ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เสน่หาไร้ปราณี

    ลำดับตอนที่ #2 : เสน่หาไร้ปราณี - Chapter 01 - เด็กชายข้างกองขยะ & นักพนันมือขึ้น 100 %

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 65


    เสน่หา ไร้ปราณี
    (ชุด...พรหมลิขิตร้าย)



    Chapter 1

    เด็กชายข้างกองขยะ & นักพนันมือขึ้น


    หากย้อนเวลากลับในช่วงที่โอคาตะซังอายุได้ราว 16 ปี เด็กผู้ชายที่ชีวิตครอบครัวนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนใคร พ่อกับแม่แยกทาง โอคาตะที่อาศัยอยู่กับมารดาซึ่งเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมาตั้งแต่เด็กมีชีวิตที่ขัดสนมาตลอด

    พอเริ่มโตจนพอหยิบจับอะไรได้คล่องตัว เขาก็เริ่มรับจ้างทำงานต่างๆ เพื่อแบ่งเบาภาระมารดา แต่การที่ต้องเรียนไปหาเงินไปมันไม่ใช่เรื่อง่ายดายอะไรนัก ทว่าชีวิตที่ไม่ง่ายอยู่แล้วกลับย่ำแย่ลงเมื่อมารดาของโอคาตะมาป่วยเป็นโรคร้ายที่ต้องใช้ค่ารักษาสูงลิบลิ่ว จนทำงานหนักเหมือนแต่ก่อนไม่ได้

    ในช่วงอายุเข้า 12 ปีโอคาตะทำงานรับจ้างสารพัด ทำแม้กระทั่งเก็บหาของเก่าไปขาย ขณะที่มารดานอนอยู่ในโรงพยาบาล เงินเก็บของแม่ที่จะต้องใช้จ่ายภายในบ้านและค่าเล่าเรียนของเขา...หมดไปกับค่ารักษาตัวเป็นจำนวนมาก โอคาตะพยายามทุกทางทั้งสอบชิงทุนการศึกษา และทำงานหนักสารพัด เป็นอย่างนี้อยู่จนกระทั่งเขาอายุได้ 16 ปี ในที่สุดแม่คนเดียวก็จากไปด้วยโรคหัวใจ

    ทว่าก่อนที่มารดากำลังจะจากไป ท่านอาการสาหัสมาก ตอนนั้นเงินเก็บในบ้านของโอคาตะซังแทบไม่มีเหลือแล้ว เขาทำงานทุกอย่างก็จริง...แต่เงินทองหายากกว่าที่คิด เขารับจ้างทำงานทุกอย่างยกเว้นงานผิดกฎหมาย แต่งานที่ทำเงินได้เยอะสุดเห็นทีจะเป็นงานวิ่งซื้อของให้ตามบ้าน

    ในช่วงเย็นของวันหนึ่ง ขณะที่โอคาตะเก็บหาของใช้ดีๆ จากกองขยะใกล้กับบ่อนพนันเพื่อจะเอาไปขายแลกเงิน เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงคนหนึ่งดังมา โอคาตะเดินหาเสียงร้องนั้นอยู่นาน จนพบเด็กตัวเล็กผูกผมสองข้างเดินเช็ดน้ำตา

    เด็กน้อยน่ารักคนนั้นเดินหลงเข้ามาในซอยของนักพนัน ปากร้องเรียกหาแต่พ่อกับย่าไม่ขาด

    เขาเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้น ก่อนจะปลอบใจจนเด็กน้อยหยุดร้องไห้งอแง ทว่าเด็กหญิงคนนั้นก็ยังอยู่ในภาวะที่กลัวมากเลยเกาะแขนเขาแจ ไม่ยอมห่าง โอคาตะจำได้ว่าเขาพาเด็กน้อยคนนั้นเดินหาพ่อกับย่าที่เธอร้องเรียกตั้งเกือบชั่วโมง จนในที่สุดเขาก็เจอหญิงร่างท้วมคนหนึ่ง ผมสีดอกเลา เดินเอามือป้องปากร้องเรียกหาหลานสาวไปทั่ว ในมือของท่านหิ้วตะร้าใส่ของพะรุงพะรัง หน้าตาเลิ่กลั่กทีเดียว

    โอคาตะจูงมือเด็กหญิงตัวเล็กเดินเข้าไปหาหญิงคนนั้น

    “คุณย่าครับ ตามหาน้องอยู่หรือเปล่าครับ” โอคาตะเรียกตามเด็กหญิงคนนั้น และทันทีที่อีกฝ่ายเห็นหลานตัวเอง หญิงร่างท้วมก็วิ่งโผเข้ามากอดหลานสาวด้วยความดีใจ

    โยเนะวิ่งเข้าไปกอดหลานสาววัยสี่ขวบเศษ ขณะที่เด็กคนนั้นร้องไห้จ้าออกมา เด็กชายที่ใส่เสื้อผ้าตัวหลวมโคก หน้าตามอมแมมกำลังจะเดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ แต่เขาก็ถูกโยเนะเรียกรั้งเอาไว้

    “เดี๋ยวสิจ๊ะ ย่าขอบใจนะที่พาน้องมาส่งน่ะ”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่เดาตามที่น้องชี้ทาง น้องบอกทางมาครับ”

    “ย่าไม่มีอะไรจะตอบแทนเราเลย” โยเนะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กดีก็อยากให้รางวัลสักหน่อย แต่คิ้วของคนเป็นย่ากลับขมวดมุ่น “ว่าแต่เรามาทำอะไรแถวนี้ล่ะ นี่มันซอยนักพนันทั้งนั้นเลยนี่”

    “ผมมารับจ้างวิ่งซื้อของน่ะครับ แถวนี้หาเงินได้ง่ายดี อีกอย่างในซอยนี้มีแหล่งทิ้งขยะ มีของดีๆ ที่พอใช้ได้ เอาไปขายได้เยอะเลย”

    คำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้โยเนะยิ่งทวีความสงสัย เด็กคนนี้ทำงานหนักเยี่ยงผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทางบ้านคงลำบากเรื่องการเงินไม่น้อย

    “พ่อแม่เราล่ะไปไหน?”

    “ผมไม่มีพ่อครับ” โอคาตะตอบหน้าตาย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อแท้ๆ ของตนมีหน้าตาอย่างไร “พ่อเลิกกับแม่แล้ว แม่เลี้ยงผมคนเดียว”

    “แล้วแม่เราล่ะ ทำงานอยู่ที่ไหน ให้ย่าไปส่งมั้ย?”

    “แม่อยู่โรงพยาบาล แม่ไม่สบาย”

    นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กคนหนึ่งดิ้นรนได้มากมาย ขนาดที่ผู้ใหญ่บางคนก็ยังทำไม่ได้

    “งั้นเราตามย่ามาเถอะนะ บ้านย่าอยู่แถวนี้เอง มากินข้าวกินปลาก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ”

    โอคาตะไม่ปฏิเสธ เนื่องจากวันทั้งวันข้าวยังไม่ตกถึงท้องสักนิด แต่ถึงเขาจะกินก็คงหาอะไรที่ถูกที่สุด ประหยัดได้มากที่สุดและกินเพียงมื้อเดียวต่อวันเท่านั้น เงินทุกเยนที่หามาได้...เขาต้องเก็บเอาไปเป็นค่าผ่าตัดให้แม่ เพราะความหวังสูงสุดที่เหลือในตอนนี้คือ..แม่หายเป็นปกติ กลับมาแข็งแรง ใช้ชีวิตได้เหมือนคนอื่นทั่วไป

    โอคาตะเดินตามคุณย่าที่จูงหลานสาวไปจนกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่งไม่ไกลจากตลาด วันนั้นเขาได้กินข้าวปลาจนอิ่มท้อง และในช่วงที่กำลังนั่งกินผลไม้กับเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ เอจิก็กลับมาพอดี

    “อ้าว นี่เด็กที่ไหนล่ะเนี่ย มอมแมมอย่างกับลูกหมาคุ้ยถังขยะ” เอจิมองหน้าเด็กชายที่นั่งข้างลูกสาวปากมอมไปด้วยคราบแตงโม ทว่ายังไม่ทันไรเสียงโยเนะก็ดังขึ้น

    “เฮอะ! ไอเวรนี่มีหน้าไปว่าคนอื่น เด็กนี่มันยังขยันหาเงินกว่าแกร้อยเท่าพันเท่าได้มั้ง” โยเนะว่าลูกชายเสียงแข็ง

    “อะไรกันแม่ คนเขาอุตส่าห์เอาเงินมาให้ วันนี้ได้เงินเป็นกระบุง” เอจิบอกพลางยื่นถุงพลาสติกสีดำที่หิ้วมาส่งให้โยเนะ ในนั้นมีเงินจำนวนมากมาย แต่พอคนเป็นแม่เปิดดูก็โยนถุงนั่นคืนลูก

    “เอาเงินของแกไปใช้หนี้เถอะ เมียแกจะได้ไม่ต้องทำงานงกๆ คอยวิ่งหนีเจ้าหนี้หัวซุกหัวซุนอีก ไม่สงสารเมียก็เห็นแก่ลูกบ้าง ริเอะจังโตขึ้นทุกวันๆ แกอยากให้ลูกจำว่ามีพ่อเป็นนักพนันหรือไง”

    “หนี้น่ะใช้หมดแล้ว ไม่เชื่อแม่ไปถามใครก็ได้นะ ตามไปใช้ที่แม่ยืมมาช่วยผมด้วย วันนี้มือขึ้นจริงๆ เงินเหลือเยอะแยะเชียว” เอจิพูดอย่างอารมณ์ดีพลางหยิบแตงโมที่โยเนะปอกใส่จานมากินคำโต

    “ก็ดี แต่ถ้าพอจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้ก็แบ่งให้เด็กตรงหน้ามันสักหน่อยเถอะ”

    “ไม่ต้องหรอกครับคุณย่า ผมเกร็งใจ” โอคาตะรีบออกปาก โบกไม้โบกมือพัลวัน

    “เกร็งใจทำไมกัน ลุงเขาได้เงินร้อนมา รับๆ ไปเถอะน่า”

    “เดี๋ยวนะแม่!” เอจิมองหน้าเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้าวัยรุ่นเต็มตัว “มิจฉาชีพหรือเปล่าเนี่ยเรา

    เอจิมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยตั้งแง่ ทว่าไม่ทันไรก็มีสิ่งหนึ่งลอยมากระแทกศีรษะเขาอย่างจัง

    ตุบ!

    “โอ๊ย! แม่”

    โยเนะที่หยิบหมอนออกมาตบๆ เพื่อตากแดดนั้น ถึงกับยั้งมือตัวเองไม่อยู่ จนต้องเอาหมอนใบเล็กนุ่มนิ่มขว้างไปที่ลูกชายตัวดีของเธอ

    “แกน่ะสิโจร ปล้นฉันไปตั้งเท่าไหร่ต่อไหร่ ฉันยังไม่ว่าสักคำเลย” โยเนะทำหน้าถมีงทึงใส่เอจิ ก่อนจะออกปากอธิบายว่าทำไมตนถึงได้เอ็นดูเด็กผู้ชายตรงหน้านัก “พ่อเด็กนี่เขาพาลูกแกมาส่งฉันต่างหากล่ะ ฉันน่ะดันพลัดหลงกับริเอะจังตอนไปซื้อของ เดินตามหาอยู่เกือบชั่วโมงเชียว ใจหายใจคว่ำหมด”

    “อ่อ” เอจิพยักหน้า ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “ว่าแต่เราหน้าคุ้นๆ นะ”

    “เด็กนี่ทำงานรับจ้างแถวบ่อนที่แกชอบไปนั่นแหละ ริเอะจังคงจะเดินไปหาแกที่นั่นล่ะมั้ง ถึงได้เจอกัน” โยเนะบอก

    “เด็กรับจ้างวิ่งซื้อของในบ่อนใช่มั้ย?” คิ้วข้างหนึ่งของเอจิเลิกขึ้นสูงเมื่อความจำเลือนลางชัดเจนขึ้น

    “ครับ” โอคาตะพยักหน้ารับ

    “ว่าแล้วเชียวหน้าคุ้นๆ” เอจิบอกก่อนจะหยิบเงินก้อนหนึ่งส่งให้ แต่โอคาตะนิ่ง ไม่ยอมรับไป “รับไปเถอะน่า นายคงทำงานตัวเป็นเกลียวเลยล่ะสิ คงหาเงินเรียน”

    “ผมมีทุนการศึกษาอยู่แล้วครับ” โอคาตะบอก “ได้ทุนเรียนจนจบการศึกษา”

    “แล้วหาเงินเยอะแยะไปทำไม” เอจิทำหน้ายู่

    “แม่ของพ่อหนุ่มนี่ป่วย เห็นบอกว่าจะเอาเงินไปเป็นค่าผ่าตัดแม่น่ะ” โยเนะตอบแทนโอคาตะที่นั่งเงียบ

    “งั้น..” เอจิไม่พูดอะไร เพียงแต่เอาเงินที่ยื่นให้เก็บใส่ถุงตามเดิม “ค่าผ่าตัดแม่นายมันเยอะไป ฉันคงจ่ายไม่ไหวหรอก”

    “อ้าวไอนี่” โยเนอะยืนเท้าเอวมองเอจิ พลางพ่นลมหายใจออกมาด้วยความรำคาญ “ให้แล้วเอาคืนแบบนี้ใช้ได้หรือไง”

    “แค่บอกว่าจ่ายทั้งหมดคงไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้จะใจร้ายขนาดนั้นหรอก” เอจิทำหน้ายุ่งใส่คนเป็นแม่คืนบ้าง “ผมคิดว่าไปส่งเด็กนี่ที่โรงพยาบาล จะได้เห็นกับตาไงว่าเอาเงินไปรักษาแม่จริงมั้ย”

    “ริเอะไปด้วยนะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่เอาแต่นั่งกินไม่ยอมพูดจายกมือขึ้นก่อนจะส่งยิ้มสดใสให้ผู้เป็นพ่อ

    “ไปทำไมกัน นี่นั่นมีแต่คนป่วยเต็มไปหมด ไม่กลัวหรือไง”

    ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    “ริเอะจังอยากไปกับพ่อ ไปหาคุณหมอ”

    “ดีจัง ริเอะจังรู้จักหมอด้วย” เอจิอุ้มลูกสาวมานั่งบนตักของตน ”งั้น พอริเอะจังโตขึ้นก็เลือกแฟนเป็นหมอนะ พ่อกับย่าเราจะได้สบาย เวลาป่วยก็มีคนรักษา ดีจะตาย”

    “ค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้ารับรัวๆ ขณะที่คนเป็นย่าถอนใจ

    “เห้อ สอนลูกแต่ละอย่าง เรื่องดีๆ ทั้งนั้นเลย” ถึงปากจะบ่นอุบตามประสา แต่มือไม้ไม่หยุดทำงานบ้านสักนิด มิหนำซ้ำโยเนะยังไม่ลืมที่จะหันไปกำชับกับเด็กชายตัวมอมด้วยว่า “เออนี่เราน่ะ ย่าเอาของกินกับผลไม้ใส่ถุงให้แล้วนะ เอาไปเยี่ยมแม่ด้วยล่ะ คนป่วยต้องได้กินของดีๆ นะรู้มั้ย จะได้หายเร็วๆ”

    “ขอบคุณครับคุณย่า” โอคาตะยืนขึ้นตัวตรง ก่อนจะโค้งคำนับอีกฝ่าย ซึ้งในน้ำใจของคนบ้านนี้มาก ที่ทั้งให้ข้าวปลากินจนอิ่มท้อง แล้วยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ไปถึงมารดาอีก

    ไม่เคยมีใครดีกับครอบครัวของเขามาก่อนเลย

     


    หลังจากที่แม่เสีย โอคาตะก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังเดิม เอาเงินเก็บมาใช้ประทังชีวิตและยังรับจ้างทำงานตอนที่ตนเองมีเวลาว่างเสมอ

    ถึงจะเป็นเด็กที่ชีวิตอาภัพนัก แต่การเรียนและความสามารถที่พระเจ้าประธานมาชดเชยในส่วนที่ขาดก็ทำให้โอคาตะต่อชะตาชีวิตของตนด้วยโอกาสที่เข้ามา

    เด็กหนุ่มได้เป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน แล้วยังเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลที่พาทีมชนะอีกด้วย

    หลังมารดาจากไป 1 ปี โอคาตะก็เข้ารับรางวัลของโรงเรียน แต่ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างในตัว ทำให้ขณะที่เขากำลังจะรับรางวัลกับนายทุนผู้สนับสนุนโรงเรียนนั้น โอคาตะเห็นชายชุดดำเล็งปืนมายังคามิน นาโอกะ

    คามินกำลังรับโล่จากครูเพื่อเอามามอบให้เขา เพราะความไม่ทันระวังตัวเองจากคนที่ปองร้าย โอคาตะก็ถือโอกาสก็พุ่งเข้าหาคามินด้วยความเร็ว จนคามินล้มไปกับพื้นก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น

    ปัง!

    ในงานรับรางวัลของโรงเรียนมีคนถูกยิง แต่ไม่ใช่คามิน แล้วในเหตุการณ์ที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย โอคาตะที่โดนคามินทับอยู่เหนือร่างก็เห็นว่าคราวนี้คนที่หมายจะเอาชีวิตคามินกลับเป็น รปภ.ของโรงเรียนที่อยู่ในงาน

    ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะลั่นไก โอคาตะก็ใช้แรงทั้งหมดพลิกร่างของคามินให้หลบวิถีกระสุนที่จะพุ่งเข้ามาหา เขาขึ้นคร่อมคามินเอาไว้ เอาร่างตัวเองเป็นโล่กำลัง แล้วตอนนั้นกระสุนก็เจาะเข้าที่หลัง

    เสียงกรีดร้องดังขึ้น ภาพนัยน์ตาของโอคาตะดับวูบลง ทุกอย่างมืดมิดไปหมด กว่าจะรู้สึกตัวก็ผ่านไป 2 วัน

    เด็กหนุ่มรอดชีวิตจากการช่วยชีวิตคนอื่น เขาฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่มีใครอยู่เลย แต่ไม่นานก็มีคนเข้ามาพร้อมกับแจ้งข่าวดีว่าเขาได้รับโอกาสจากคามินและจิน นาโอกะ ผู้เป็นภรรยา ทั้งคู่ได้รับเขาให้เป็นลูกบุญธรรมคนแรกของครอบครัว

    แล้วนับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของโอคาตะก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาพ้นจากความโชคร้ายทั้งปวง

    โอคาตะ นาโอกะทายาทบุญธรรมคนแรกของมหาเศรษฐีตระกูล...นาโอกะ




    วันเวลาผ่านนานราว 6 ปี

    ชีวิตของโอคาตะเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งด้วยแต้มบุญที่สั่งสมมาจากชาติก่อน เขาไม่ได้เป็นนักเรียนทุนอีกแล้ว เพราะมีคามินคุณพ่อบุญธรรม และจินผู้เป็นแม่บุญธรรม คอยส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกแท้ๆ นอกเหนือจากเรียนในห้องเรียน โอคาตะยังได้เรียนทั้งดนตรี กีฬา และการต่อสู้หลากหลายอย่าง

    และจากเด็กที่ต้องอดมื้อกินมื้อ โอคาะได้กินอิ่มครบถ้วน ทั้งอาหารชั้นเลิศและขนม ได้กินของอร่อยทุกวัน ได้นอนบนที่นอนนุ่มนิ่ม ห่มผ้าผืนหนา หลับได้เต็มตื่น ฝันดีโดยไม่ต้องพะวงเรื่องอะไรในชีวิตอีก แต่ถึงอย่างนั้นโอคาตะก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวมาตลอด เขาทั้งซาบซึ้งและสำนึกบุญคุณของคามินและจินอยู่เสมอ อะไรที่ตนพอจะช่วยแบ่งเบาภาระได้...โอคาตะก็ทำทุกอย่าง โดยไม่มีปริปากบ่นออกมาเลย

    ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังโต หนึ่งปีหลังจากกลายเป็นลูกบุญธรรมของมหาเศรษฐี ในบ้านของคามินและจินก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกคนคือ..เดน

    เดน ได้เข้ามาเป็นลูกชายบุญธรรมคนที่สอง

    ทีแรกที่โอคาตะเจอเดนเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับพ่อแม่บุญธรรมของตน เขาจำได้ว่าร่างกายของเดนนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลที่เกิดจากการทำร้ายร่างกาย ตามหน้าตา แขน ขา มีบาดแผลเต็มไปหมด แต่เดนก็ยังยิ้มได้ รอยยิ้มของเดนสดใสราวกับไม่เคยผ่านเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิตมาก่อน

    โอคาตะเห็นแล้วก็ทั้งสงสาร ทั้งสะท้อนใจ และดีใจที่มีเพื่อนเพิ่ม เขาดูแลเดนอย่างน้องชายที่เข้าใจกันมาตลอด คามินและจินเองก็สอนเสมอว่าให้ทั้งสองคนรักใคร่กันเหมือนกับพี่น้องที่คลานตามกันออกมา

    กระทั่งสองหนุ่มสนิทกันแล้ว ปีถัดมาคามินและจินก็ได้รับอุปการะน้องสาวคนเล็กอย่าง...เฉิง ซูมี่

    เฉิง ซูมี่ เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทจิน ทำให้โอคาตะกลายเป็นพี่ใหญ่ของบ้านที่คอยดูแลน้องๆ

    สามคนพี่น้องมีนิสัยต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉิง ซูมี่ปิดปากเงียบเกือบปีจากเหตุการณ์สุดสะเทือนใจที่เธอเจอมา เลยไม่ยอมพูดจากับใคร แต่พอเริ่มปรับตัวได้โอคาตะกับเดนถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วซูมี่เป็นเด็กสาวที่สดใสและเปล่งประกายราวกับผืนน้ำทะเลที่สะท้อนแสงอาทิตย์ สวยเรืองรองน่ามองยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก

     และนอกจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวแล้ว คามินและจินยังเริ่มให้ลูกๆ ของตัวเองตามไปทำงานตามสถานที่ต่างๆ ด้วย ในวันหนึ่งคามินได้พาโอคาตะออกไปข้างนอกเพื่อเจรจาธุรกิจ

    ทันทีที่มาถึงนั้น โอคาตะเห็นสถานที่ที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่นี่มีการเปลี่ยนแปลงไปแค่เล็กน้อย ตรอกแคบๆ ที่มีบ่อนพนัน มีนักเล่นเดินขวักไขว่ ถัดไปอีกซอยเป็นอาคารบ้านเรือนที่อยู่อย่างแออัด มีกองขยะที่เขาเคยคุ้ยเขี่ยหาของเอาไปขายเพื่อรักษาแม่

    ภาพในอดีตย้อนคืนกลับมา ตอนที่เขาอยู่กับแม่มีความสุขดี แม้จะต้องอดอยากเพราะความยากจนข้นแค้นก็ตาม

    “รอพ่ออยู่แถวนี้ก่อนนะ พ่อจะเข้าไปทวงหนี้สักหน่อย” คามินบอกลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มๆ มือหนึ่งวางไว้บนไหล่เด็กหนุ่มตบเบาๆ

    “ผมขอไปเดินเล่นรอได้มั้ยครับคุณพ่อ” โอคาตะมองไปรอบๆ แม้ที่นี่จะไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก แต่มันก็คือสถานที่ที่เขาคุ้นเคยมาเกือบชีวิต

    “ได้สิ” คามินเอ่ยปากอนุญาต ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อตนยัดใส่กระเป๋ากางเกงโอคาตะ “พ่อลืมไปเลยว่าแถวนี้ถิ่นเรา แล้วนี่อยากกินอะไร อยากได้อะไร ก็ซื้อได้เลยนะ พ่ออาจจะต้องเจรจากับลูกหนี้นานหน่อย เรื่องใหญ่ทีเดียว”

    “ไม่ให้ผมเข้าไปด้วยจริงๆ เหรอครับ?” จากที่ตั้งใจจะไปเดินเล่นดูความเปลี่ยนแปลง โอคาตะกลับเปลี่ยนใจยืนขาแข็งและทำท่าว่าจะตามพ่อบุญธรรมเข้าไปด้านในด้วย นั่นเพราะเขาจำได้ว่าคามินเคยถูกคนปองร้ายหมายเอาชีวิต ก็เลยอดห่วงไม่ได้

    “อย่าเลย มันไม่ใช่ที่ที่ดีนักหรอก” คามินส่ายหน้า ก่อนจะมองไปยังคนติดตามมาดนิ่งที่ตนพกพามา “ลูกก็รู้นี่ว่าที่นี่ไม่ดี แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะพ่อมีคนคุ้มกันเยอะแล้ว พ่อไม่ยอมเป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก”

    “ถ้าอย่างนั้นผมจะโทรหานะครับ ถ้าพ่อออกมาก่อนหนึ่งชั่วโมง ผมคงอยู่แถวๆ สวนสาธารณะใกล้ร้านหนังสือ” โอคาตะชี้ไปยังอีกฝั่งของถนน ซึ่งคามินก็พยักหน้ารับรู้

    “ได้สิ พ่อจะไปรับเราแถวๆ นั้นนะ”

    “ครับ”

    โอคาตะพูดแล้วโค้งคำนับ ก่อนจะเดินออกจากตรอกแคบๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่เคล้ากับกลิ่นอับชื้น ขณะที่คามินเดินเข้าไปในบ่อนพันพร้อมกับผู้คุ้มครองสามคน

    โอคาตะข้ามถนนมายังฟากของร้านหนังสือที่ตั้งเด่น หากเดินย้อนเส้นทางรถ...จากจุดนี้เกือบ 1 กิโลเมตร จะมีบ้านเรือนซอมซ่อหลังหนึ่ง อยู่ในตรอกแคบๆ บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่เขากับแม่อาศัยอยู่จนกระทั่งแม่จากโลกนี้ไป

    เด็กหนุ่มเดินเล่นมองทุกอย่างรอบตัวที่แทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมนัก ร้านหนังสือที่เขาอยากเข้ามาตลอด แต่ไม่มีโอกาสเพราะไม่มีเงิน ร้านขนมที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย สนามเด็กเล่นสาธารณะ...ที่แม้จะเดินเข้าออกได้อย่างไม่ต้องเสียเงิน แต่สำหรับเด็กผู้ชายอย่างเขาไม่มีเวลานั่งพักหายใจด้วยซ้ำ ก็เลยไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เด็กคนหนึ่งควรจะมี

    โอคาตะเริ่มจากการซื้อขนม เดินเข้าร้านหนังสือ ทำทุกอย่างอย่างที่ตอนเด็กอยากทำ ก่อนจะเดินไปยังสวนสาธารณะ แล้วนั่งตรงชิงช้าไกวไปมา

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่อากาศเวลานี้ดีมาก มีแดดอ่อนๆ กับลมหนาวพัดมาเป็นระยะ ขนมที่โอคาตะซื้อมากินเล่นระหว่างรอพ่อก็เริ่มร่อยหรอลงไป พออิ่มแล้ว ก็หยิบหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมาอ่าน แต่ในตอนนั้นเสียงหนึ่งก็ดังแว่วเข้าหู

    “ริเอะจะเล่นของเล่น ไม่ไปกับย่า” เสียงนั้นทำให้โอคาตะละสายตาจากหนังสือ ไปมองเด็กหญิงวัยสิบขวบ ที่เดินมากับย่าของตน

    คุณย่าโยเนะยังเหมือนเดิม ใบหน้าอิ่มเต็มอย่างคนใจดี แก้มสีแดงเรื่อด้วยเลือดฝาด รูปร่างท้วมขึ้นจากเดิมเล็กน้อย แม้จะมีริ้วรอยเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลย แต่โอคาตะจำท่านได้ดี คุณย่าที่เคยเมตตาเขากับเด็กหญิงที่เคยร้องไห้เพราะเดินหลงทาง เขาได้เจอทั้งคู่อีกครั้ง

    ริเอะจังโตขึ้นจากเดิมมาก ใบหน้ามีความเป็นเด็กสาวแสนสวยฉายแวว เธอมีรอยยิ้มและดวงตาสดใสสุกสกาว เวลานี้ริเอะจังอยู่ในชุดนักเรียน มัดผมสองข้าง เดินจับมือโยเนะ เหมือนกับภาพที่โอคาตะเห็นเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด

    “เห้อ วันนี้จะเอาแต่ใจตัวเองทั้งวันเลยหรือไงฮึ” โยเนะถอนหายใจ พลางทำหน้านิ่ว นั่นเพราะนอกจากวันนี้หลานสาวของเธอจะงอแงจนเอาชนะฮานาโกะผู้เป็นแม่ให้พามาส่งที่นี่ได้แล้ว ริเอะจังยังตามเธอต้อยๆ พอจะออกมาตลาดเพื่อซื้อของ...ริเอะก็รบเร้าขอตามมาด้วยจนได้

    “นะนะ ริเอะจะรอย่าอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนหรอกน่า” เด็กสาวรั้งมือของคนเป็นย่าเอาไว้และไม่ยอมเดินตาม จนโยเนะเหนื่อยใจจะเถียงด้วย

    “งั้นก็ตามใจแล้วกัน” ท้ายที่สุดโยเนะก็อดไม่ได้ที่จะตามใจหลานสาว ริเอะจังดื้อดึงก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นเด็กที่ซนในแบบที่เธอรับมือไม่ไหวเสียหน่อย อีกอย่างถึงวันนี้จะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ ทว่าสวนสาธารณะก็พอมีคนให้วางใจได้บ้าง “แต่เรารอย่าอยู่ตรงนี้นะเข้าใจมั้ย อย่าไปไหนเด็ดขาดเชียว ถ้าเบื่อก็ไปรอที่ร้านหนังสือก่อน แล้วย่าจะไปรับ”

    “ค่า” เด็กน้อยรีบรับปากด้วยท่าทางดีใจ แต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นย่าก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว สองสายตาของโยเนะสอดส่ายมองหาคนรู้จักเพื่อหวังฝากฝังหลานสาวตัวแสบ แต่ดูเหมือนว่าตรงนี้จะไม่มีใครคุ้นหน้าเลย นอกเสียจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเรียบร้อย นั่งอ่านหนังสืออยู่

    “พ่อหนุ่มๆ”

    ทันทีที่โยเนะเดินเข้ามาสะกิดเขา โอคาตะก็รู้ได้ทันทีว่าโยเนะจำเขาไม่ได้ ทั้งที่เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ เขาอาจเปลี่ยนไปมาก ไม่เหลือเค้าโครงของเด็กชายมอมแมมที่หิวเงินจนต้องเดินเตร็ดเตร่คุ้ยขยะมาขายเพื่อประทังชีพ แล้วตอนนั้นริเอะจังเองก็ยังเด็ก..เธอเองก็คงจำเขาไม่ได้เหมือนคุณย่า

    “ครับ” โอคาตะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหญิงร่างท้วม ก่อนจะยิ้มให้

    “ย่าจะเข้าตลาดไปซื้อของสักหน่อย” โยเนะบอกอย่างเกรงใจ พลางชี้ไปที่หลานสาวซึ่งปล่อยมือตนแล้วเดินไปยังของเล่นด้วยท่าทางมีความสุข “ย่าฝากน้องหน่อยนะ เดี๋ยวมา อย่าให้วิ่งซนไปที่อื่นก็พอ”

    “ได้ครับ” โอคาตะรับปากพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ ด้วยท่าทางสุภาพ

    “ถ้าพ่อหนุ่มจะกลับก่อน ก็พาน้องไปฝากที่ร้านหนังสือ หรือไม่ก็ร้านของชำทีนะ ย่าพอจะรู้จักกับเจ้าของร้านอยู่”

    “ได้ฮะ”

    “ขอบใจมากนะ”

    พอฝากฝังหลานสาวเรียบร้อย โยเนะก็เดินข้ามถนน ก่อนจะหายเข้าไปในตลาดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสวนสาธารณะขนาดย่อม

    โอคาตะปิดหนังสือการ์ตูนในมือลง แล้วทอดมองไปยังเด็กหญิงวัยราวสิบขวบ นับจากวันที่แม่เสียก็ผ่านมา 6 ปีแล้ว ชีวิตเขาพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือราวกับได้เกิดใหม่ ในขณะที่ริเอะเองเปลี่ยนไปจากเดิมแค่เธอโตขึ้น

    โอคาตะมองริเอะจังวิ่งไปมาด้วยความเพลิดเพลิน เธอเปลี่ยนเครื่องเล่นจากม้าหมุน ไปยังไม้กระดกบ้าง ราวเหล็กโค้งที่มีรูปร่างคล้ายบันไดเอาไว้ปีนป่ายบ้าง สีหน้าของริเอะมีความสุขมาก จนโอคาตะไม่รู้เลยว่าเด็กที่ ป่วยการเมืองจะสดใสได้มากขนาดนี้

    นี่สิ ช่วงเวลาในวัยเด็กที่เขาใฝ่ฝันอยากมี

    แต่ในตอนที่ริเอะเล่นเครื่องเล่นด้วยความสนุกสนาน ในตอนนั้นก็มีเด็กผู้ชายที่วิ่งไปมาเริ่มเปลี่ยนใจมาเล่นเครื่องเล่นด้วยเหมือนกัน อีกฝ่ายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับริเอะจัง แต่แค่มองท่าทางปราดเดียว...โอคาตะก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคงป่วยการเมืองเหมือนเด็กหญิงที่เขาจับตามองดูอยู่แน่

    และในตอนนั้น ตอนที่ริเอะกำลังจะเล่นสไลเดอร์ เด็กผู้ชายที่เขามองว่าแสบก็ตามริเอะขึ้นไปยังด้านบนด้วย แต่ริเอะยังไม่ทันนั่งดีเลย เด็กคนนั้นก็ออกแรงผลักริเอะอย่างแรง จนเธอตกลงมา

    ตุบ!

    “โอ๊ย!

    ริเอะตกจากสไลเดอร์! เด็กหญิงตัวน้อยไถลตัวลงมาด้วยเร็วมากกว่าปกติ ทว่าด้วยความกลัวว่าตัวเองจะหน้าคว่ำ ริเอะจังเลยเอามือหยั่งพื้น แต่เพราะความเร็วและความแรงบวกกัน...เลยทำให้ไม่ทันได้ระวังตัว มือที่หยั่งพื้นโดนก้อนหินอันหนึ่งบาดเข้าเนื้ออ่อนๆ ทันที

    เด็กน้อยเจ็บจนนิ่วหน้า พอเธอขยับตัวให้พ้นจากตรงนั้น เด็กผู้ชายคนที่วัยไล่เลี่ยกันก็ไถลตัวตามลงมา ริเอะมองเด็กผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาไม่พอใจ แก้มป่อง ตาขุ่น ทว่าพออีกฝ่ายมาถึงพื้นแทนที่จะขอโทษเธอ...กลับแลบลิ้นใส่เสียอย่างนั้น แล้วยังวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตาอีก

    ริเอะจังทั้งเจ็บมือ ทั้งเจ็บใจ แต่เธอเจ็บมือมากกว่าเพราะเลือดออก แล้วยังเริ่มแสบอีก ถึงได้ยกมือปาดน้ำตาตัวเองปรอยๆ

    “เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวทำให้เด็กสาวเงยหน้ามองต้นเสียงนั้น เธอกระพริบตาปริบๆ ทั้งที่น้ำตายังไหลลงมา แต่เพราะอีกฝ่ายดูท่าทางใจดี...ริเอะเลยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือระแวงแต่อย่างใด มิหนำซ้ำเขายังช่วยปัดเศษดินตามตัวออกให้ด้วย

    “คุณย่าฝากเธอไว้กับพี่ บอกว่าเดี๋ยวจะมารับ ถ้าพี่กลับก่อนเธอคงต้องไปอยู่ที่ร้านหนังสือหรือไม่ก็ร้านขายของก่อนนะ” โอคาตะบอก ก่อนจะฉุดมือให้ริเอะจังลุกขึ้นยืน แล้วดันหลังให้เด็กน้อยไปนั่งยังเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ

    “เด็กผู้ชายนิสัยไม่ดีคนนั้นผลักริเอะ พี่เห็นมั้ย” หญิงสาวได้โอกาสก็เอ่ยปากฟ้องเสียงสั่น พลางชี้ไปยังเด็กชายที่อายุไล่เลี่ยกับเธอให้โอคาตะดู ซึ่งอีกฝ่ายกำลังเล่นม้าหมุนทำเป็นไม่สนใจการกระทำของตัวเอง “ไม่ขอโทษริเอะเลย แล้วก็แลบลิ้นใส่ด้วย”

    “แล้วเราเจ็บมากใช่มั้ย ถึงได้ร้องไห้” โอคาตะเองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ตั้งแต่ตอนที่ริเอะจังเล่นนั่นเล่นนี่ แล้วโดนเด็กตัวแสบนั่นผลักตกลงมา แต่ก็คงเดินเข้าไปเอาผิดอีกฝ่ายโต้งๆ ไม่ได้ เขาอายุเยอะกว่า ตัวโตกว่า คนอื่นมาเห็นเข้าคงคิดว่าเขาหาเรื่องเด็ก แต่ยังไม่ทันไร...ริเอะจังก็แบมือที่เจ็บให้ดู บนมือมีรอยกรีดยาวราว 2 เซนติเมตร เหมือนมีดบาด มีเลือดไหลออกมา “เลือดนี่!

    โอคาตะตาโต ไม่คิดว่าล้มเบาๆ บนพื้นดินจะทำให้ริเอะถึงขั้นเลือดตกยางออก




    Loading 100 %

    เพราะชีวิตมีจุดพลิกผันที่แตกต่างกัน
    แล้วโชคชะตาก้นำพาให้ทั้ง 2 คนกลับมาเจอกันอีกครั้ง
    ฝากโอคาตะกับริเอะด้วยน้า เปลี่ยนแนวเขียนให้ดูมีกลิ่นความดาร์กนิดๆ เซ็กซี่หน่อยๆ หวังว่าคนอ่านจะชอบ^^

    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×