ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในอ้อมแขนคุณ อุ่นไปถึงหัวใจ ♥

    ลำดับตอนที่ #19 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 12 :: ตีตัวออกห่าง 100 %

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 65


    ในอ้อมแขนคุณ...
    อุ่นไปถึงหัวใจ 


    บทที่ 12 - ตีตัวออกห่าง


    หลายวันต่อมา

    ในหลายวันที่ผ่านมา แม้วารวารีจะออกมาจากโรงพยาบาลเพราะรักษาตัวหายดี ตรวจอย่างละเอียดจนแน่ใจว่าไม่พบอะไรผิดปกติ กระดูกเธอยังอยู่ครบ 206 ชิ้นดี และกลับมาทำงานตามปกติได้อย่างเดิมแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความวุ่นวายภายในโรงแรมยังเหมือนเดิม

    ลูกค้าเข้ามาพักไม่ขาดสาย แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ใช่ช่วงพีคของต้นฤดูร้อนที่ผู้คนมักมาท่องเที่ยวเก็บภาพบรรยากาศของทะเลสีฟ้าออกเขียวมรกตแสนสวยกับหาดทรายขาว แต่ห้องพักแทบทุกห้องรวมถึงโซนพักประเภทวิลล่าส่วนตัวที่ถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ยังมีคนจองเต็มไปอีกหลายเดือน แม้ว่ามันจะค่อนข้างแพงแสนแพงก็ตาม

    อย่างน้อยสำหรับเด่นคุณ ถึงจะเจอเรื่องไม่ดีให้ต้องปวดหัวมามาก แต่กิจการของเขาในตอนนี้ถือว่ากำลังรุ่งโรจน์เลยก็ว่าได้

    วารวารีกลับมาทำงานตามเดิม หญิงสาวเข้ากะจับคู่กับบุญชญา และเท่าที่รู้จากปากเพื่อนสาว...ชลิสายังไม่กลับมาทำงานเลย ไม่มีใครติดต่อชลิสาได้ แต่อาการเท่าที่บุญชญาเล่ามานั้น ก็ดูเหมือนว่าจะสาหัสอาจต้องพักฟื้นเป็นอาทิตย์กว่าจะหายดี

    “นี่วาฬ ฉันเพิ่งรู้ข่าวจากพี่เดย์ว่าคุณคุณให้พี่มิรินทร์หาพนักงานเพิ่ม เปิดประกาศรับสมัครตั้งหลายตำแหน่งแน่ะ”

    “แล้วแผนก Reception เราล่ะ พี่มิรินทร์ประกาศรับคนด้วยหรือเปล่า?” วารวารีถามขณะที่สายตายังจับจ้องคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ลงตารางรับลูกค้าจากสนามบินมายังโรงแรม รวมถึงส่งลูกค้าในวันพรุ่งนี้ด้วย

    “ก็ประกาศรับคนเพิ่มสองคน” บุญชญาบอก ก่อนจะทำหน้าหงอย “ก็นะ ตำแหน่งเราน่ะ มีคนน้อยจะตายไป ไม่พอด้วยซ้ำ ดูอย่างวันที่วาฬเข้าโรงพยาบาลสิ วุ่นวายเสียจนคุณคุณต้องมาทำหน้าที่แทน”

    วารวารีเห็นด้วยอย่างมาก เอาเข้าจริงพนักงานในโรงแรมก็มีแบบพอดีมากๆ อยู่แล้ว พอเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา ทุกคนเลยต้องวิ่งวุ่นไปช่วยแผนกนั้นที แผนกโน้นที แต่เท่าที่เธอรู้ เด่นคุณยังไม่จ้างพนักงานเพิ่มเพราะในบางช่วงนักท่องเที่ยวก็ซาเสียจนเจ้าของกิจการถึงขั้นเอามือก่ายหน้าผากกันเลยทีเดียว

    “ไปเถอะ ฉันลงตารางของลูกค้าเรียบร้อยแล้วล่ะ” หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล เธอก็โหมงานหนักชดเชยกับที่หยุดไปนานหลายวันจนพาให้เกิดเรื่องเล่าลือแปลกๆ ขึ้น พอทุกคนเห็นว่าเธอตั้งใจทำงานและก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเด่นคุณ ข่าวลือก็ค่อยๆ ซาลงไปเอง

    อีกอย่างเธอยังไม่เจอเด่นฤทธิ์ และปู่เจ้าที่ทั้งสองคนเลย ไม่รู้ว่าทั้งสามคนจะเป็นยังไงกันบ้าง

    แต่...แม่ผีสาวตัวนั้นก็คงเจ็บหนักไปไม่น้อยเหมือนกัน

    “อ้าว...จะกลับเลยเหรอ เราไปหาอะไรกินด้วยกันก่อนมั้ย” บุญชญาเห็นว่าเวลานี้ยังไม่มืดมาก แล้วเธอก็หิวมากด้วย เวลาทานข้าวแทบไม่มีเพราะต้องบริการลูกค้าแทบจะตลอดเวลา ช่วงนี้ทำงานตัวเป็นเกลียว ต้องรับมือกับปัญหาสารพันร้อยแปดอย่าง เลยใช้พลังงานมากกว่าปกติ ท้องไส้เลยยิ่งต้องการอาหาร

    “นั่นสิ ฉันเองก็หิวเหมือนกัน” วารวารีลูบท้อง “งั้นก๋วยเตี๋ยวในเมืองมั้ยล่ะ บุ้งต้องไปขึ้นรถตรงนั้นอยู่แล้วนี่นา จะได้ไม่ต้องนั่งรถโรงแรมออกไปไง”

    บุญชญาไม่ได้ขับรถมาทำงานเหมือนกับเธอ อีกฝ่ายอาศัยนั่งรถสองแถวที่ขับผ่านหน้าโรงแรมและวนเข้าในเมือง แต่พอเลิกงานทีก็อาศัยรถโรงแรมไปลงหน้าปากซอยบ้าง หรือไม่ก็ติดรถเพื่อนร่วมงานคนอื่นไป

    พอสองสาวตกลงกันได้แล้ว วารวารีก็ขับรถมอเตอร์ไซด์คู่ใจพาเพื่อนสาวไปทานอาหารในตัวเมือง ซึ่งมันเป็นทางผ่านที่จะกลับบ้านอยู่แล้ว ทั้งสองคนเลือกทานก๋วยเตี๋ยวไก่ริมทาง การได้ซดน้ำซุปร้อนๆ ก็พอจะช่วยเรียกพลังที่เหือดหายไป ให้กลับคืนมาได้บ้าง

    “พักนี้งอนกับคุณคุณเหรอ?” บุญชญาถามเพื่อน เมื่อสบโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะเธอรู้สึกว่าเพื่อนทำตัวตั้งใจทำงานเกินไปเหมือนกับว่าพยายามหลบหน้าเด่นคุณอยู่ “คือฉันอยากรู้ก็เลยถามเธอตรงๆ ดีกว่าเดาสุ่มๆ ไปเอง อีกอย่างฉันเห็นนะว่าเธอแกล้งเมินคุณคุณ”

    “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ..”

    “นี่วาฬ ถึงเราจะงานยุ่ง หรือโรงแรมจะวุ่นวายจนพนักงานคนอื่นหัวฟู ผมเผ้าพันกันอย่างกับรังนก แต่คุณคุณก็แอบมาด้อมๆ มองๆ ที่แผนกเราบ่อยจะตายไปนะ เธอเองดูตั้งใจทำงานเกินเหตุจนไม่สนใจคนรอบข้างเลย คุณคุณยืดคอมองเธอจนคอยาวเป็นยีราฟแล้ว แบบนี้ถ้าไม่งอนกัน จะให้เรียกว่าอะไรล่ะ”

    “คิดมากน่า ก็ลูกค้าเยอะนี่นา เลยทำงานจนไม่ทันเห็นอะไร” วารวารีบอกปัด “แล้วที่ตั้งใจทำงานมากๆ เพราะรู้สึกผิดต่างหากล่ะ เธอก็เห็นนี่ว่าก่อนหน้านี้ฉันหยุดไปเยอะมาก เลยไม่อยากโดนคนอื่นมองว่ากินแรงเพื่อน หรือมีอภิสิทธิ์เหนือใคร”

    วารวารีส่งตะเกียบกับช้อนให้บุญชญา เธอพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด แต่เรื่องทะเลาะผิดใจระหว่างตนกับเด่นคุณนั้นไม่มีจริงๆ ขนาดตอนที่นอนพักฟื้นรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอก็ยังพูดจากับเขาปกติ เพียงแต่ที่พยายามปลีกตัวเองออกมาก็เพราะคิดว่ามันไม่เหมาะสมที่คนอื่นเอาเรื่องของเธอไปตีความกันเอง พูดเอาสนุกปาก ทั้งที่ไม่มีมูลความจริงสักนิด

    เธอเสียหายก็จริง แต่เด่นคุณคงเสียหายหนักกว่า

    “ไม่ใช่ว่าจะสยบข่าวลือหรอกใช่มั้ย” บุญชญาถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมงาน “แต่จะคบกันก็ไม่แปลกอะไรนี่ เธอกับคุณคุณก็ดูเหมาะสมกันดีจะตายไป อีกอย่างตอนที่คุณคุณมาช่วยงานนะ ฉันรู้สึกผิดคาดมากเลย เขาทั้งน่ารักและยังคุยเก่ง เป็นกันเองสุดๆ ทีแรกคิดว่าเงียบ ดูขรึมๆ ซะอีก”

    “นี่บุ้ง ไม่มีพนักงานที่ไหนเหมาะสมกับเจ้าของโรงแรมหรอกนะ นี่ชีวิตจริงไม่ใช่ละคร” วารวารีถอนหายใจ “เราสองคนต่างกันเกินไป แล้วอีกอย่างฉันก็แค่ทำงานพิเศษที่คุณคุณสั่งเท่านั้นเอง ไม่ได้คบกัน ไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”

    “งานพิเศษอะไร?” บุญชญาถามด้วยความสนใจ ดวงตาที่สุกใสเป็นทุนเดิมส่องประกายวับวาวทันที

    “ฉันยังบอกเธอไม่ได้หรอก” วารวารีทำสีหน้าลำบากใจ “แต่มันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนกำลังแพร่กระจายข่าวลือ แบบนั้นคุณคุณเสียหายแย่”

    “นั่นสิ ความจริงฉันน่าจะถามเธอโดยตรงเลย ไม่น่าฟังจากคนอื่น แล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะ” บุญชญาเองก็รู้สึกผิดที่ดันไปเชื่อข่าวโคมลอยมั่วๆ พวกนั้น แทนที่จะถามจากปากเพื่อนตัวเองไปเลย “แต่เอาเถอะ ฉันจะเชื่อเธอ ไม่คาดคั้นถามอะไรทั้งนั้น”

    วารวารียิ้มรับ เธอรู้ว่าบุญชญาจริงใจและเป็นห่วงเธอเหมือนกับเพื่อนที่คบหากันมานานหลายปี และสามารถพูดคุยเปิดอกกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งมันไม่บ่อยนักหรอกนะที่จะเจอเพื่อนร่วมงานที่จริงใจและรู้สึกสนิทใจเวลาคุยกันได้อย่างนี้

    “ฉันจะเชื่อเธอ แม้จะถามคุณคุณแล้ว คุณคุณไม่แก้ตัวอะไรเลยก็ตาม”

    ..........................................

    ชลิสากุมท้องตัวเองก่อนจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำมากกว่าครึ่งกระโถน ความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสพลุ่งพล่านไปทุกอณูเนื้อและเส้นเลือดในร่างกาย จนหญิงสาวจวนเจียนจะขาดใจเสียให้ได้

    วันก่อนนั้นที่เธอสลบไสลไปกับพื้น เป็นเพราะฤทธิ์แรงอำนาจบารมีอันแรงกล้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างส่งพลังผลักเอาผีสาวที่เธอให้อาจารย์หมอผีส่งมาเฝ้าเด่นคุณและเล่นงานผู้หญิงที่เข้ามาใกล้เด่นคุณนั้น กระเด็นกระดอนจนเจ็บหนัก ของคุณไสยมนตร์ดำที่ทำก็เข้าเนื้อเข้าตัว เสียจนเธอแทบกระอักเลือดตาย

    โชคดีที่เพื่อนในที่ทำงานไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดว่าชลิสาป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง ถึงได้พาเธอส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร...เพราะหมอตรวจไม่พบโรคภายในและอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเลย นอกจากแผลตามเนื้อตัวที่มีรอยช้ำจ้ำเขียวเป็นจุดๆ

    ชลิสาตัดสินใจออกจากโรงพยาบาลในวันถัดมา หญิงสาวกลับมาพักฟื้นอยู่ที่หอพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมในเครือคิมคิราการ หากแต่อาการก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

    ตามเส้นเลือดบนร่างกายของชลิสาเริ่มมีสีช้ำเลือดช้ำหนอง สีคล้ำปนดำ เธออ้วกเป็นเลือดมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้เพราะโดนแรงฤทธิ์อำนาจของคุณไสยกระเด็นเข้าตัวอย่างจัง

    สุดท้ายชลิสาก็ตัดสินใจหอบสังขารตัวเองที่จวนเจียนจะตายนั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถทัวร์มุ่งหน้าไปยังจังหวัดหนึ่งทางแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นั่นเป็นบ้านของ อาจารย์บุเรหมอทำคุณไสยคนแรกที่เธอศรัทธาและนับถือมากที่สุด

    ใช้เวลาวันกว่าๆ เกือบสองวัน หลังจากนั่งรถทัวร์และต่อรถสองแถวกลางเก่ากลางใหม่เข้าไปในหมู่บ้านที่ออกจะทุรกันดาร ทางวิ่งยังเป็นดินแดง รถวิ่งทีก็ฝุ่นตลบฟุ้งไปทั่ว

    ถนนของที่นี่ไม่ได้ปูลาดยางเอาไว้ หากแต่ทางรถก็ยังสดใหม่เพราะมีคนเข้าออกอยู่เสมอ นั่นเพราะว่าในเวลาที่ชลิสาเหมารถเข้าไปนั้นค่อนข้างจะเย็นแล้ว พอจะมีรถเก๋งหลายคันสวนออกมา ส่วนทางที่มุ่งหน้าไปยังบ้านของอาจารย์บุเรนั้นมีเพียงรถของเธอคันเดียว

    รถสองแถวส่งเธอลงหน้าหมู่บ้านที่มีคนอยู่เยอะสุด ไม่ไกลนักเพียง แค่เดินทะลุไปอีกสองหมู่บ้านก็จะเจอกับทุ่งนาผืนใหญ่ ถัดจากทุ่งนาก็เป็นที่รกร้างมืดครึ้มราวกับป่าลึกลับ ที่นั่นคือป่าช้าฝังศพพวกคนไม่มีญาติ

    ชลิสาหอบสังขารอันร่วงโรย เธอพยายามอดทนเดินทะลุผ่านสองหมู่บ้าน จนกระทั่งเดินตามคันนา ล้มบ้าง นั่งบ้าง อาเจียนไปตามทางบ้าง จนไปถึงป่าช้าลึกลับ ที่แม้แต่กระทั่งชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปในดงนั้นเลย นอกจากพวกที่ตั้งใจมาทำของโดยเฉพาะ

    จากท้องฟ้าในยามพลบค่ำตอนที่ชลิสามาถึง บัดนี้ความมืดคืบคลานเข้ามาปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ใบไม้ในป่าช้าพลิ้วไหวเพราะสายลมที่พัดโบกมา ต้นไม้ใหญ่มีเงาดำทะมึนเหมือนนิ้วมือปีศาจยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เสียงใบไม้สีกัน เสียงสัตว์ป่าบ้าง เสียงนกร้องบ้าง ทำให้บรรยากาศชวนสยดสยองพองขน จนไม่ต่างจากในหนังผีสักเท่าไหร่

    แต่ไม่ไกลนัก...พอที่สายตาจะมองเห็น แสงริบหรี่จากบ้านหลังหนึ่งส่องประกายอยู่ เป็นแสงจากตะเกียงที่เจ้าของบ้านแขวนเอาไว้

    ถ้าเป็นตอนกลางวันบ้านของอาจารย์บุเรจะครึกครื้นและค่อนข้างมีคนเข้าออกจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว หากแต่ในยามมืดค่ำเช่นนี้กลับไม่มีใครกล้าย่างกายเข้ามาเลยสักคน แม้กระทั่งลูกน้องของอาจารย์ที่เธอเลื่อมใสเองก็ตาม

    เรื่องเล่าลือจากชาวบ้านบอกว่าหากเมื่อไหร่ที่พระอาทิตย์ตกดินนั้น ป่าช้าแห่งนี้จะมีภูตผีปีศาจออกมาอาละวาดมากมาย บางคนหลงเข้าไปเจอถึงกับเป็นบ้าออกมา ผีบางตัวดุหน่อย ร้ายหน่อย ก็ถูกอาจารย์นำไปใช้ในวิชาคุณไสย

    ชลิสาเดินตรงไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่สวนทางกับสังขาร และในที่สุดหญิงสาวก็มาถึงบ้านไม้หลังหนึ่ง ยกพื้นสูงเหมือนบ้านทรงไทย ภายในกว้างขวาง แบ่งห้องอย่างเรียบง่าย หากแต่บัดนี้ดูเก่าและทรุดโทรมลงไปเยอะ มีต้นไม้ปกคลุมรอบบ้านจนรกทึบ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณติดต่อสื่อสาร มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงที่แขวนไว้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

    “อาจารย์ อาจารย์..”

    เสียงเรียกที่ค่อนข้างโรยราและเสียงกระแอมกระไอ ก่อนที่จะชลิสาจะอ้วกออกมาเป็นเลือดนองเต็มพื้นชานพักบันไดนั้น อาจารย์บุเรก็เปิดประตูออกมามองลูกศิษย์ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปีแล้ว

    อาจารย์บูเรเป็นหมอผีทำเกี่ยวกับคุณไสยมนต์ดำโดยเฉพาะ วิชาเก่งกล้าหลายทาง สามารถถอนของพิษ ของร้ายออกจากตัว และทำแม้กระทั่งของดำ คุณไสย เรียกผี เพื่อเล่นงานคนอื่นก็ได้เหมือนกัน ด้านงานเกี่ยวกับทำเสน่ห์ ผูกดวง ก็เก่งจนเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา

    ชายวัยชรา ผมขาวไปทั้งศีรษะ ใบหน้าย่นเหี่ยวไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา สวมชุดขาวทั้งตัวราวกับผู้ถือศีล แต่ทำบาปมหันต์มาทั้งชีวิตเอาไว้กับผู้คนมากมาย ทอดดวงตาที่กำลังขุ่นมัวมองไปยังหญิงสาววัยแรกรุ่นด้วยความเวทนาจับใจ

    ชลิสาอายุยังน้อย แต่เป็นพวกคลั่งมนต์ดำคุณไสยที่สุด อาจารย์บุเรเคยพบกับชลิสาเมื่อตอนที่เธออายุกำลังจะย่างก้าวเข้าวัย 20

    จำได้ดีว่าชลิสามาพบด้วยเรื่องความรักความใคร่เหมือนกับหญิงสาวทั่วไป เธอมาทำเสน่ห์ สาลิกา รวมถึงนะหน้าทอง และยังทำวิชาผูกจิตผูกใจ ผูกดวงของตัวเองกับชายที่ตนแอบรักเอาไว้ ให้เขาหลงหัวปักหัวปำ

    แต่ถึงอย่างนั้นอาจารย์บุเรก็เคยเตือนตั้งแต่ก่อนทำของพวกนี้แล้วว่า ของพวกนี้หากเสื่อมลงแล้วก็มิอาจมัดจิตใจให้ผู้ชายอยู่ด้วยได้ตลอดไปอย่างที่คิด สัจธรรมของโลกเรา มีรักมีไม่รัก มีเสื่อมลาภ เสื่อมยศเป็นของธรรมดา ไม่มีอะไรคงอยู่ได้ตลอดไป หากอีกฝ่ายหมดรัก หมดความลุ่มหลงแล้ว ก็จะต้องกลับมาเติมของใส่อยู่เรื่อยๆ

    ทว่าคำเตือนนั้น...ชลิสาไม่ได้สนใจเลยสักนิด หญิงสาวยังดึงดันว่าจะทำและมุ่งมั่นทำให้ผู้ชายคนนั้นหลงไหลตนเหมือนคนบ้า

    และด้วยนิสัยของชลิสา ถึงเธอจะเป็นคนเงียบๆ แต่เป็นคนที่มีความอาฆาตพยาบาทแรงกล้า รวมถึงยังมีนิสัยเบื่อง่ายตามประสาเด็กวัยรุ่นด้วย เมื่อได้ใช้ชีวิตกับชายที่ตนเองหมายปองสักระยะหนึ่งแล้ว ชีวิตรักไม่ได้หวานชื่นเหมือนกับที่ใฝ่ฝันเอาไว้ หญิงสาวก็เริ่มหมดรักในตัวอีกฝ่าย

    ยิ่งมารดาฝ่ายชายไม่ได้ชอบตนสักเท่าไหร่ด้วย ยิ่งทำให้ชลิสามีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตคู่ตามมา สุดท้ายชลิสาก็ตัดสินใจทิ้งผู้ชายคนนั้น มนต์ของเธอค่อยๆ เสื่อมลง แล้วเมื่อพบรักใหม่ ชอบพอกับผู้ชายคนใหม่ ชลิสาก็มาทำของใส่อีก

    เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ กระทั่งอาจารย์บุเรเห็นว่าชาลิสาเข้าขั้นเป็นคนที่คลั่งศาสตร์มืด ถึงได้ออกปากเตือนอย่างจริงใจว่าของพวกนี้จะย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของเอง หากควบคุมไม่ได้ก็จะกลายเป็นบ้า หรือไม่ก็จะถึงขั้นบาดเจ็บ ถึงแก่ชีวิต

    ชลิสาไม่ได้มีความรู้ทางด้านไสยเวทย์ หากแต่มีใจรักเต็มร้อย พอโดนเตือนหนักเข้า กอปรกับความรำคาญ หนักเข้าหญิงสาวถึงขั้นเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ด้วยความที่ไม่ได้เก่งกล้าสามารถ ไม่ได้มีการฝึกวิชาเหมือนหมอผีคนอื่นๆ มา ของเลยเข้าหาตัว ผีตามหลอกหลอน จนชลิสาจนต้องพักรักษาตัวเป็นการใหญ่ไปพักหนึ่ง

    อาจารย์บุเรเคยเตือนว่าให้ชลิสาเลิกทำอะไรแบบนี้ แต่หญิงสาวไม่เชื่อฟัง พอรำคาญหนักเข้า เธอก็เปลี่ยนอาจารย์เล่นของตามใจชอบ ไหนจะลองทำของเองอีก

    และก็เป็นอย่างที่เห็น

    “มึงนี่อาการหนักกว่าที่คิดนะ” อาจารย์บุเรมองคนที่เลือดไหลย้อนออกทางปาก ชลิสาแทบจะไม่ไหวแล้ว ลมหายใจเธออ่อนลงทุกขณะ อาการของเธอหนักเกินไปจนควบคุมไม่ได้ หนำซ้ำยังโดนพุทธคุณ ความศักดิ์สิทธิ์อันแรงกล้าบางอย่างเล่นงานผีตัวร้ายที่เธอส่งไปเฝ้าผู้ชาย ทุกอย่างมันเลยย้อนกลับมาทำร้ายตัวคนสั่งการเอง

    “กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกเล่นของพวกนี้ ไม่ได้เก่งกล้าสามารถ ประเดี๋ยวก็ได้เป็นปอบ เป็นผีบ้ากันพอดี มึงคุมจิตใจพวกมันไม่อยู่หรอก จะตายห่าเอาได้ง่ายๆ”

    ถึงกระนั้นชลิสาก็ยังฝืนทนเก็บความโมโหเอาไว้ในใจ ก่อนจะคลานเข้าไปหาอาจารย์บุเร ยกมือกราบขอชีวิต

    “ชะ..ช่วยหนูด้วยเถอะนะปู่ รอบนี้หนูทำผิดไปแล้วจริงๆ”

    “หึ! กูช่วยได้เท่าที่พอให้มึงรอดนั่นแหละ จะให้ดีมึงต้องปลดปล่อยผีตัวนั้นให้เป็นอิสระ”

    ชลิสาส่ายหน้า เธอไม่ยอมให้ผีตัวนั้นเป็นอิสระจนกว่าจะทำงานที่ตัวเองต้องการสำเร็จหรอก

    “หนูไม่ได้ทำของใส่เขานะปู่ หนูแค่ให้ผีตัวนั้นไปเฝ้า”

    “มึงนี่นะ...โกหกตอแหล! ส่งมันไปเฝ้าไอหนุ่มนั่น แต่ให้เล่นงานผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับมัน“ อาจารย์บุเรเคันเสียงออกจากลำคอ ด่าทออย่างไม่ค่อยชอบใจความคิดและการกระทำของชลิสานัก “เจ้าคิดเจ้าแค้น เพราะมึงชอบมันมากต่างหาก ถึงไม่อยากทำร้ายมัน มึงไม่คิดอยากให้เขามีใคร นอกจากชายตาแลมึง มึงไม่ได้คนอื่นก็ต้องไม่ได้งั้นสิ เฮอะ! ความคิดมึงนี่ชั่วช้ากว่าเดิมอีก”

    “โธ่..ปู่” ชลิสาร้องโอดครวญ “ช่วยฉันเถอะนะ ฉันรักคนนี้มากจริงๆ ถึงไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากให้เขามีใคร”

    “มึงนี่ สักวันความริษยาจะเผามึงให้ตายทั้งเป็น!

    อาการของชลิสาแย่ลงมาก หญิงสาวอาเจียนออกมาเป็นเลือด โดยไม่ทันได้ฟังคำด่าทอของอาจารย์ที่เคารพเลย เธออาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง มีน้ำสีเขียวเจิ่งนอง แต่หาใช่เลือดเหมือนคราวก่อนๆ ไม่

    ความโลภของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไม่ได้ดั่งใจตนเองแล้ว ก็ไม่อยากให้ใครคนอื่นได้ดีไปกว่าตน อาจารย์บุเรได้แต่มองหญิงสาวตรงหน้าแล้วส่ายหัวไปมา นี่แหละหนาคนที่ไม่รู้จักเห็นคุณค่าชีวิตของตัวเอง ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก

    หญิงสาวที่เทิดทูนความรัก มิได้มีแต่ชลิสาเพียงคนเดียวเท่านั้น หากแต่ยังมีหญิงสาวอีกมากมายที่เฝ้าฝันหาถึงผู้ชายที่ตัวเองหมายปอง อยากได้เขามาครอบครองสุดหัวใจ แต่เขากลับไปสนใจ ไม่เล่นด้วย

    เพราะความรักมันปรบมือข้างเดียวไม่ดัง เมื่อรักไม่สมหวังดั่งใจปรารถนา สาวๆ ถึงได้หันหน้ามาพึ่งพาสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เสน่ห์มนตร์ดำถึงไม่เคยตกยุคตกสมัย แม้ว่าโลกของเราจะพัฒนาไปไกลจนก้าวไม่ทันเทคโนโลยี

    ทว่าเรื่องคุณไสยก็ไม่ใช่มีแค่หญิงสาว เพราะพวกนักธุรกิจมีชื่อเสียง นักการเมืองที่แสวงหาอำนาจบารมี ก็สรรหาวิธีทำทุกทางให้คู่ต่อสู้ของตนพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

    โลกมนุษย์นี้มันช่างวุ่นวายเสียจริง

    อาชีพทำคุณไสยหาเลี้ยงตัวเองได้มากก็จริงอยู่ แต่บาปมหันต์ที่อาจารย์ทำ ก็คงไม่หนักหนาเท่ากับคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

    “อ้วกเสร็จแล้วก็ตามกูขึ้นเรือนซะ กูคงไม่มานั่งหามมึงหรอก” อาจารย์บุเรก้าวเท้าฉับๆ ขึ้นบ้าน กระทั่งเปิดประตูไม้เข้าไปด้านใน ยังหันมาสั่งชลิสาทิ้งทวน “ถ้ามึงลากสังขารขึ้นมาไหวกูจะช่วยมึง”

    พูดจาเสร็จสรรพ ชายชราผมขาวก็เข้าไปนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งของเกี่ยวกับการทำเล่ห์กลมนตร์ดำมากมาย มีเทียนจุดรอบห้องนับสิบๆ เล่ม อยู่ข้างในห้องนั่งบริกรรมคาถา

    ไม่นานนักในเฮือกพลังเรี่ยวแรงสุดท้ายของชีวิต ชลิสาได้หอบสังขารจวนเจียนใกล้หมดลมหายใจ ขึ้นมานอนพังพาบอยู่หน้าห้องบริกรรมคาถาที่เปิดอ้ารออยู่

    อาจารย์บุเรเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจ ก่อนจะใช้สายศิลป์มัดรอบสี่ด้านตีวงทำปรัมพิธี โดยตัวชลิสาอยู่ตรงกลาง ก่อนจะเอายันต์ หม้อ และอุปกรณ์ต่างๆ ออกมานั่งกลางแจ้ง

    ชลิสาเจ็บเจียนตาย หญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ผลของการเล่นของแบบไร้อาจารย์สอน ทำให้หลายอย่างตีกันมั่วอยู่ในตัวของเธอเต็มไปหมด ไม่ใช่ฤทธิ์ของแรงผีสาวตัวนั้น หากแต่ชลิสาใช้คาถาและมนต์ดำผิดวิธี ลองผิดลองถูกจนทุกอย่างย้อนกลับมาเล่นงานตัวเจ้าของเอง

    อาจารย์บุเรจัดพิธีกรรมถอนสิ่งต่างๆ ออกจากตัวชลิสา กระทั่งพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นวันใหม่ เมื่อนั้นหญิงสาวถึงได้มีสีหน้าดีขึ้นผิดกับตอนมา...ราวกับคนละคน ความผ่องใสมาเยือนใบหน้าหญิงสาวอีกครั้ง หากแต่ก็ยังดูซูบซีดไม่ต่างจากซากศพที่เพิ่งฟื้นคืนชีพได้ร่างกายใหม่

    “กูช่วยมึงเท่าที่จะช่วยได้แล้ว..” พ่อปู่บุเรลืมตาขึ้นหลังจากบริกรรมร่ายคาถาสารพัดบททำพิธีกรรมต่างๆ นานามาร่วม 5 ชั่วโมง ทั้งถอนพิษคุณไสยมนต์ดำ และขับไล่สัมภเวสีที่เข้ามาสิงสู่อยู่ในร่างกายชลิสา “ส่วนผีที่มึงให้ไออาจารย์ชั้นต่ำส่งไปเฝ้าให้ผู้ชายคนนั้น มึงต้องให้มันหยุดทำพิธีกรรมเอง มิเช่นนั้นทุกอย่างจะคืนสนองมึง คราวนี้แม้แต่กูก็ช่วยไม่ได้”

    ชลิสาได้แต่พยักหน้า น้ำตาตกไหลอาบแก้ม ครั้งนี้เธอเกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอด เกือบถูกยมบาลลากไปลงนรกอเวจี แต่ถึงอย่างนั้นภาพของเด่นคุณที่ส่งสายตามองวารวารีอย่างมีความหมาย ภาพที่ทั้งสองคนส่งยิ้มให้กัน มันดูลึกซึ้งผูกพันเสียจนเธอไม่อาจห้ามใจ...ไม่ให้ตัวเองยกเว้นการทำร้ายวารวารีลงได้

    ชลิสาไม่ได้รับปากอาจารย์ปู่ ว่าตนจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับมนต์ดำ หากแต่อาจารย์บุเรก็ยังเอ็นดู เตือนด้วยความหวังดีอย่างจริงใจเป็นครั้งสุดท้าย

    “ไอ้พวกอาจารย์อ่อนหัด เรียนวิชาได้มิเท่าไหร่ก็คิดทำชั่วทำช้า มันไม่ได้เพียงคิดจะสูบเอาแต่เงินของมึงเท่านั้น อีกหน่อยมันจะสูบเอาทั้งร่างและวิญญาณของมึงไปด้วย พวกมันไร้ศีล ไร้สัจ ไม่รู้จักพอเหมือนพวกมึงที่ต้องการเห็นชีวิตของคนๆ หนึ่งพังพินาศ ถ้ามึงยังดื้อด้าน...สักวัน ทั้งมึง ทั้งไออาจารย์ชาติชั่ว จะได้ฉิบหายตายตกตามกันไป!

    จากนั้นอาจารย์บุเรก็ไล่ชลิสาออกจากบ้าน หญิงสาวถึงได้นั่งรถทัวร์กลับมายังหอพักของตน พักฟื้นอีกสองสามวัน ก่อนจะกลับไปทำงานเหมือนเดิม

    ......................................

    หลายวันต่อมา

    หลังจากที่ชลิสาหายไปหลายวัน พอหญิงสาวกลับมาทำงานคราวนี้ก็ถูกคนในที่ทำงานจับตามองเธอจากทุกฝ่าย อาจเพราะอาการที่เธอสลบเหมือดลงไปในวันนั้นด้วย เลยทำให้หลายคนอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    “ลิสา คุณคุณเรียกพบน่ะ..” มิรินทร์เดินมาเคาะที่เคาน์เตอร์แผนกต้องรับเรียกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาลงทะเบียนผู้เข้าพัก

    คำพูดของมิรินทร์ทำให้หญิงสาวที่ยังมีใบหน้าซีดเซียว แม้จะมีการตกแต่งให้ดูสดชื่นแล้วแต่ก็ยังดูหม่นหมองนั้น เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมามองเลขานุการสาวด้วยดวงตามีประกายความหวังวาววับ ก่อนจะถามตัวเองในใจว่า

    เธอไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปใช่ไหม? คุณคุณเรียกเธอไปพบอย่างนั้นหรือ?

    ชลิสาเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามมิรินทร์ไปยังห้องทำงานของเจ้านายหนุ่มที่เธอเฝ้าฝันอยากอยู่ใกล้เขามาตลอด

    ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

    เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสามครั้ง จากนั้นคนถูกเรียกมาพบก็เข้าไปด้านใน เด่นคุณนั่งอยู่ในเก้าอี้ผู้บริหาร มองเธอตั้งแต่เดินเข้ามา

    ชลิสาเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมสบตากับเจ้านายหนุ่มที่เธอหลงรักมานานแสนนาน

    “นั่งก่อนสิ” เด่นคุณผายมือไปยังเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของตน ขณะที่ชลิสาค่อยๆ เดินมาหย่อนก้นนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ “เห็นบุ้งบอกว่าเธอสลบไปวันนั้น หมอบอกว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่สบายด้วยเรื่องอะไร”

    คุณคุณเป็นห่วงเรา

    ชลิสากระหยิ่มยิ้มในใจ หากเธอรู้ว่าแผนสำออยจะพอเรียกคะแนนความสนใจจากเด่นคุณได้ คงไม่คิดอะไรซับซ้อนจนต้องทำให้ตัวเองเจ็บเกือบตายหรอก

    “เอ่อ..คือว่า..” ชลิสาพูดจาติดขัด พอถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เธอเองก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี

    “มีอะไรให้ช่วยบอกได้นะลิสา” เด่นคุณเสนออย่างคนใจดี อีกทั้งยังแสดงอาการเป็นห่วงชัดเจน เนื่องด้วยชลิสานั้นเป็นพนักงานของตน ทำงานที่นี่มาหลายปี และยังขยันขันแข็ง ขาดลาน้อยมาก “สรุปหมอบอกว่าเป็นอะไร?”

    “คะ..คออักเสบค่ะ” หญิงสาวกระแอมเล็กน้อย

    คำตอบของพนักงานสาวทำเอาเจ้านายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากัน เด่นคุณไม่มีทางเชื่อคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเด็ดขาด ถ้าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรจนล้มหมอนนอนเสื่อ ก็คงเป็นอย่างที่บุญชญาเคยบอกเขาเอาไว้นั่นแหละ

    “เธอมีแฟนหรือเปล่า?”

    คำถามของเด่นคุณ ทำให้ชลิสารีบส่ายหน้าทันที

    “งั้น ถูกเจ้าหนี้ตามรังควานหรือเปล่า? เธอมีหนี้สินนอกระบบมั้ย?”

    ชลิสาก็ส่ายหน้าอีกตามเคย

    “ช่วงนี้มีปากเสียง ทะเลาะกับใครมาหรือเปล่า?”

    ท่าทีของชลิสาก็เป็นเช่นเดิม คือส่ายหน้ากับทุกคำถามของเจ้านายหนุ่ม

    “ไม่มีค่ะ”

    แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเด่นคุณก็ยังสอดส่อง มองไปตามเนื้อตัวของพนักงานสาวอย่างสำรวจเพราะเป็นห่วง พอได้เห็นรอยช้ำตามแขนที่พ้นเสื้อผ้าออกมา ก็ถอนใจ

    “แน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกฉัน ถ้าเธอมีแฟนแล้วโดนแฟนซ้อม เธอบอกฉันได้นะลิสา ถ้าไม่กล้าแจ้งความ...ฉันจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้เอง” เด่นคุณเสนอ เขาค่อยๆ ตะล่อมให้หญิงสาวพูดความจริงออกมา “เธอไม่ต้องกลัวใครทั้งนั้น อีกอย่าง...ผู้ชายที่ชอบทำร้ายผู้หญิงไม่ใช่คนดีหรอกนะ เขาไม่ควรค่าที่จะได้รับความรักจากเธอเลย”

    คำพูดอย่างห่วงใยและเตือนสติจากผู้ชายที่ตนแอบรักมานาน ทำให้ชลิสายิ่งรักและเทิดทูนเด่นคุณมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

    แต่กลับกัน เด่นคุณไม่รู้เลยว่าคำพูดและอาการห่วงใยของเขา จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า

     

     

     



    Loading 100 %

    เรื่องนี้กะแต่งเนื้อหาเบาๆ เอาสนุก อ่านสบาย
    ทำไมเนื้อหาเริ่มแน่นอีกแล้วล่ะ ทำไมมันเริ่มจริงจังอีกแล้ว
    แต่งแนว Feel Good นี่มันยากกว่าที่คิดแฮะ สงสัยไม่ใช่ทาง 5555


    แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
    แจ้งข่าวการอัพเดทนิยายที่นี่ เร็วทุกสถานการณ์ 

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×