คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 11 :: มิตรภาพมีค่ากว่าเงินทอง 100 %
จ้า อยากทำอะไรก็ทำไปเลยจ้า
เด่นคุณนึกอย่างประชดประชันในใจ
ดังนั้นพอวารวารีเอ่ยปากขออนุญาตเขาเสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็จำใจต้องปล่อยเลยตามเลย
“ขอโทษนะคุณ
เมื่อวานก็มัวแต่เป็นห่วงวาฬน่ะ จนพิศไม่ได้บอกคุณเลย” ณพิศออกตัวช่วยวารวารีพูดอีกแรง
เพราะไม่อยากให้หญิงสาวต้องโดนเด่นคุณดุทีหลัง
“ไม่เป็นไรหรอกพิศ ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
เด่นคุณถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจ ปกติแล้วณพิศไม่ใช่คนที่จะพึ่งพาหรือขอความช่วยเหลือใครง่ายๆ
แต่ถ้าลองพาตัเองเข้ามาขอร้อง ขอความความช่วยเหลือจากวารวารีขนาดนี้
แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องสำคัญยิ่งทีเดียว
“ก็...”
ณพิศไม่รู้จะอธิบายเรื่องทั้งหมดยังไงดี
เลยส่งสายตาไปหาวารวารีให้เธอช่วยเหลือกันหน่อย
“เดี๋ยวคุณคุณก็รู้เองนั่นแหละค่า”
วารวารีบอกปัด ก่อนจะเดินเข้าไปดุนหลังเด่นคุณขึ้นไปข้างบน “ว่าแต่แขกมาเต็มบ้านเต็มช่องขนาดนี้
ไม่คิดจะอาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งคุยกันดีๆ เหรอคะเนี่ย เอ้อ..อายเขาแย่เลย”
เฮ้อ...คนที่ควรเหนื่อยใจคือเขาต่างหาก
เด่นคุณมองไปยังทุกคนก่อนจะโบกมือให้
“งั้น ขอตัวไปจัดการตัวเองก่อนนะ แล้วค่อยมานั่งคุยกัน”
.........................................
วันต่อมาขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่บนเครื่องบิน
เมื่อวานเด่นคุณได้รู้ว่าวารวารีช่วยให้ณพิศได้พบหน้าของลูกสาวที่ไม่เคยได้เจอหน้ากันมาก่อน
ความสูญเสียครั้งใหญ่ของณพิศ สิ่งที่อดีตคนรักของเขาทรมานและเจ็บปวดแสนสาหัส เขาเองไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
ถึงจะเคยมีความรักความห่วงใยให้กัน แต่สิ่งที่วารวารีช่วยเหลือณพิศ กลับทำให้เด่นคุณรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก
วารวารีเพิ่งรู้จักณพิศได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมงดีด้วยซ้ำ แต่เธอกลับช่วยเยียวยาบาดแผลในใจของอีกฝ่ายให้หายตัวดีเสียยิ่งกว่าแฟนเก่า ที่ควรจะห่วงใยหรือถามไถ่ชีวิตที่ผ่านมา อย่างน้อยในฐานะคนรู้จักกันก็ยังดี
“เห็นก่อนขึ้นเครื่องคุยกับณพิศนี่นา ว่ายังไงบ้าง” เด่นคุณหันไปถามคนที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“คุณณพิศโทรมาขอบคุณฉันน่ะค่ะ” วารวารีหันมาตอบ “เห็นแล้วก็ดีใจแทนคุณณพิศนะคะ อย่างน้อยคุณณพิศเธอจะได้เห็นว่าลูกตัวเองก็รักแม่มากๆ น้องนีน่าไม่เคยโกรธคุณณพิศเลย”
เมื่อวานนี้
ณพิศพาทีมงานของตัวเองมาด้วย คนหนึ่งเป็นช่างศิลป์เอามาวาดภาพของน้องนีน่า โดยมีวารวารีคอยบอกรูปร่างหน้าตาให้ช่างวาดออกมาได้เหมือนที่สุด
ส่วนอีกคนทำงานด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ณพิศเอาเขามาช่วยออกแบบเพื่อทำเรื่องราวของนีน่าเก็บเอาไว้ดูโดยเฉพาะ
หัวอกของคนเป็นแม่
ยังไงก็ยังอยากเห็นลูกอยู่ในสายตาตัวเองเสมอ
“ณพิศน่าจะบอกฉันกับเรื่องที่เกิดขึ้นสักคำ..แค่เล่าสู่กันฟังก็ยังดี
อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน”
น้ำเสียงของเด่นคุณฟังแล้วจับได้เลยว่าเขากำลังเศร้า เรื่องราวของอดีตคนรักคงทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก
“เท่าที่เห็น
คุณณพิศเธอดูเป็นคนมีความอดทนสูงมากอยู่นะคะ” วารวารีพยายามพูดปลอบใจ แต่ในกรณีของณพิศเอง..ขนาดพ่อแม่ของเธอเป็นคนใหญ่โตและมีหน้าตาในสังคม
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาวพวกท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้ เอาผิดพวกคนเลวๆ ไม่ได้เลย
“เธอคงรักผู้ชายคนนั้นมาก ถึงทนยื้อกันอยู่นานสองนาน แต่อะไรจะต้านทานความรักของคนเป็นแม่ได้ละคะ
เพราะคุณณพิศรักลูกเธอมากกว่า ถึงได้เลิกรากับผู้ชายเลวๆ แบบนั้น”
หมดเคราะห์หมดกรรมกันซะทีนะ
วารวารีคิดในใจ เพราะเธอเองอยากเห็นณพิศได้มีชีวิตที่มีความสุขเหมือนคนปกติทั่วไปบ้าง
“นี่คุณณพิศบอกว่าจะไปปฏิบัติธรรม
7 วัน” วารวารีหันไปคุยกับเจ้านายต่อ
“แล้วเธอล่ะ...เริ่มเห็นอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เด่นคุณมองคนข้างกาย ถึงวารวารีจะมองเห็นผีได้ แต่เธอดูไม่ทุกข์ร้อนเลย
“ตอนเด็กๆ น่ะค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจ ความรู้สึกแรกที่มองเห็นผีได้มันยังชัดเจนในความทรงจำราวกับว่าเพิ่งผ่านมา “หลังจากเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วยหนักไปเป็นเดือน วาฬก็เริ่มเจออะไรแบบนี้”
“ไม่กลัวเหรอ?”
“กลัวจนไม่ออกไปไหนหลายเดือนเลย กลัวจนเกือบจะเป็นบ้าตาย” ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังหัวเราะออกมาได้ “กว่าจะปรับตัวได้ก็แทบแย่”
“แล้วถ้ามีโอกาส
แบบมียาวิเศษทีทำให้ไม่ต้องมองเห็นอะไรแบบนี้อีก จะ..”
“ฉันเลือกที่จะมองเห็นค่ะ”
วารวารีรีบปฏิเสธทั้งที่เด่นคุณยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ
“แหม ตอบแบบไม่คิดเลยนะ”
“ถึงจะใช้ชีวิตยากกว่าคนอื่นสักหน่อย”
หญิงสาวคิดถึงบางอย่าง “แต่ก็ไม่ใช่จะมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นอย่างที่คุณหรือใครหลายคนคิดหรอกค่ะ”
.................................................
หลายวันต่อมา
เด่นคุณให้วารวารีหยุดพักผ่อนหลังจากกลับมาอีกสองวัน
จากนั้นหญิงสาวก็มาทำงานตามปกติ ทว่าทันทีที่เธอจอดรถจักรยานยนต์ในช่องของพนักงานนั้น
ปู่ใหญ่ก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าต่อตา
“โอ๊ย หนูวาฬมาสักที”
ท่าทางของปู่ใหญ่ดูเป็นกังวลและร้อนรน
ในขณะเดียวกันท่านก็ดูโล่งใจไปด้วย แต่ที่วารวารีมัวแต่ตะลึงคือท่านไม่ได้ดูแข็งแรงเหมือนที่เธอเคยเห็น
เพราะปู่ใหญ่ถือไม้เท้า ท่าทีทรงตัวไม่ค่อยจะอยู่
และที่สำคัญคือใบหน้าของท่านบวมช้ำเขียวเป็นจุดๆ ราวกับไปมีเรื่องกับใครมา
“แล้วนี่หน้าคุณปู่ไปโดนอะไรมาคะเนี่ย!” หญิงสาวถามเสียงหลง
เพราะอาการของปู่ใหญ่ดูหนักหนาเอาการ และถึงท่านจะเป็นวิญญาณที่คอยปกปักษ์รักษาคนในอณาบริเวณของท่านเอง
ทว่าในอีกภพภูมิก็มีการเจ็บตัวเกิดขึ้นได้ไม่ต่างจากภพภูมิของมนุษย์เลย
“เรื่องมันยาวมาก” ท่านหอบหายใจ ก่อนจะเอ่ยปากขอร้อง “ตอนนี้หนูรีบไปที่บ้านพักเจ้าดีนมันหน่อยเถอะนะ
อาการมันแย่น่าดูเลย”
“บ้านพัก?”
พอปู่ใหญ่พยักหน้า วารวารีก็รีบวิ่งแจ้นไปยังบ้านพักของเด่นคุณทันที
ยังเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะเข้างาน เธอยังพอมีเวลาช่วยเหลืออีกฝ่ายได้
“เจ้าดีน เจ้าดีน ฟื้นสิ”
ทว่าพอไปถึงบ้านพัก หญิงสาวก็เห็นปู่โมกข์นั่งเขย่าเด่นฤทธิ์ที่นอนกองอยู่กับพื้นกลางบ้าน สภาพหมดสติไม่ต่างจากคน มีเลือดไหลออกทางปาก ตัวซีดเซียวราวกับว่าแต้มบุญที่ทางครอบครัวส่งมาให้นั้นไม่มีเหลือให้ใช้แล้ว
“คุณดีน!” วารวารีตกใจมาก เธอยืนอึ้งไปสักพัก ก่อนจะเข้าไปนั่งข้างๆ ดวงวิญญาณของเด่นฤทธิ์ แต่ในความตกใจนั้น ความเสียใจก็เริ่มก่อตัวขึ้น จนหญิงสาวร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว “นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ..”
หญิงสาวถามเสียงสั่นเครือ
จนแทบฟังไม่รู้เรื่อง อาจเพราะที่ผ่านมาเธอสนิทกับเด่นฤทธิ์จนอีกฝ่ายเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง
พอเพื่อนที่เคยร่าเริง สดใส ยิ้มแย้ม และบ้าบอตลอดเวลาต้องมาเจ็บตัวในสภาพที่แย่มากจนเธอรับไม่ไหว
วารวารีเลยห้ามอารมณ์เสียใจเอาไว้ไม่อยู่
“วาฬ...”
เด่นฤทธิ์พยายามจะหยัดตัว แต่เขาไม่มีพลังมากพอจะทำเช่นนั้นเลย
วารวารีเห็นก็ยิ่งสงสารหนักเข้าไปอีก เธอได้แต่ส่ายหน้าทั้งน้ำตา
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องขยับตัวหรอกค่ะ
จะยิ่งทรมานเสียเปล่าๆ” วารวารีรีบบอก ถึงเขาจะตายอีกหนไม่ได้ แต่เธอเชื่อว่าเด่นฤทธิ์ต้องรู้สึกเจ็บมากแน่ๆ
“แล้วนี่วาฬต้องช่วยคุณยังไงคะ คุณดีนถึงจะดีขึ้น” หญิงสาวปาดน้ำตา
พยายามตั้งสติให้มั่นเพื่อช่วยอีกฝ่าย
แต่ยังไม่ทันได้พูดจาอะไร
เด่นคุณก็เดินงัวเงีย ผมเผ้ายุ่งเหยิงลงมาจากชั้นสองของบ้านเพราะได้ยินเสียงเหมือนมีคนพูดคุยกัน
ยิ่งพอลงมาแล้วเห็นวารวารีนั่งกับพื้น น้ำตาอาบแก้ม หูตาจมูกแดงไปหมด เขาก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
“อ้าว นี่เธอเข้ามาในนี้ได้ยังไง?”
เด่นคุณถามด้วยความสงสัย เขามั่นใจมากว่าตัวเองล็อกบ้านเรียบร้อยดีแล้ว
ทั้งรั้วและประตู ไม่มีใครเข้ามารบกวนได้แน่ๆ
“ปู่ให้ฉันเข้ามาค่ะ”
หญิงสาวตอบ
“ละ...แล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอ?
เธอร้องไห้ทำไม? ไอดีนมันเป็นอะไรหรือเปล่า” เด่นคุณยิงคำถามใส่หญิงสาวรัวๆ ก่อนจะรุจเข้ามาใกล้วารวารี
ถึงเขามองไม่เห็นโลกอีกฝั่ง
แต่ก็พอจะสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างได้ ยิ่งวารวารีร้องไห้คร่ำครวญ มันก็ยิ่งตอกย้ำว่าเขาคิดถูก
นั่นเพราะเขาเริ่มรู้จักวารวารีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน และรู้ด้วยว่าเธอเป็นคนจิตใจดีมากแค่ไหน
“คุณดีน..” พอมองสภาพของเด่นฤทธิ์
น้ำตาก็พลันไหลลงมาอาบแก้มอีกละรอกอย่างห้ามไม่ไหว “คุณดีนโดนทำร้ายค่ะ สาหัสเอาการจริงๆ”
“ตั้งแต่หนูไปกรุงเทพฯ กับเจ้าคุณ
แม่ผีสาวนั่น มันก็อาละวาดหนักข้อขึ้นทุกวัน” ปู่ใหญ่ถอนหายใจ “ขนาดเราสามคนช่วยกันนะ
ยังโดนแม่นั่นเล่นงานจนน่วมเลย”
“จริง ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะจับแม่นั่นให้ได้
แต่อย่างที่บอกมันพลังเยอะมาก” ปู่โมกข์พูดเสริม “แล้วสองสามวันที่ผ่านมา มันก็ยิ่งก้าวร้าวแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนเลย
จนกลายเป็นว่าแม่ผีนั่นหันมาเล่นงานพวกเราแทน”
ขนาดพวกท่านเป็นเจ้าที่ที่ได้รับพลังบุญอย่างสม่ำเสมอ
แถมยังมีผีหนุ่มพละกำลังดีคอยช่วยยังสู้ไม่ได้ แสดงว่าผีตัวร้ายที่มันส่งมาต้องมีอาจารย์จอมขมังเวทย์เก่งวิชาพอควรเลย
เห้อ...ให้ตายเถอะ ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ไม่กลัววิชาวิ่งเข้าตัวบ้างหรือไงกัน
เห็นพวกที่เล่นของนี่ไม่เคยจบสวยสักราย
“เอ...หรือจะเพราะข่าวลือหึ่งว่าหนูวาฬกับนายคุณแอบไปกินกัน”
ปู่ใหญ่สงสัย ท่านค่อนข้างมุ่งเป้าไปที่คดีชู้สาว
“ก็ไม่แน่หรอก เจ้าคุณมันใช่ย่อยที่ไหนล่ะ”
ปู่โมกข์บอกอย่างเห็นด้วย “แล้วก็อย่างที่คนทั้งโลกรู้นั่นแหละ
ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความแค้นของผู้หญิง อาวุธสงครามชั้นเลิศก็ไม่อาจเท่าเทียมไฟแค้นในใจ”
“ไฟแค้นหรือคะ?”
วารวารีถามด้วยความสงสัย
“ก็ใช่น่ะสิแม่หนู ไฟแค้นเอย
ไฟริษยาเอย ไฟของความหึงหวงเอย ทุกอย่างมันน่าจะรวมอยู่ในคนๆ เดียว” ปู่โมกข์ว่า
แต่ยังไม่ทันตั้งข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม
เด่นฤทธิ์ที่เห็นแม่ผีร้ายที่ปรากฏตัวขึ้นในมุมมืด ดวงตาแดงก่ำ แสยะยิ้มน่าเกลียด แล้วจ้องเขม็งมาที่วารวารีก็รีบส่งเสียงเตือนหญิงสาว
แต่ดูเหมือนว่าคำเตือนของเขาจะไม่ทันการณ์แล้ว
“วาฬระวัง!”
เด่นฤทธิ์ร้องสุดเสียง
แต่แม่ผีร้ายก็พุ่งตัวเข้ามากลางวงด้วยความเร็ว ปู่ใหญ่และปู่โมกข์กระเด็นออกไปคนละทิศละทาง
ราวกับมีแรงผลักมหาศาลเคลื่อนตัวเข้ามาหา
จากนั้นแม่ผีร้ายก็สะบัดมือปัดให้เด่นฤทธิ์ที่นอนหมดเรี่ยวแรงไร้กำลังพัดหายไปในพริบตาเดียว
แล้วหันมาจ้องวารวารีที่มัวแต่ยืนอึ้งตัวสั่นแทน
“เห้ย!”
วารวารีไม่ทันหนีไปไหน
ไม่ทันร้องสักแอะ แต่คนที่ร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีดสุดพลังคือเด่นคุณ
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่ยืนหน้าซีด ดวงตาเบิกกว้างราวกับตกใจอะไรมา ขาสองข้างลอยขึ้นเหนือพื้น
มือพยายามตะปบคอตัวเอง ลำคอเกร็งเครียด ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่ก่อนแล้วเริ่มถลนออกมาเรื่อยๆ
เชี่ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!
เด่นคุณสบถในใจ
เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการคิดได้
และมันก็เป็นไปไม่ได้ด้วยวารวารีจะตัวลอยขึ้นเอง ทว่าในตอนนั้นเขาไม่มีเวลามันนั่งคิดหรือหาเหตุผลกับเรื่องพวกนี้
เด่นคุณเป็นห่วงวารวารีจับใจ
ถึงพยายามฉุดขาเธอลงมาเพื่อให้ยืนบนพื้น พยายามเรียกเพื่อให้หญิงสาวมีสติ
แต่ดูเหมือนว่าแรงของเขามันน้อยนิดมาก เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรหญิงสาวก็ไม่ดีขึ้นเลย
เธอยังตัวลอยอยู่กลางอากาศแบบนั้น
“วาฬ! วาฬ!”
เด่นคุณพยายามคิดหาวิธี ก่อนที่วารวารีจะแย่ไปมากกว่านี้
“ฟังนะ...ไม่ว่าผี ห่า
ซาตานที่ผุดมาจากขุมนรกไหน หรือใครส่งพวกมึงมาก็ตาม นี่บ้านกู! กูเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้! มึงปล่อยผู้หญิงคนนี้ซะ...ไม่อย่างนั้นกูจะสาปแช่งให้พวกมึงไม่ได้ไปผุดไปเกิด
ให้อยู่ทนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์!”
สิ้นเสียงสาปแช่งอันเกรี้ยวกราดของเด่นคุณ
เสียงกรีดร้องดังขึ้น เด่นคุณไม่ได้ยิน แต่วารวารีได้ยินชัดเจนเต็มสองหู
ทว่าทุกอย่างมันกลับเลวร้ายขึ้น เมื่อแม่ผีสาวตนนั้นเหวี่ยงวารวารีแรงจนเธอไปชนเข้ากับผนังบ้าน
ศีรษะกระแทกเข้าอย่างจัง
โครม!
วารวารีนั่งกองอยู่ตรงนั้น
โดยมีเลือดไหลหยดลงมาเป็นทาง เด่นคุณตกใจมาก ไม่คิดว่าการกระทำของตัวเอง จะทำให้คนที่มองไม่เห็นโมโหโกรธาเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้
แต่ในตอนนั้นเขาก็รีบวิ่งไปดึงลิ้นชักของโต๊ะไม้ตัวหนึ่งออก แล้วหยิบผ้าสีส้มผืนเล็กออกมา
ยันต์
ใช่
เด่นคุณจำได้ว่าแม่เป็นคนให้สิ่งนี้กับเขามาตอนตระเวนไปทำบุญรอบเมือง พอหยิบได้ชายหนุ่มก็รีบวิ่งเข้าไปหาวารวารี
“วาฬ..”
เขาเขย่าตัวหญิงสาวอยู่สองสามครั้ง
วารวารีถึงมีสติฟื้นขึ้นมา
“เจ็บ..”
“หัวเธอแตกน่ะ” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ถือนี่ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะรีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จะได้ไปโรงพยาบาลกัน”
....................................................
“เป็นไงบ้าง.?” คนเป็นเจ้านายถามหลังจากที่รีบร้อนพาหญิงสาวมาส่งโรงพยาบาลกระทั่งถึงมือหมอ
ทำแผลเรียบร้อย จนตอนนี้วารวารีนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ใส่ชุดคนป่วย อยู่ห้องพักฟื้นที่ค่อนข้างหรูหรา
โดยมีเด่นคุณนั่งอยู่ข้างๆ คอยถามไถ่ “ถ้าเจ็บตรงไหน ก็บอกหมอเลยนะ
ต้องรีบบอกเลยนะ”
“วาฬไม่เป็นไรเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้ม
เด่นคุณอ่อนโยนและดูเป็นห่วงเธอราวกับคนละคนกับเด่นคุณที่เธอเริ่มสนิทสนมด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้
ความกวนประสาทของเขาหายไปจนหมดเกลี้ยง และที่สำคัญคือเธอไม่ได้เป็นอะไรมากมายอย่างที่เขากังวลใจเลย
แม้จะยังเจ็บตามเนื้อตัวจากแรงกระแทกอย่างแรงกับกำแพง แต่แผลที่มีก็แค่หัวแตกเท่านั้น
“เอ่อ..คุณคุณคะ วาฬว่าเจ็บแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลหรอก
ขอหมอกลับบ้านเถอะค่ะ”
“จำเป็น จำเป็นมากด้วย” เด่นคุณถึงขั้นยืดตัวตรง
เสียงแข็งใส่ขึ้นมาทันที “เธอโดนอะไรไม่รู้โยนใส่กำแพงอย่างจังเชียวนะ
นี่ถ้าเกิดมันโยนเธอไปโดนราวบันได หรือตรงไหนที่ทำให้หัวกระแทกจนสลบขึ้นมา ไม่สิ...หนักไปกว่านั้นถ้าเลือดออกในสมอง
พิการ หรือตายไปเลยล่ะ”
แค่คิดเด่นคุณก็ขนลุกเกรียวขึ้นมา
ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าสิ่งที่เขามองไม่เห็นมันจะมีพลังมากมายทำคนทั้งคนลอยเคว้างกลางอากาศได้
ขณะที่วารวารีนอนมองเขาพูดตาปริบๆ บนเตียง
“นอนให้หมอตรวจอย่างละเอียด
พักผ่อนสักสองสามวันเถอะน่า” คนเป็นเจ้านายบอกกึ่งสั่ง “แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก
ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมเชียว อย่าลืมสิ”
“วาฬห่วงเรื่องอื่นต่างหาก”
หญิงสาวถอนหายใจ เรื่องงานเธอรู้ดีว่าเขาน่ะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในมือ
สั่งอะไรใครก็ได้ทั้งนั้น
แต่เรื่องที่เธอเพิ่งได้ยินมานี่สิ..ทำเอาไม่สบายจนไม่กล้าสู้หน้าใครเลยแฮะ
“เรื่องอะไร?”
หญิงสาวไม่รู้จะพูดออกไปดีมั้ย
เรื่องที่มีข่าวลือหนาหูว่าระหว่างเธอกับเขา
“คือวาฬเพิ่งรู้จากพวกปู่ๆ
ว่าที่โรงแรมมีข่าวลือแปลกๆ ออกมาน่ะค่ะ” วารวารีพูดได้ไม่เต็มปากนัก
“ฉันได้ยินแล้วล่ะ” เด่นคุณพยักหน้ารับ
ปากของแต่ละคนพากันแพร่ข่าวลือเสียหายไวเสียยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอีก
แต่ที่เขาไม่ได้สั่งให้พนักงานทุกคนปิดปากเงียบ ก็เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง
ยิ่งแก้ตัวจะยิ่งแย่ ปล่อยให้เรื่องเงียบและซาไปเองน่าจะดีกว่า “แต่ช่างเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย
แล้วไม่ต้องคิดมากด้วย คนที่พูดไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเราสองคนหรอก จริงมั้ยล่ะ..”
“ค่ะ แต่ยังไงวาฬก็ขอบคุณคุณคุณมากนะคะ
ตอนที่คุณคุณสาปแช่งผีตัวนั้น...ดูเหมือนเขาจะทรมานมาก แต่ก็โมโหมากด้วย” ภาพตอนที่ผู้หญิงคนนั้นแผดเสียงร้องแหลมจนแสบแก้วหูยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของวารวารี
“แล้วก็..”
หญิงสาวหยิบยันต์ใส่มือของชายหนุ่ม
“เอาคืนไปเถอะค่ะ
อันนี้มันของดีมากจริงๆ ท่าทางคุณนายจะเป็นห่วงคุณคุณมาก” วารวารีบอก “ตอนที่คุณคุณเอายันต์นี้มาแปะที่ตัววาฬ
มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผีตัวนั้นพยายามจะลอยเข้ามาทำร้ายวาฬอีกรอบ แต่นัยน์ตาของวาฬเห็นว่ามีแสงสีทองพุ่งออกมาผลักให้ผีตัวนั้นกระเด็นแล้วหายไปเลย”
หญิงสาวเชื่อว่าผ้ายันต์ที่คุณนายดุจเดือนให้ลูกชายพกติดตัวไว้
คงจะเป็นของดีที่ผ่านการทำพิธีต่างๆ มาแล้ว
คงใช้สำหรับคุ้มกันภัยอันตรายและพวกของคุณไสยนานาชนิด โดยเฉพาะของจากพวกลมเพลมพัด
“งั้นเธอก็เก็บเอาไว้สิ
นี่มันโรงพยาบาลนะ” เด่นคุณพูดเสียงเบาในประโยคสุดท้าย...ราวกับกลัวว่าสิ่งอื่นๆ
ที่เขามองไม่เห็นจะรับรู้ว่าวารวารีสามารถมองเห็นและสื่อสารกับพวกเขาได้ หากเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจะลำบาก
“ฉันว่าเธอเก็บเอาไว้ใช้เถอะ เอาไว้ออกจากโรงพยาบาลค่อยเอามาคืนทีหลังก็ได้”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ วาฬให้แม่เอาพระมาให้แล้ว”
หญิงสาวโทรไปบอกมารดาว่าตนเองอยู่โรงพยาบาลและให้เอาพระที่ครอบครัวและตนเองนับถือมาตั้งแต่เด็กมาให้ด้วย
ที่สำคัญ...เด่นคุณควรจะมีของดีพกติดตัวเอาไว้
เพราะเจ้าที่ในบ้านของเขาทั้งบาดเจ็บ ทั้งหมดพลัง อีกทั้งเด่นฤทธิ์ก็สาหัส คงคอยดูแลคุ้มครองพี่ชายไม่ได้
ผ้ายันต์น่าจะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของเด่นคุณในเวลานี้เพราะไม่รู้ว่าผีตัวนั้นจะกลับมาเล่นงานอีกเมื่อไหร่
“คุณคุณเก็บไว้เถอะค่ะ คุณยิ่งขี้กลัวกว่าวาฬ
อีกอย่างตอนนี้ท่านเจ้าที่เองก็แทบไม่มีพลังคุ้มกันใครแล้ว พกติดตัวเอาไว้นะคะ
ห้ามเอาห่างจากตัวเด็ดขาด”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทว่าในขณะที่เด่นคุณกำลังลังเลใจอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น แล้วสองสาวในวัยเลขห้าก็พากันเข้ามาในห้องพักฟื้นคนไข้ คนแรกที่แทบจะวิ่งมาจับขอบเตียงคนป่วยด้วยความเป็นห่วงคือมารดาของวารวารี ส่วนป้าอังกาบก็ถือของเอามาวางไว้ที่โต๊ะตัวกลางสำหรับวางของเยี่ยม
“วาฬ!”
แวววรีเดินเข้าไปหาลูกสาว
ขอบตาสองข้างแดงหน่อยๆ ยิ่งพอเห็นผ้าพันแผลพันรอบศีรษะของลูก
หัวใจของแม่ก็สั่นไหวคล้ายจะแหลกสลาย ต่อให้ลูกเจ็บมากเจ็บน้อย แค่เห็นว่าเจ็บตัวถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ
ท่านก็ทำใจรับไม่ไหวแล้ว
“แม่วาฬไม่เป็นไรแล้ว
หัวแตกนิดเดียวเอง” คนเจ็บตัวปลอบคนมาเยี่ยม ก่อนสะกิดให้แม่หันไปมองเจ้านายที่ตั้งท่าจะยกมือไหว้อยู่หลายที
“อ่อ สวัสดีจ้ะ”
แวววรีหันไปรับไหว้ชายหนุ่ม ก่อนจะหย่อนก้นลงเก้าอี้ที่เด่นคุณลากมาให้นั่ง “ขอบใจนะจ๊ะ”
“นี่หนูวาฬ ห้องพักหรูหราหมาเห่ามากเลย
ค่าใช้จ่ายต่อคืนคงแพงน่าดูเชียวนะ” ป้าอังกาบหลังจากวางของก็ไปนั่งตรงโซฟาตัวยาว
เด้งตัวไปมาด้วยความตื่นเต้นอยู่สองสามครั้ง แล้วก็ลุกเดินสำรวจของในห้องไปเรื่อย
“เรื่องค่าใช้จ่ายผมจัดการให้เองฮะ”
เด่นคุณบอก
“วาฬมีประกันค่ะ
ไม่รบกวนคุณคุณหรอก” หญิงสาวออกตัวอย่างเกรงใจ
“แล้วนี่หมอบอกว่ายังไงบ้าง”
แวววรีมองสำรวจตามเนื้อลูกสาวอีกรอบ
“หมอทำแผลให้วาฬ
แล้วเดี๋ยวจะพาไปตรวจอีกทีตอนช่วงบ่ายๆ”
“ผมบอกหมอไปว่าวาฬตกบันได”
เด่นคุณทำหน้าสำนึกผิด ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันมาจากเขา
และเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา วารวารีก็คงไม่เจ็บตัวขนาดนี้
“อ้าว แล้วไม่ได้ตกบันไดเหรอจ้ะ?”
ป้าอังกาบหันมามองสองหนุ่มสาวด้วยความอยากรู้ทันที
“แม่ ผีตัวนั้นมันบีบคอวาฬ
แล้วก็เหวี่ยงวาฬเข้ากับกำแพง” หญิงสาวบอกแม่
“ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน”
เด่นคุณเสริม
แล้ววารวารีก็จนใจยอมเอ่ยปากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แม่กับป้าอังกาบฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แล้วทำไมเธอถึงต้องมานอนป่วยอยู่แบบนี้
“เอาเถอะนะยังไงตอนนี้เราก็อยู่ในมือหมอแล้ว อีกอย่างที่นี่ก็ใช่ว่าผีสางจะเข้าออกได้ตามใจ ถ้าเราเคารพเจ้าของบ้าน...เจ้าของบ้านก็จะดูแลเราอย่างดีในฐานะแขก” วารวารีเข้าใจสิ่งที่มารดาพูดมาทั้งหมด เจ้าของบ้านของโรงพยาบาลก็คือท่านเจ้าที่เจ้าทางที่คอยปกปักษ์คุ้มครอง “เดี๋ยวแม่จะลงไปจุดธูปบอกกล่าวท่านให้ แต่ตอนนี้แม่คิดว่าน่าจะยังไม่ได้กินอะไรกันเลยทำกับข้าวมาให้ด้วย คุณคุณก็ทานด้วยกันก่อนนะจ๊ะ อย่าเพิ่งรีบกลับ”
“ทานเถอะจ้ะพ่อหนุ่ม แม่แววตั้งใจทำสุดฝีมือเชียว” ป้าอังกาบชวนด้วยอีกคน
“ครับ กำลังหิวพอดีเลย” เด่นคุณเอามือลูบท้อง พยักหน้าเต็มใจรับน้ำใจของแววรีและอังกาบ เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาก็เจอเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งตอนนี้ที่วารวารีได้อยู่ในห้องพักฟื้นแล้ว ถึงได้พอมีเวลาพักหายใจหายคอบ้าง
แต่ก็เพียงครู่เดียวที่ได้พักทานอาหารกับคนป่วยพออิ่ม
เพราะทันทีที่รวบช้อนเตรียมตัวเก็บจาน ปลายสายก็เหมือนรู้จังหวะ...โทรหาคนเป็นเจ้านายไม่หยุดไม่หย่อน
มิรินทร์เลขานุการโทรหาเด่นคุณ
ชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้ชายหนุ่มจำเป็นต้องกดรับสาย
“ว่าไง”
พอคนเป็นเจ้านายกดรับสาย มิรินทร์ก็เล่ารายงานสถานการณ์ในโรงแรมที่เริ่มโกลาหลขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่เช้ามีกรุ๊ปทัวร์เข้ามาตามที่ลงชื่อจองห้องพักเอาไว้ 2 กลุ่มด้วยกัน
แต่ก็มีทัวร์กลุ่มหนึ่งซึ่ง walk-in
เข้ามาขอเช็คอินเลย ทำให้ตอนนี้พนักงานที่มีอยู่ไม่เพียงพอจะทำการต้อนรับและจัดการความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้
พนักงานไม่เพียงพอกับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
ทำให้ในโรงแรมวุ่นวายจนไม่รู้จะจัดการส่วนไหนก่อน
“แล้วคุณเดย์ล่ะ?”
เด่นคุณถามมิรินทร์เมื่อเธอรายงานว่าแผนกต้อนรับขาดคนกะทันหัน วารวารีไม่อยู่
แล้วไหนพนักงานอีกคนยังมาล้มป่วยไปต่อหน้าต่อตาเพิ่งหามส่งโรงพยาบาลกันไป
แต่เลขานุการก็ตอบว่าคุณเดย์ไปช่วยงานเชฟในครัวเพราะพอมีทักษะการทำอาหารบ้าง
วันนี้เชฟลาหยุดเนื่องจากญาติเสีย ทำให้ห้องอาหารวุ่นวายยกใหญ่
“เอ่อ...ผมคงต้องไปแล้วครับ”
เด่นคุณมองผู้ใหญ่ทั้งสองคน กับคนป่วยที่ยังตักข้าวเข้าปากอยู่เรื่อยๆ “ทางโรงแรมโทรมาว่ามีทัวร์กรุ๊ปใหญ่มาลง
กำลังวุ่นวายกันน่าดูเลย”
“จริงสิ..”
วารวารีทำท่าจะลุกขึ้นด้วยความลืมตัว แต่เด่นคุณรีบห้ามเอาก่อน
“ไม่ต้องเลย เธอนอนพักไปเถอะ
เรื่องแค่นี้เอง...ฉันจัดการได้”
...........................................
“นี่ แล้วอีกคนไปไหน?”
เด่นคุณสวมชุดพนักงานมาทำหน้าที่ช่วยบุญชญาลงทะเบียนผู้เข้าพักโรงแรมที่นั่งคอยกันอยู่เต็มล็อบบี้
“พี่ลิสาไม่สบายค่ะ หลังจากที่วาฬไปโรงพยาบาล พี่ลิสาก็เป็นลมลงไปนอนกองกับพื้นเลย” หญิงสาวเล่า ขณะที่มือก็ทำหน้าที่พิมพ์ชื่อผู้เข้าพักไปด้วย “ตอนที่พี่ลิสาล้มลงกับพื้นบุ้งตกใจแทบแย่นะคะ มีเลือดไหลออกปาก ออกจมูกด้วย ท่าทางจะสาหัสเอาการ”
“ขนาดนั้นเลย?” เด่นคุณขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะคิดว่าชลิสาเจ็บป่วยด้วยโรคธรรมดาสามัญ แต่เท่าที่ฟังจากปากของบุญชญาแล้ว...เธออาการน่าเป็นห่วงอย่างที่ว่าจริงๆ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ลูกค้า
แล้วยื่นกุญแจห้องให้พร้อมแจกแจงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเข้าพัก การเป็นเจ้านายของทุกคนก็ใช่ว่าจะทำหน้าที่ชี้นิ้วสั่งงานอย่างเดียว
เพราะด้วยการสอนของพร้อมทรัพย์ผู้เป็นพ่อ
เขาแทบจะทำเป็นทุกอย่างในส่วนของโรงแรม เด่นฤกษ์พี่ชายของเขาก็เช่นกัน
“แล้วรู้มั้ยว่าลิสาเป็นอะไร
โรคร้ายแรงรึเปล่า”
“บุ้งไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
พี่ลิสาเป็นคนเงียบๆ มาตลอด ไม่ได้พูดจาเก่งเหมือนกับวาฬ” บุญชญาส่ายหน้า
ถึงจะทำงานร่วมกันมาหลายครั้งหลายที เข้ากะด้วยกันมาก็หลายหน
แต่เธอสนิทใจที่จะอยู่กับวารวารีมากกว่าชลิสา อายุที่เท่ากันกับวารวารีทำให้พูดคุยกันถูกคอก็ใช่อยู่
แต่อย่างที่บอกชลิสาดูเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง เป็นผู้ใหญ่ เธอเลยไม่ค่อยกล้าชวนคุยเล่นเหมือนวารวารีเท่าไหร่
“แต่จะว่าไประยะหลังมานี้ เหมือนพี่ลิสาจะโดนทำร้ายร่างกายนะคะ บุ้งแอบเห็นว่าตามตัวพี่ลิสามีจ้ำเลือดเต็มเลย
เอ๊ะ! หรือจะโดนแฟนซ้อม”
“โดนซ้อม?”
ถ้าเป็นอย่างที่บุญชญาบอกจริง
ชลิสาก็ควรแจ้งความที่คนรักทำร้ายร่างกายตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลยเพราะรัก
“ค่ะ คิดว่าอย่างนั้น” บุญชญาบอก
ก่อนจะถามเรื่องเพื่อนตัวเอง เธอเป็นห่วงวารวารีมาก...ทันทีที่รู้จากพี่เดย์
เธอก็อยากตามไปโรงพยาบาลด้วยซ้ำ ติดที่ว่าถ้าเธอไปกับวารวารีที่แผนกต้อนรับโรงแรมคงไม่มีใครมาทำงานเลย
อีกอย่าง...เพื่อนเธอน่ะมีเจ้านายคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว “ว่าแต่วาฬเป็นยังไงบ้างเหรอคะ?”
“ทำไม?” เด่นคุณหันไปมองหน้าพนักงานตัวเองที่กำลังมองเขาตาปริบๆ
“ถ้าหายดีแล้ววาฬก็กลับมาเองแหละน่า”
“งั้นก็แสดงว่าข่าวลือเรื่องที่คุณคุณกับวาฬเป็นกิ๊กกันก็..”
หญิงสาวมองเจ้านายก่อนจะยิ้มแบบมีเลศนัย “เรื่องจริงน่ะสิคะ”
“เห้อ..ให้ตายเถอะ! ทัศนคติพนักงานในโรงแรมฉันคงแย่มากเลย
เอ..จับอบรมใหม่ทั้งหมดดีมั้ยเนี่ย”
“คุณคุณอย่าใช้อำนาจกับเรื่องส่วนตัวสิคะ” บุญชญาทำหน้าหงอย แต่ก็ช่างพูดช่างเจรจายั่วโมโหจนเจ้านายยืนเท้าเอวมองด้วยสายตาขุ่นเคือง ไม่ต่างจากวารวารีเลย “คบกันในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องน่าอายซะหน่อยนะคะ มันจะน่าอายก็ตรงที่คุณคุณเห็นวาฬเป็นแค่ของเล่นนี่แหละ ข่าวลือเรื่องความเจ้าชู้ของคุณคุณใช่ย่อยซะที่ไหน คิดแล้วเป็นห่วงวาฬจัง”
“นี่ ฉันไม่ได้มองเพื่อนเธอเป็นของเล่นนะ!”
ความคิดเห็น