คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : (หมอ) = บทที่ 01 ตัวก่อเรื่อง 100 %
บทที่ 1
ตัวก่อเรื่อง
หญิงสาวที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระ กำลังตกใจจนหน้าเสียและทำได้เพียงอ้าปากค้างเติ่งอย่างงุนงงกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เฟิร์นมองเจ๊วาที่ดื่มเครื่องดื่มหน้าตาเฉยสลับกับชายหนุ่มที่ทำตัวเหมือนพวกไอโรคจิตหื่นกามใส่เธอ
“เจ๊คะ เมื่อกี้..คุณคนนี้เค้า....” เฟิร์นพยายามละล่ำละลัก หญิงสาวรวบรวมทั้งสติตัวเองและความกล้า พยายามอย่างยิ่งไม่ให้เสียงและปากสั่นระริกเอ่ยปากฟ้องหัวหน้างานอย่างเจ๊วา แต่มันก็ทำได้ยาก เพราะเธอทั้งกลัว ตกใจ และงุนงงจนแทบจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก
แต่ถึงจะพยายามบอกอะไรไปมันก็คงไม่ทันแล้ว ในเมื่อเจ๊วาของเธอกระดกเครื่องดื่มลงคอไปค่อนแก้วเชียว ทว่าก่อนที่เฟิร์นจะตกใจไปมากกว่านี้ เจ๊วาผู้เป็นนายก็ไหวไหล่อย่างไม่สนโลก พลางขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้เตชสิทธิ์อย่างสนิทสนม แล้วเอาหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“ไม่ใช่ยาหรอกน่า” เจ๊วาหัวเราะออกมา ก่อนจะปรายสายตาไปยังหนุ่มหล่อข้างกาย แล้วทั้งคู่ก็พากันขำออกมาเหมือนว่ามีเรื่องตลกที่รู้กันแค่สองคน “คือ..ยาที่เตชน์หยอดลงในแก้วน่ะ..มันยาปลอม”
“ห๊ะ?”
“ขอโทษนะ ที่เมื่อกี้เล่นกับเธอแรงไปหน่อย” เตชสิทธิ์บอก ขณะขยับท่าทางตัวเองให้นั่งตัวตรงขึ้น พร้อมกันนั้นสายตาที่เคยดูกระเหี้ยนกระหือรือในรสสวาทเผ็ดร้อนก็พลันเปลี่ยนไปกลายเป็นใครอีกคนที่ดูใจดีมีเมตตาแทน
“คะ?” เฟิร์นได้แต่พูดออกมาเพียงคำเดียวแบบนั้น ขณะที่ใบหน้าซีดๆ ของเธอ เวลานี้เหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะเต็มไปหมด
ใช่! เธอต้องการคำอธิบายมากกว่านี้
“ก็แบบ เมื่อกี้น่ะฉันไม่ได้ตั้งใจทำกับเธอแบบนั้นหรอกนะ แต่ฉันถูกเจ๊วาขอร้องมา..” เตชสิทธิ์ยกนิ้วโป้งโบ้ยชี้ไปทางตัวต้นเรื่องที่สั่งการแกมขอร้องให้เขาช่วยตักเตือนหญิงสาวตรงหน้า ซึ่งเธอคิดริอ่านก้าวเท้าเข้ามาทำงานโดยใช้เรือนร่างแลกเงิน
ความจริงงานประเภท Sex Worker มันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย เพียงแต่สังคมบางส่วนยังรับไม่ได้ มองเห็นเป็นเรื่องน่ารังเกียจ อาชีพนี้หากใครเปิดเผยตัวเอง ค่าของความเป็นคนจะถูกกดต่ำลงมากกว่าเดิมหลายเท่า มิหนำซ้ำยังโดนเอาไปนินทาอย่างสนุกปาก โดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดสารพัน นั่นคือโลกของความจริง ทั้งที่มันก็คืองานประเภทหนึ่ง
ส่วนเฟิร์นน่ะเตชสิทธิ์กับเจ๊วาก็แค่เป็นห่วงในฐานะเพื่อนมนุษย์ เด็กสาวมีจิตใจที่มุ่งมั่นอยากจะหาเงินช่วยเหลือคนในครอบครัวโดยไม่คิดถึงตัวเองก่อน มีใจกล้าในระดับนักสู้ที่ไม่กลัวอะไรเลย ตัดสินใจทำอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังด้วยซ้ำ เพราะแบบนี้ไงเจ๊วาถึงได้เห็นใจเด็กน้อยที่ไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก เพราะถ้าเจอลูกค้าประเภทเตชสิทธิ์ขึ้นมาจริงๆ รับรองเลยว่าเฟิร์นเอาตัวไม่รอดแน่ มีแต่จะเอาชีวิตของตัวเองมาทิ้งเปล่าๆ
เห้อ...คนดีก็ควรจะอยู่ในที่ดีๆ สิ ไม่ใช่..ต้องเอาอนาคตมาทิ้งไปแบบนี้ เห็นแล้วมันเสียดาย
“มะ..หมายความว่าอะไรคะ?” เฟิร์นลิ้นแข็งไปชั่วขณะ และพยายามควานหาเสียงตัวเอง ก่อนจะถามออกไปในที่สุด และคำถามจากเด็กสาววัยเอ๊าะๆ เนื้อหวานๆ ทำให้เจ๊วาส่งสายตาให้เตชสิทธิ์ เพื่อยกให้เขาเป็นคนบอกเหตุผลทั้งหมดอีกครั้ง
“ก็แบบ อนาคตเธอน่ะยังอีกไกล แถมจิตใจเธอมันก็ไม่ได้พร้อมมาทำเรื่องอะไรแบบนี้สักหน่อย” ชายหนุ่มบอกตรงๆ แกมดุๆ นิดด้วยซ้ำ “เจ๊ว่าเขารู้ว่าเธอจำเป็นต้องใช้เงินมากด้วยภาระในชีวิตอย่างกับนางเอกในละครน้ำเน่า แต่เธออย่าเอาชีวิตและคุณค่าของตัวเองมาทิ้งไปกับงานพวกนี้เลย ไปหางานดีๆ ทำเถอะไป อายุก็ยังน้อย มือไม้แขนขาก็ไม่ได้พิการ” เตชสิทธิ์โบกมือคล้ายไล่ประกอบคำพูด ส่วนอีกมือก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มดับกระหาย
ขณะที่เจ๊วาเองก็ออกโรงสมทบอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของหมอหนุ่ม
“นั่นสิ ฉันรับเธอเข้าทำงานเพราะเธอเอาแต่อ้อนวอนจนฉันรำคาญจะตายชัก” เจ๊วาต่อว่าตามตรง “แต่ที่รับก็เพราะส่วนหนึ่งนึกสงสารด้วย เฟิร์นเอ้ย..เธอคิดว่าขายตัวแล้วมันจะสบายหรือไง ลูกค้าน่ะมีร้อยแปดพันเก้าของความพิสดารเลยแหละ อีกอย่างถึงยอมขายนาผืนน้อยที่แม่ให้มา แต่ของพวกนี้มันก็มีคุณภาพและราคาความเสื่อมนะยะ อีกอย่างเธอเองไม่ได้ก๋ากั่น พูดกันตรงๆ ว่าโง่จนไม่มีทางเอาตัวรอดได้เลย ถ้าเจอคนจิตๆ แบบนายเตชน์แกล้งเธอขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงเหรอ ไหนบอกเจ๊ซิ”
"มะ..ไม่รู้ค่ะ" เด็กสาวเอาแต่นั่งก้มหน้า ส่ายหน้าไปมา และร้องไห้โฮ
“เพราะแบบนี้ไง เจ๊เลยไม่อยากให้เธอทำงานบ้าๆ พวกนี้ มันควรเป็นทางเลือกสุดท้ายในชีวิตแล้วรึเปล่า หรือถ้าเธอทำเพราะวิ่งตามกระแสสังคม อยากใช้ของหรูหราอวดชาวบ้าน เจ๊คงไม่ปล่อยเธอทำตามใจไปแล้วสิ ไม่สนหรอก” ยิ่งพูด เจ๊วาก็ยิ่งอารมณ์เดือดดาล แต่ยังดีที่เตชสิทธิ์จับไหล่แล้วลูบเบาๆ เพื่อให้เจ๊วาใจเย็นลง “ถามจริง! ไม่เสียดายชีวิตเหรอ ไม่สงสารยายที่นอนป่วยกับน้องที่ต้องรอเธอหาเลี้ยงปากท้องหรือไง ทำงานแบบนี้คิดว่ายายที่นอนป่วยจะภูมิใจและอยากใช้เงินของเธอรักษาตัวหรือเปล่า ถ้าท่านรู้เข้าคงจะตรอมใจพยายามตายให้เร็วขึ้นด้วยซ้ำมั้ง”
“เจ๊ เบาๆ น่า” เตชสิทธิ์ออกปากเตือน เพราะเจ๊วาเริ่มพูดแรงเกินไปแล้ว
“ก็มันจริงนี่ เจ๊เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว” เจ๊วาถอนหายใจ เธอไม่อยากนึกถึงอดีตที่เลวร้ายของตัวเองเลย การเดินในสายอาชีพนี้ถ้าไม่รักสบาย จุดเริ่มต้นมันก็คงไม่ต่างกันมากนักหรอก แล้วอีกอย่างถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากเป็นคนเลวมาตั้งแต่เกิดหรอก
“เจ๊เค้าเตือนเธอเพราะหวังดีนะ ถ้าเจอคนดีมันก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนชั่วล่ะ ถ้าพวกมันลากเธอไปนอนที่อื่นแล้วลักพาตัวไปขายต่อตามซ่องชายแดนล่ะ หรือถ้าคนนึงพาเธอออกไปนอนด้วย แล้วมันเรียกเพื่อนมารอรุมโทรมเธอล่ะ ถ้าพวกมันอัดคลิปเธอเอาไว้ล่ะ แล้วอีกหลายเหตุการณ์ที่น่ากลัว ไหนจะพวกโรคที่ติดจากการร่วมเพศอีก” เตชสิทธิ์บอกอย่างใจเย็น เขาเชื่อว่าแค่นี้เด็กสาวอย่างเฟิร์นก็คงคิดได้ว่าอาชีพนี้มันเสี่ยงอันตรายและน่ากลัวขนาดไหน แล้วมันคุ้มหรือเปล่ากับการแลกเงินเพียงไม่เท่าไหร่ “ฉันเห็นว่าเธอยังเด็ก และดูท่าว่าเป็นเด็กดีพอตัวเลยเตือน ถึงการเตือนของฉันกับเจ๊วามันจะแรงไปหน่อย แต่มันดีกว่าที่เธอจะเจอเรื่องระยำตำบอนกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า ลาออกจากที่นี่ซะ นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ..แล้วอย่าก้าวเข้ามาในวังวนอุบาทแบบนี้อีก”
“ขอบคุณนะคะที่เตือนสติหนู” เด็กสาวยกมือไหว้ปลกๆ
“ส่วนเงิน เธอก็เก็บมันไปใช้จ่ายและตั้งตัวซะ” เตชสิทธิ์ไม่คิดจะเอาเงินที่ให้ไปคืน “ฉันให้ อย่างน้อยเงินก้อนนี้น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระเธอไปได้มากทีเดียว”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
“อ่อ แล้วนี่” หมอหนุ่มหยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ก่อนจะยื่นให้ “ถ้าเธอมองหางาน เจ๊วาบอกฉันแล้วว่าเธอพักอยู่แถวๆ นั้น ถ้าเธอสนใจงานน่ะนะ ที่นี่เป็นคลินิกเพื่อนฉันเอง ไว้ใจได้ว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยไอหมอหมาเนี่ยมันก็เลวน้อยกว่าฉันหลายเท่า”
เตชสิทธิ์เย้าในประโยคท้าย ทำเอาเจ๊วาที่เพิ่งหายเดือด ฟังแล้วก็ถึงกับยิ้มขำ
“ส่วนเรื่องยายของเธอ เธอก็ลองพายายไปที่โรงพยาบาลที่เตชน์ทำงานอยู่ดูสิ ถ้านั่งรถเมล์ก็เกือบชั่วโมงเห็นจะได้ แต่อย่างน้อยเตชน์ก็น่าจะช่วยเธอได้บ้าง” เจ๊วาแนะนำ
เพราะถึงโรงพยาบาลที่เตชสิทธิ์ทำงานอยู่จะเป็นหน่วยงานของภาครัฐ ซึ่งแน่นอนว่าคนไข้คงล้นขนัดในวันธรรมดา และเรื่องการดำเนินการหลายอย่างค่อนข้างล่าช้าไม่เร็วทันใจแบบเอกชน แต่เรื่องฝีมือการรักษาและการบริการก็ไม่ได้ฉ่าวโฉ่ประเภทบอกปากต่อปากว่าแย่จนไม่อยากกลับไปเหยียบอีก
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” เฟิร์นซึ้งน้ำใจของทั้งสองคนจนไม่รู้จะพูดขอบคุณว่าอย่างไรดี
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าโลกของความเป็นจริงอย่างที่เตชสิทธิ์เตือนแรงๆ ประเภททำให้มองเห็นภาพชัดเต็มตามันน่ากลัวมากขนาดไหน ใช่..เธอแค่อยากหาเงินมาหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอด แต่ถ้าเจอคนประเภทเสือ สิงห์ กระทิงเปลี่ยว คนร้อยเล่ห์สารพิษก็คงรับมือไม่ไหวแน่ ถ้าเจอโรคจิตหรือโดนบังคับให้เล่นยาแล้วตนเองเกิดเป็นอะไรขึ้นมา น้องกับยายจะอยู่ได้อย่างไร
เธอจะทำตามที่เตชสิทธิ์และเจ๊วาแนะนำทุกอย่าง เพื่อชีวิตและอนาคตที่สักวันอาจจะสดใสเหมือนท้องฟ้าในวันที่อากาศดี ถึงปลายทางมันจะช้าหน่อย แต่มันปลอดภัยกว่าเส้นทางที่เธอเลือกด้วยความคิดอันตื้นเขินมาก
“ไม่เป็นไร อย่างน้อยฉันก็มีความเป็นคนสูงนะ ช่วยได้ก็ช่วยแหละ ไม่นักหนา” เตชสิทธิ์บอก “แต่ถ้าเธอกลับเข้ามาทำงานในวงการนี้อีก ฉันไม่ช่วยแล้วนะ” เขาไหวไหล่ ในเมื่อให้โอกาสไปแล้ว แต่ถ้าอีกคนไม่รับ เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยตามชะตากรรม เพราะเขาคงไม่ให้โอกาสใครซ้ำสองแน่
“อ่อ..แล้วเจ๊ขอแนะนำอะไรสักอย่างนะเฟิร์น ถ้ามีโอกาสเรียน..เธอก็เรียนซะ ความรู้น่ะมันเป็นเครื่องประดับที่งดงามที่สุดแล้ว” เจ๊วาบอก “คนเราควรมีความรู้เป็นของตัวเอง มันเป็นใบเบิกทางที่มีราคา ความรู้ถ้ายิ่งคู่กับความดีและความกตัญญูที่เธอมี ชีวิตของเธอมันคงเจริญได้ไม่ยาก ไอประเภทความคิดหาผัวรวยๆ รอเขาเลี้ยงน่ะมันโบราณไปแล้ว ผู้ชายไม่ตายจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ จะเอากี่คนก็มี แต่ถ้าจะให้ดีเราต้องหาเลี้ยงตัวเองค่ะ ขอเงินผู้ชายมันไม่เก๋ เข้าใจไหม”
“ค่ะเจ๊”
.................................................................
หลังจากถูกอบรมไปพักใหญ่ เตชสิทธิ์กับเจ๊วาก็ตัดสินใจขับรถไปส่งเฟิร์นที่บ้าน
บ้านพักของเฟิร์นอยู่ในซอยเล็กๆ ใกล้ตลาด รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะถนนในซอยมีไว้สัญจรโดยมอเตอร์ไซด์เท่านั้น เตชสิทธิ์กับเจ๊วาไม่ได้ลงจากรถ แต่มองจนกระทั่งหญิงสาวเดินลับตาหายเข้าไปในซอย ถึงได้พากันขับรถออกจากตรงนั้น
คุณหมอขับรถพาเจ๊วาไปยังคอนโดของเขา ก่อนที่ทั้งคู่จะสนุกกันบนเตียงจนถึงตีสามเห็นจะได้ กระทั่งนาฬิกาในโทรศัพท์ของเตชสิทธิ์ส่งเสียงปลุกตอนเช้า ชายหนุ่มก็งัวเงียตื่นขึ้น ม่านบางส่วนเปิดรับแสงอาทิตย์สีทองชวนแสบตา ทำให้เขาต้องหรี่ตาลงนิดหน่อย
“อ้าวเจ๊ ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เตชสิทธิ์บิดตัวเล็กน้อยไล่ความเมื่อยล้า และความง่วง เขาเห็นเจ๊วานั่งอยู่บนเตียงข้างกัน แต่อีกฝ่ายกึ่งนั่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว ผมยาวระบ่านั้นดูเหมือนเพิ่งแห้ง สายตากำลังจับจ้องดูข่าวเช้าในโทรทัศน์
ใช่ ถ้าถามความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ๊วาก็คงเป็นอย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหละ ระดับหมอเตชน์...จะหากินทั้งทีก็กินตัวแม่อย่าเจ๊วาไปเลยดีกว่า
ทีแรกเขารู้จักเจ๊วาเพราะเที่ยวกลางคืนและใช้บริการลูกทีมเจ๊วาอยู่บ่อยครั้ง มีถูกปากบ้างและไม่ได้เรื่องอะไรเลยก็มี แน่นอนว่าเขากับเจ๊วาก็เคยกินมาก่อนหน้านี้แล้วในฐานะที่เขาเป็นลูกค้าคนหนึ่ง จนกระทั่งตอนนี้เขากับเจ๊วาอาจเรียกว่าเป็น ‘คู่ขา’ ที่เข้าใจกัน เป็นเพื่อนสนิทสนมถึงขั้นนอนแก้ผ้าคุยกันได้แบบเปิดอก โดยที่เขาไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้เจ๊วาสักบาท
ความสัมพันธ์แบบนี้หมอหนุ่มคิดว่ามันก็ดีนะ ไม่ใช่ดีที่กินแล้วไม่ต้องจ่าย แต่มันดีตรงที่เจ๊วาน่ะไม่ใช่ผู้หญิงฟิลแฟน ฟิลเมีย แค่เพื่อนที่วางใจได้ เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด
“ตื่นเกือบชั่วโมงแล้วน่ะ” เจ๊วาหันมามองคนเพิ่งตื่น พอเห็นว่าเตชน์จะหลับตาลงอีกครั้งก็เขย่าตัว “นี่หมอ...ไม่รีบไปทำงานหรือไงกัน ตอนเช้ารถติดจะตายชัก เดี๋ยวก็ไปสายกันพอดีหรอก”
“ก็ได้” คุณหมอหนุ่มถอนหายใจออกมา ก่อนจะหยัดตัวค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ท่อนบนเขาเปลือยเปล่า ท่อนล่างยังดีที่มีผ้าห่มคลุมไว้ “งั้นผมไม่ไปส่งเจ๊นะ”
“อืม ไม่ต้องหรอก เจ๊กลับเองได้น่า แต่ก่อนไปทำงานน่ะ เอาขนมปังที่เจ๊ทำให้ไปกินด้วยนะ” เตชสิทธิ์พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะลุกจากเตียงไม่สนใจผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างของตัวเอง แล้วเดินโทงๆ เข้าห้องน้ำ ยกมือเกาหัวที่ยุ่งเหยิง “เออจริงสิ..เจ๊โอนเงินให้แล้วนะ”
“ขอบคุณมากเจ๊” ชายหนุ่มส่งเสียงก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ
เงินที่เจ๊วาบอก มันเป็นเงินที่เมื่อคืนเขาให้เด็กที่ชื่อเฟิร์นไปตั้งตัวตั้งสามหมื่นบาท เขากับเจ๊วาออกกันคนละครึ่ง แต่ช่างประไร..ถ้าให้แล้วใจมีความสุขจะจำนวนเท่าไหร่ใครจะสน
.....................................................
ณ ลานจอดรถของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลเกษมมิตร
ในชั่วโมงเร่งด่วน ทันทีที่หมอหนุ่มลงจากรถแล้วกำลังจะเดินไปกดลิฟต์นั้น พยาบาลสาวที่เขาเคยนอนด้วยก็โผล่พรวดออกมาจากมุมหนึ่ง ก่อนที่เธอจะยกมือฟาดเข้าที่ใบหน้าของหมอหนุ่มเต็มแรง
เพี๊ยะ!
เสียงวิ๊งดังก้องในหู ขณะที่เตชสิทธิ์ถึงขึ้นสบถในใจเบาๆ
แหม! ตื่นเต็มตาเลยกู!
“เดี๋ยวนะ นี่ตบเรื่อง?” เขาถาม คิ้วข้างนึงเลิกขึ้นสูง ทว่าหน้าตาไม่มีสะทกสะท้านสักนิด แต่เจ็บน่ะยอมรับเลยว่าเธอแรงดีใช้ได้
ขณะที่ฝ่ายชายยืนมองด้วยท่าทีห่างเหิน พลางเอาลิ้นดันกระพุ้งปากตัวเองเบาๆ ด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่ตัวเองก่อ ไม่มีแม้กระทั่งเยื่อใยที่เคยผูกพันธ์ ทำให้เธอยิ่งโกรธ
“ยังจะถามอีก!” คนพูดตาแดง น้ำตาคลอเบ้า ตั้งท่าโวยวายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต “นี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง ทำให้ฉันต้องลดศักดิ์ศรีตบแย่งนาย ต้องอับอายตั้งเท่าไหร่ ไหนจะยังต้องโดนลงโทษอีก ขอโทษสักคำยังไม่มี! โทรหาสักครั้งก็ไม่เคย!”
“แล้วจะแย่งไปเพื่อะไร ในเมื่อผมไม่คิดจะเลือกใครเลย คุณเองก็รู้แก่ใจว่าผมหวังฟัน พูดตรงๆ นะ ชื่อยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ” เตชสิทธิ์ถอนหายใจ เอามือล้วงกระเป่ากางเกง “แล้วผมบอกเหรอว่าเราเป็นแฟนกัน บอกตอนไหน ผมว่าเรานอนด้วยกันเพราะความพอใจทั้งคู่มากกว่า”
“สารเลว!” หญิงสาวตั้งท่าง้างมือขึ้นอีกรอบ หวังฟาดเขา แต่เตชสิทธิ์จับแขนเธอไว้กำมันแน่น
“นี่ แล้วอย่าเที่ยวตัดสินว่าใครเลวเพราะตัวเองไม่ได้ดั่งใจสิ เพราะคุณเองก็ใช่ย่อยที่ไหน แหม..นอนด้วยกันแค่ครั้ง สองครั้ง ผมยังรู้เลยว่าคุณน่ะ..เป็นพวก ‘มาก’ ประสบการณ์ ท่าทางเที่ยวบินจะสูงจัดเลย”
คนถูกด่ากลายๆ ได้แต่ยืนหน้าแดง ตาแข็ง ทำเสียงฮึดฮัดขัดใจที่เขาพูดจาจี้ใจดำกันแบบตรงจุด ก่อนจะพูดยั่วโมโหเล่น
“นี่คุณ ท่าจะแอ๊บทำตัวเป็น ‘ผ้าพับไว้’ ก็แอ๊บให้มันนานๆ หน่อย ไม่ใช่พอถูกใจใช่เลย ก็เผลอปล่อยธาตุแท้ออกมา ไส้มีกี่ขดเขาก็เดาได้หมดแหละน่า ผู้ชายมันไม่ได้โง่หรอก แต่มันขึ้นอยู่กับว่าอยากได้ หรือไม่อยาก แต่แหม..ผู้หญิงเสนออ่ะนะ ใครมันจะโง่ไม่สนองล่ะวะ”
สิ้นประโยคของหมอหนุ่ม แม่สาวพยาบาลก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาจนเตชสิทธิ์ยกมืออุดหูแทบไม่ทัน
“โอ้ย! นี่ว่างๆ ไปพบจิตแพทย์บ้างนะ ก่อนที่คุณจะเป็นบ้าไปซะก่อน”
ความคิดเห็น