คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เสน่หาไร้ปราณี - Chapter 02 - ว่าที่เจ้านาย & วายร้ายที่เพิ่งเจอ 100 %
Chapter 2
ว่าที่เจ้านาย & วายร้ายที่เพิ่งเจอ
“ริเอะล้มใส่ก้อนหิน”
เด็กหญิงบอกเสียงสั่นเครือเมื่อเห็นเลือดสีแดงไหล “ก้อนหินบนพื้นอันเล็ก”
ก่อนจะชี้ไปยังจุดเกิดเหตุ
โอคาตะเห็นแล้วก็ถอนหายใจ
ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีครีมปักลายดอกไม้ ที่เฉิง ซูมี่น้องสาวคนเล็กมักชอบพับใส่กระเป๋าให้ทุกวันออกมา
เขาใช้ผ้าผืนนั้นซับน้ำตาให้เด็กหญิงตัวน้อยที่ท่าทางสลดลง ใช้มือปัดเศษดินที่ติดตามขาแข้งออกให้
จากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมพันเอาไว้ที่มือเพื่อห้ามเลือด
“พันไว้ก่อนแล้วกันนะ”
ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง “เดี๋ยวพี่เดินไปซื้อที่ปิดแผลให้”
“ไปด้วย”
ริเอะจังผุดลุกตาม ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายไว้ “ขอไปด้วยนะคะ”
โอคาตะซังพยักหน้ายอมตามใจเด็กตัวน้อย
เพราะเห็นว่าร้านขายของอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะ ก็เลยพาริเอะไปด้วย
“ผมขอซื้อพลาสเตอร์ชิ้นนึงครับ
แล้วก็น้ำเปล่าขวดนึง” พอทั้งคู่ไปถึงร้านขายของ
โอคาตะก็บอกกับเจ้าของร้านว่าตัวเองต้องการอะไรบ้าง
แต่ในตอนที่หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นไปหยิบของให้เขา เธอก็เอ่ยทักทายกับริเอะจังด้วยความสนิทสนม
“อ้าว
ริเอะจัง วันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ”
“ไม่ค่ะ”
เด็กหญิงสาวตัวน้อยตอบด้วยรอยยิ้มสดใส “ริเอะคิดถึงย่า อยากอยู่กับย่า
เลยให้แม่พามา”
“แล้วนี่ริเอะจังเป็นแผลเหรอ
ไปโดนอะไรมาล่ะฮึ” เจ้าของร้านขายของมองไปยังมือเด็กน้อยที่มีผ้าเช็ดหน้าพันเอาไว้
“โดนเพื่อนแกล้ง”
ริเอะจังหน้าตูม “แต่ว่าพี่คนนี้ช่วยไว้”
“ผมไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ
แค่เห็นว่าริเอะโดนผลักตกจากสไลเดอร์” โอคาตะออกตัว
“จ้าๆ งั้นเดี๋ยวป้าหยิบผ้าปิดแผลให้นะ”
“เอาพลาสเตอร์สองอันนะคะ เอาสีฟ้ากับสีเหลืองสวยๆ” เด็กน้อยบอกป้าเจ้าของร้านเสียงสดใส
“เอาชิ้นเดียวก็พอแล้ว” โอคาตะซังหันไปดุ แต่ริเอะไม่สนใจเลย อีกทั้งยังเถียงกลับอีกต่างหาก
“แต่มันเป็นลายการ์ตูนนี่นา
ริเอะอยากได้”
“แล้วจะเอาอะไรอีกมั้ย”
พอถูกถามคนตัวเล็กก็ส่ายหน้าหวือ
“ไม่เอา
ไม่มีเงิน คุณย่าไม่ได้ให้เงินไว้”
พอเห็นสีหน้าแสนหงอยของคนตัวเล็ก
โอคาตะซังก็ยิ้มออกมาเกือบขำด้วยซ้ำ ดูท่าพอโตขึ้นแล้ว ริเอะจะทั้งช่างพูด
ทั้งเจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังมีลูกล่อลูกชนดีอีกต่างหาก
“อยากได้อะไรก็หยิบเถอะ
เดี๋ยวพี่จ่ายให้”
“จริงนะ”
คนตัวน้อยสายตาเป็นประกาย แล้วพอโอคาตะซังพยักหน้ายืนยันว่าตนจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงขนม
ริเอะจังก็วิ่งหายเข้าไปในร้านขายของแบบลืมเจ็บ ลืมโกรธ หยิบทั้งลูกอมและไอติมสองไม้สองมือ
หลังจากได้ทั้งขนมและที่ปิดแผลแล้ว
โอคาตะก็พาเด็กน้อยเดินกลับมายังที่เดิม คราวนี้เขาจูงริเอะจังไปนั่งใต้ต้นซากุระ
“แกะให้หน่อยสิ”
พอก้นหย่อนถึงเก้าอี้ปุ๊บ ริเอะก็ยื่นถุงไอติมให้โอคาตะทันที “มือเจ็บ
แกะไม่ได้หรอก”
ความแก่นของริเอะจังทำเอาโอคาตะออกปากปฏิเสธเธอไม่ออก
เขาแกะถุงไอติมให้ปุ๊บ เด็กน้อยก็คว้าไปปั๊บ
“ขอบคุณค่ะ”
“ยื่นมือมาสิ
ข้างที่เป็นแผลน่ะ” โอคาตะบอกเสียงเรียบ แต่เด็กน้อยก็ยื่นมือส่งให้โดยดี
พลางมองโอคาตะที่แกะผ้าเช็ดหน้าออก เปิดขวดน้ำเปล่าแล้วเทใส่มือเธอล้างคราบเลือดออกให้เบาๆ
“ทำแผลเหรอ
ติดพลาสเตอร์อย่างเดียวไม่ได้เหรอ ทำไมต้องล้างมือด้วยล่ะ” เด็กช่างพูดซักถามอย่างสนใจ
“ก็ต้องล้างมือก่อนสิ
เมื่อกี้เล่นมาไม่ใช่หรือไง” โอคาตะซังอธิบายอย่างใจเย็น “มือเปื้อนทั้งดิน โดนทั้งก้อนหิน
ไหนจะมีคราบเลือดติดเต็มไปหมด ต้องล้างให้สะอาด เดี๋ยวเชื้อโรคเกาะมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“เบาๆ
นะริเอะกลัวเจ็บ”
โอคาตะไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรอีก
เขาปล่อยให้ริเอะกินไอติมจนกระทั่งตนลงมือติดพลาสเตอร์บนมือเด็กน้อย
“เรียบร้อยแล้ว”
ริเอะจังมองมือตัวเองที่
ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายตาปริบๆ
“แล้วตัวเองไม่ติดเหรอ?”
“ก็ไม่ได้เป็นแผลนี่
จะติดทำไม”
“ตรงนั้นไง”
ริเอะชี้ไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ส่วนเหนือดวงตา “ตรงนั้นเป็นแผล ก็ต้องทำแผลเหมือนกัน”
โอคาตะซังลูบไปที่เหนือคิ้วด้านซ้าย
เขาบาดเจ็บจากการเรียนต่อสู้ ตอนนั้นมัวแต่ใจลอยไปหน่อย ก็เลยไม่ทันระวังตัวจนได้แผลต้องเย็บไปสองเข็ม
“มันหายแล้ว”
“ติดเถอะ ยังเหลืออีกอันนี่นา” ริเอะจังบอกพร้อมกับแกะพลาสเตอร์ในมือออก เธอติดอันสีฟ้าไปแล้ว ก็เหลือแต่อันสีเหลือง ไม่แค่นั้น...เด็กน้อยยังยืนบนเก้าอี้ด้วยท่าทางคล่องแคล่วไม่กลัวตก ก่อนจะติดพลาสเตอร์ให้อีกฝ่ายเบาๆ แล้วเป่าให้ด้วย “ริเอะจังซื้อมาสองอันเพราะพี่ก็เป็นแผลเหมือนริเอะไง”
โอคาตะซังอึ้งกับความคิดของเธอ ที่ริเอะร้องจะเอาพลาสเตอร์สองอันเพราะเหตุนี้เองเหรอ นี่เขาเข้าใจว่าเธออยากได้เพราะมันเป็นลายการ์ตูนสีสันสดใสเสียอีก
ให้ตายเถอะ!
ริเอะจังน่ารักมาก เด็ก 10
ขวบจะน่ารักขนาดนี้ได้ยังไง
โอคาตะซังคิดอยู่ในใจ
ขณะมองใบหน้าใสที่ใกล้กับหน้าเขาเพียงแค่คืบ ถึงเด็กน้อยจะเจ้าเล่ห์หลอกให้เขาซื้อพลาสเตอร์ติดแผลมาสองอัน
แต่ที่จริงแล้วริเอะจังเป็นเด็กที่ใส่ใจคนรอบข้าง เพราะเธอเห็นเขามีรอยแผลเป็นที่คิ้วหรอกเหรอ..ถึงได้จงใจซื้อมาเผื่อ
“ขอบใจนะ”
โอคาตะบอกเมื่อเด็กน้อยติดพลาสเตอร์ให้เสร็จแล้ว
แต่ในตอนนั้นเองเสียงเรียกที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
“โอคาตะ”
คุณพ่อคามินโบกมือให้เขาอยู่ริมฟุตบาท
ท่านยืนข้างรถ มองมายังเขากับริเอะในขณะที่โบกมือให้
คามินมารับถึงนี่แสดงว่าธุระของท่านเสร็จเร็วกว่าที่คิดเอาไว้
“พี่ต้องไปแล้ว
เดี๋ยวจะพาเราไปส่งที่ร้านหนังสือก่อน เราก็รอคุณย่าที่นั่นนะ อย่าไปไหน” โอคาตะซังบอก
ขณะที่ริเอะทำแก้มป่องดูไม่พอใจสักเท่าไหร่
“ทำไมกลับเร็วจังล่ะ
น่าจะอยู่เล่นเป็นเพื่อนริเอะก่อน”
“พี่มีเรื่องให้ทำหลายอย่างเลย”
เด็กหนุ่มพยายามอธิบาย ก่อนจะจับมือคนตัวเล็กให้ก้าวลงจากเก้าอี้ม้านั่ง “ไปกันเถอะ”
แต่เด็กน้อยไม่ยอมลง
เธอยืนหน้าง้ำอยู่อย่างนั้น โอคาตะถึงกับถอนใจในความดื้อดึงของริเอะ เพราะดูท่าแล้วเธอคงถูกเลี้ยงดูมาโดยมีผู้ใหญ่คอยให้ท้ายตลอด
ถึงได้เอาแต่ใจตัวเองน่าดู
ทว่าก่อนที่โอคาตะซังจะลำบากใจไปมากกว่านี้
เสียงของโยเนะที่เพิ่งข้ามฝั่งกลับมาหาหลานสาวก็ดังขึ้น
“ริเอะ
ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“คุณย่า..”
ริเอะจังหันไปยิ้มให้ย่าด้วยความดีใจ พลางกระโดดโลดเต้น ก่อนจะหันมาบอกโอคาตะ “คุณย่าของริเอะก็มาแล้วเหมือนกัน”
“งั้นเราไปหาหาคุณย่ากันเถอะ”
ขณะที่โอคาตะกำลังฉุดมืออีกฝ่ายให้เดินตามมา
ริเอะจังก็รั้งไว้
“เดี๋ยวสิ
เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไร?”
โอคาตะมองคนตัวเล็ก
ซึ่งริเอะจังกวักมือเรียกเขาให้โน้มตัวลงมาหาตัวเอง ทำท่าทางราวกับมีเรื่องจะบอก
กระทั่งคนตัวสูงเอียงหูเพื่อรอฟัง อีกฝ่ายก็พูดจาด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
เอามือป้องระหว่างปากกับใบหูของเขา
“เอาไว้มาเจอกันอีกนะ”
“ได้สิ”
โอคาตะมองหน้าแล้วรับปาก แต่ก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูงนั้น ก็ดันถูกเด็กน้อยจอมแก่นขโมยจูบแรกไปด้วยความรวดเร็ว
จุ๊บ~
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากท่ามกลางสายตาของคามินและโยเนะที่กำลังจับจ้องมายังเขากับริเอะจัง
โอคาตะเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนเด็กน้อยที่ขโมยจูบบนเรียวปากเด็กหนุ่มกลับยิ้มด้วยท่าทางเริงร่า
แล้ววิ่งจู๊ดไปหาย่าตัวเองหน้าตาเฉย
โอคาตะซังยืนอึ้งไปหลายวินาที
จนเสียงดุหลานของโยเนะดังขึ้นทำให้เขามีสติกลับคืนมา
“ริเอะจัง! เรานี่นะ...เราเป็นเด็กผู้หญิงนะริเอะ”
“เด็กผู้หญิงแล้วยังไงคะคุณย่า ริเอะชอบเขา โตขึ้นริเอะจะแต่งงานกับพี่เขา”
เสียงคุณย่าหัวโบราณกับเด็กน้อยหัวสมัยใหม่ไวไฟเถียงกันดังระงมไปทั่วบริเวณนั้น โดยมีเสียงหัวเราะชอบใจของคามินดังแทรกขึ้นปะปนอยู่ด้วย ขณะที่โอคาตะยืนเอ๋อเหมือนไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวรอบข้าง ใบหน้าขาวผ่องของเด็กหนุ่มแดงซ่านเป็นลูกมะเขือเทศ
เขาไม่รู้ว่าจะอึ้งกับอะไรดีระหว่างการที่โดนริเอะขโมยจูบแรกไป กับเรื่องที่ริเอะหมายหัวเขาเป็นเจ้าบ่าวของเธอในอนาคตไปแล้ว
เห้อ...
โอคาตะซังถอนหายใจ
ขณะเดินหน้าแดงก่ำไปหาพ่อบุญธรรมตัวเอง
ริเอะนี่แสบสุดในรุ่นแน่นอน
....................
ความทรงจำของริเอะนั้นคงไม่มีโอคาตะซังในความทรงจำอีกแล้ว
เธอลืมเขาไปจากใจเสียสนิท นั่นเพราะเวลานี้หญิงสาวเอาแต่คิดหาตัวคนร้ายที่คุกคามเธออย่างอุกอาจ
ชั้นนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ขึ้นมาได้
จะต้องมีบัตรผ่าน ต้องโดนตรวจสอบหลายขั้นตอน แถมผู้ชายคนนั้นยังทำใจเย็น
ทุกอย่างดูเหมือนพวกโจรมืออาชีพไม่มีผิด
แสดงว่าคนร้ายจะต้องเป็นคนในบริษัทอย่างแน่นอน
“ขอโทษนะคะ
เมื่อกี้เห็นใครเดินมาทางนี้บ้างหรือเปล่า” ริเอะจังเดินเข้าไปถามพนักงานต้อนรับคนเดิม
ก่อนจะชี้ไปยังห้องน้ำหญิง ในเมื่อเคาน์เตอร์ตั้งอยู่กลางชั้นและมองเห็นได้รอบทิศ
คนที่อยู่ตรงนี้จะต้องรู้ว่าใครผ่านไปผ่านมาบ้าง
“ไม่มีนะคะ”
พนักงานตอบด้วยรอยยิ้มรับแขก “ไม่ทราบว่ามีอะไรสงสัยหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ..เปล่าค่ะ”
ถึงจะหัวเสีย แต่ถ้าอีกฝ่ายยืนยันมาแบบนี้ เธอก็ทำอะไรไม่ได้
ริเอะคิดว่าเอาไว้เธอสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อไหร่
ค่อยติดต่อขอดูกล้องวงจรปิดอีกที แล้วถ้าเธอได้งานขึ้นมา...เรื่องที่จับคนร้ายมันคงจะง่ายขึ้นมาก
อย่างน้อยคนเป็นเจ้านายก็ต้องปกป้องสิทธิของลูกน้องตัวเอง
หญิงสาวเดินกลับเข้าไปนั่งรอที่เดิม เธอไม่ได้คิดเรื่องเตรียมตัวสัมภาษณ์งานอีก เพียงแต่คิดว่าโชคดีที่เธอไม่เสียหายไปมากกว่านี้ โชคดีที่ยังรอดมาได้โดยไม่มีส่วนไหนสึกหรอ แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ผุดวาบเข้ามาคือความทรงจำตอนโดนพ่อเลี้ยงไดจิพยายามขืนใจ เธอขยะแขยงอีกฝ่ายแทบอ้วก
ทำไมเธอจะต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ ในวันที่ทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยด้วย
ทว่านั่งรออยู่ราว 5 นาที พนักงานต้อนรับคนเดิมก็เดินมาเคาะห้องประชุมที่ริเอะจังนั่งรออยู่ ก่อนจะเข้าแจ้งว่า ‘บอส’ พร้อมให้เธอเข้าสัมภาษณ์แล้ว
“เชิญคุณริเอะ
อายูคาวะ ค่ะ..บอสพร้อมให้คุณเข้าสัมภาษณ์แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
ก่อนจะลอบเป่าลมหายใจออกทางปากเพื่อระงับอาการประหม่า จนลืมสังเกตรอบตัวไปเลยว่านอกจากเธอที่นั่งรอสัมภาษณ์งานรอบสุดท้ายแล้ว
ก็ไม่มีผู้สมัครคนอื่นอยู่ในบริเวณนั้นเลย
ริเอะยืนอยู่หน้าห้องทำงาน
รวบรวมสติและความกล้าก่อนจะเคาะประตูบอกคนข้างในตามมารยาท พอหญิงสาวเปิดประตูเข้าไป...สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือบรรยากาศในห้องทำงานของว่าที่เจ้านายเธอเย็นเฉียบจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบไปหมด
ริเอะมองไปยังโต๊ะทำงาน
เก้าอี้ของบอสถูกหันหน้าไปยังวิวเมือง พนักเก้าอี้บังร่างสูงเอาไว้มิด
เห็นเพียงแขนยาวๆ ที่ยื่นออกมาตรงที่เท้าแขน
ทว่าขณะที่มองคนหลังเก้าอี้เป็นเงาดำมืดด้วยแสงแดดที่ย้อนเข้ามานัยน์ตานั้น
สิ่งที่ริเอะแปลกใจคือเดน นาโอกะดูล่ำกว่าในรูปมาก
รูปร่างก็สูงใหญ่ผิดไปจากความเข้าใจ นั่นเพราะเดนที่เธอเคยเห็นผ่านสื่อโทรทัศน์และนิตยสารธุรกิจนั้น
ไม่ได้กำยำอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้ เขามีผิวพรรณขาวผ่องเพราะเป็นลูกครึ่งเกาหลี-ญี่ปุ่น
แต่คนที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้กลับกลายเป็นชายผิวแทน มาดแมนเกินร้อย
เขาไม่ใช่เดน
นาโอกะ..แน่ๆ ริเอะมั่นใจ
“เอ่อ..ขอโทษนะคะ
ท่านประธาน คือฉัน...” หญิงสาวส่งเสียงทักทายหยั่งเชิงอีกฝ่ายไปก่อน เพื่อให้คนที่นั่งชมวิวจิบกาแฟอย่างสบายใจนั้นได้รับรู้ว่าเธอเข้ามาในห้องแล้ว
แต่ถึงเขาจะไม่ใช่เดน ก็คงเป็นใครสักคนที่ประธานอย่างเดนไว้ใจมาก ถึงได้ให้มาทำหน้าที่แทนตัวเอง
“มีอะไรก็ว่ามาสิ”
ผู้ชายคนนั้นบอกเสียงห้าวทุ้ม แล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับมาหา
แต่ทันทีที่เก้าอี้หมุนกลับมา
จนทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากัน ริเอะจังก็ถึงกับอ้าปากค้าง เพราะคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานฯ
บัดนี้คือผู้ชายคนเดียวกันกับคนที่จู่โจมฉวยโอกาสจูบเธออย่างดุเดือดในห้องน้ำ
เขามานั่งตำแหน่งประธานฯ
ได้ยังไง?
“นี่
คุณ!” หญิงสาวเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เธอปากคอสั่นด้วยความคิดไม่ถึงและความกลัวที่แล่นจับหัวใจ
มือข้างหนึ่งชี้หน้าอีกฝ่าย ขณะที่ผู้ชายคนนั้นยิ้มใจเย็น พร้อมกับวางแก้วกาแฟในมือลง
ท่าทีสง่างามดูไม่เหมือนโจรเลยสักนิด
“บอกแล้วไง
ว่าเราจะได้เจอกันอีก” โอคาตะถอนหายใจกับท่าทางหวาดกลัวเขาราวกับลูกแมว พลางมองไปยังริเอะแล้วผายมือเชื้อเชิญให้เธอนั่งตรงหน้า
แต่นอกจากริเอะจะไม่ยอมทำตามคำสั่งแล้ว หญิงสาวยังทำหน้าราวกับเห็นผีอีกต่างหาก
“นี่คุณเป็น..”
“ผมเป็นประธานบริษัท!” โอคาตะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวืออย่างไม่เชื่อ
ก่อนจะตวาดใส่หน้าเสียงสั่น
“นายไม่ใช่ประธาน
นายมันไอโรคจิต!” ริเอะกระชับแฟ้มในมือตัวเองแน่น คราวนี้ถ้าเขาคิดจะทำอะไรอุกอาจกับเธออีกล่ะก็
เธอจะสู้จนตัวตายอย่างแน่นอน “คุณเดนต่างหาก คุณเดนเป็นประธานของที่นี่”
“หึ!“ คนนั่งเก้าอี้หัวเราะแห้งในลำคอ “เดนได้เลขาฯ ใหม่แล้ว คุณสอบเข้าเป็นเลขาฯ
ของผมต่างหากล่ะ แล้วผมก็รับคุณคนเดียว”
คำพูดของผู้ชายตรงหน้า ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งยาก พลางคิดว่าหากไม่ใช่เดน นาโอกะ แสดงว่าเขาก็ต้องเป็นคนใหญ่โตที่ไม่มีใครคัดค้านหรือกล้าขัดคำสั่งได้แน่ เพราะถ้าหากเขาเป็นโจรไก่กา ชั้นนี้ทั้งชั้นคงได้วุ่นวายไปแล้ว
ริเอะจังเดินออกมานอกห้องทำงาน ก่อนจะเดินมาถามฝ่ายต้อนรับเพื่อย้ำความแน่ใจของตัวเอง
“ขอโทษนะคะ คุณไม่ได้ส่งฉันเข้าห้องผิดใช่มั้ย คือว่า..ฉันมาสอบสัมภาษณ์เป็นเลขาฯ คุณเดน แต่ในห้องนี่..”
พนักงานต้อนรับทำหน้ามึนงงนิดหน่อย
ก่อนจะค้นหาข้อมูลดูตารางงานที่เธอบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด
“ไม่ใช่นะคะ
คุณเดนได้เลขาฯ ใหม่แล้ว เราสอบสัมภาษณ์กันไปเมื่อต้นอาทิตย์ก่อน
ส่วนรายชื่อคุณริเอะคือสอบสัมภาษณ์รอบสุดท้ายกับคุณโอคาตะ บอสใหญ่ของที่นี่”
พนักงานต้อนรับยืนยัน แต่ริเอะกับสะดุดกับคำว่า...
‘บอสใหญ่?’
ไม่จริงอ่ะ
ผู้ชายโรคจิตคนนั้นต้องไม่ใช่เจ้านายที่ทุกคนเคารพนับถือแน่ หญิงสาวเถียงกับตัวเอง
ก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องทำงานของโอคาตะ
“ไม่มีวัน!” ทันทีที่หญิงสาวกลับเข้ามา ริเอะจังก็ประกาศจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนทันที
“ฉันไม่มีวันเป็นเลขาฯ เจ้านายโรคจิตอย่างคุณหรอก”
“แต่..ผมรับคุณเข้าทำงานแล้วนะ”
โอคาตะไหวไหล่ “แค่เรียกมาแจ้งให้ทราบ และรับรู้รายละเอียดของการทำงาน ถ้าคุณเริ่มงานได้พรุ่งนี้เลยยิ่งดี”
“บอกว่าไม่ทำไงเล่า!”
การสวนกลับในทันทีพร้อมกับหน้าตาที่บูดบึ้งทำให้โอคาตะอยากจะยิ้มออกมา
ริเอะจังยังเป็นเด็กสาวที่แสบซ่ากล้าแสดงออกความรู้สึกของตัวเองเหมือนกับตอนเธอยังเด็กไม่มีผิด
คิด หรือรู้สึกยังไงก็พูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
“แล้วคิดว่าที่อื่นจะรับคุณเข้าทำงานหรือไง”
โอคาตะทำหน้าจริงจัง พูดด้วยเสียงเข้มๆ เพราะถ้าไม่ได้ริเอะจังมาเป็นเลขาฯ
อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เขาก็คงต้องทำตัวเจ้าเล่ห์บีบบังคับเธอนิดหน่อย
“นายหมายความว่าไง?”
“ผมหมายความว่า...ถ้าคุณไม่ตอบตกลงทำงานที่นี่ นับตั้งแต่คุณก้าวออกจากห้องนี้ไป ก็จะไม่มีที่ไหนรับคุณเข้าทำงานอีกเลย..ริเอะ”
คำพูดของโอคาตะซังเป็นเพียงคำพูดเรียบๆ แต่สีหน้าไร้แววหยอกล้อ แววตาไร้รอยยิ้มจากใจ จนคนฟังรู้สึกเหมือนกำลังฟังคำตัดสินจากศาลก็ไม่ปาน
“คุณไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้นกับชีวิตของฉันหรอก”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ริเอะจังกลับรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องทำอะไร ‘บางอย่าง’ เหมือนที่กำลังขู่เอาไว้แน่
ในเมื่อเขากล้าอุกอาจคุกคามเธออย่างถึงเนื้อถึงตัว
เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะหาทางกลั่นแกล้งเธอไม่ได้
ริเอะทำเหมือนไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
หญิงสาวหมุนตัวกำลังจะเดินออกจากห้องทำงานที่รายล้อมไปด้วยบรรยากาศอันแสนอึมครึม
แต่ทันทีที่เธอกำลังจะเอื้อมมือจับประตูเปิดออก
คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารก็เอ่ยคำพูดหนึ่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“Black
List!” คำพูดของชายหนุ่มทำให้ริเอะหันกลับไปมองเขาทันทีด้วยแววตาตกใจ
“ฉันจะลงชื่อเธอใส่ในบัญชีดำของบริษัท คนที่มีประวัติไม่ดี บริษัทไหนก็ไม่รับเข้าทำงานทั้งนั้นแหละ”
“นี่คุณจะยัดข้อหาให้ฉันเหรอ?”
หญิงสาวตกใจถึงกับถามกลับปากคอสั่น แขนขาเสมือนว่าไร้เรี่ยวแรงไปในวินาทีนั้น
“ช่อโกง”
คำพูดอย่างไม่เดือดร้อนของโอคาตะกลับทำให้ริเอะอารมณ์เดือดปุดๆ “ข้อหานี้ร้ายแรงพอที่จะทำให้เธอตกงานไปตลอดกาลมั้ยนะ”
หญิงสาวรู้ว่าหากรายชื่อเธอขึ้นเป็นบัญชีดำของบริษัทชั้นนำระดับประเทศแล้วล่ะก็
มันก็ยากแล้วที่เธอจะได้งานดีๆ ทำในบริษัทอื่น แม้ว่าตนเองจะไม่มีความผิดใดๆ เลยก็ตาม
แต่ใครกันจะเชื่อคำพูดลอยๆ ในเมื่อเขากำลังจงใจจะยัดข้อหาให้เธอดูเป็นบุคคลอันตราย
“สารเลว!” เธอกำหมัดแน่น ได้แต่ด่าทออีกฝายด้วยน้ำเสียงรอดไรฟันอย่างคนเจ็บช้ำน้ำใจ
“ไม่ตกลงทำงานกับฉันก็ตามใจ” ท่าทีเย็นชาอย่างคนอำมหิตเปลี่ยนไป เหมือนกับว่าคุยเรื่องดินฟ้าอากาศประจำวัน ทั้งที่ริเอะยังโกรธเขาจนหน้ามืด ขณะที่โอคาตะไหวไหล่สบายๆ ราวกับว่าหากเธอๆ ไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ “แล้วอย่าคิดว่าคนอย่างฉันจะไม่กล้าทำอย่างที่พูดล่ะ”
“ฉันไม่จับคุณเข้าคุกก็บุญแค่ไหนแล้ว” ริเอะสวนกลับอย่างเหลืออด เธออุตส่าห์ใจเย็นคุยกับเขาดีๆ แต่นี่อะไร...อยู่เฉยๆ ก็กลายเป็นคนผิดไปเสียได้ ชีวิตเธอลำบากอยู่แล้ว ความตั้งใจพกมาล่มสลายไม่เหลือชิ้นดี เจอแบบนี้มันเวรกรรมที่ทำมาตั้งแต่ชาติปางไหนกัน
“ข้อหาอไรมิทราบ”
โอคาตะถามกลับ ไม่มีวี่แววสำนึกผิดเลยสักนิดเดียว
“คุกคามทางเพศไงล่ะ”
“หลักฐานล่ะ?”
โอคาตะทวงถาม ทั้งที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจว่าริเอะไม่มีทางจับเขาเข้าคุกได้อย่างที่ขู่แน่
ทว่าถึงจับได้อำนาจในมือของเขาก็มีมากพอที่ตำรวจจะเกรงใจ
คิดไปแล้วกน่าขันอยู่เหมือนกัน หากแม่เขาไม่เสียเพราะโรคร้าย...ชีวิตของเขาก็คงไม่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
เขาอาจจะยังเป็นนายโอคาตะที่ดิ้นรนทำงานหาเช้ากินค่ำเหมือนกับริเอะและคนทั่วไปอยู่ก็ได้
“ถ้าเธอมีหลักฐาน
ฉันก็จะยอมเข้าคุกแต่โดยดีเลย”
ริเอะจังแค่นหัวเราะเพราะรู้ว่าตัวเองด้อยกว่าทุกอย่าง เธอไม่มีอำนาจ
ไม่มีเงิน ที่สำคัญเลยคือโอคาตะเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต มีคนนับหน้าถือตามากมาย
แค่คิดว่าจะเอาผิดอีกฝ่าย ริเอะก็รู้แล้วว่าเธอคงพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่ม
ให้ตายเถอะ! ฉันจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกแน่
ไอเจ้านายเฮงซวย!
หญิงสาวได้แต่กำหมัดแน่น เธอมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเกลียดชังระคนขยะแขยงราวกับมองสัตว์ร้าย
ก่อนจะออกจากห้องไป
แต่ก็เหมือนโอคาตะจะพอเดาความคิดของหญิงสาวได้ ถึงได้เอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจหนักหนาว่า
“ไม่เกินเดือนนึงหรอก
เธอจะต้องกลับมาหาฉันแน่นอน...ริเอะจัง”
.....................................
หลายวันผ่านมา
ริเอะจังเงียบหายราวกับว่าเธอไม่เคยมาสมัครงานที่บริษัทของ...นาโอกะ
กรุ๊ป มาก่อน ทว่าถึงอย่างนั้นโอคาตะก็ยังใจเย็นเพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคนที่มั่นอกมั่นใจว่าตัวเองไปรอดจะไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของเขา
วันนี้
3 พี่น้องรวมตัวกันที่คฤหาสน์หลังงามของครอบครัวนาโอกะ
ที่นี่นอกจากจะมีคามินพ่อบุญธรรมอาศัยอยู่แล้ว ก็มีเฉิง ซูมี่ ที่อยู่กับคามินตลอดเวลา
ความจริง
3 พี่น้องอยู่ด้วยกันที่นี่ตั้งแต่ถูกคามินและจินอุปการะเข้ามาใหม่ๆ แต่พอโตขึ้น ต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง
เดน...ที่ดูแลงานธนาคารเป็นส่วนใหญ่ มักจะพักอยู่ที่ตึกของนาโอกะ กรุ๊ป
ที่นั่นมีห้องพิเศษของเดนที่ทำขึ้นเสมือนบ้านหลังหนึ่ง เรียกว่าหากมีงานที่รัดตัวมาก
เดนก็สามารถกินนอนที่นั่นได้เป็นเดือนๆ จนตอนนี้ก็เป็นเหมือนบ้านหลังหลักที่เดนอาศัยอยู่ไปแล้ว
ส่วนโอคาตะเขาเองก็มีคอนโดหรูเอาไว้พัก
เพราะงานส่วนใหญ่ของโอคาตะเป็นงานตอนกลางคืน เขามีทั้งสถานบันเทิงไว้ในครอบครอง
และคาสิโน รวมถึงโรงแรมอีกหลายที่ เลยทำให้ต้องออกมาอยู่ข้างนอกเพราะสะดวกกว่า
คงมีแต่น้องสาวคนเล็กเท่านั้นที่คอยอยู่ดูแลคามินแทนพวกเขา
ทว่าถึงงานจะรัดตัวรัดคอมากแค่ไหน
แต่ตามกฎของบ้านแล้วจะต้องมีการรวมตัวกัน 1 ครั้งต่อเดือน
หาเวลามาอยู่พร้อมหน้ากันบ้าง เพราะมันจะได้ทำให้รู้ว่ายังมีกันและกัน
ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ กลิ่นอายของความโดดเดี่ยวอ้างว้างจะไม่หวนกลับมาในชีวิตอีก
แต่ทุกคนจะได้รับความสุขของการเป็นครอบครัวกลับไปแทน
“ได้ข่าวว่าสาวน้อยคนนั้นโกรธนายจัด จนไม่หันกลับมามองบริษัทเราอีกเลย” เดนหัวเราะชอบใจ ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันกระดกเข้าปาก “นายสอบสัมภาษณ์โหดไปหน่อยหรือเปล่า”
“โอคาตะซังทำอะไรเหรอเดนซัง” เฉิง ซูมี่เอ่ยถามด้วยความสนใจ ขณะจิ้มสเต็กเข้าปาก เพราะเดือนทั้งเดือนนี้เธอแทบไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นเลย นอกจากการทำโปรโมชั่นของห้างนาโอกะ แล้วไหนจะงานเปิดตัวสินค้าใหม่ของตัวเองอีก เรียกว่ายุ่งจนหัวแทบหมุน จนพลาดเรื่องสำคัญของพี่ชายทั้งสองคนไป
ความคิดเห็น