คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 01 :: เด็กสาวสื่อวิญญาณ 50 %
“พ่ออ่ะ”
“ไม่ต้องมาเรียกซะให้ยาก เพราะนอกจากทำบุญเลี้ยงพระแล้ว เงินที่เหลือฉันก็คงให้แม่แกจัดการตามเห็นชอบนั่นแหละ
ทั้งแก ทั้งเจ้าพงษ์ ไม่มีใครได้ส่วนแบ่งหรอก” พร้อมทรัพย์แจงรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
เพราะไม่ต้องการให้เด่นคุณรู้สึกเคลือบแคลงใจ เดี๋ยวจะหาว่ารักลูกไม่เท่ากันอีก
“ที่สำคัญ...เจ้าดีนมันตั้งใจให้เป็นค่ารักษาแม่เลยบอกหลาน”
“อ๋อ” เด่นคุณพยักหน้ารับ
เป็นที่รู้กันว่าเด่นฤทธิ์สนิทกับแม่มากกว่าพ่อ
เวลามีอะไรก็มักปรึกษากันอยู่สองคนเงียบๆ พอแม่ไม่สบายขึ้นมาก็คงอดห่วงไม่ได้
“พ่อก็เลยบินมาหาแกก่อนนี่ไง ว่าจะทำบุญใหญ่ให้มันสักหน่อย” พร้อมทรัพย์ตั้งใจมาตรวจตราการทำงานของลูกชายคนรองด้วย
แต่เรื่องหลักคือมาเตรียมสถานที่ก่อนจะจัดงาน “พ่อมาแล้วนะดีน ดีนได้ยินพ่อมั้ย”
“พ่อจะเรียกมันทำไมเล่า ถ้ามันโผล่มาจะทำไง คนยิ่งหลอนๆ อยู่”
เด่นคุณรีบหันซ้ายหันขวา ขยับตัวเข้าไปใกล้พ่อแล้วเกาะแขนท่านแน่น
ไม่ห่วงภาพลักษณ์ทายาทคิมคิราการคนรอง ผู้บริหารโรงแรมใหญ่โตสักนิด
“อย่ามาเว่อร์ ทำตัวแมนๆ หน่อย”
พร้อมทรัพย์ดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของลูกชาย มองอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ
แต่ก็ไม่อยากดุมาก
ที่เด่นคุณกลายเป็นคนระแวงเรื่องผีสาง นั่นคงเป็นเพราะเหตุฝังใจที่เจอกับตัวเอง
ทีแรกเด่นคุณไม่ใช่ขี้กลัวอะไรนักหนา แต่ในตอนที่พร้อมทรัพย์กำลังฝึกให้ลูกชายแต่ละคนบริหารงานโรงแรมที่มีอยู่ในครอบครอง
แจกจ่ายหน้าที่ให้เด่นฤกษ์ดูแลสาขาใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ
ส่วนเด่นคุณดูแลโรงแรมที่เชียงใหม่ และเด่นฤทธิ์ดูแลงานทางใต้ วันนั้นมันเกิดเหตุขึ้น..
เด่นฤทธิ์รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ HIV จากผู้หญิงที่ตนรักและไว้ใจ
จนซึมเศร้าพักใหญ่ ทว่าในตอนนั้นทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบตัวเองค่อนข้างชัดเจน
ทั้งยุ่งกับการปรับตัว และงานที่ทำก็ล้นมือมาก ถึงได้ละเลยความรู้สึกของเด่นฤทธิ์
แม้เจ้าตัวจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเลย..แม้กระทั่งแม่ที่ปรึกษาได้ทุกเรื่อง
แต่เรื่องของเด็กผู้หญิงคนนั้นที่เด่นฤทธิ์เข้าไปพัวพันด้วย ก็ดันล่วงรู้เข้าถึงหูของเด่นฤกษ์
เพราะความลับไม่มีในโลก พอรู้ข่าว...พี่ชายคนโตของบ้านก็ใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีสืบจนรู้ว่าน้องชายไปตรวจเลือดที่ไหน
ผลออกมาเป็นยังไง พอครอบครัวรู้เข้าก็เป็นห่วงเด่นฤทธิ์มาก ถึงได้ตกลงกันว่าจะไปมาหาเจ้าตัวที่ภูเก็ต
เพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้น
ทางครอบครัวไม่ได้จะกดดันเด่นฤทธิ์เลย ทุกคนไม่ได้รังเกียจและตั้งใจช่วยกันหาทางออกให้ด้วยซ้ำ
แต่เหมือนว่าเด่นฤทธิ์จะรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ไหว แฟนสาวที่เขาไว้ใจนั้นทำร้ายจิตใจไม่พอ
ยังเอา ‘โรคร้าย’ มาแพร่เชื้ออีก
ผู้ชายที่ถูกดูแล ถูกเลี้ยงมาอย่างดีราวกับคุณชายเลยทำใจยอมรับไม่ได้
เด่นคุณที่ในตอนนั้นพอจะปลีกตัวได้ เลยตัดสินใจบินไปหาน้องชายก่อนใคร
เขาคิดว่าอย่างน้อยการคุยกันแบบพี่น้องก็น่าจะทำให้เด่นฤทธิ์หายโศกเศร้าขึ้นมาบ้าง
เขาอยากเป็นคนที่คอยนั่งรับฟังปัญหา ทำให้ควาทุกข์ในใจของน้องชายทุเลาเบาบางลง
แต่มันก็เหมือนจะสายไปแล้ว เพราะพอไปหาเด่นฤทธิ์ที่บ้านพัก (ซึ่งเป็นบ้านที่เด่นคุณอยู่ในปัจจุบัน)
ก็พบว่าน้องชายผูกคอตายอยู่ในห้องนอนของตัวเอง สภาพศพค่อนข้างอึดบวมเพราะผ่านมาราววันเกือบสองวันแล้ว
ในตอนที่เจอศพน้องชายตัวเขียวซีด ขาลอยเหนือเตียงนอน
น้ำเหลืองน้ำหนองหยดเต็มไปหมด เด่นคุณถึงขั้นล้มพับลงไปกองกับพื้น เวลานั้นเป็นตอนกลางคืนเสียด้วย...ทำเอาเขาหลอนแทบจับไข้
แต่พอตั้งสติได้เขาก็วิ่งหน้าตาตื่นออกจากบ้าน ตามคนไปจัดการเรื่องน้องชายตัวเอง
เด่นคุณในเวลานั้นไม่ต่างจากคนบ้าเลย เขาทั้งกลัว ทั้งร้องไห้ฟูมฟาย
กดโทรศัพท์โทรไปบอกครอบครัว พูดจาไม่รู้เรื่องรู้ความ แต่การจากไปอย่างไม่มีคำร่ำลาจากเด่นฤทธิ์นั้น
ทำให้ทางครอบครัวเสียใจมาก
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทิ้งเอาไว้คือความทรงจำที่เกิดขึ้น สายใยผูกพันที่เชื่อมต่อกันของครอบครัว แต่สำหรับเด่นคุณ...ไม่ว่ายังไงภาพน้องชายก็ยังติดตาเขา แบบที่ยากจะลบล้างออกได้
“แล้วนี่ พี่พงษ์จะมามั้ย”
“มาสิ พ่อบอกไปแล้ว มาพร้อมแม่กับหลานๆ นั่นแหละ”
......................................................
1 ปีผ่านไป
“เย้ แม่ๆๆ วาฬได้งานแล้วนะ”
‘วารวารี’ ส่งเสียงร้องดีใจพร้อมกระโดดโลดเต้นไปมา
หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลของทางโรงแรมว่ารับเธอเข้าทำงานแล้ว
และให้มาเริ่มงานในอีกสองวันถัดจากนี้
รอยยิ้มบนใบหน้ากลมๆ ที่สดใสของลูกสาวเพียงคนเดียว ทำเอา ‘แวววรี’ ผู้เป็นแม่ยิ้มตามไปด้วย
ท่านวางมือจากการหั่นหน่อไม้ที่เตรียมไว้แกงไก่ขายพรุ่งนี้ แล้วหันไปมองหน้าลูก
“แม่ดีใจด้วยนะวาฬ” คนเป็นแม่บอก
เพราะการทำงานในโรงแรมชั้นนำเป็นความฝันของลูกสาว ก่อนเอ่ยชม “ลูกสาวของแม่เก่งที่สุดเลยนะ”
วารวารีวิ่งมากอดคอมารดา หอมแก้มท่านด้วยความดีใจไปฟอตหนึ่ง
ก่อนจะดึงเก้าอี้ออกมานั่งใกล้กัน
“ได้งานใกล้ๆ แถมยังติดทะเลอีกนะแม่” แค่พูด ใจของเธอก็แทบเต้นหลุดออกมาจากอก
ไม่คิดเลยว่างานแรกอย่างเป็นทางการ เธอจะได้ทำงานกับโรงแรมมีชื่อเสียงในเครือคิมคิราการที่หลายคนใฝ่ฝัน
“วันที่วาฬไปสอบกับสัมภาษณ์นะแม่ แอบเดินดูรอบๆ ด้วย สวยมากเลย หรูหรา ไฮโซ
มิน่าล่ะค่าที่พักถึงแพงหูฉี่ ยิ่งในโซนวิลล่าเห็นวิวทะเลนะแม่ คืนละเหยียบแสนเชียว
หืม..พักคืนเดียว เท่ากับค่ากินเราสองคนทั้งปี”
แวววรียิ้มกับความช่างพูดของลูกสาว แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทั้งชีวิตเธอแทบไม่เคยพาวารวารีไปเที่ยวในที่ดีๆ
เลย เพราะสถานะทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนคนอื่นเขา
“ดีแล้วล่ะ” คนเป็นแม่ลูบเรือนผมที่ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังของลูก “แต่วาฬแน่ใจนะว่าไปกลับเองไหวน่ะ”
คนเป็นแม่อดห่วงไม่ได้เพราะบ้านกับที่ทำงานของวารวารีค่อนข้างไกลกัน ถึงแม้จะมีมอเตอร์ไซด์เป็นของตัวเองขี่ไปกลับ แต่ท่านรู้ว่างานโรงแรมไม่ได้ไปเช้าเย็นกลับเหมือนงานอื่น หากกลับค่ำมืดก็อดเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าตัวแสบไม่ได้
“แน่นอน วาฬซะอย่าง” หญิงสาวยกมือทำท่ายอดเยี่ยมก่อนจะเอาโป้งปัดปลายจมูกตัวเองในแบบฉบับหญิงสาวเก่ง เฟี้ยว “เออจริงสิ จะว่าไปแม่จะทำกับข้าวไหวเหรอ ถ้าวาฬไปทำงานเช้าๆ ใครจะช่วยแม่ยกของล่ะ”
หญิงสาวอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะโดยปกติแล้วเธอเป็นลูกมือคอยช่วยแม่ทำกับข้าวขายตอนเช้าแทบทุกวัน ที่สำคัญเธอยังช่วยงานบ้าน งานครัว แบ่งเบาภาระของมารดาทุกอย่างเท่าที่เธอพอจะทำไหว
“ไม่เป็นไรหรอก ลำบากกว่านี้เราสองคนยังผ่านมันมาแล้วเลย” แวววรียิ้ม
ท่านผ่านความยากลำบากมามาก ไม่สิ...เรียกว่าชีวิตนี้ มันไม่เคยง่ายเลยจะถูกกว่า
“แต่วาฬกลัวว่าแม่จะทำกับข้าวเหนื่อยนี่นา” หญิงสาวทำหน้ายุ่ง “ไหนจะต้องคอยยกหม้อหนักๆ
อีก”
“บอกแล้วไงว่าแม่ทำไหว”
วารวารีไม่อยากค้าน แต่ก็จริงอย่างที่แม่พูดมา
เพราะหลังจากที่เธอเรียนจบด้านการโรงแรม วารวารีกับแม่ก็ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานบ้านเกิดมาหางานในเมืองไกล
นั่นเพราะหลังจากพ่อเสียด้วยอุบัติเหตุ เธอก็ได้เงินประกันและค่าทำขวัญจากคู่กรณีของพ่อมาก้อนหนึ่ง
หญิงสาวกับแม่เลยคิดจะตั้งต้นชีวิตใหม่ ออกจากภูมิลำเนาเดิมมาอยู่ในแหล่งเศรษฐกิจที่ทำเงินได้ดี
การอยู่ใกล้ญาติพี่น้องทำให้ชีวิตวุ่นวายน่ารำคาญไปด้วยเรื่องสารพัดชวนปวดหัว
เธอต้องการอยู่อย่างสงบกับแม่แบบที่ไม่มีใครเข้าวุ่นวาย มีชีวิตเป็นของตัวเองอย่างที่ไม่มีใครคอยบงการจู้จี้
ซึ่งแม่เธอเองก็เห็นด้วย
สัปดาห์แรกของการย้ายข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดนั้น เธอกับแม่ตัดสินใจนอนโรงแรมที่มีค่าเช่าราคาถูก
ก่อนจะตระเวนหาบ้านเช่าจนเจอบ้านที่เธอกับแม่ถูกใจ และย้ายเข้ามาอยู่ จากนั้นก็หาที่ขายของ
จนทุกอย่างเริ่มลงตัวตามที่ใจหวัง
“จะว่าไปแล้ว นี่ก็ครบกำหนดที่วาฬตกลงกับป้ากาบแก้ว วาฬไปจ่ายค่าเช่าก่อนนะแม่”
หญิงสาวนึกขึ้นได้เมื่อสายตาปลายมองยังโทรศัพท์ที่แสดงหน้าจอเป็นวันที่
ซึ่งนี่เกือบสิ้นเดือน เธอยังไม่ได้จ่ายทั้งค่ามัดจำและค่าเช่าเลยสักบาท นั่นเพราะเหตุผลบางอย่างที่ตกลงกับเจ้าของบ้านเอาไว้
“ไม่อยากติดนาน เดี๋ยวป้ากาบแก้วจะว่าเอา”
หญิงสาวลุกไปหยิบกระเป๋าสตางค์ ล้วงเอาเงินออกมาหนึ่งหมื่นบาท
ซึ่งเป็นค่าเช้าบ้านและค่ามัดจำที่ตนเองเตรียมเอาไว้ พอนับเงินเรียบร้อยดีแล้ว
หญิงสาวก็หันไปยิ้มให้กับอากาศ ตรงที่โซฟาไม้ตัวยาวตั้งเด่นในบ้าน
นั่นเพราะเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
แต่คงมีเธอที่เห็นว่ามีผู้ชายและหญิงสาวกำลังนั่งเคียงข้างกันอยู่ โดยที่บนตักของหญิงสาวนัยน์ตาเศร้าโศกไปด้วยความทุกข์ระทมนั้น
มีเด็กน้อยวัยเกือบสามขวบนั่งด้วย
“ถ้าพี่สาวฉันงกมากล่ะก็...บอกไปเลยว่าฉันจะไปเข้าฝันทุกคืนๆ”
เสียงที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากวารวารีพูดขึ้น ทำเอาหญิงสาวยิ้มขำ แต่มันก็ดันกลายเป็นภาพที่แวววรีผู้เป็นแม่ชินตาไปแล้ว
เพราะท่านรู้ตั้งแต่วารวารียังเด็ก ว่าลูกของตนนั้นมีสัมผัสพิเศษ
สื่อสารกับบางสิ่งบางอย่างได้
“ได้เหรอคะ ป้ากาบแกจะดุเอาน่ะสิ”
“ไม่หรอกน่า ฉันรู้จักพี่สาวฉันดีกว่าใคร ต่อให้ปากเก่งและใจร้ายมาก
แต่เรื่องผีพี่ฉันกลัวสุดใจเลยล่ะ เรื่องนี้พี่กาบเชื่อมากด้วย”
วารวารีพยักหน้ารับ ก่อนที่วิญญาณของชายหนุ่มจะพูดฝากฝังต่อ ถึงจะตายไปแล้ว...แต่ก็ยังไม่หมดห่วงที่ถูกผูกรั้งเอาไว้
“แล้วฝากบอกด้วยว่าให้เลิกคบกับไอเด็กเวรนั่นซะ ระวังมันจะมาหลอกเอาเงินไป
มันไม่ใช่คนดี”
คำพูดของวิญญาณที่ยังคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ พี่สาว
แม้อีกฝ่ายจะเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายยกครัวนั้น ทำให้วารวารีถึงกับขมวดคิ้ว
“ที่พี่โก๋พูดถึงนี่คือใครเหรอจ๊ะ?”
“เด็กที่พี่สาวฉันหลงจนหัวโงหัวไม่ขึ้นน่ะ เดี๋ยวหนูจะได้เห็นเอง”
......................
วารวารีรับคำสั่งของวิญญาณเจ้าของบ้าน เขาชื่อ ‘โก๋’ ยิงตัวตายเพราะชีวิตไม่สมหวังดั่งใจคิด เธอรู้ว่าหลังจากที่บ้านพี่โก๋เสียพ่อไปซึ่งเป็นหลักยึดคนสุดท้ายในชีวิต พี่โก๋กับป้ากาบแก้วก็ทะเลาะกันหนักมากเรื่องแบ่งที่ดิน ป้ากาบแก้วอ้างว่าพ่อรักตัวเองมากกว่า และบอกเรื่องยกตลาดในเมืองให้ดูแล ซึ่งมรดกที่มีทางบุพากรีไม่ได้เขียนแบ่งยกให้เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ทรัพย์สินแบ่งไม่ลงตัว
ที่แย่ไปกว่านั้น พี่โก๋ยังชอบพอกับลูกสาวของลูกหนี้พี่ตัวเอง ป้ากาบแก้วไม่ยอมรับ ‘นิภา’ ขณะที่ครอบครัวฝ่ายหญิงนั้น บีบคั้นให้นิภากล่อมกาบแก้วให้ยกหนี้ที่ติดอยู่เกือบสองแสนให้
มิหนำซ้ำยังเร่งรัดให้โก๋มาสู่ขอลูกสาวอย่างเป็นทางการ ด้วยการเรียกสินสอดทองหมั้นเป็นเงิน 5 แสนบาท กับทองอีก 2 บาท
โก๋ที่เรียนจบแค่ระดับมัธยมต้น ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่งนอกจากดูแลตลาดของพ่อแม่และเก็บเงินค่าเช่าแบ่งกับพี่สาวอย่างเท่าเทียม
กับนิภาเด็กสาวที่เรียนไม่จบมัธยมปลายกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ไปทั่วเมือง ว่าทั้งสองคนคบหาและได้เสียกันแล้ว
โดยที่คนป่าวประกาศเรื่องนี้จนนิภาไม่กล้าไปโรงเรียนอีก ก็เป็นพ่อแม่ที่อยากได้เงินของบ้านกาบแก้วนักหนา
จนถึงขั้นขู่เอาตำรวจมาอ้างว่าจะแจ้งความจับโก๋เข้าซังเต ในข้อหาพรากผู้เยาว์
หากไม่อยากให้เอาเรื่องก็ต้องเอาสินสอดมากองตรงหน้า
แต่นิภากับโก๋รักกันด้วยใจจริง
พอนิภาขอร้องอ้อนวอนพ่อแม่หนักเข้าถึงขั้นกราบกรานด้วยน้ำตาอาบหน้า
เธอก็ถูกพ่อแม่ไล่ให้มาอยู่กับโก๋
ทว่าพอฝ่ายหญิงหอบเสื้อผ้ามาอยู่ด้วย ยอมตัดขาดกับครอบครัวตัวเอง
กาบแก้วที่เกลียดครอบครัวนิภาเป็นทุนเดิมก็ไล่น้องชายออกจากบ้าน
ให้ไปอยู่บ้านท้ายซอยกันสองคน โดยที่ประกาศไม่ให้เงินน้องอีก รวมถึงรายได้ที่เคยแบ่งกัน
เพราะเชื่อว่าน้องรักและหลงนิภาจนโงหัวไม่ขึ้น และเธอจะไม่ยอมให้นิภาได้อะไรไปเลย
โก่ออกมาตั้งตัวโดยการขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างเลี้ยงชีพ
ขณะที่นิภาก็รับจ้างเย็บผ้าเพราะพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่รายได้ที่หามาได้ไม่พอใช้จ่ายให้พ้นแต่ละเดือน
ไหนจะปัญหาครอบครัวที่ไม่ลงรอยกัน และยังมีปัญหาเรื่องเงินเข้ามาสั่นคลอนอีก
ทำให้ชีวิตทั้งคู่เริ่มอับจนหนทาง ความเครียดที่สะสม และความกดดันที่ถาโถม
ชาวบ้านนินทาทุกครั้งที่ออกไปนอกบ้าน
ทำให้โก๋ทนไม่ไหวเลือกจบชีวิตที่บ้านด้วยการยิงตัวเองตาย
ทว่าพอนิภากลับมาเห็นเข้าเธอเสียใจมาก ตอนนั้นเธอตั้งท้องอ่อนๆ โดยที่ยังไม่ได้บอกสามี
แต่เพราะความช้ำใจที่มีมากกว่า...ทำให้หญิงสาวเลือกจบชีวิตตัวเองด้วยการผูกคอตายตาม
บ้านที่ร้างมาเกือบ 4 ปี พร้อมเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องความเฮี้ยนของคนที่จากไป ทำให้วารวารีสนใจขึ้นมา
ใช่! หญิงสาวตั้งใจหาบ้านที่มีประวัติเพื่อจะได้ค่าเช่าราคาถูก จนกระทั่งเธอกับแม่มาเจอบ้านหลังนี้เข้า
ความคิดเห็น