คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 13 :: เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งไป 100 %
ในช่วงเย็นของวันหนึ่ง
วารวารีถอดยูนิฟอร์มออกมาเป็นชุดลำลองที่พร้อมจะกลับบ้าน
วันนี้หญิงสาวเลิกงานเร็ว เลยกะว่าจะลองเดินเล่นเลียบๆ
ชายหาดดูวิวพระอาทิตย์ตกตอนเย็นเสียหน่อย
ถึงจะมาทำงานอยู่ใกล้ทะเลทุกวัน
แต่หญิงสาวกลับไม่เคยมองดูทะเลอย่างจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง
สายตาเธอมองแต่ลูกค้าที่มาเข้าใช้บริการโรงแรม
เพราะอยากให้ทุกคนที่มาพักผ่อนได้รับบริการอย่างเต็มที่ จนลืมความรู้สึกของตัวเองไปเสียสนิท
พอออกจากห้องแต่งตัว วารวารีก็ตรงไปที่ชายหาด
ทะเลตอนที่เธอมองในฐานะของคนๆ หนึ่ง ไม่ได้อยู่ในชุดพนักงานนั้น...มันดูสวยกว่าเดิมมากเป็นเท่าตัว
ยิ่งตอนเย็นพระอาทิตย์ทอแสงอ่อนลง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและส้ม มันยิ่งทำให้ท้องทะเลที่หลายคนหลงรักนั้น
งดงามขึ้นไปอีก
แสงแห่งความโรแมนติก
หญิงสาวเข้าใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงชอบถ่ายรูปคู่กับธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้
ทะเลมีมนตร์เสน่ห์ในตัวเองแทบจะทุกช่วงเวลา ทั้งในช่วงเช้า หรือตอนที่แดดออกจัดๆ
เหมาะกับการทำกิจกรรมทางน้ำ ตอนเย็นเช่นนี้ และตอนมืด ทั้งที่เป็นท้องทะเลผืนเดียวกัน
วิวมุมเดิม แต่กลับให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง
แต่จะว่าไปแล้ว การมายืนดูทะเลคนเดียวแบบนี้มันก็เหงาใจแปลกๆ
เหมือนกัน
ชีวิตของเธอเงียบเหงาลงไปถนัดตา
หลังจากที่ได้ผ่านเรื่องราววุ่นวายมาพักใหญ่
ปู่เจ้าที่ทั้งสองคนกับเด่นฤทธิ์เงียบไปเลย หญิงสาวคิดเอาเองว่าทั้งสามคนคงจะหลบไปบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อรักษาพลังพักใหญ่
แม้ว่าทุกเช้าเธอกับแม่จะทำบุญและแผ่อุทิศกุศลไปให้ แต่มันอาจจะยังไม่เพียงพอ
หญิงสาวเดินไปนั่งใต้ต้นไม้
ทอดมองทะเลเบื้องหน้า ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง จนกระทั่งเสียงกระแอมกระไอราวกับคนป่วยดังขึ้นใกล้ๆ
เธอจึงหันไปมอง
“สภาพฉันแย่นะ..”
เด่นฤทธิ์ฝืนยิ้มให้หญิงสาว เขานั่งห่างจากวารวารีพอสมควร
และสีหน้าแววตานั้นก็เปลี่ยนไปราวกับคนที่หญิงสาวไม่เคยรู้จักมาก่อน
ที่สำคัญรูปร่าง หน้าตาของผู้ชายเจ้าสำราญคนนี้ ก็เปลี่ยนไปมาก
“คุณดีน..” วารวารีหันไปยิ้ม
แล้วจู่ๆ เธอก็น้ำตาคลอขึ้นมาดื้อๆ หญิงสาวอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ หลายวันที่เขาหายไป
เธอวิตกกังวลไปต่างๆ นานา อาจเพราะก่อนหน้านี้เธอสนิทกับเขามากที่สุด
พอเห็นว่าเขายังพอที่จะสบายดี ก็เลยพร่างพรูออกมาจนหมด ความกดดันที่เก็บกดเอาไว้ในใจมันเหมือนถูกปลดล็อกเมื่อได้เห็นหน้ากัน
“ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอกลัว”
“ไม่ค่ะ” วารวารีรีบตอบ เพราะกลัวว่าเด่นฤทธิ์จะเข้าใจผิดแล้วรีบหายตัวไป
“ฉันแค่เป็นห่วงคุณ กลัวว่าคุณจะเจ็บตัวมากกว่านี้ซะอีก”
จำได้ว่าวันนั้นเขาก็โดนเล่นงานหนัก
และต่อให้เขามาในสภาพที่แย่กว่านี้มาก...เธอก็รับได้ ไม่ได้หวาดกลัวหรือรังเกียจเลย
ถึงเด่นฤทธิ์จะไม่เหมือนเดิม
ไม่ได้หล่อเหลา ส่งยิ้มทะเล้นให้ไม่ได้ กลับกันสภาพของเขาตอนนี้ค่อนข้างบวม
มีแผลเหวอะหวะตามตัว หน้าบวมฉึ่งกึ่งเขียวช้ำ และมีผ้าพันคอพันรอบ หญิงสาวเดาว่าเขาคงปกปิดแผลที่เกิดจากการฆ่าตัวตายซึ่งมันปรากฏขึ้นชัด
แต่จะอะไรก็ช่างแค่ได้เห็นว่าเขายังพอมีพลังปรากฎตัวได้ เธอก็ดีใจแล้ว
“รอบนี้ร้ายแรงเอาการเลยล่ะ
เกือบตายรอบสอง ฉันคงต้องรักษาตัว รักษาศีลอีกหลายวันกว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติดีเหมือนเดิม”
“บุญที่ฉันทำให้ทุกเช้าล่ะคะ
คุณได้รับหรือเปล่า”
“ได้สิ ขอบใจนะวาฬ
ขอบคุณแม่เธอด้วย” เด่นฤทธิ์ยิ้มให้บางๆ “บุญที่ทั้งเธอ พ่อแม่ฉัน
รวมถึงใครก็ตามที่ยังรักและหวังดีกับฉัน ฉันได้รับ แต่ฉันไม่อยากเอาของพวกนั้นมาใช้จนหมด
พวกปู่ๆ เองก็กำลังบำเพ็ญภาวนารักษาศีลกันอยู่”
“คุณปู่ทั้งสองคนก็ยังสบายดีใช่มั้ยคะ?”
“อืม” เด่นฤทธิ์พยักหน้า “ก่อนจะห่วงคนอื่นน่ะ
เธอเองก็เกือบแย่ไม่ใช่หรือไง ไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย”
“ไม่ค่ะ ฉันสบายดี”
“วาฬ..ฉันไม่ได้อยากจะพูดคำนี้หรอกนะ
แต่ถ้าเธออยากจะมีชีวิตที่ไม่ต้องเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงอันตรายเพราะคนอื่น เธอต้องเลิกยุ่งวุ่นวายกับพี่ชายฉัน...ฉันไม่อยากให้เธอต้องเจ็บตัวไปมากกว่านี้”
“ค่ะ”
วารวารีรับปากทั้งที่ในใจคิดสวนทางกับสิ่งที่พูด
เธอจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับเด่นคุณอีก เพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่า ‘คนทำ’ ไม่ได้ปักใจทำร้ายเด่นคุณ
แต่ตั้งใจทำร้ายคนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเด่นคุณมากกว่า
และตอนนี้เธอก็เป็น ‘เป้าหลัก’ ที่ใครบางคนกำลังจ้องเล่นงานอยู่
ยิ่งมีข่าวลือหึ่งไปทั่วโรงแรมว่าเด่นคุณกับเธอมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว
มันยิ่งทำให้วารวารีคิดว่าเธอจะเอาตัวเองเป็นเป้าล่อ เพื่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังเผยตัวออกมา
“วาฬ!”
เสียงเรียกที่ไม้ได้ยินมาเกือบสองอาทิตย์
ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งโหยงสุดตัว
เด่นคุณมองเห็นวารวารีผ่านกระจกห้องทำงานของตัวเอง
จนกระทั่งเขาเดินลงมาแล้วตรงดิ่งมาที่ริมหาดทราย ยิ่งเห็นวารวารีกำลังพูดคนเดียว
เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอต้องคุยอยู่กับเด่นฤทธิ์น้องชายเป็นแน่
แต่สองอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอคุยกับทุกคน
ยกเว้นเขาที่เป็นเจ้านาย แม้กระทั่งเดินสวนกัน เจอกันบ้างในบางครั้ง...หญิงสาวก็ยังไม่ทักทาย
ก้มหน้าก้มตา ความสดใสก็หม่นหมองลงไปด้วย หรือว่าเธอจะตั้งใจหลบหน้าเขากัน
“คะ..”
วารวารีหันไปมองคนเรียกช้าๆ ขณะที่มือไม้กำลังเช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
พลางผุดลุกขึ้นยืนก้มหน้า “คุณคุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันต้องถามเธอสิ ว่าเธอเป็นอะไร”
คำพูดเสียงเรียบกับท่าทางที่เหมือนไม่พอของเจ้านายกำลังจับจ้องหญิงสาวไม่วางตา “แล้วนี่ร้องไห้ทำไม
มีเรื่องอะไร?”
เด่นคุณรัวคำถามใส่จนวารวารีไม่รู้จะตอบเรื่องไหนก่อนดี
หญิงสาวหันไปมองตรงที่เด่นฤทธิ์นั่ง แต่ตอนนี้เขาหายวับไปแล้ว
“เมื่อกี้เธอคุยกับไอเจ้าดีนใช่มั้ย?” คำถามของเจ้านายทำให้พนักงานสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดออกมาเสียงสั่นเครือเจือสะอื้น
“วาฬขอลางานอาทิตย์นึงได้มั้ยคะ” เธอยังอดที่จะรู้สึกสงสารเด่นฤทธิ์ไม่ได้ จะห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ก็ฝืนไม่ไหว ยิ่งพูด ยิ่งคิดถึงเขา เธอก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ
ทว่าความรู้สึกที่เธอกำลังแสดงออก
เด่นคุณกลับมองว่ามันมากเกินคำว่าผูกพันธ์ หรือสนิทกันไปแล้ว
และมันอาจกำลังกลายเป็นคำว่า..’รัก’ ก็ได้
ทั้งที่วารวารียังไม่ได้คิดไปถึงตรงนั้น เธอเพียงแค่ยอมรับตรงๆ ว่าสภาพของเด่นฤทธิ์ที่เปลี่ยนไปทันตาเห็นนั้น
เธอทำใจยอมรับผลที่เกิดขึ้นไม่ไหว ถึงได้สงสารเขาจับใจ และดูเหมือนว่าส่วนบุญที่อุทิศส่งไปให้
มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พลังของเขาฟื้นกลับคืนมา
“จะลาไปไหนตั้งอาทิตย์นึง” สีหน้าที่เริ่มตึง
กับน้ำเสียงที่เรียบผิดปกติของเจ้านายหนุ่มไม่ได้ทำให้วารวารีสังเกตเห็นเลยสักนิด
เพราะจิตใจของเธอยังวนเวียนกับคนที่เพิ่งหายตัวไป
“ลาไปถือศีลค่ะ..” หญิงสาวตอบเสียงสั่นเครือ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอสบตาคนตัวสูงตรงๆ แบบไม่หลบเลี่ยง แม้จะยังร้องไห้ไม่หยุดก็ตาม
“คุณดีนอาการหนักมาก วาฬสงสารคุณดีน ให้วาฬได้ไปถือศีลนะคะ อย่างน้อย...ก็น่าจะช่วยคุณดีนได้บ้าง”
“วารวารี!” เด่นคุณเรียกเสียงเข้ม ไม่ได้จะดุ แต่เขาอยากให้เธอตั้งสติแล้วคุยกันให้รู้เรื่องก่อน
“หยุดร้องไห้ แล้วพูดกับฉันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย! มันเกิดอะไรขึ้น?”
“คุณคุณจะไม่ให้วาฬลาเหรอคะ” หญิงสาวน้ำตาเอ่อล้นเต็มสองหน่วยตา
ทั้งจมูก ทั้งแก้มแดงก่ำ เรียวปากสั่นไหวระริก “งั้น..วาฬขอใช้สิทธิ์ลาป่วยก็ได้”
“ไม่ได้!”
“นะคะ..”
“ฉันบอกให้หยุดร้องไห้!“ เด่นคุณออกปากเตือนเสียงดังแกมตวาด
ก่อนจะกระชากแขนหญิงสาว “หยุด! แล้วฟังฉันเดี๋ยวนี้!”
วารวารีพยายามหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้น หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ
หลายครั้ง พลางยกมือเช็ดน้ำตา นานหลายนาทีกว่าเธอจะตั้งสติตามที่เด่นคุณสั่งได้
“โอเค..พอมีสติแล้วก็บอกฉันมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเรื่องอะไรกัน”
คือว่าเมื่อกี้ฉันเห็นคุณดีน สภาพดูไม่ได้เท่าไร” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครือ
“บุญที่ฉันกับแม่ใส่บาตรให้ บุญที่พ่อแม่ของคุณคุณทำให้ หรือใครต่างๆ ที่หวังดี คุณดีนได้รับ
แต่บุญไม่น่าจะพอ”
หญิงสาวเล่าจนหมดเปลือก ทว่าถึงอย่างนั้นบุญของการจำศีล
ภาวนาก็เป็นบุญกุศลแรงกล้าอีกทางที่น่าจะทำให้เด่นฤทธิ์กลับมามีพลังเหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด
ถ้าไม่ติดที่ว่าเธอเป็นผู้หญิงล่ะก็..วารวารีคิดว่าตนคงบวชพระให้สักอาทิตย์แล้ว
“สภาพไอดีน...มัน..แย่มากมั้ย?” เด่นคุณหน้าเริ่มบึ้งขั้น เขาทั้งโมโหหญิงสาว
และเป็นห่วงน้องชายในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกมันปนเปจนแยกแยะไม่ไหว
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แต่น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็พลอยจะไหลลงมาอยู่เรื่อย
วารวารีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขี้แยเท่านี้มาก่อน ปกติแล้วเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ร้องไห้ออกมาง่ายๆ
แต่พอเป็นเรื่องของเด่นฤทธิ์...หัวใจของเธอกลับอ่อนไหวปวกเปียกราวกับหญิงสาวอ่อนแอที่กำลังเดินอยู่กลางสายฝน
แล้วท่าทีอ่อนไหวเกินไปของวารวารีนั้น ก็ทำให้หัวใจชายหนุ่มตรงหน้ากระตุกวูบ
หัวใจของเด่นคุณเจ็บหนึบขึ้นมาในเสี้ยววินาที
เด่นคุณเองก็รู้จักหญิงสาวดีมากในระดับหนึ่ง รู้ว่าวารวารีเป็นคนเข้มแข็ง สภาพจิตใจเธอก็ดีมาก
ไม่หวั่นไหวหรืออ่อนแอกับเรื่องหนักหนาสาหัสที่พยายามพุ่งตรงเข้ามากระทบจิตใจ แต่พอเป็นเรื่องของน้องชายเขา
เธอถึงกับร้องไห้งอแงราวกับญาติผู้ใหญ่เสีย เหตุผลที่เคยเชื่อมั่นนักหนาก็พังทลายลงมาเพราะความสงสารเห็นใจ
ทุกอย่างมันกำลังตอกย้ำ เป็นตะปูที่ถูกค้อนตีลงในหัวใจของชายหนุ่ม
ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกับเด่นฤทธิ์
ไม่จริง...ไม่จริงใช่ไหม วารวารีไม่ได้ตกหลุมรักน้องชายของเขาใช่มั้ย...
คำถามนั้นผุดขึ้นในใจของเด่นคุณ และเขาก็ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ใบหน้าหล่อเหลาชาวาบไปชั่วขณะหนึ่ง
ขณะที่สายตาคมกริบมองพนักงานสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อความรู้สึกของตัวเอง
ความสนิทสนมกัน คงไม่ทำให้วารวารีเสียใจหนักขนาดนี้หรอก
“วาฬเล่าไปหมดแล้ว อย่างนั้นก็ช่วย..”
“ถ้าฉันไม่อนุญาตล่ะ” ชายหนุ่มถามแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ถ้าเขายืนกรานว่าไม่ยอมให้เธอลา เด่นคุณเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าวารวารีจะทำอย่างไร
หญิงสาวมองเขาตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เด่นคุณจะใจร้ายกับน้องชายตัวเองได้ลงคอ
“แต่นี่ วาฬกำลังจะช่วยน้องชายคุณคุณอยู่นะคะ”
“ก็เพราะฉันรู้ไงว่าเจ้าดีนเป็นน้องฉัน ฉันต่างหากที่ควรจะช่วยมัน...ไม่ใช่เธอนะวาฬ”
อารมณ์ของเด่นคุณพุ่งสูงแทบทะลุเพดาน เมื่อสรุปในใจไปเองว่าหญิงสาวกำลังมีใจให้น้องชายที่ตายไปแล้ว
ให้ตายเถอะ! คนทั้งคนยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ รูปร่างหน้าตา
โปรไฟล์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย แต่ทำไมกัน...วารวารีถึงได้เอาแต่เป็นห่วงคนที่เขามองไม่เห็น
คนที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ฟังแล้วอาจดูใจร้ายไปนิด
แต่คนที่เธอควรเป็นห่วงควรเป็นเขา..ไม่ใช่เด่นฤทธิ์
การถูกเมินมาหลายวัน ทำให้เจ้านายหนุ่มอารมณ์เสียเกินพอ นี้ยังต้องมารับรู้เรื่องที่เธอชอบน้องชายเขาอีกหรือไง
เวรเอ้ย!
“ถ้าคุณคุณมองเห็นว่าคุณดีนอาการแย่แค่ไหน คุณคุณคงจะทำใจไม่ได้เหมือนกัน”
หญิงสาวพยายามพูดให้เขาเปลี่ยนใจ
“ใช่ ฉันทำใจไม่ได้!“ ชายหนุ่มเถียงกลับมาทันควัน
จากที่ตั้งใจว่าจะเดินเข้ามาคุยกับวารวารี กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งคู่กลับทะเลาะกันใหญ่โต
“แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ เธอควรห่วงตัวเองก่อนนะวาฬ เธอเองก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไม่ใช่หรือไง
ไหนจะหักโหมทำงานมาเกือบทั้งเดือนอีก งานหนักหนาเสียจนมองไม่เห็นใครเลย
ขนาดฉันเธอก็มองเลยไป นี่ฉันคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเธอยังมีเวลาเหลือเผื่อแผ่ไปช่วยคนอื่นอีก”
“แต่คุณดีนไม่ใช่ใครอื่น”
“ไม่ว่าใครหน้าไหน ฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอลาไปไหนทั้งนั้น! แม้กระทั่งไปปฏิบัติธรรมก็ตาม”
“คุณคุณใจร้ายกับคุณดีนมากไปแล้วนะคะ!”
“เออ!”
“คุณดีนกำลังจะแย่ คุณคุณก็ไม่สนหรือคะ..”
“ฉันก็กำลังจะแย่เหมือนกัน!” เด่นคุณไม่รับฟังคำพูดของหญิงสาวสักนิด
เธอพูดอะไรมา เขาก็เถียงสวนกลับไปทันที “ช่วงนี้พนักงานขาดลามาสายกันให้วุ่นวาย
โรงแรมของเราก็มีลูกค้าเข้ามาเยอะแยะ แล้วฉันยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับใครเข้ามาทำงาน
ตอนนี้ช่วยกันไปก่อน อย่าได้คิดหนีไปไหนเชียว”
“วาฬว่าเราพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว..”
“เธอชอบมันหรือไง ไอดีนน่ะ..” เขาจ้องหญิงสาวด้วยแววตาที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
มันทั้งน่ากลัว ดุดัน “ถึงได้วุ่นวายทำทุกอย่างเพื่อมันขนาดนี้
ไม่สนใจแม้กระทั่งคำสั่งของฉัน”
หญิงสาวนิ่งไปกับคำถามที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยินจากเด่นคุณ
แต่เด่นคุณกลับไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ชายหนุ่มไม่รู้ว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอมันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเริ่มขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวมาก่อน
ทว่าตอนนี้เขารู้แล้ว รู้ด้วยสติที่ครบถ้วน ว่าวารวารีคือผู้หญิงที่กำลังก้าวเข้ามานั่งในหัวใจของตัวเอง
ทำอย่างไรก็สลัดเธอไม่หลุด
เขาแพ้เธอเธอที่ตรงไหนนะ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความเรียบง่าย
หรือว่าจิตใจที่ดีงาม
หลายวันที่ถูกเมินเหมือนคนไม่รู้จักกัน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร
พยายามทุ่มสมาธิไปกับงานมากมายแค่ไหน ภาพของวารวารี เสียงหัวเราะของเธอ ภาพที่เธอยิ้ม
เรื่องราวที่ทั้งคู่เคยเล่าสู่กันฟัง
ทุกอย่างที่เป็นเธอมันวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาจนเหมือนภาพหลอนไปหมด
“ถ้าไม่ให้ลา ก็ขอลาออกค่ะ” หญิงสาวพูดจบก็หมุนตัวเดินหนี
เธอมุ่งมั่นตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยเด่นฤทธิ์ให้ได้ ไม่ว่าหนทางไหนก็ตาม
แต่ก็ใช่ว่าเด่นคุณจะยอมถอยง่ายๆ เขาเดินตามเธอ วิ่งไปดักข้างหน้า แล้วคว้ามือเอาไว้
“ก็บอกว่าไม่ให้ลาไง ลาแบบไหนก็ไม่ได้” ท่าทางยื้อยุดกันไปมาของทั้งสองคนนั้น ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีคนจับตามองดูอยู่ “ลองเธอลาป่วย ต่อให้คราวนี้เธอเข้าโรงพยาบาลไปจริงๆ ต่อให้ล้มหมอนนอนเสื่อ ถึงขั้นต้องถือถุงน้ำเกลือมาทำงาน หรือใส่เครื่องช่วยหายใจ ฉันก็จะลากเธอกลับมาทำงานให้ได้ แต่ถ้าลาออกล่ะก็..อย่าได้หวังว่าจะไปสมัครงานที่ไหนได้อีกเลย ฉันจะทำให้เธอติดแบลคลิช จนบริษัทไหนก็ไม่ต้องการคนอย่างเธอเลย...คอยดู!”
วารวารีอึ้งจนได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้คำพูดของเด่นฤทธิ์สว่างวาบเข้ามาในหัวเธอ
เรื่องที่เขาเคยเตือนว่าพี่ชายตัวเองนั้นร้ายกาจมากแค่ไหนเห็นทีว่าจะจริงชัดทุกคำที่พูด
เพราะเวลานี้เด่นคุณไร้น้ำใจมาก เขาใจดำแบบที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน
หญิงสาวสลัดมือออกจากการเกาะกุมของคนตรงหน้าด้วยความโมโห
รู้สึกสะอิดสะเอียนในความ ‘ใจแคบ’ เท่ารูหนูที่เขามีต่อน้องชายตัวเอง
“คุณนี่มันใจแคบที่สุด..” เธอพูดเสียงรอดไรไฟ
รู้สึกเจ็บใจแทนเด่นฤทธิ์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ถ้าเธอรู้ว่าฉันกำลังคิด หรือรู้สึกอะไร...สักวันเธอจะเข้าใจเองวาฬ”
วารวารีไม่พูดอะไร เธอรู้สึกผิดหวังที่ได้รู้จักคนอย่างเขา
ได้ร่วมงานกับเจ้านายที่ไร้มนุษยธรรม ถึงตอนนี้ในใจของหญิงสาวก็เต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อเด่นฤทธิ์มากมายไปหมด
เธอไม่สนใจว่าเด่นคุณจะอนุญาตให้เธอลาหยุดหรือไม่ ในเมื่อความรู้นั้นวารวารีได้ตัดสินใจไปเองแล้วว่าเธอจะออกจากงาน
ไม่ว่าใครก็มาห้ามหรือรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้ทั้งนั้น
อย่าได้เจอกันอีกเลย
“ถ้าจะกลับบ้าน เดี๋ยวฉันไปส่ง ฉันจะได้ไปคุยกับแม่เธอด้วย”
“ไม่ต้องค่ะ” หญิงสาวก้าวเท้าเร็วๆ เหมือนอยากจะหนีไปให้ไกลจากคนใจร้ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอพูดตอบแบบไม่หันไปมองหน้าเด่นคุณด้วยซ้ำ “แล้วก็ห้ามตามมาด้วย
เพราะบ้านฉันไม่ต้อนรับคนไร้น้ำใจแบบคุณ!”
“วาฬ.. วาฬ...” เด่นคุณได้แต่เรียกชื่อเธอไล่หลัง มองวารวารีที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
เขาจะเดินตามไปอีกก็ได้ แต่ด้วยรู้ว่าวันนี้ตนเองได้จุดไฟในใจของหญิงสาวให้ลุกโชติช่วงไปแล้ว
เธอกำลังโกรธและคงไม่หายโกรธง่ายๆ ถึงได้ยอมปล่อยไปก่อน
รั้งกันไปมาก็ใช่ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
อีกอย่าง...เมื่อครู่นี้เขาร้อนรนเป็นไฟไปแล้ว โวยวายจนไม่ยอมฟังเหตุผลของเธอเลยสักนิด
คราวนี้เขาก็ควรจะเป็นฝ่ายที่ยอมอ่อนให้เธอบ้าง...บอกตามตรงว่าจะก้าวตามไปใจก็อยาก
แต่ขาก็แข็งจนก้าวไม่ออก เพราะคำสั่งเอาจริงเอาจังของวารวารี ทำให้เด่นคุณกลัวเหลือเกินว่าจะต้องยอมปล่อยเธอให้หลุดมือไปจริงๆ
........................................................................
ในช่วงดึกของคืนนั้น หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับแอพพิเคชั่นซึ่งใช้สำหรับการสื่อสาร
แจ้งเตือนขึ้นมาว่าเด่นฤกษ์ผู้เป็นพี่ชายคนโตกำลังวีดีโอคอลหาเขา เด่นคุณกดรับสาย
แม้ใบหน้าจะยังตึงจนยิ้มไม่ออกก็ตาม
“ว่าไง“ เสียงทักทายสั้นๆ
แบบยานคางทำให้เด่นฤกษ์ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ถึงขั้นต้องถอนหายใจกับหน้าตาบอกบุญไม่รับของน้องชาย
[หน้าหงิกยิ่งกว่าเจ้าสองแสบอีกนะ แกเป็นอะไรรึเปล่า?] เด่นฤกษ์มองหน้าน้องชายผ่านหน้าจอไอแพต เด่นคุณไม่มองเขาสักนิดเดียว
อีกฝ่ายเท้าคางขณะที่มือกำเปิดแฟ้มเอกสารพลิกอ่านไปทีละหน้า
“เปล่า..”
[ทำหน้าซังกะตายแบบนี้ ยังมีหน้ามาโกหกฉันอีกหรือไง] เสียงดุราวกับพ่อคนที่สองไม่อาจทำให้คนหมดไฟ ไม่อยากทำงานเพราะสมองมัวแต่คิดถึงเรื่องที่เขาและวารวารีมีปากเสียงกันสะดุ้งสะเทือนได้
[โรงแรมมีเรื่อง หรือว่าแกมีเรื่องเองกันแน่ฮะ
นี่แม่โทรมาหาฉัน...เล่าทุกอย่างให้ฟังหมดแล้วนะไอคุณ]
“เหรอ แล้วไง” คิ้วของคนเป็นพี่ชายกระตุกด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัวขึ้นเล็กน้อยกับอาการถามคำ
ตอบคำ เหมือนไม่ใส่ใจจะพูดด้วย “แม่เล่าว่าไงบ้างล่ะ”
[ก็เล่าว่าแกเอาสาวขึ้นคอนโดฯ น่ะสิ]
“อืม..”
[นี่ แกอย่ามากวนประสาทฉันนะโว้ย! ไอน้องเวร!]
พอโดนพี่ชายด่ากระตุ้นเข้าหน่อย เด่นคุณก็รู้สึกกระเตื้องมีแรงขึ้นมา เขาหันมามองหน้าจอ พลางสอดส่ายสายตามองรอบตัวเด่นฤกษ์
“คุณพายไปไหนแล้วล่ะ”
[เฮอะ...เรื่องอะไรถึงมาถามหาเมียคนอื่นเค้าฮะ]
เด่ฤกษ์ทำหน้าหงิกใส่น้องชายบ้าง ถึงเขากับพระพายจะใช้ชีวิตภายใต้หลังคาบ้านเดียวกันมาจนกระทั่งมีลูกสาวฝาแฝดวัยสามขวบมาเชยชม
แต่เขาก็ยังจำได้ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งนั้นพระพายผู้เป็นภรรยาเคยสนิทสนมกับน้องชายตัวเองมากแค่ไหน
ถึงขั้นที่ทั้งคู่เคยขึ้นไปทำโครงการบนดอยด้วยกัน นอนพักค้างอ้างแรมด้วยกัน
และที่สำคัญเด่นคุณเคยทำท่าว่าชอบพระพายอีกด้วย
เพียงแต่ทุกอย่างมันพลิกผันเมื่อเขาเจอคำสั่งของพ่อให้ขึ้นมาทำงานที่เชียงใหม่แทนเด่นคุณ
ส่วนเด่นคุณโดนย้ายไปบริหารฯ งานที่ภูเก็ต นั่นแหละความสนิทสนมระหว่างพระพายกับเด่นคุณถึงได้ค่อยๆ
ลดระดับลงไป และกลายเป็นเด่นฤกษ์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของพระพายแทนน้องชาย
จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจรุกจีบเธออย่างจริงจัง ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ลงเอยกันอย่างที่เห็น
“งั้นก็อย่าลืมสิว่าคุณพายน่ะ ถ้าผมไม่หลีกทางให้ พี่จะได้เป็นคุณพ่อลูกสองเหมือนทุกวันนี้หรือไง”
[ไอนี่!]
พอโดนน้องชายจี้ปมเข้าหน่อย นอกจากใบหน้าที่เริ่มงอแล้ว เด่นฤกษ์ยังแจกมะเหงกผ่านหน้าจอไอแพตส่งไปให้น้องตัวดีด้วย
ถ้าไม่ติดว่าอยู่ไกลกัน เขาคงลุกขึ้นไล่เตะไอคนปากดีไปสักทีแล้ว
[คุณพ่อขา~]
“เห้อ..ครอบครัวสุขสันต์กันจริงจริ๊ง” เด่นคุณแกล้งบ่นลอยๆ ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
[แล้วแกไม่สุขสันต์หรือไง ไหนว่าหิ้วสาวขึ้นห้อง
อยู่ด้วยกันตั้งหลายคืน นึกว่าจะสานต่อกันไปถึงไหนต่อไหนแล้วซะอีก]
“หึ!” พอถูกถามจี้ใจดำเข้าให้บ้าง เด่นคุณก็ทำได้เพียงแค่นหัวเราะข่มขื่นกลับไป
ทว่าก่อนที่สองศรีพี่น้องจะเปิดศึกตีกันไปมากกว่านี้
เสียงสดใสของเด็กน้อยวัยสามขวบก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กๆ ในชุดนอนแขนยาวขายาวจะค่อยๆ
ปรากฏขึ้นจากการปีนป่ายขึ้นเตียงระคนเสียงดุเล็กๆ ของพี่ชายดังแทรก แล้วไม่นานพระแพงแฝดคนพี่ก็พาตัวเองมานั่งใกล้กับคนเป็นพ่อจนได้
พอเด่นคุณเห็นหลานหน้าตาเลอะไปด้วยแป้ง ขาวผ่องไปถึงผมก็อดที่จะยิ้มขำไม่ได้
[อาคุณนี่นา~]
“ใช่แล้วอาคุณเอง” คนเป็นอาทักทายหลานสาว “น้องแพงคิดถึงอาคุณมั้ยคะ”
[คิดถึงค่ะ] เด็กตัวน้อยยิ้ม
ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มคุณอาผ่านหน้าจอไอแพต [คุณแม่ซื้อของเล่นให้
เดี๋ยวแพงไปเอามาให้อาคุณดูนะ]
พอพูดจบเจ้าตัวเล็กก็ปีนลงไปจากเตียง เด่นฤกษ์ได้ทีก็ถือโอกาสเยาะเย้ยอีกฝ่ายเข้ารัวๆ
[ฉันรู้แล้ว ไอท่าทางหมดอาลัยตายอยากของแก นี่คงเพราะถูกสาวเทมาแหงๆ] คนเป็นพี่ชายยิ้มเยาะ [สมน้ำหน้า!]
[คุณพ่อพูดไม่เพราะ เดี๋ยวพิกตีเลยนะ]
เสียงหลานสาวอีกคนดังขึ้น แม้จะยังไม่เห็นตัวก็ตาม แต่ไม่นานพี่ชายก็อุ้มเจ้าตัวแสบขึ้นมานั่งบนตัก
ขณะที่พระแพงที่หายไปหยิบของเล่นก็ปีนกลับมาบนเตียงด้วย
[อาคุณขา นี่ของเล่นที่หม่ามี้ซื้อให้แพง] คนพี่รีบอวดเป็นของเล่นพวกสัตว์ต่างๆ เอาไว้ใส่ในทราย
แล้วเคาะออกมาเป็นรูปตามแบบที่มี
[หม่ามี้ก็ซื้อซุดว่ายน้ำให้ด้วยนะ] น้องพริกแฝดน้องรีบพูดเสริม แม้จะออกเสียงไม่ชัดไปบ้าง
“โอ๊ย พูดรู้เรื่องขึ้นเยอะแล้วนี่นา ไปโรงเรียนต้องมีเพื่อเยอะแน่ๆ
เลย” ความรันทดหดหู่ ความขุ่นมัวในใจจางหายออกไป เมื่อได้พูดคุยกับหลานๆ
ที่นับวันก็ยิ่งช่างพูดช่างเจรจามากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อแม่ที่หลงลูกหรอก
แต่อาอย่างเขา ปู่ย่า รวมถึงคุณยายและป้าลุงของเด็กๆ ก็พากันหลงหลานๆ ไม่ต่างกัน
[อาคุณขา~] น้องแพงเรียกคนเป็นอา
“ว่าไง”
[น้องแพงอยากไปหาอาคุณอีก]
[พิกจะไปทะเลที่บ้านอาคุณอีกด้วยนะ]
“ก็มาสิ” เด่นคุณไม่ปฏิเสธเลย บ้านของเขากว้างเกินไปที่จะอยู่คนเดียวซ้ำ แม้ว่าครอบครัวเด่นฤกษ์จะมาหาหลายหนต่อปี แต่เขาชอบเวลาที่บ้านดูมีชีวิตชีวา ชีคนอยู่เยอะๆ มากกว่าตอนที่อยู่ตัวคนเดียว เพราะมันเงียบเหงาจนน่าใจหายมาก “อ่อ..เราสองคนไม่ต้องเอาพ่อมานะ มากับหม่ามี้ได้ใช่มั้ย”
ความคิดเห็น