที่หมุนตัวเดินกำลังจะออกจากร้าน แต่ในตอนนั้นเองไทม์ก็เรียกเธอเสียงดังแล้ววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา
“ริเอะ
แกลืมโทรศัพท์!” ไทม์อยู่ในชุดพ่อครัวซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของร้านเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือที่เธอลืมเอาไว้ให้ ริเอะจึงรีบรับเอาไว้
“จริงด้วย
สงสัยวางเอาไว้ในห้องน้ำแน่เลย” หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก
ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องวิ่งกลับมาที่ร้านอีกรอบ “ขอบใจมากนะแก”
“อืม
หัดรอบคอบหน่อยสิ ถ้าไปลืมไว้ที่อื่นก็คงไม่ได้คืนหรอก”
ขณะที่เพื่อนทั้งสองคนกำลังบอกลาด้วยท่าทีสนิทสนมกันนั้น
ทั้งสองคนแทบไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่
ภายในรถยนต์คันสีดำที่จอดเทียบฟุตบาทอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามร้านอาหารไทย โอคาตะนั่งอยู่เบาะหลังมองผ่านกระจกติดฟิล์มดำทึบไปยังผู้ชายร่างสูงหน้าตาดี มีความเป็นลูกครึ่งซึ่งอีกฝ่ายคุยกับริเอะด้วยท่าทีหยอกล้อ
ประเมินด้วยสายตาก็พอจะรู้ว่า ทั้งคู่สนิทสนมกันมานานแล้ว
โอคาตะลงจากรถ ยืมมองนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินกลับเข้าร้านไป เขามองตามริเอะที่กำลังเดินด้วยท่าทีสบายใจ แต่เหมือนว่าเธอจะรู้ตัวแล้ว ถึงได้หันซ้ายหันขวา ก่อนจะมองตรงมายังเขา
“นายนั่นนี่นา...”
โอคาตะอ่านปากหญิงสาวได้แค่นั้น
แต่เขาไม่อยากทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนข่มขวัญ ในช่วงนั้นมีรถโดยสารประจำทางผ่านมาบังรถเขามิดคันพอดี
สายตาที่กำลังจ้องสบประสานกันอยู่ถูกบังบด โอคาตะจึงเลือกขึ้นรถ ปิดประตู แล้วสั่งให้คนของตัวเองขับรถออกไป
“ไปกันเถอะ
ยูสึเกะ”
เมื่อรถออกตัวมาได้สักพักหนึ่ง
โอคาตะที่โดนภาพความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มที่มีต่อริเอะจังรบกวนไม่หยุดหย่อนเล่นงาน
ก็เอ่ยปากออกคำสั่งเสียงเยียบเย็นกับยูสึเกะ มือขวาของเขา
“นายไปสืบมาทีนะยูสึเกะ ว่าผู้ชายคนที่เดินออกมาส่งริเอะจังเป็นใคร ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงขั้นไหนแล้ว”
“ครับนาย”
ความคิดเห็น