คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 08 :: พ่อลูกชายตัวดี! 100 %
“เปล่านะคะ! หนูไม่ได้ขายตัวอย่างที่คุณนายเข้าใจ
หนูแค่มาช่วยหาคนๆ นึงให้คุณคุณต่างหาก คนที่ทำคุณไสยใส่”
“นั่นแหละที่คุณกำลังจะบอกแม่อ่ะ” เด่นคุณวางกระเป๋าผ้าเล็กๆ ใบหนึ่งลงบนโต๊ะกระจกทรงเตี้ย
“ยามีแค่นี้เอง ไม่รู้ว่าพอจะใช้ได้หรือเปล่านะ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเปิดกระแล้วเอายาออกมากอง อ่านวันหมดอายุแต่ละอันอย่างถี่ถ้วน
ทว่าในกระเป๋านี้ก็ดันมีแต่ยาหม่องตลับเล็กๆ กับยาทาแก้คัน แล้วก็ยานวดที่ใช้สำหรับหลังเล่นกีฬามา
“ยังไงไหนเล่ามาซิ” คำพูดของลูกชายทำให้ดุจเดือนสนใจขึ้นมา
ถึงขั้นนั่งกอดอกเพื่อรอฟังอย่างตั้งใจเลยทีเดียว
“ก็..” เด่นคุณปรายตามองไปยังหญิงสาว ก่อนจะเล่าให้มารดาฟัง
ขณะที่มือก็เปิดตลับฝายาหม่อง แล้วดึงแขนวารวารีมาทายาไปด้วย “คือวาฬเขามีสัมผัสพิเศษเหมือนกับหลานๆ
น่ะครับ มองเห็นผีได้ทำนองนี้ แล้วยังสื่อสารกันรู้เรื่องด้วย”
นักต้มตุ๋น..
นี่คือสิ่งที่แรกที่ผุดเข้ามาในสมองของดุจเดือน นั่นเพราะคนสมัยนี้นะไว้ใจได้ยาก
เล่ห์กลหลอกลวงคนก็มีสารพัดรูปแบบ บางทีแม่สาวคนนี้อาจวางกับดักด้วยใบหน้าใสซื่อเพื่อหลอกล่อให้ลูกชายของท่านตกหลุมพราง
แล้วหยิบเอาเรื่องบางอย่างที่พอจะรู้มาแต่งขึ้นมาใหม่
ทำให้เด่นคุณเชื่อหัวปักหัวปรำก็ได้ ใครจะไปรู้
“แล้วหนูเห็นเจ้าดีนด้วยงั้นเหรอ?”
“ค่ะ” วารวารีพยักหน้ารับ แต่มองปราดเดียวเธอก็รู้แล้วว่าคุณนายตรงหน้าคงไม่เชื่อเรื่องที่เธอหรือเด่นคุณบอกแน่
“คือนอกจากไอดีนแล้วเนี่ย วาฬยังสามารถเห็นผีตัวอื่นได้อีกนะแม่ วาฬบอกว่าที่บ้านพักมีผีผู้หญิงที่เกิดจากการทำคุณไสยอยู่ด้วย
เป็นเพราะมีคนส่งมันมาเฝ้าผมน่ะ”
เฮอะ! ไร้สาระสิ้นดี
ดุจเดือนแค่นหัวเราะในใจ พลางคิดว่านี่มันเรื่องหลอกเด็กชัดๆ ส่วนพ่อลูกชายตัวดีก็งี่เง่าเหลือเกินที่เชื่อเรื่องพวกนี้ได้ลงคอ
“แล้วฉันจะเชื่อที่เธอพูดได้ยังไงกัน..แม่หนู”
“นะ..หนูพูดได้เหรอคะ” วารวารีอ้ำอึ้งมองหน้ามารดาของเจ้านาย
แต่ก่อนมาที่นี่กับเด่นคุณ...เด่นฤทธิ์ได้เล่าบางอย่างให้เธอฟังแล้ว และเขายังบอกด้วยว่าเรื่องพวกนี้จะช่วยทำให้พ่อกับแม่เชื่อใจในตัวเธอ
เพราะมันคือเครื่องพิสูจน์ชั้นดีเลยว่าเธอสามารถมองเห็นวิญญาณและสื่อสารกับคนที่อยู่ในอีกภพภูมิหนึ่งได้จริงๆ
“คือ..คุณดีนบอกว่าเป็นความลับที่คุณนายไม่ได้บอกลูกคนไหนมาก่อน ยกเว้นคุณดีน”
“อะไร?” เด่นคุณหูผึ่งขึ้นมาทันที
“หนูก็ลองเล่ามาก่อนสิจ๊ะ แล้วฉันจะบอกเองว่าจะเชื่อหนูได้มากน้อยแค่ไหนกัน”
ดุจเดือนเชิดหน้าขึ้นอย่างเป็นต่อ คิดว่าอีกฝ่ายเตรียมเล่นแง่กับตนแน่ๆ ทั้งที่ความจริงคงอยากบ่ายเบี่ยงเรื่องที่ตัวเองไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้
เลยแกล้งเอาความลับดำมืดที่ทุกคนมีมาเป็นตัวล่อ ทำให้ท่านไม่อยากให้เปิดปากพูดออกมา
แต่ไม่หรอก...รู้อะไรก็พูดออกมาเลยจะดีกว่า
บางที เด่นคุณอาจจะตาสว่างขึ้นมาบ้างก็ได้
“คุณดีนบอกว่า ก่อนที่คุณพงษ์จะแต่งงาน คุณนายกับสามีขึ้นเชียงใหม่ไปพบทั้งคุณพงษ์และคุณพาย
เรื่องสินสอดทองหมั้นก็ส่วนนึง แต่เรื่องยกเครื่องเพชรชุดหนึ่งให้คุณพายเป็นของรับขวัญสะใภ้เข้าตระกูล
เป็นเพชรชุดสีน้ำเงิน ส่วนคุณพร้อมเองก็ยกโฉนดที่ดินผืนหนึ่งให้ทั้งสองคนเพื่อเป็นของขวัญสำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัว
ของสองอย่างนี้...ไม่ได้ถูกวางเป็นสินสอดในวันแต่งงาน ใช่หรือเปล่าคะ”
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ เพราะเป็นเรื่องที่ดุจเดือนกับสามีพูดและตัดสินใจร่วมกันแค่สองคน
เด่นคุณเองก็ไม่รู้เพราะท่านกลัวลูกชายน้อยใจ แต่ของขวัญทั้งสองอย่างที่วารวารีพูดมา
พวกท่านตั้งใจให้เป็นของขวัญแต่งงานต่างหากอยู่แล้ว
ดุจเดือนนิ่งไป แต่หน้ายังไม่ลดความเชิดลงแม้แต่นิดเดียว ถึงวารวารีจะพูดตรงทุกอย่างราวกับตาเห็น แต่ก็ใช่ว่ามันดุจเดือนจะยอมรับได้
“แหมแม่..ไม่ยอมบอกกันเลยน้า” เด่นคุณแกล้งแซว “พี่พงษ์ก็ปิดปากเงียบเลย”
“เราไม่ต้องมาน้อยอกน้อยใจหรอกน่าตาคุณ พ่อแม่เตรียมไว้ให้ลูกทุกคนนั่นแหละ อยู่ที่ว่าจะให้อะไรใครตอนไหนก็เท่านั้นเอง” ดุจเดือนแสร้งทำเสียงสะบัดขัดใจใส่ลูก
“ก็ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อยนี่” คนเป็นลูกไหวไหล่ “รู้อยู่แล้วล่ะว่าแม่ปลื้มคุณพายเป็นพิเศษ
ตอนแรกก็ยุให้ผมจีบคุณพายเหยงๆ แต่นี่คุณพายดันไปตกลงปลงใจกับไอพี่พงษ์แล้ว ยังไงก็เป็นสะใภ้หมายเลขหนึ่งที่แม่เล็งไว้แต่แรกอ่ะเนอะ
จะคู่กับลูกคนไหนก็ได้ทั้งนั้น”
“แต่ก็ใช่ว่าเรื่องแค่นี้จะพิสูจน์อะไรได้นะ”
ดุจเดือนมองเด็กสาวตรงหน้า
“งั้นเรื่องคุณดีนล่ะคะ” วารวารีพูดขึ้นเสียงเรียบ
ถ้าพูดเรื่องของเด่นฤทธิ์แล้วยังไม่เชื่อกัน เธอก็อับจนปัญญาแล้ว “คุณนายเองเคยเรียกคุณดีนไปคุยส่วนตัวเรื่องงานแต่งสายฟ้าแลบ
เครื่องเพชรที่ตั้งใจอยากยกให้สะใภ้นั้นทีแรกเป็นของมรดกตกทอดที่คุณย่ามอบให้คุณนาย
แต่เพราะคุณนายไม่ชอบสะใภ้คนนี้เอามากๆ เลยให้เงินสดห้าล้านบาทกับคุณดีน ให้คุณดีนไปซื้อเครื่องเพชรเครื่องทองเอง”
“นี่..” สายตาที่ดุจเดือนมองวารวารีเต็มไปด้วยความโกรธขึง
แต่เพียงครู่เดียวก็นึกได้ว่าวารวารีแค่พูดไปตามที่รู้มา “ใครบอกเรื่องนี้มา”
“คุณดีนค่ะ”
“แม่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรวาฬหรอกครับ” เด่นคุณเกาหัว “ผมพิสูจน์มาหมดแล้ว
ไม่ใช่ว่าจะเชื่อคนง่ายสักหน่อย”
“เราน่ะอย่าพูดให้มาก แม่ยังไม่ได้จัดการเราเลยด้วยซ้ำที่โกหก
แถมเนื้อตัวก็เหม็นไปด้วยกลิ่นเหล้าคลุ้งเชียว ไปกินหรือไปอาบมาเนี่ย”
ดุจเดือนเปลี่ยนเรื่องหันไปแหวใส่ลูกแทน
“ก็ผมไปเจอคนๆ นึงมาที่สงสัย แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเลิกสนใจผมแล้ว”
เด่นคุณบอก ไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์อีกฝ่าย
“เดี๋ยวนะ นี่เรากำลังสงสัยว่าคนที่ให้ผีมาเฝ้าที่บ้าน เป็นกรณีชู้สาวอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็..ครับ
เพราะสาวทุกคนที่พามาบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าเจอผีผู้หญิงคนนี้ พาผู้ชายมา
พ่อกับแม่มานอนก็ไม่เห็นเจอเลย หลานสองคนก็ไม่มีใครเจอ” เด่นคุณยิ้มเอาใจมารดากลบเกลื่อนความผิดตนเอง
“หนูจะไปทำอะไรก็ไปเถอะนะ เดี๋ยวฉันขอเคลียร์กับลูกชายเป็นการส่วนตัวหน่อย”
“ค่ะ”
................................
“ตายจริง! พื้นผิวก็ดี
หน้าตาก็จิ้มลิ้ม แต่งนิดแต่งหน่อยก็สวยแล้ว”
ช่างแต่งหน้าร่างใหญ่ ทว่าเพศสภาพเป็นชายที่เด่นคุณจ้างมาทำสวยให้วารวารีโดยเฉพาะนั้นกำลังจิ้มรองพื้นลงบนผิวหน้าเปล่าเปลือยของหญิงสาว
ก่อนจะใช้พัฟและแปรงช่วยเกลี่ยให้รองพื้นให้เสมอกัน แล้วลงเครื่องสำอางตัวอื่นๆ
ตามลงมา
วารวารีได้แต่ยิ้มรับกับคำชม ทั้งที่คอเธอเกร็งมาก
เนื่องจากไม่เคยให้ใครมาแต่งหน้าแต่งตัวให้แนบชิดราวกับเจ้าหญิงมาก่อนในชีวิต
ดวงตากลมแอบเหลือบมองดูเทคนิคการแต่งหน้าผ่านกระจกบานใหญ่ เผื่อจำเอาไปใช้แต่งเองดูบ้างเป็นบางครั้งที่ต้องออกงาน
ทว่าช่างคนเดิมก็ชวนคุยทำให้เธอลดภาวะความประหม่าลงไปได้เยอะทีเดียว
“ว่าแต่..คุณน้องเป็นแฟนคุณคุณหรือคะหนู”
คำถามจีบปากจีบคอจากช่างคนเดิมถาม ขณะที่มองสบตาหญิงสาวผ่านกระจกบานตรงหน้า แต่วารวารีก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างเช่นที่เคยทำเวลามีคนทักเรื่องทำนองนี้
เห้อ สงสัยเธอจะตัวติดกับเขามากเกินไป คนอื่นเลยพากันเข้าใจผิดไปซะหมด
“ไม่ใช่ค่ะ..”
“แหม ดูท่าเป็นคนขี้อายใช่เล่นนะเรา ก็คงจะกำลังดูๆ ใจกันอยู่ล่ะสิท่า”
อีกฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของเธอสักนิด พลางยิ้มกรุ้มกริ่มกับท่าทางเงอะงะของเธอด้วยซ้ำไป
จนวารวารรีลอบถอนหายใจหน่าย ในเมื่อมีคำตอบในใจตัวเองอยู่แล้ว จะถามเธอไปทำไมกัน
บอกความจริงก็ไม่เชื่อ
พอการแต่งหน้าแต้มสีสันให้ใบหน้าที่ขาวซีดเสร็จนั้น หน้าตาวารวารีก็สดชื่นผิดกับเมื่อเช้าราวกับคนละคน
หน้าตามีสีสันสดใส แก้มสองข้างเปล่งปลั่งด้วยสีเลือดฝาดธรรมชาติ
เรียวปากมีสีแต่งแต้มชมพูนิดๆ แต่ก็วาววามไปด้วยการทาลิปกอสทำให้เรียวปากดูอวบอิ่ม
คิ้วตา เป็นการแต่งโทนน้ำตาล ให้ความรู้สึกนุ่มละมุนระคนความหวานราวกับช็อกโกแลต
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะช่างมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก ถึงเป็นการแต่งหน้าที่ดูเหมือนเบาบาง
ลงสีสันอย่างละนิดละหน่อย แต่หากลองแต่งแต้มใบหน้าตัวเองดูก็จะรู้เลยว่าที่เห็นอยู่นี้มันไม่ง่ายเลย
เพราะนอกจากจะต้องใช้ศิลปะที่เรียนมาทั้งชีวิตแล้ว ยังต้องมีพรสวรรค์ช่วยด้วยอีกแรง
“อ่ะ...นี่เอาชุดไปใส่นะ พี่จะได้ดูให้ว่าจะปรับแก้ตรงไหนบ้าง
แล้วจะได้ทำผมต่อเลย” พี่ผู้ชายอีกคนซึ่งเป็นช่างผม แต่งตัวแมนราวกับชายแท้
แต่คำพูดก็รู้ว่าเป็นเพศทางเลือกเหมือนพี่อีกคน ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ดูใจดีและเป็นคนสนุกสนานก็ยื่นชุดที่จัดเตรียมเอาไว้ไปตรงหน้าหญิงสาว
ชุดสีชมพูหวานแหวว กระโปรงบานราวกับกระโปรงตุ๊กตาบาร์บี้
ส่วนเสื้อสีชมพูเข้มขึ้นมาหน่อย เป็นสายเดี่ยวที่ตรงสายไม่ใช่ผ้าเส้นเดียว
แต่ถูกตัดแต่งให้ดูมีสกุลรุนชาติด้วยไข่มุก
คุณคุณชอบผู้หญิงหวานเบอร์นี้เชียว
วารวารีมองชุดแล้วนึกย้อนมองตัวเอง เธอไม่ใช่ผู้หญิงแนวนี้เลย
กลับกันเธอห้าว ชอบใส่กางเกงมากกว่ากระโปรงเพราะเดินเหินถนัดกว่า
แค่แต่งหน้ายังไม่ลองสวมชุดที่เขาเตรียมไว้ให้ เธอก็รู้สึกเหมือนจะจำตัวเองขึ้นมาไม่ได้เสียอย่างนั้น
“ชุดนี้..” สายตาของหญิงสาวมองกระโปรงที่ทั้งสั้น แล้วก็ค่อนข้างบานราวกับขนมสายไหม
“มันจะไม่โป๊ไปใช่มั้ยคะ?”
“โอ้ย ไม่เลยค่ะคุณน้อง” พี่คนที่ยื่นชุดให้เธอยืนยันเสียงหนักแน่น “คุณน้องอาจไม่มั่นใจเพราะมันดูสั้นๆ
ใช่มั้ย แต่ใส่ออกมาแล้วจะดูดีมาก โชว์เรียวขาขาวๆ ยาวๆ นิดหน่อย ไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ
อีกอย่างถึงมันจะดูบาน...แต่ไม่ปลิวง่ายๆ แน่นอน แค่นี้ถือว่าจิ๊บมาก
คนอื่นชุดราตรีนี่คว้านลึกถึงสะดือเลยเชียว มองเห็นไส้ไก่ตั้งแต่ 500 เมตรโน่น”
วารวารีได้แต่พยักหน้า ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนชุดตามที่ทั้งสองคนบอก
พอออกมาเธอก็นั่งทำผมอีกร่วมชั่วโมง จนกระทั่งสวมเครื่องประดับที่ถูกเตรียมเอาไว้อย่างเข้าเซ็ทกับชุด
พอเธอแต่งตัวเสร็จ...เด่นคุณก็ลงมาจากชั้นบน
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งเธอและชายหนุ่มก็อยู่เป็นแบบให้พวกพี่ๆ ทั้งสองคนถ่ายรูปเอาไปลงในเว็บเพจเพื่อโปรโมทร้านของตัวเองต่อ
กระทั่งใกล้ถึงเวลาเข้างาน ตอนที่ทั้งคู่เดินเข้าลิฟต์แล้วประตูปิดลง เด่นคุณก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าวันนี้เขายินดีให้เธอควงออกงานหนึ่งวัน
แต่วารวารีกลับส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว
“เป็นอะไร ทำไมเอาแต่จับกระโปรงอยู่นั่น” เด่นคุณถาม เขาสังเกตตั้งแต่เธอเดินอยู่ในห้องด้วยท่าทีกระมิดกระเมี้ยนดูไม่มั่นใจเอาเสียเลย
ทั้งที่ชุด หน้าตา ผมเผ้าก็เข้ากันดีจนส่งให้เธอสวยเด่นราวกับตุ๊กตา
ไม่ใช่เด็กสาวกะโปโลแก่นแก้วที่เคยเห็นจนชินตาเหมือนทุกวัน “กระโปรงเธอไปเกี่ยวอะไรมาหรือยังไง
มันขาดหรือเปล่า”
“ไม่ได้ขาดตรงไหนหรอกค่ะ แค่ไม่มั่นใจเฉยๆ” หญิงสาวก้มมองดูอีกรอบ
ยิ่งยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงก็ยิ่งรู้สึกหวิวหวามเหมือนมันพร้อมจะเลิกขึ้นทุกเมื่อ “ฉันว่ามันสั้นไป
แถมยังบานอีกต่างหาก กลัวเวลาเดินไปเดินมาแล้วมันพะเยิบพะยาบน่ะค่ะ”
“ไม่หรอกน่า ฉันว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว และถ้ามันเปิดจนเห็นอะไรต่อมิอะไร ฉันคงเห็นตั้งแต่ในห้องตอนที่เราอยู่ด้วยกันแล้วล่ะ”
ชายหนุ่มบอกก่อนจะจับปลายคางหญิงสาวเชิดขึ้นมองสบตาตนเอง “เอาน่าเชิดหน้าเข้าไว้
มั่นใจหน่อยสิ ปกติเห็นเธอก๋ากั่นจะตายไป ไม่ใช่เรียบร้อยแบบนี้”
วารวารีพยักหน้า ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อเบนความสนใจของตัวเอง
“แล้วคุณนายกลับไปตอนไหนหรือคะ?”
“ฉันโดนเฉ่งไปเกือบชั่วโมงแน่ะ แล้วแม่ก็กลับไป” เด่นคุณหัวเราะ
ไม่มีท่าทีสำนึกผิดเลย เหมือนว่าการได้โดนมารดาดุด่าจะทำให้เขานอนหลับสนิท “ว่าแต่แขนยังเจ็บอยู่มั้ย
ขอโทษจริงๆ นะ พอดีมันเป็นสัญชาตญาณให้ป้องกันตัวเอง
ไม่คิดว่าโตขนาดนี้แล้วแม่จะตีจริงจัง”
คนพูดเอามือเกาคอ รู้สึกเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“แต่จะว่าไปก็เขินจัง โดนแม่ตีต่อหน้าพนักงานตัวเองซะได้
นี่วาฬ..ห้ามไปบอกใครนะ แค่นี้ภาพลักษณ์ฉันมันก็ป่นปี้มากพอแล้ว”
คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมาจนเห็นฟัน ทว่าพอเห็นท่าทางที่เริ่มเหมือนจะสบายใจของวารวารีแล้ว
เด่นคุณก็พลอยสบายใจตามไปด้วย ราวกับว่าหัวใจของเขากับเธอมันเชื่อมโยงกันอย่างนั้น
“แล้วผู้ต้องสงสัยคุณคุณในงานนี้ มีกี่คนหรือคะ?”
“คิดว่าราวๆ สี่คนนะ”
ทั้งสองพูดคุยกันมาเรื่อยๆ ขณะที่ขึ้นรถยนต์
แล้วเด่นคุณขับมุ่งน้าไปยังถนนในเมืองหลวง ซึ่งเวลาในช่วงเลิกงานอย่างนี้ ผู้คนใช้ถนนสัญจรกันค่อนข้างหนาแน่นเลยทีเดียว
“โห ถ้ารวมกับผู้หญิงคนที่คุณคุณไปหาเมื่อคืนนี้ก็ 5 คนน่ะสิ” วารวารีตาโต พลางยกมือขึ้นมาเทียบจำนวนนิ้วตัวเอง
“ก็นะ สำหรับคนที่เคยมีประเด็นและน่าสงสัยที่สุดในตอนนี้”
ความคิดเห็น