ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในอ้อมแขนคุณ อุ่นไปถึงหัวใจ ♥

    ลำดับตอนที่ #21 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 14 :: เรื่องที่ไม่คาดฝัน 100 %

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 65


    ในอ้อมแขนคุณ...
    อุ่นไปถึงหัวใจ 

    บทที่ 14 - เรื่องที่ไม่คาดฝัน

    [ทำไมไม่ให้คุณพ่อไปด้วยล่ะ] หลานสาวคนเล็กอย่างน้องพริกเอียงคอถามคนเป็นอาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะเกาหัว [อาคุณทะเลาะกับคุณพ่อเหรอค้า]

    [น้องพริก หนูไม่พูดแบบนั้นสิลูก] พระพายส่งเสียงดุลูกสาวอย่างนุ่มนวล

    [ก็พิกกับพี่แพงทะเลาะกันบ่อยๆ นี่ค้า]

    “อาคุณไม่ได้ทะเลาะกับคุณพ่อเราหรอกน่า” คนเป็นอาเท้าคางมองหลานสาวที่แสนน่ารักทั้งสองคน “อาคุณทะเลาะกับคนอื่นต่างหาก”

    [แกทะเลาะกับใคร?] คำพูดของน้องชายทำให้คนเป็นพี่ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที

    “ไอดีน..” พูดแล้วชายหนุ่มก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ เห็นทีปัญหาใหญ่ของการปลูกต้นรักครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้ง

    ก็ดันมีปัญหากับใครไม่มี ดันมีปัญหาที่ฝ่ายหญิงมีใจให้ผีนี่แหละ เห้อ...ปกติแล้วคนจะบอกว่าสู้คนในใจมันลำบาก เพราะทุ่มเทเท่าไหร่ก็แพ้คนที่เขามีใจให้อยู่เรื่อยไป แต่นี่มันไม่ใช่คน มือที่สามมันมีตัวตนอยู่ในอีกภพภูมิหนึ่ง แค่คิดจะต่อกรด้วยก็แพ้เห็นๆ แล้ว

    [เออ..จริงสิ จะว่าไปพักนี้ลูกๆ ของเราก็ไม่เจอคุณดีนเลยนะคะ] เสียงของพระพายดังขึ้น ก่อนที่หญิงสาวจะปรากฏตรงหน้าจอไอแพตของพี่ชายแบบวับๆ แวมๆ เพราะจับเจ้าตัวเล็กมานั่งตักหวีผมให้

    [อาดีนไม่มาหาแพงแล้ว อาดีนไม่คิดถึงน้องแพงกับพิกแล้วเหรอค้า~]

    “อาดีนไม่ค่อยสบายน่ะ เดี๋ยวถ้าอาดีนหายดีแล้วก็คงมาหาเอง”

    [งั้นแสดงว่าเรื่องที่แม่บอกก็จริงน่ะสิ] เด่นฤกษ์จ้องน้องชาย [เด็กคนนั้นคุยกับวิญญาณได้ แกถึงรู้ว่าไอดีนมันเป็นยังไง อยู่สุขสบายดีหรือเปล่า..ใช่มั้ย?]

    เด่นฤกษ์ได้ยินเรื่องที่มารดาโทรมาบอกกับเขาแล้ว ใจหนึ่งท่านก็กลัวว่าเด็กผู้หญิงที่น้องชายไปคลุกคลีด้วยนั้นจะเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง แต่พอเธอบอกเรื่องราวต่างๆ ที่คนในบ้านเองก็ไม่รู้ ก็ทำให้ท่านเชื่อว่าหญิงสาวอาจจะมีสัมผัสพิเศษจริงๆ เพียงแต่ยังไม่วางใจเท่านั้นว่าพนักงานสาวที่น้องชายเริ่มสนิทสนมด้วยจะเป็นคนดี

    “อือ เพราะมองเห็นนี่แหละ...ไอดีนมันเลยมีเพื่อนใหม่เลย เห็นเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย” น้ำเสียงของเด่นคุณออกแนวประชดประชันระคนน้อยอกน้อยใจ

    ทั้งที่วารวารีไม่ได้มองเขาในแบบที่เขาอยากให้เป็นสักนิด แต่ชายหนุ่มก็คิดและตัดสินใจเอาเองแล้วว่าเธอคือผู้หญิงของตัวเอง และไม่พร้อมจะแบ่งปันให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น ทุกอย่างเขาคิดเอง..เออเอง...โดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจของวารวารีเลย

    [อ๋อ นี่สินะ สาเหตุที่หน้าหงิกอย่างกับหมาโดนเจ้าของทิ้ง] เด่นฤกษ์ยิ้มขำ พอจะเข้าแล้วว่าที่น้องชายทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มทลายลงมานั้นเป็นเพราะใคร ที่แท้ก็เรื่องผู้หญิง...และยังเป็นผู้หญิงที่ดูท่าว่าจะไม่สนใจน้องชายเขาซะด้วยสิ [ไม่สิ...เป็นน้องหมาที่คิดไปเองว่าตัวเองมีเจ้าของต่างหาก]

    “พูดมาก!” เด่นคุณสวนกลับพี่ชาย “ว่าแต่...แม่ได้เล่าอะไรอีกมั้ย?”

    [ก็...]

    จากนั้นเด่นฤกษ์ก็ปลีกตัวออกไปคุยกับเด่นคุณต่อที่ระเบียงห้องนอน เขาเล่าให้ฟังว่ามารดาได้โทรมาเล่าเรื่องทั้งหมด รวมถึงรู้แล้วว่าน้องชายกำลังมีปัญหาหนัก เพราะมีผู้ไม่หวังดีทำเล่ห์กลมนตร์ดำใส่ เรื่องที่เขาได้ยินจากมารดามันอาจฟังดูเหลือเชื่อไปนิด แต่เด่นฤกษ์ก็ไม่ได้ลบหลู่ของที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งถ้าเรื่องนี้เกี่ยวกับคดีชู้สาว ความหึงหวงเป็นหลัก

    คนเป็นพี่ชายเชื่อเต็มอกเลยว่า แรงเกลียดชัง ความริษยาของผู้หญิงน่ะ ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูหรือยาพิษชั้นดีเสียอีก

    จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ก่อนจะวางสายไป

    ..........................................

    รุ่งสางของวันต่อมา

    เวลานี้ฟ้ายังไม่สว่างดี แต่รถยนต์คันหรูของเด่นคุณกลับแล่นเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทหน้าปากซอยหนึ่งในเมืองภูเก็ต เขามองจากรถก็เห็นว่าร้านข้าวแกงมารดาของวารวารีตั้งขายของแล้ว และเริ่มมีผู้คนมาซื้อของ ยืนรอจตักบาตรพระกันเป็นแถว

    ชายหนุ่มก้าวลงจากรถยนต์ ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปยังร้านข้าวแกงรถเข็นของแวววรี

    “คุณน้าฮะ” เด่นคุณเอ่ยทักอีกฝ่ายพร้อมยกมือไหว้ ขณะที่แวววรีหันมาส่งยิ้มให้คนตัวสูง

    “อ้าว คุณคุณ” มารดาของวารวารีมัดถุงแกง ก่อนจะใส่ถุงพลาสติก แล้วคิดเงินลูกค้า จากนั้นก็หันมาถามเจ้าตัว “มีอะไรหรือจ๊ะ มาแต่เช้าเชียว”

    “วาฬล่ะครับ อยู่บ้านหรือเปล่า” เด่นคุณถาม พยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจร้อนรนจนแทบบ้า

    เขาทั้งโทรหาเธอ...แต่หญิงสาวไม่รับสาย ไหนจะตามไปส่องโซเชี่ยลมิเดียต่างๆ ก็ไม่มีอะไรอัพเดตเลย ส่งข้อความไป...วารวารีไม่ตอบ ไม่อ่านข้อความของเขาด้วยซ้ำ

    เธอปิดกั้นเขาทุกทาง กีดกันเขาออกไปราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในชีวิต ทำเอาเจ้านายหนุ่มถึงขั้นนอนไม่หลับ ลุกนั่งไม่สะดวกถึงได้ขับรถมาหาที่นี่ ทว่าครั้นจะบุกเข้าบ้านสุ่มสี่สุ่มห้าในเวลาแบบนี้ มันก็ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่างน้อยคุยผ่านผู้ใหญ่ก่อนวารวารีจะได้ไม่เสียหาย

    “วาฬไปถือศีลน่ะจ้ะ เพิ่งไปสักครึ่งชั่วโมงได้มั้ง” คนเป็นแม่บอกก่อนจะทำหน้างง “ว่าแต่ไหนวาฬบอกว่าเจ้านายเซ็นอนุมัติลาหยุดแล้วไง”

    “เอ่อ สงสัยวาฬบอกกับเลขาฯ ผมน่ะฮะ พี่มิรินทร์ยังไม่ได้รายงานผมเลย” โกหกไปแล้ว 1 เด่นคุณแก้ตัวออกไปอย่างนั้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วว่าวารวารีไม่ได้เล่าทุกอย่างให้มารดาฟัง เธอไม่ได้บอกว่าตัวเองทะเลาะกับเขา ก่อนจะขอลาออกโดยไม่ฟังเสียงทัดทานเลย “แล้วคุณน้ารู้รึเปล่าครับ ว่าวาฬไปถือศีลที่ไหน”

    “วาฬไม่ได้บอกเอาไว้ด้วยสิ” แวววรีทำหน้าครุ่นคิด ทั้งที่เริ่มผิดสังเกตในใจ “เห็นบอกว่าจะไปต่างจังหวัด”

    “ขอบคุณฮะ”

    เด่นคุณตอบรับเหมือนคนหมดแรง เดินคอตกจะกลับไปที่รถ วารวารีหนักแน่นและเอาจริง ใช่สิ..เธอมันคนพิเศษนี่นา เขาเลยไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเดียว

    แต่ไปได้ไม่ก้าว เสียงเรียกรั้งของแวววรีก็ดังขึ้น

    “เดี๋ยวสิจ๊ะ” เด่นคุณหันมามองท่าน “ไหนๆ ก็มาแล้วรอใส่บาตรก่อนสิ นี่อีกเดี๋ยวพระก็มาแล้ว มานั่งก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวน้าเตรียมข้าวปลาให้”

    ........................................

    เสียงร้องครวญครางกระเส่าดังขึ้น สอดรับกับจังหวะกระแทกกระทั้นรัวเร็ว...เร้าใจก่อนที่ชายหนุ่มร่างกายกำยำจะกระแทกบั้นเอวอย่างหนักหน่วงในตอนสุดท้าย ทำเอาคนที่นอนอยู่ใต้ร่างหนาถึงกับขยำผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่

    อังกาบกลั้นหายใจ ทั้งที่หัวใจของตนนั้นเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมานอกอก ถึงจะอายุห่างจากคู่นอนหลายปีราวกับเป็นน้าหลานกัน แต่ไฟในตัวกับเรื่องของเซ็กส์นั้นยังคุกรุ่นอยู่เสมอ

    รสรักของย้งเด็กหนุ่มยังตราตรึงทุกครั้งที่อังกาบได้ร่วมรักกับเด็กคนนี้ ในห้องนอนที่มีอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ กลายเป็นห้องนอนที่ระอุไปด้วยไออุ่นของเพลิงปรารถนาอันเร่าร้อน เตียงนี้ไม่ต่างจากสมรภูรมิรบที่มีการผลัดกัน รุกและ รับอยู่นานราวเกือบชั่วโมงอย่างไม่มีใครยอมใคร ทว่าสุดท้ายแล้วร่างของชายหนุ่มที่เต่งตึงไปด้วยเนื้อแน่นราวกับพ่อพันธุ์ชั้นดีก็ทิ้งกายเอนนอนข้างหญิงรุ่นราวคราวแม่ พร้อมกับหอบหายใจถี่ มือยกขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดซึมตามไรผม

    “เหนื่อยแล้วล่ะสิ” อังกาบตะแคงตัวไปมองเจ้าของใบหน้าขาวใสพิมพ์นิยมที่บัดนี้มีเพียงไฟสลัวข้างหัวเตียงที่ส่องให้ความสว่าง พอให้มองเห็นกันแบบวับๆ แวมๆ ก่อนจะยิ้มแล้วเอามือเกลี่ยผมที่เริ่มยาวปรกหน้า ไล้ปลายนิ้วเช็ดเหงื่อที่ซึมตรงไรผมให้อย่างหลงใหล

    “เหนื่อยสิเจ้” ย้งคว้ามือของหญิงที่เพิ่งบำเรอรสรักถึงใจให้มาจูบอย่างเอาอกเอาใจ “แหม..ก็วันนี้วิ่งวินทั้งวัน ร้อนจะตายไป”

    “ว๊า~” เสียงที่ทอดยาวแสดงความเสียดายอย่างออกนอกหน้าก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะทำให้เด็กหนุ่มรู้ทันทีว่าอังกาบอยากยืดเวลาของ เกมรักออกไปอีกหน่อย แต่เขาเหนื่อยและเหม็นกลิ่นหญิงที่ใกล้จะย่างเข้าสู่วัยสูงอายุในอีกไม่กี่ปีจะแย่ เลยทำได้เพียงแกล้งพูดจาออดอ้อน ผลัดวันประกันพรุ่งเอาตัวรอดไปก่อน

    “เอาไว้ค่อยต่อวันอื่นนะเจ้” ย้งเขยิบใบหน้าเข้าหาอังกาบ ก่อนจะพร่างพรหมจูบละมุนลงบนเรือนผมราวกับคนรักที่หลงกันจนโงหัวไม่ขึ้น ทั้งที่จริงเด็กหนุ่มนั้นเหม็นหืนอังกาบจนแทบจะอ้วกอยู่รอมร่อ “สัญญาเลยว่าคราวหน้าเจ้ลุกไม่ขึ้นแน่นอน”

    “บ้าจริง! เด็กคนนี้นี่..”

    จากนั้นเสียงหัวเราะต่อกระซิกของอังกาบที่ปะปนกับความขัดเขินหน่อยๆ ก็ดังอยู่พักใหญ่ มีเสียงย้งหัวเราะออกมาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว

    บรรยากาศที่จ้องมองสบตากันภายใต้แสงสลัว ได้นอนอิงแอบแนบซบกายอุ่นๆ ของกันและกัน...ภายใต้ผ้าห่มที่ยับยุ่งและไม่ได้คลุมเรือนร่างอันเปล่าเปลือยของทั้งสองอย่างคนมิดชิดนั้น ทำให้อังกาบมีความสุขเสียจนนึกอยากหยุดเวลาเอาไว้ อยากให้ย้งอยู่กับตนไปนานแสนนาน

    จากคู่นอนที่เอามาบำบัดความกระหายความใคร่โดยมีค่าต่างตอบแทนเป็นเงินทองของมีค่า นับวันความรู้สึกที่อังกาบมีให้ย้งก็ยิ่งมากขึ้น ผูกพันกันแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนลืมเลือนคำเตือนของวารวารีไปเสียสนิท

    ถึงจะมีแง่งอนกันบ้างราวกับคู่รักวัยหนุ่มสาว แต่ย้งก็ยังไปมาหาสู่ที่บ้านของอังกาบอยู่เป็นประจำ และแม้ว่าวารวารีจะเคยออกปากเตือนอย่างจริงใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่น่าไว้วางใจสักนิด ย้งจะนำพาเรื่องไม่ดีมาให้เดือดร้อนใจ ทว่ารสรักที่เด็กหนุ่มสนองให้อย่างถึงใจนั้น มันก็ยากที่จะให้อังกาบทำใจเด็ด หักดิบตัดขาดจะไม่ติดต่อกับย้งได้

    หลังจากเสียงพูดคุยกันกระหนุงกระหนิงสงบลง เด็กหนุ่มก็หลับตา ขณะที่หญิงวัยน้าสาวนั้นขยับร่างกายเปลือยเปล่าเข้ามาแนบชิดกับเรือนร่างอันแน่นขนัดไปทุกส่วน ก่อนจะซบใบหน้าแนบแผงอกที่เต็มไปด้วยเนื้อหนัง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักเป็นจังหวะอย่างเพลิดเพลิน

    อังกาบหลับตาลง ก่อนจะปล่อยให้ความคิดไหลเอื่อย กระทั่งผล็อยหลับไปในอ้อมแขนที่ย้งตวัดมาโอบรัดเอาไว้...เหมือนกับหลายคืนที่ผ่านมา

    เช่นกัน ย้งหลับตา พยายามข่มใจให้สงบ หากแต่ภายใต้ความมืดที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากไฟข้างหัวเตียงนั้น หัวคิ้วของเด็กหนุ่มขยับเข้าหากันด้วยความเคร่งเครียด ย้งลอบถอนหายใจไปกับความคิดที่หนักอึ้งของตัวเอง เขาไม่ได้อยากพลีตัวแลกกับเงินแบบนี้ หากแต่ชีวิตมันก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก

    รุ่งเช้าเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ กระทั่งเสียงนกร้องดังขึ้นตามมาด้วยแสงที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนชั้นสอง

    อังกาบตื่นก่อนย้งเสมอ อาจด้วยอายุที่มากกว่าหลายปีนัก เธอลงมาทำกับข้าวให้ชายหนุ่มราวกับเป็นศรีภรรยาที่น่ารัก หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังนอนอยู่บนที่นอน หลับแบบไม่รู้เรื่องรู้ความ

    สองชั่วโมงต่อมา เด็กหนุ่มที่อังกาบนอนกอดก่ายฟังเสียงหัวใจเต้นระรัวในอกทั้งคืน ซึมซับความปรารถนาอันแสนหวานชื่น...ก็ตื่นขึ้น ย้งเดินลงมาจากชั้นบน สวมกางเกงยาว เปลือยร่างท่อนบน ก่อนจะมานั่งที่โต๊ะอาหารซึ่งมีกับข้าวทำเสร็จเอาไว้พร้อมทาน เพียงแค่เปิดฝาหม้อข้าว แล้วคดข้าวใส่จานก็พร้อมทานได้เลย

    อังการินน้ำเย็นใส่แก้ว ก่อนจะเอามาวางข้างจานข้าวของเด็กหนุ่ม แล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงกันข้าม เท้าคางมองย้งด้วยแววตาเป็นประกาย

    “หมูทอดน้ำปลาที่อยากกินนักกินหนา เป็นไง...อร่อยถูกปากรึเปล่า?” อังกาบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขณะมองหน้าหล่อเหลาขาวตี๋ ย้งจิ้มหมูสามชั้นทอดน้ำปลา ก่อนจะจิ้มน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ดฝีมืออังกาบเข้าปากเคี้ยวแก้มป่องทั้งสองข้าง

    ทั้งที่ไม่เหมาะจะเป็นอาหารเช้าสักนิด แต่เพราะอยากเอาอกเอาใจเด็กวัยกำลังโต อังกาบเลยตื่นเร็วกว่าปกติ ลุกขึ้นมาทำอาหารเอาใจ เนื่องจากจำได้ว่าย้งเคยบ่นว่าอยากกินหมูทอดน้ำปลากับซอสน้ำจิ้มแจ่ว เธอก็ลงทุนทำให้เองสุดฝีมือ

    “ที่สุด!” ย้งยกนิ้วโป้งให้สองมือแทนคำชม ทำเอาอังกาบยิ้มแก้มแทบปริ

    ภาคภูมิใจกับฝีมือการทำอาหารของตัวเองไปหลายนาที และดูท่าว่าย้งเองไม่ได้โกหกเพื่อเอาใจเธอเลย เพราะเล่นตักข้าวคำแล้วคำเล่าเข้าปาก ไม่พูดจาอะไรออกมาอีก จนกระทั่งหมูที่ทอดพร่องไปเกือบหมดจาน

    พอเด็กหนุ่มกินข้าวเสร็จ อังกาบก็เก็บถ้วยชามไปล้างในอ่าง ตอนนั้นเองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ก็เดินเข้าไปหาอังกาบอย่างช้าๆ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปกอดจากทางด้านหลัง

    ฉากนี้โรแมนติกไม่น้อยทีเดียว หากแต่ใบหน้าหล่อเหลาที่เกยอยู่กับไหล่ของหญิงพี่อายุมากกว่า 10 ปีนั้น กำลังกระซิบออดอ้อนอยากเอาอกเอาใจ

    “เจ้..”

    “อยากได้อะไรล่ะฮึ” อังกาบดักคออย่างรู้ทัน ทว่าถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน

    “รถของผมมันเก่าแล้ว” เด็กหนุ่มรีบพูดเข้าประเด็น ขณะที่ทำสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย คอตก

    อังกาบวางจานที่กำลังล้างอยู่ในมือ หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อยเพราะตัวเองไม่เคยต้องเสียเงินก้อนเยอะหลักหมื่น ก่อนจะพลิกตัวไปเผชิญกับเด็กที่สูงกว่า มือที่ล้างแล้วคล้องเอวสอบของย้งเอาไว้

    “จะให้ซื้อรถให้ใหม่เหรอ”

    “เปล่า” ย้งส่ายหน้า “แค่ซ่อมให้หน่อยก็พอ มันยังไม่พังเลย”

    คำพูดแบบเจียมเนื้อเจียมตัวของเด็กหนุ่มนั้น ทำให้อังกาบรู้สึกเจ็บหนึบในใจที่เธอคิดว่าย้งจะมาปอกลอกตัวเอง ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นเด็กดี มีหัวคิดและขี้เกรงอกเกรงใจกันไม่น้อย

    “แล้วต้องซ่อมอะไรบ้างล่ะ?” อังกาบเชิดหน้าขึ้นมองสบตา ในขณะที่ย้งยิ้มบางๆ

    “ก็เปลี่ยนล้อ แล้วเช็คเครื่องอีกนิดหน่อยน่ะเจ้ รถคันนี้มือสองทำงานทำเงินให้มาหลายปี ยังไม่ค่อยจะได้ซ่อมเอาใจมันเลย ถ้าซ่อมดีๆ หน่อยก็ใช้งานได้อีกนาน” เด็กหนุ่มบอก “อ่อ เงินนี้ผมแค่ขอยืมเจ้นะ หากินมาได้แล้วจะทยอยคืนให้ทั้งหมดนั่นแหละ ผมรบกวนแม่มาเยอะแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร”

    ย้งเป็นเด็กดีกว่าที่คิดเอาไว้จริงๆ ด้วย อังกาบได้ฟังเหตุผลก็ยิ่งใจอ่อนยวบยาบกว่าเดิมหลายเท่าตัว ขณะที่เด็กหนุ่มคิดในใจว่าหากใช้ไม้นี้แล้วจะได้ผล

    แล้วก็ได้ผล! เมื่อมองเห็นแววตาเอ็นดูระคนสงสารของอังกาบ ย้งก็กระหยิ่มยิ้มในใจว่าทันทีว่าอังกาบได้ตกเป็นเหยื่อของเขาเข้าให้เต็มเปาแล้ว พวกสาวแก่ แม่หม้าย ลองใช้มุกกตัญญูเข้าล่อ มีอันไปไหนไม่รอดทุกราย

    “ได้สิ” อังกาบบอก ก่อนจะดันตัวเองออกจากกรงแขนล่ำสันของเด็กหนุ่ม แล้วเดินไปหยิบเนื้อหมูทอดน้ำปลาที่หั่นเอาไว้สวยงามในตู้กับข้าวมาส่งให้เด็กหนุ่ม “เดี๋ยวเจ้จัดการเรื่องเงินให้ ไม่ต้องห่วงไป แต่เราช่วยเอาหมูทอดจานนี้ไปให้บ้านหนูวาฬหน่อยได้มั้ย บ้านท้ายซอยน่ะ”

    ย้งพยักหน้ารับหงึกหงัก

    “นี่ เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วน่า บอกแล้วไงว่าเจ้จะช่วย พูดแล้วไม่คืนคำหรอก”

    “ไม่ได้กังวลเรื่องนั้น แต่ถ้าใครรู้เข้าแล้วเอาไปพูดเจ้จะเสียหายได้นะ แล้วผมจะกลายเป็นแมงดาเกาะเจ้กินน่ะสิ” ย้งขมวดคิ้วมุ่น

    “ใครที่ไหนจะเอาไปพูดกัน คนแถวนี้ลูกหนี้เจ้ทั้งนั้น ลองปากดีขึ้นมาสิ แม่จะได้ขึ้นค่าแผงเพิ่มไปเลย”

    “ขอบคุณนะฮะ” ย้งยิ้มดีใจทั้งที่มันคือการแสดงหลอกตาอังกาบ ก่อนจะหอมแก้มที่ไม่ได้นุ่มฟูเหมือนแก้มสาววัยแรกรุ่นด้วยอาการรักใคร่ “เจ้ใจดีกับผมที่สุดเลย”

    ............................

    “มีใครอยู่มั้ยครับ” ย้งมองชะเง้อเข้าไปในบ้านหลังงามสองชั้นที่มีรั้วรอบขอบชิดอย่างดี หลังจากยืนเรียกแล้วไม่มีใครขานรับเลย “วาฬ! วาฬ!

    ใช้เวลากว่าครึ่งนาที วารวารีก็เดินออกมายืนมองอยู่ที่หน้าบ้าน พอเห็นว่าเป็นย้ง หญิงสาวก็เดินออกมาที่รั้ว แม้ในใจยังสงสัยว่าอีกฝ่ายมาที่บ้านเธอด้วยเรื่องอะไรแต่เช้า เพราะปกติแล้วถึงจะรู้ว่าย้งคือเด็กในสังกัดของป้าอังกาบ แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยสุงสิงกันเลย

    “นายนี่เอง” หญิงสาวทัก ขณะหรี่ตามองอีกฝ่ายเพราะแสงของเช้าวันใหม่ค่อนข้างร้อนแรงสมกับเป็นประเทศในแถบเขตร้อน “มีอะไร?”

    “อ่ะ เจ้ให้เอากับข้าวมาให้น่ะ หมูทอด” ย้งยื่นจานหมูทอดน้ำปลาพร้อมน้ำจิ้มแจ่วส่งข้ามรั้วให้หญิงสาว แต่จากการแต่งตัวของวารวารีทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ที่ถูกจัดแต่งอย่างลงตัวไม่ได้ดูจัดจ้านเกินไป ก็ทำให้เขาเดาได้ว่าเธอคงเตรียมตัวเพื่อออกไปทำงานเป็นแน่

    “ฝากขอบใจป้าอังกาบด้วยนะ” วารวารีรับจานกับข้าวมาถือในมือ บอกขอบคุณอีกฝ่ายอย่างไม่คิดอยากจะเสวนาด้วยเท่าไหร่ เพราะเชื่อคำเตือนของผีพี่โก๋ว่าให้ระวังย้งให้ดี แต่ก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้าน หนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันก็เรียกรั้งเอาไว้อีก

    “นี่ เดี๋ยวสิ..” ย้งอ้าปากพะงาบ “กำลังจะไปทำงานเหรอ ให้ไปส่งมั้ย”

    “ขอบใจสำหรับน้ำใจ แต่ฉันก็มีรถขับไปเหมือนกัน” วารวารีบุ้ยหน้าไปยังรถมอเตอร์ไซด์คู่ใจของตนเอง แต่ต่อให้ไม่มีรถขับ เธอก็คงไม่คิดพึ่งพาย้งหรอก รถประจำทางก็มีออกถมเถไป

    ทว่ากลับกัน ตั้งแต่ที่ย้งได้เห็นวารวารีย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของซอยนี้ เขาก็หมายตาวารวารีเอาไว้ในใจแล้ว แม้ว่าตัวเองจะคั่วอยู่กับสาวแก่อย่างอังกาบ แต่ก็ไม่ได้คิดจะใช้ชีวิตอยู่กับอีกฝ่ายไปตลอดลมหายใจสุดท้ายแน่ๆ

    อีกอย่างวารวารีเป็นสาวสวย ที่มาจากกรุงเทพฯ หน้าตาก็น่ารักทันสมัย ผิวขาวผ่อง ใบหน้าอวบอิ่ม ผมยาวดำขลับเป็นลอนคลายๆ ดูผิดแปลกจากผู้คนที่นี่อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งสไตล์การแต่งตัวที่บอกชัดว่าหญิงสาวเป็นคนถิ่นอื่น มันก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูน่าสนใจมากขึ้น ไหนจะอายุยังรุ่นราวคราวเดียวกันอีก เพียงแต่วารวารีดูเข้าถึงยาก เธอมีการงานที่ดี และที่สำคัญเธอสนิทกับอังกาบมาก แถมยังดูไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิดเดียว

    ครั้งนี้ก็เช่นกัน คำตอบแสนสั้นและห้วนกระชับของเธอ ทำให้ย้งรู้สึกเหมือนหญิงสาวอยู่สูงจนตัวเองเอื้อมไม่ถึง แต่ไม่เป็นไร...เพราะสักวันเขาจะหาวิธีเข้าหาเธอจนได้ ตอนนี้นอกจากอังกาบแล้วเขายังมีสาวสวยสุดแซ่บ ดีกรีรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกัน แถมเธอยังเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียน เธอเป็นเด็กสาวที่หุ่นทรงใช้ได้ แถมยังเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ชายด้วยว่าถ้าจ่ายถึงหรือถ้าเธอถูกใจคนไหนก็จะไปนอนด้วย

    ซึ่งในตอนเย็นของทุกวัน ระยะทางจากตรงนี้ไปประมาณสามกิโลเมตร มันจะมีหมู่บ้านหนึ่ง แถบนั้นมีคนอาศัยอยู่มากก็จริง แต่ท้ายซอยมีบ้านร้างอยู่ เด็กวัยรุ่นมักไปสิงสถิตกันอยู่ที่นั่น บางครั้งก็ควงคู่พากันไปนอนอย่างกับโรงแรมม่านรูด

    ....................................................

    วารวารีขับรถตรงมาที่โรงแรม หลังจากกลับมาจากการไปนั่งวิปัสสนา ภาวนาถือศีลเป็นอาทิตย์ ก่อนกลับบ้านเธอได้เปิดโทรศัพท์ดู ถึงได้เห็นว่าทั้งแม่ เด่นคุณ และมิรินทร์เลขานุการของเจ้านาย ได้ติดต่อหาเธอกันหลายสาย ไหนจะข้อความที่หลายคนส่งมาหาอีก มากมายจนอ่านแทบไม่หมด

    วันนั้นหญิงสาวตัดสินใจติดต่อกลับไปหามิรินทร์หลังจากที่โทรหามารดาแล้ว เธอเลี่ยงที่จะติดต่อเด่นคุณ ถึงได้ความว่าเด่นคุณเรียกให้เธอกลับไปทำงานตามปกติ ซึ่งเรื่องที่เธอขอเด่นคุณลาออกยังไม่มีใครรู้ และเจ้านายอย่างเขาก็ไม่อนุมัติด้วย

    ที่สำคัญเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีเพียงมิรินทร์ที่รับรู้เรื่องทั้งหมด ดังนั้นเด่นคุณเลยมีคำสั่งให้มิรินทร์ปิดปากเงียบเกี่ยวกับ ภารกิจลับที่เธอไปทำกับเด่นคุณตลอด

    ครั้งนี้ก็เหมือนกัน มิรินทร์บอกว่าเด่นคุณให้เธอบอกเพื่อนๆ ที่ร่วมงานกับวารวารีว่าหญิงสาวไปช่วยงานที่เชียงใหม่ ซึ่งก็ไม่มีใครติดใจอะไร วารวารีถึงสามารถกลับมาทำงานได้ตามเดิม

    หญิงสาวทำงานจนหมดวัน เธอยิ้มรับลูกค้าจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน พอเปลี่ยนชุดพร้อมกลับบ้านเรียบร้อย หญิงสาวก็เห็นว่าเด่นคุณเดินเลาะทางเดินของโรงแรมไปทางบ้านพักของเขา วารวารีเห็นแบบนั้นแล้วก็รับเดินตามไปทัน

    “คุณคุณคะ คุณคุณ”

    เสียงเรียกจากที่ไกลๆ พร้อมเสียงวิ่งบนทรายทำให้ร่างสูงหันไปมองหญิงสาวที่เขาพยายามติดต่อตั้งแต่วันแรกที่เธอหายตัวไป เด่นคุณยืนกอดอกมองเธอวิ่งมาหานิ่งๆ ยอมรับว่ายังโกรธอยู่ แต่ก็ดีกว่าที่ทั้งคู่ต้องทำเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

    ถ้าถูกวารวารีเมิน เขาคงทำใจยอมรับไม่ไหว

    “ไม่ต้องรีบวิ่งขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวก็หกล้มกันพอดี”

    “รอก่อนค่ะ” หญิงสาวยืนหอบตรงหน้า “ฉันขอเข้าไปในบ้านด้วย ฉันต้องไปดูคุณดีน”

    “ทำไม...ไอดีนมันไม่มาให้เห็นเหรอ?”

    “ค่ะ” วารวารีพยักหน้ารับ เพราะเหตุนี้เธอถึงได้วิ่งตามเขามาเพื่อจะมาดูให้เห็นกับตาไปเลยว่าอาการเด่นฤทธิ์ดีขึ้นหรือยังทรงอยู่เท่าเดิม

    หญิงสาวกำลังจะเดินก้าวขาไปข้างหน้า แต่เด่นคุณกลับกางแขนออกมากั้นเอาไม่ให้เธอเดิน

    “เดี๋ยว!” เจ้านายหนุ่มรั้งเสียงเข้ม มาถึงก็ห่วงน้องชายเขาก่อนเลย จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเขาก็ไม่มีซะล่ะ “ฉันไม่ให้เธอเข้าออกบ้านฉันตามใจชอบหรอกนะ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย”

    ความคิดเจ้าเล่ห์ผุดวาบขึ้นในหัว เขาเป็นผู้ชาย ยิ่งเริ่มมีใจนึกชอบพอหญิงสาวตรงหน้าด้วยแล้ว จะมาเสียฟอร์มให้ผีได้ยังไง ในเมื่อมันไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง จะถอนตัวถอนใจจากวารวารีก็ทำยากแล้ว ก็เลยต้องมีเล่ห์กลบางอย่าง...มาหลอกล่อเบนความสนใจหญิงสาวกันหน่อย

    “ข้อแลกเปลี่ยน?” คิ้วของวารวารียกสูงขึ้น

    “ใช่ อย่างน้อยข้อแลกเปลี่ยนของฉันก็คือ การที่เราสองคนไปกินข้าวด้วยกันเย็นนี้” ข้อเสนอของเด่นคุณง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเขาแค่อยากยืดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันให้นานขึ้นกว่านี้ ถ้าไม่มีเรื่องงานหรือเรื่องคอขาดบาดตาย หรือเรื่องของเด่นฤทธิ์มาเกี่ยวข้อง ทั้งคู่ก็แทบไม่มีเวลาเดินสวนกันด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้จิตใจของวารวารีจะไหวเอนมาทางเขาได้ยังไง

    เด่นฤทธิ์หายตัวได้ จะไปตรงไหนก็แค่แวบไปแวบมา แต่เขานี่สิ...ครั้นจะรุกจีบโต้งๆ ก็ทำได้ยาก นั่นเพราะมีพนักงานจับตาดูอยู่เต็มไปหมด ที่สำคัญถ้าวารวารีไม่เล่นด้วย เขาคงหน้าแตกประเภทหมอไม่รับเย็บแน่นอน

    หญิงสาวเงียบไปหน่อยนึง ทอดมองใบหน้าเจ้านายก่อนจะให้คำตอบที่ทำเอาเด่นคุณยกสองมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอารมณ์ดี

    “ตกลงค่ะ วาฬเองก็มีเรื่องที่จะต้องคุยกับคุณคุณพอดี”

    .............................................

    “มีเรื่องอะไรจะคุยล่ะ”

    หลังจากที่วารวารีเข้าไปในบ้านของเจ้านายแล้วไม่พบกับเด่นฤทธิ์ ไม่เห็นเขาซ่อนตัวอยู่ตรงไหนของบ้านด้วย เธอก็ถูกเด่นคุณลากมาข้างนอก

    เด่นคุณขับรถพาเธอเข้าไปในเมือง แล้วเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวหาอะไรทานเป็นมื้อเย็น จนกระทั่งทั้งคู่สั่งเมนูที่อยากทานไป ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มก็เปิดประเด็นถามทันที

    “ขอบคุณนะคะที่ไม่ถือสากับความใจร้อนของวาฬในวันนั้น”

    ถึงจะพูดออกไปยากสักหน่อย เพราะรู้ว่าวันนั้นเธอทำตัวไม่น่ารัก ตีเสมอเจ้านาย และอารมณ์ร้อน เพราะห่วงเด่นฤทธิ์จนไม่สนคำทัดทานของใครเลย แต่พอมีสติขึ้นมา จิตใจเย็นสงบนิ่งลง วารวารีก็คิดทบทวนพฤติกรรมตัวเองถึงได้กล้าเอ่ยกับเด่นคุณอย่างตรงไปตรงมา

    ถ้าเขาไล่เธอออกจริงๆ เธอเองก็คงลำบากไม่น้อยเหมือนกัน

    “อืม ทีหลังก็อย่ารีบด่วนตัดสินใจทำอะไรตามใจตัวเองล่ะ” คำพูดตักเตือนแบบไม่ใส่อารมณ์ แต่พูดจากันด้วยเหตุด้วยผลทำให้วารวารีพยักหน้าตั้งใจฟัง ราวกับเด็กที่กำลังตั้งใจฟังอาจารย์สอนให้ความรู้ “เกิดฉันใจร้าย ยอมอนุมิติให้เธอออกจากงานจริงๆ เธอคงวุ่นวายต้องหางานใหม่แน่ๆ”

    เด่นคุณพูดถูกทุกอย่าง หากต้องออกจากงาน...เธอต้องวุ่นวายหางานใหม่ ไหนกว่าจะได้งาน กว่าจะปรับตัวเข้ากับคนในที่ทำงานอีก ทำงานกับเขาน่ะดีที่สุดแล้ว เพื่อนร่วมงานก็ดี ถึงงานจะมีวุ่นวายไปบ้างบางช่วง บางวัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเหนื่อยใจเลย ออกจะสนุกกับการทำงานด้วยซ้ำไป

    “ค่ะ ขอโทษนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ขอโทษ ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายวู่วามจนทำพลาดพลั้ง เธอก็กล้าที่จะขอโทษจากใจจริง

    “ฉันรู้ว่าเธอมีความสามารถ ทำงานก็ดี แต่สมัยนี้งานก็ไม่ได้หากันง่ายๆ หรอก” ถึงจะออกปากเตือนด้วยความหวังดี ทว่าเอาเข้าจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากให้วารวารีต้องออกห่างจากตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ถ้าคุยกันด้วยความรู้สึกส่วนตัวเป็นหลัก วารวารีคงตั้งมือรับไม่ทัน รังแต่จะทำให้ทั้งสองคนมีระยะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ “อีกอย่างฉันเองก็ต้องขอโทษเรื่องวันนั้นเหมือนกัน ฉันคงพูดจาแรงไปหน่อย คำพูดก็เลยอาจไปกระทบจิตใจเธอเข้า ขอโทษนะ”

    ที่สำคัญ เขาเองก็ตั้งใจไปหาเธอเพื่อขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว วันนี้พอได้เปิดใจคุยกัน อีกทั้งวารวารียังยอมเป็นฝ่ายขอโทษก่อน เขาจะถือทิฐิตั้งมั่นเพราะตัวเองอยู่เหนือกว่าก็ใช่ที่ เขาเองก็ผิดที่ทั้งตวาด ทั้งตีรวนจนหาเหตุไม่ได้ แถมยังทำตัวงี่เง่าเกินเหตุ ดังนั้นขอโทษอย่างตรงไปตรงมาแบบลูกผู้ชายมันก็ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีถูกลดทอนลงมาเท่าไหร่หรอก

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า “อีกอย่าง ตอนที่ไปปฏิบัติธรรม วาฬคิดอะไรบางอย่างออก”

    “อะไร?”

    “วาฬรู้แล้วค่ะว่าคนที่คิดไม่ดีกับคุณคุณต้องเป็นคนใกล้ตัวเรามากแน่ๆ” หญิงสาวบอกเหตุผล “วาฬอยากคุยกับคุณคุณเรื่องนี้แหละ แต่หาจังหวะไม่ได้ เพราะมีคนจับตาดูเราอยู่มาก วาฬว่าเราเดินไปผิดทางตั้งแต่แรก ทั้งที่ความจริงคนร้ายน่าจะเป็นใครก็ตาม ที่คอยดูเราสองคนได้ตลอดเวลา”

    “หมายถึง คนในโรงแรมอ่ะนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเบาลง

    “มีความเป็นไปได้สูงมากเลยค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า พลางป้องมือไว้ที่ปาก ก่อนจะลดเสียงพูดให้เบาตามเขา “ต้องเป็นคนที่เราคาดไม่ถึงสุดๆ ชัวร์ เพราะตอนที่ผีอาละวาดหนักๆ มันเป็นตอนที่เราสองคนไปกรุเทพฯ ด้วยกันนี่คะ”

    “จริงสินะ..” เด่นคุณคิดตาม ที่หญิงสาวพูดมามันก็คือเรื่องจริงทั้งนั้น ตอนที่ทั้งคู่กลับมาจากกรุงเทพฯ มันเหมือนฝ่ายนั้นควบคุมความโกรธเอาไว้ไม่อยู่จนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา ทำให้ผีสาวตัวนั้นพลอยบ้าคลั่งทำร้ายทุกอย่างมั่วไปหมด “แถมยังมีข่าวลือแว่วออกมาด้วยว่าเราเป็นแฟนกัน”

    “ดังนั้น วาฬคิดว่าเราควรสะพัดข่าวลือให้แรงขึ้น โหมไฟเพิ่มอีกหน่อย อีกไม่นานคงรู้แน่ว่าเป็นฝีมือของใคร”

    คำพูดอย่างครุ่นคิดของวารวารี ทำเอาคนฟังแอบอึ้งอ้าปากค้าง เธอพูดเหมือนเรื่องธรรมดาทั่วไป ทั้งที่หัวใจของเด่นคุณเต้นระรัวในอกอย่างรุนแรงเหลือเกิน

    นั่นไง โชคชะตาเข้าข้างเราแล้ว

    “เอาจริงดิ?”

    “จริงสิคะ วาฬคิดมาหลายตลบแล้ว แต่ก็มองไม่เห็นทางอื่นเลย ทางนี้แหละดีที่สุด”



    Loading 100 %

    ขณะที่พระเอกเราแห้งเหี่ยวคอตกเป็นลูกหมาโดนทิ้ง
    ป้าอังกาบที่กินเด็กจนเป็นอมตะนั้น ก็หวานแซ่บโชว์คนอ่านไปเลยสิคะ
    ป้านี่ม้ามืดนะ แซ่บไม่เผื่อแผ่ใครเลย
    ไม่เกรงใจพระ-นางด้วย
    แต่ฉันก็อยากจะพูดดังๆ ว่า..ป้า! ระวังโดนเด็กหลอกน้าาา~ 


    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×