คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 07 :: ผู้ช่วยตัวป่วน 100 %
“เด็กคนนี้ชื่อ..ดิน ส่วนลูกเราชื่อ..ดีน
เพี้ยนกันแค่หน่อยเดียวเอง” ดุจเดือนเน้นย้ำ
และค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งสองคนต้องมีความเกี่ยวโยงทางสายเลือดเป็นแน่
แต่ครั้นจะถามปรีดิ์รดาโต้งๆ ก็คงดูเป็นการเสียมารยาทและยุ่งย่ามชีวิตของหญิงสาวเกินไปหน่อย
อีกอย่างหากดิษย์วรินทร์ไม่ใช่หลานชายทางสายเลือดอย่างที่คิดเอาไว้ มันคงดูเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนอื่นจนน่าเกลียด
แต่ไม่ว่ายังไงเซ้นส์มันก็บอกว่าเรื่องนี้มีอะไรในก่อไผ่ไปเกินครึ่ง
ดุจเดือนมั่นใจว่าลางสังหรณ์ตัวเองไม่มีทางผิดเพี้ยนแน่
“ฉันว่าหนูปริมคงไม่ใช่คนที่มั่วไม่เลือกหน้าหรอกมั้งคะ เห็นจะมีก็แต่ลูกชายเรานั่นแหละที่รักสนุกจนเสียคน”
ดุจเดือนถอนหายใจไม่อยากฟื้นฝอยอดีตอันแสนเลวร้าย
ซึ่งทางสามีเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
นั่นเพราะการเลี้ยงลูกชายที่ค่อนข้างตามใจเกินเหตุ เด่นฤทธิ์ถึงได้หลงระเริงและสนุกกับชีวิตมากไปจนพบเข้ากับจุดจบที่ตัวเองไม่เคยคาดฝันมาก่อน
“แล้วหนูปริมพูดอะไรกับคุณบ้างมั้ย” พร้อมทรัพย์ถามภรรยาเสียงนิ่ง
“ก็...ไม่ค่อยพูดถึงครอบครัวหรอกค่ะ บอกแค่ว่าเธอกับพ่อของเด็กเลิกรากันไปนานแล้ว
ตั้งแต่เจ้าดินยังเล็ก” ดุจเดือนเชื่อว่าปรีดิ์รดาตั้งใจจะตอบคำถามแบบเลี่ยงประเด็น
และไม่ลงลึกรายละเอียดของชีวิตตัวเองให้ท่านฟัง “ฉันเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย
เพราะหนูปริมมากับคนอื่น เห็นว่าเป็นเจ้านาย แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบหนูปริมมากอยู่นะ”
“แล้วคุณมั่นใจมั้ย ว่าเด็กที่ชื่อดินจะเป็นลูกเจ้าดีนจริงๆ”
พร้อมทรัพย์ถามย้ำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เพราะท่านเองก็เชื่อในใจลึกๆ
ว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเองแน่ๆ ในเมื่อ DNA มันอยู่บนใบหน้าหมดแล้ว
“80 % ค่ะ”
“งั้น...ผมคงต้องสืบเรื่องหนูปริมดูหน่อยแล้ว”
.....................................
หลังจากวันก่อนที่เด่นคุณนั่งประชุมกับวารวารี
โดยมีสมาชิกสามคนอย่าง ปู่โมกข์ ปู่ใหญ่ และเด่นฤทธิ์ร่วมด้วย
ทำให้เขาเริ่มมีความหวังว่าจะสามารถขับไล่ผีสาวตนนั้นออกไปจากบ้านพักได้
ถึงได้นัดแนะกับวารวารีให้เธอเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยกัน เพื่อตามหาต้นเหตุของคนที่เล่นไม่ซื่อกับเขา
เจ้าที่ทั้งสองท่านกับเด่นฤทธิ์ไม่ได้บอกว่า ‘คนเล่นของ’ หรือชื่นชอบในเรื่องคุณไสย มนต์ดำนั้นจะมีลักษณะเฉพาะอย่างไร
เพราะไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของชีวิตคนอีกคนได้อย่างลึกซึ้ง
นอกเสียจากวารวารีกับเด่นคุณจะต้องมองหาความผิดปกติพวกนั้นเอง
ซึ่งก็ทำเอาทั้งสองคนรู้สึกหนักใจไม่น้อยเหมือนกัน
“ถ้าเราหาคนทำไม่เจอล่ะคะ” หญิงสาวถามเด่นคุณด้วยความกังวลใจ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเดือดร้อนเลย
“เราคงต้องเปลี่ยนแผน” เด่นคุณเกาคางอย่างครุ่นคิด
“จ้างหมอผีมาไล่ง่ายกว่า”
“แล้วถ้าฝ่ายนั้นเขาส่งผีตัวอื่นมาเพิ่มล่ะคะ
เราไม่ต้องจ้างหมอผีมาทำพิธีใหญ่โตเลยหรือไง”
“นี่! อย่าพูดอะไรให้ฉันต้องใจสั่นได้มั้ย”
เด่นคุณถอนหายใจพร้อมกับมองหน้าหญิงสาว พลางยกมือทาบอก “แค่ไอดีน
กับผีอะไรก็ไม่รู้โผล่มาเพิ่ม ฉันก็ระแวงจนประสาทจะกินอยู่แล้ว
ขืนส่งผีตัวอื่นมาอีก ฉันได้ย้ายบ้านไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้าแน่ๆ”
วารวารีหัวเราคิกกับท่าทางราวกับโลกทั้งใบจะถล่มลงต่อหน้าต่อตาเจ้านายของเธอ
เขาไม่เคยเห็นสิ่งลี้ลับที่เรียกว่าวิญญาณกับตายังกลัวจนตัวสั่น ถ้าขืนเด่นคุณลองได้เห็นอะไรต่อมิอะไรได้เองเหมือนเธอ
มีหวังสติคงหลุดออกจากตัวจริงๆ แน่
กระทั่งถึงเวลาที่หญิงสาวนัดหมายกับเจ้านายเอาไว้ วารวารีก็ลากกระเป๋าเดินทางลงมาจากชั้นสองของบ้านไม้
ขณะที่มารดากำลังก้มๆ เงยๆ เช็ดพื้นบ้านจนสะอาดกระเบื้องขึ้นเงา
“แม่อยู่บ้านคนเดียวได้แน่นะ” หญิงสาวอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
เพราะอยู่ด้วยกันจนชิน พอต้องห่างแม่เข้าหน่อย...เธอก็รู้สึกโหวงๆ ในใจ
“คนเดียวอะไรกันเล่า เดี๋ยวป้ากาบแก้วก็มาช่วยแล้ว
เราน่ะอย่าห่วงเกินไปหน่อยเลย” แวววรียิ้มเอ็นดูลูกสาวที่อยู่ในชุดกางเกงขายาวสีครีมกับเสื้อครอป
ชุดไปรเวทที่พร้อมออกเดินทางไกล
แต่จะว่าไปแล้วตั้งแต่คราวนั้นที่กาบแก้วเข้าโรงพยาบาลและลูกสาวเธอไปเฝ้าราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นญาติพี่น้องที่เคารพนับถือกันมา
ก็ทำให้กาบแก้วเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว
เพราะพอกาบแก้วออกจากโรงพยาบาลและเริ่มหายดี ก็เริ่มเข้าครัวทำกับข้าวเองเพื่อมาใส่บาตรตอนเช้า
แถมยังใจดีมากขึ้น มีเมตตาต่อคนรอบตัวมากขึ้น และยังแวะเวียนมาดูแลความเรียบร้อย
ที่สำคัญยังชอบแวะมาช่วยทำกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
ซึ่งผลบุญที่กาบแก้วได้ทำและอุทิศให้กับน้องชายและน้องสะใภ้
ทั้งพี่โก๋และพี่นิภาเองก็ได้รับ
ตอนนี้ทั้งสองคนมีสีหน้าผุดผ่องเพราะได้รับพลังบุญจากเครือญาติตัวเอง ผิดกับก่อนหน้านี้ที่สีหน้าหม่นหมองเพราะทุกข์โศกที่ติดอยู่ในจิตสุดท้ายก่อนตาย
“โธ่แม่ ให้ป้าเขาช่วยบ่อยๆ วาฬเกรงใจนี่นา” หญิงสาวบอกหน้าตูม
ถึงจะเริ่มสนิทกับกาบแก้วมากขึ้น แต่ด้วยนิสัยขี้เกรงใจเป็นทุนเดิม
ทำให้วารวารีลำบากใจที่ต้องไหว้วานฝากให้ป้ากาบแก้วดูแลมารดาแทนเธอ
“บ่นอะไรกันสองแม่ลูก” แต่ยังไม่ทันไร
คนที่กำลังบ่นถึงก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับผักแกล้มน้ำพริก “ฉันไปเก็บค่าเช่าที่ตลาดมา
เห็นผักสวยๆ สดๆ เลยซื้อมาฝากเธอน่ะแวว เห็นว่าวันนี้จะทำน้ำพริกนี่นา”
“ขอบใจนะจ๊ะ”
แวววรีรับเอาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแป้นอย่างมีความสุขจากการแบ่งปันเป็นน้ำใจเล็กน้อยของคนที่อยู่ในซอยบ้านเดียวกัน
“เมื่อกี้ยายวาฬบ่นใหญ่เลย บอกว่าเกรงใจพี่กาบแก้วที่มาช่วยฉันทำกับข้าวขายตอนเช้า”
“แหม เกรงใจอะไรกันล่ะ..” กาบแก้วหันหน้าไปทำตาดุใส่หญิงสาวอย่างไม่จริงจังนัก
แต่เพราะวารวารีนั่นแหละทำให้เธอปลงกับชีวิตที่ไม่มีอะไรแน่นอนได้ เมื่อถึงตอนที่ชีวิตพบพานคราวเคราะห์เกือบถึงชีวิต
เงินทองที่มีเก็บมากมาย ที่พยายามไขว่คว้าหามาครอบครองนั้น...มันก็ช่างไร้ความหมาย
ถ้าวันนั้นไม่ได้เพื่อนบ้านอย่างแวววรีกับวารวารีมาช่วย ป่านนี้ก็คงไม่ได้เดินเหินคล่องไปมาอยู่ได้หรอก
“แล้วจะไปกรุงเทพฯ กี่วันล่ะ”
“น่าจะสองสามวันนะคะ”
หญิงสาวคุยเล่นกับแม่และป้ากาบแก้วอยู่ในบ้านไม่กี่ประโยคดี ก็มีรถยนต์คันหรูเข้ามาจอดเทียบประตูรั้ว ก่อนจะมีผู้ชายร่างสูง อยู่ในชุดเรียบง่ายแสนธรรมดา ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงยีนส์สีซีดๆ สวมแว่นกันแดดก้าวลงมาจากรถ
รัศมีความหล่อ ออร่า ที่พลุ่งพล่านก็เรียกสายตาจากคนในบ้านให้ไปมองเด่นคุณเป็นตาเดียว
และความหน้าตาดีเกินความคาดหมายของเขาก็ช่วยเรียกความสนใจจากเพื่อนข้างบ้านได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
“วาฬ..วารวารี!” เด่นคุณป้องปากตะโกนเรียกชื่อหญิงสาวอยู่หน้าประตูรั้ว
เนื่องจากมองหากริ่งกดแล้วไม่พบ สายตาก็สอดส่องมองหาพนักงานตัวเองไปด้วย
“นี่บ้านของวาฬวารีหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มถามเมื่อป้ากาบแก้วลุกพรวดแล้วเดินออกไปยืนกอดอกมองชายหนุ่มที่ไม่คุ้นตา
ทำหน้าดุๆ ราวกับแม่กำลังหวงลูกสาว
ก่อนจะเอี้ยวหน้ากลับมามองสองแม่ลูกแล้วยิ้มกว้าง พลางพูดเสียงเบาว่า
“อุ้ยตาย! พ่อหนุ่มหน้ามนนี่ใครกัน แฟนหนูวาฬหรือจ๊ะ?”
“นั่นสิ” แวววรีหันไปมองลูกสาวตัวเอง สายตาของท่านแพรวพราวเป็นระยับ เชิงล้อเลียนทำนองว่า...มีแฟนแล้วไม่อมบอกกันเลย
“แฟนอะไรกัน นั่นเจ้านายวาฬเองค่ะ คุณคุณ” หญิงสาวรีบอธิบาย
โบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน
“โถ่ถัง เจ้าประคุณรุนช่องหล่อเหลาอะไรได้ปานนี้ พ่อแม่ช่างปั้นดีแท้”
กาบแก้วหันไปมองชายหนุ่มอีกรอบ ขณะที่วารวารีรีบย้ำชัดอีกครั้งว่าเขาเป็นใคร
“คุณป้ากาบแก้วคะ นี่เจ้านายค่ะ...เจ้านาย”
“เชอะ..! ใครเขาสนกัน ยุคนี้สมัยนี้ เจ้านายหล่อปานเทพบุตร หนูวาฬก็ควรรีบจับเอาไว้เลย”
ป้ากาบแก้วหันมาทำหน้าจริงจัง ก่อนจะเดินไปยังรั้วบ้านที่มีเด่นคุณยืนรออยู่ “พ่อเป็นใครหรือจ๊ะ
มาหาหนูวาฬทำไมกัน?”
กาบแก้วรีบซักไซ้ให้แน่ใจ พลางมองแล้วมองอีก ก่อนจะแอบยิ้มกริ่มในใจกับความหล่อเหลาที่ไม่ค่อยได้พบเห็นกับตาตัวเองเท่าไหร่นัก
ผิวขาว ใบหน้าหล่อ จมูกโด่งเป็นสันคม คิ้มเข้มราวกับพระเอกหนังจีน ตาชั้นเดียวแต่ดูเท่
ความสูงนี่ระดับนายแบบ ดูผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ
จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าท่านตัดสินใจผิดไป ที่มองเห็นว่าย้งเด็กหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน
ที่กินกันอยู่นั้นหล่อที่สุดในย่านนี้แล้ว
“สวัสดีครับ พอดีผมมารับวาฬไปสนามบิน คือว่าผมเป็นเจ้านายของวาฬนะฮะ”
เด่นคุณรีบยกมือไหว้ ก่อนจะอธิบายเป็นฉากเป็นตอน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกอดอก ยืนทำหน้านิ่งไม่แสดงอะไรด้วยแล้ว
ก็อดหวั่นในใจไม่ได้
“เข้าไปด้านในก่อนสิ” กาบแก้วเปิดประตูรั้วก่อนเดินนำเข้าไปด้านในบ้าน
โดยมีเด่นคุณตามหลังมา
“ยังเหลือเวลาอีกตั้งเกือบสองชั่วโมงนี่คะ ทำไมรีบมาจัง”
วารวารีทักเจ้านายเมื่อเขาเข้ามาในบ้าน ขณะที่เด่นคุณยกมือไหว้แวววรี
“ก็เผื่อเวลาไปกินข้าวด้วยไง” เด่นคุณบอก พลางยิ้มฝืนๆ
เพราะอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ถึงสองคน ครั้นเขาจะดุเหมือนอยู่ในที่ทำงาน ก็ทำได้ไม่ถนัดนัก
“ไปทานข้างนอกกันทำไมคะ ทานข้าวบ้านน้าก็ได้ น้าทำกับข้าวเอาไว้เยอะเลย”
แวววรีบอกด้วยน้ำเสียงใจดี ใบหน้ายิ้มแย้มรับแขก “ว่าแต่คุณคุณทานเป็นมั้ยคะ
น้าผัดผัก ทอดหมู กับต้มจืดเอาไว้ ถ้าทานไม่ได้น้าจะทำอย่างอื่นให้ เอาไข่ดาวมั้ย”
“อ่อ นี่แม่ฉันเองค่ะ ปกติบ้านเราทำกับข้าวขายตอนเช้า
ส่วนใหญ่ก็เป็นกับข้าวใส่บาตร” หญิงสาวรีบแนะนำมารดาเมื่อเด่นคุณมองเธอ
ส่งสายตามาหาเป็นเชิงถามว่าคนในบ้านเป็นใครกันบ้าง แล้วรู้จักเขาได้ยังไง “พอดีฉันบอกแม่น่ะค่ะว่าคุณคุณจะมารับ
ส่วนคนนี้ป้ากาบแก้ว เจ้าของบ้านนี้ที่ฉันเช่าอยู่ค่ะ”
“อ่อ” ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก
“ตกลงจะทานข้าวที่นี่มั้ยคะ หรือจะพากันไปทานข้างนอก” แวววรีถาม
“ผมทานข้าวที่นี่ก็ได้ครับ ไม่ได้เรื่องมากอะไร”
เด่นคุณพูดด้วยน้ำเสียงถ่อมตนลงมา แต่ไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไหร่ กระทั่งแวววรีตั้งโต๊ะทานข้าว
เมื่อนั่งร่วมโต๊ะกันจึงได้โอกาสพูดคุยกันมากขึ้น
“เห็นวาฬบอกน้าว่าจะไปตามหาคนที่ทำของใส่หรือจ๊ะ” แวววรีเปิดประเด็นทันที “แล้วรู้หรือคะว่าใครทำ”
“ผมไม่รู้หรอกฮะ เรียกว่ามืดแปดด้านเลยก็ว่าได้” เด่นคุณส่ายหน้า ขณะที่ปากเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ “แต่วาฬมีตาวิเศษน่าจะมีเซ้นส์พอเดาทางถูกมากกว่าผม”
“งั้นป้าว่าเราน่าจะสังเกตจากพวกคนที่มีรอยสัก แบบยันต์เก้าแถว หรือเครื่องรางของขลังอะไรแบบนี้มั้ย ถ้าส่งผีมาเฝ้าได้หรือชอบพวกมนต์ดำ ก็น่าจะมีความเชื่อแบบสุดโต่งนะ” ป้ากาบแก้วช่วยออกความคิดเห็น และคำพูดประเภทชี้ทางก็ทำเอาเด่นคุณตาโตอย่างเห็นด้วย
จริงสิ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ
“ขอบคุณนะครับที่บอก ผมเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลยเหมือนกัน”
เด่นคุณกับวารวารีทานข้าวด้วยกันก่อนจะเดินทางไปยังสนามบิน กว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ
ก็ในช่วงบ่าย
เด่นคุณพาหญิงสาวมาถึงที่พัก เป็นคอนโดฯ
แห่งหนึ่งค่อนข้างหรูหราทีเดียว เพราะมีทั้งฟิตเนส สระว่ายน้ำ ส่วนกลางในการทำงาน
สวนผ่อนคลาย และลานสำหรับปาร์ตี้ เรียกว่าครบวงจรตอบสนองการใช้งานของคนเมืองกรุงแบบสุดๆ
“คืนนี้เธอนอนที่นี่ละกัน ฉันซื้อที่นี่เอาไว้”
วารวารีพยักหน้ารับ สายตาพลางสอดส่องมองห้องหรูที่มีเนื้อที่กว้างขวางไม่ต่างจากบ้านหลังหนึ่งเลย
เพ้นท์เฮาส์หลังนี้เด่นคุณคงซื้อมาในราคาที่แพงหูฉี่อย่างแน่นอน
เพราะนอกจากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแล้ว ยังอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งพื้นที่ตรงนี้แพงติดอันดับต้นๆ
ของประเทศด้วย เห็นแบบนี้แล้วภาพลักษณ์เจ้านายที่เคยเห็นจนชินตาทุกวันกลับให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป
ไม่คุ้นชินราวกับว่าเขาคือคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
“เป็นอะไรไป ตอนอยู่บ้านจนถึงขึ้นเครื่อง ก็เห็นว่ายังหัวเราะคิกคักอยู่เลย
ทำไมเงียบไปล่ะ” เด่นคุณถามเมื่อเห็นหญิงสาวเอาแต่ยืนมองไปรอบๆ ห้อง มิหนำซ้ำสีหน้าที่เคยสดใสก็ยังเปลี่ยนไปด้วย
“ฉันแค่รู้สึกแปลกๆ น่ะค่ะ” วารวารีบอกไปตามตรง “คุณเหมือนไม่ใช่เจ้านายที่ฉันรู้จักเลย”
“แล้วฉันเป็นใครล่ะ?” เขาโน้มหน้าลงมาถาม ก่อนจะยิ้มขำ
“ไฮโซท่านหนึ่ง..”
“พูดไปนั่น” คำตอบของวารวารีทำเอาเขาหัวเราะร่วน จนต้องเอานิ้วจิ้มหน้าผากไปด้วยความหมั่นไส้ ”บอกแล้วไงว่าอย่าไปคุยกับไอดีนมันมาก มิน่าล่ะ...นิสัยเพี้ยนถึงเริ่มติดจากมันมา”
เอ๊า! ก็หรือไม่จริง
เด่นคุณเป็นเจ้าของโรงแรม เธอก็คิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าพนักงานตัวเล็กๆ
ฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดินกับเจ้านายอยู่กันคนละชนชั้น ไม่มีทางมาสนิทสนมกันได้หรอก
ไม่สิ...แค่คิดว่าเขาจะเดินมาปรายตาตรวจงานด้วยตัวเอง ก็ไม่เคยคิดฝันถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำ
แล้วนี่อะไร...ตอนนี้เธอเดินเข้าออกห้องทำงานเจ้านายเป็นว่าเล่น แล้วไหนจะยังพูดคุยกันราวกับคนที่รู้จักกันมาเป็นสิบปีอีก
ที่สำคัญเขายังต้องพึ่งพาเธอ
หัวใจของวารวารีพองโตอย่างบอกไม่ถูก
คนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันราวกับเส้นขนาน จู่ๆ ก็ดันมาสนิทสนมกัน
ถึงแม้จะเป็นแค่การช่วยเหลือเล็กน้อยๆ ที่มีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็เหอะ
แต่ภารกิจเล็กๆ นี้ มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสำคัญของเขาขึ้นมา
“จะว่าไป ถ้าคุณดีนยังมีชีวิตอยู่ก็คงดีกว่านี้นะคะ
ถ้าฉันเป็นพนักงานในสังกัดคุณดีนคงครึกครื้นน่าดู”
“นี่เธอจะด่าฉันทางอ้อมป่ะเนี่ย”
“เปล่าซะหน่อย” หญิงสาวรีบปฏิเสธเสียงอ่อน แต่ไม่ว่าอย่างไร
เธอก็รู้สึกว่าจะเล่นกับเขาเหมือนเด่นฤทธิ์ไม่ได้ ยิ่งพอมาเห็นขุมทรัพย์ที่บ่งบอกว่าเขาน่ะมันมหาเศรษฐีตัวจริง
เธอยิ่งต้องถ่อมตัวเอง
เด่นคุณหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพราะเอาเข้าจริงๆ
ก็น้อยมากเลยที่เขาจะลงไปวุ่นวายกับพวกพนักงานจนเกิดความสนิทสนมขึ้น
แต่ก็ใช่ว่าจะละเลยและปล่อยให้คนอื่นคอยดูแลแทนไปเสียทุกเรื่อง เพราะอย่างไรก็ดีการได้รู้จักคนของตัวเองเอาไว้บ้าง
มันทำให้การทำงานนั้นราบรื่นมากกว่าการที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว
ก็อย่างที่วารวารีว่านั่นแหละ การทำงานของเขากับเด่นฤทธิ์ผู้เป็นน้องชายไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
เด่นฤทธิ์สนิทกับทุกคน จำทุกคนได้ และมีวิธีการพูดคุยทำให้พนักงานส่วนใหญ่เข้าถึงตัวเองมากกว่า
แต่สำหรับเขาและเด่นฤกษ์ไม่ใช่แนวทางการทำงานแบบนั้น
เพราะจะค่อนข้างเข้มงวดขึ้นมาอีกหลายระดับและปฏิบัติกับพนักงานแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย
เนื่องจากมุมมองการทำงาน หากเล่นเกินไป พนักงานบางคนก็ลามปาม
ครั้นโหดเกินไปพนักงานก็กลัวจนตัวสั่น
เขาน่ะเดินทางสายกลางที่สุดแล้ว เพราะถ้าพูดถึงเด่นฤกษ์พี่ชายคนโตล่ะก็
รายนั้นขึ้นชื่อลือชาเลยว่าดุเสียจนพนักงานไม่กล้าสู้หน้ากันเลยทีเดียว
แต่ก็น่าแปลก ที่สุดท้ายดันมาลงเอยกับผู้หญิงที่พูดน้อยอย่างพระพายเสียได้
“เอาเถอะ ยังไงเย็นนี้เธอก็พักให้สบาย อยากทำอะไรก็ทำ
แล้วพรุ่งนี้เราค่อยไปงานเลี้ยงกัน”
เด่นคุณบอกก่อนจะเข็นกระเป๋าเดินทางของหญิงสาวไปยังห้องนอน
“เธอใช้ห้องนี้แล้วกันนะ ส่วนชั้นบนปกติแล้วฉันไม่ให้ใครขึ้นไปยุ่งวุ่นวายน่ะ”
วารวารีพยักหน้ารับหงึกหงัก สำหรับเธออะไรก็ได้ทั้งนั้น
“คืนนี้ฉันจะค้างที่บ้าน แล้วจะทิ้งคีย์การ์ดสำรองเอาไว้ให้ใช้
ไปไหนมาไหนจะได้สะดวก” เด่นคุณบอก “ว่าแต่อยู่คนเดียวเธอจะไม่ไปผูกมิตรกับอะไรแบบนั้นใช่มั้ย?”
“แหม่ พูดเหมือนฉันชอบมีเพื่อนเป็นแบบคุณดีนมากกว่าคนปกติเลยนะคะ”
“เท่าที่เห็น ฉันก็คิดแบบนั้น”
เด่นคุณบอกก่อนจะโน้มหน้าลงมาแล้วกระซิบข้างหู “อย่าไปคุยกับผีตัวไหนนะ
เกิดชวนกันมาอยู่ที่ห้องนี้ ฉันขี้เกียจขายทิ้งน่ะ”
“ทำไมต้องกระซิบด้วยคะ?” หญิงสาวมองหน้าทำตาปริบๆ
“เอ้า! ก็เกิดพวกนั้นได้ยินขึ้นมา ก็แห่กันมาหาเธอน่ะสิ”
สีหน้าที่เอาจริงเอาจังตอนพูดพร้อมกับหัวคิ้วที่ขยับเข้าหากันอย่างเคร่งเครียดนั้น
มันไม่ได้ทำให้วารวารีรู้สึกตกประหม่าเลยที่ถูกเจ้านายดุ กลับกันท่าทางแบบนี้เด่นคุณยิ่งดูตลกมากขึ้นเป็นกอง
ก็ไม่รู้สิ อาจเพราะเธอเห็นผีจนชินไปแล้วก็ได้
ถึงไม่เข้าใจความกลัวของเจ้านายตัวเองเท่าไหร่นัก
วารวารีพยักหน้ารับรู้อีกครั้ง พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้สุดฤทธิ์
“ทำน่าเหมือนจะขำเลยนะ” คนเป็นเจ้านายว่าหน้าตูม “ฉันน่าขำมากนักหรือไง ใช่สิ..คนที่จิตใจหาญกล้าดั่งหญิงนักรบอย่างเธอคงไม่เข้าใจหรอก”
นั่น มีกระแนะกระแหนด้วย..
“ขอโทษค่ะ วาฬไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียนคุณคุณนะคะ” หญิงสาวบอก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “ที่จริงวาฬเองค่อนข้างประหม่ามาก ยิ่งคุณคุณบอกว่าต้องไปออกงานสังคมด้วยแล้ว ในหัวก็แทบคิดอะไรไม่ออกเลย เพราะไม่รู้ว่าชนชั้นสูงเขาต้องทำตัวแบบไหน แต่พอเห็นท่าทางตลกๆ แล้วก็รู้สึกดีขึ้นมานิดนึง”
ท่าทางยิ้มร่าของวารวารีทำให้คนเป็นเจ้านายชะงักไปหน่อยนึง
“ละ..แล้วปกติเธอไม่ออกงานสังคมหรือไงกัน”
“ออกค่ะ แต่สังคมของเรามันไม่เท่ากัน”
วงสังคมของเธออาจจะกว้างขวางระดับ อบต. อสม. อำเภอ แบบมีผู้ใหญ่บ้าน
กำนัน มาเปิดงาน แต่ของเด่นคุณคือบุคคลประดับประเทศที่มาร่วมงานแน่ๆ และแน่นอนว่าในงานคงไม่เลี้ยงโต๊ะจีน
นั่งคีบไข่เยี่ยวม้า จิ้มจิ๊กโฉ่ หรือร่วมวงช่วยกันแกะซองพริกไทยใส่กระเพราะปลา
คนๆ ให้เข้ากันแล้วตักแจกคนละถ้วยหรอก ที่สำคัญคงไม่มีของหวานปิดท้ายแบบว่าเงาะกระป๋องใส่น้ำแข็ง
หรือเต้าฮวยฟรุ๊ตสลัดแล้วแจกผ้าเย็นตบท้าย
งานเลี้ยงที่เขาพาไปคงในโรงแรมห้าดาวจัดงานหรูหราแบบแทบปูพรหมแดงต้อนรับ
มีนักธุรกิจคุยกันเรื่องรายได้แต่ละปีว่าทำกำไรได้กี่ร้อยล้านพันล้าน หรือไม่ก็คงแนะนำสมาชิกในบ้านซึ่งเป็นลูกสาวที่ทั้งสวย
การศึกษาดี จบเมืองนอกเมืองนา และรวยมากให้รู้จักกับคนในชนชั้นเดียวกัน
ข้าวปลาอาหารคงกินกันอย่างละนิดละหน่อยราวกับอาหารแมว พอดมๆ ให้หายหิว พร้อมกับถือแก้วไวน์ราคาแพงลิบลิ่วเดินให้ว่อนกันในงาน
นั่นแหละสิ่งที่เด่นคุณเองคงเคยเจอเป็นประจำจนชินชา แต่สำหรับวารวารี...เธอไม่เคยออกงานประเภทนี้เลย
มันเลยทำให้หญิงสาวอดคิดมากไม่ได้
“เท่าที่วาฬเคยเห็นในละคร คนรวยๆ เขาถือแค่แก้วน้ำสีสวยๆ เดินไปทักทายคนนั้นทีคนนี้ที คุยเรื่องธุรกิจระดับร้อยล้านพันล้าน” หญิงสาวถอนหายใจ คิดภาพตัวเองไปงานแบบนั้นไม่ออกด้วยซ้ำ “แต่วาฬเป็นพนักงารับเงินเดือน แถมไม่มีคนรู้จักในงาน พรุ่งนี้มันคงยากสำหรับสาวบ้านๆ น่าดู”
“ไม่ต้องเครียดหรอกน่า ฉันไม่ทิ้งเธอให้คอตกเป็นน้องหมาแน่ๆ” เด่นคุณพูดหยอกเอินเพื่อให้วารวารียิ้มกว้างได้อีกครั้ง พร้อมกับยกมือวางบนศีรษะอีกฝ่าย “เดี๋ยวฉันก็ลากเธอเดินไปทั่วงานเองนั่นแหละ แล้วก็ช่วยคิดเอาไว้ด้วยว่าทุกคนเท่าเทียมกัน บางคนน่ะก็ไม่ได้ไฮโซอย่างที่เธอคิดหรอก มีแต่เปลือกทั้งนั้น”
ถึงจะเข้าใจว่าเขาพยายามพูดให้เธอสบายใจขึ้นก็เหอะนะ แต่ก็ใช่ว่าความกังวลจะหมดไปในทันทีนี่
เอาเถอะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม หญิงสาวคิดว่าตนเองได้ตกปากรับคำทำงานให้เด่นคุณไปแล้ว
ครั้นจะมาเบี้ยวตอนนี้ก็คงไม่ได้
.............................
วันต่อมา
วารวารีตื่นมาแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนเธอดูหนังจนเกือบตีหนึ่ง เพราะนอนไม่หลับ
อาจด้วยแปลกที่แปลกทางก็คงเป็นไปได้
แต่จะว่าไปแล้วนี่ก็เหมือนเป็นการมาพักผ่อนกลายๆ ของเธอเหมือนกัน
พักหรู อยู่สบายขนาดนี้ หญิงสาวเลยไม่อยากนอนอุตุค่าเวลา ถึงได้ตื่นมาอุ่นอาหารที่เมื่อวานไปซื้อเอาไว้มาทานเป็นมื้อเช้าไปพลางๆ
ก่อน เธอมีนัดในช่วงบ่าย ถ้าอย่างงั้นเช้าขนาดนี้และมีเวลาเหลืออีกเพียบ
เธอก็ควรจะหาอะไรทำก่อน
วารวารีนั่งทานข้าวไป ดูโทรทัศน์ไป แล้วก็นึกอะไรดีๆ ออก
เมื่อวานเธอลงไปพร้อมเด่นคุณ ชายหนุ่มขับรถตรงกลับบ้านเลย ส่วนเธอก็เดินสำรวจคอนโดฯ
ไปเรื่อยๆ ก่อนจะออกไปเดินข้างนอกเพื่อหาซื้อของมาทาน แต่สิ่งที่สะดุดตาสะดุดใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง
ระบบน้ำเกลือนี่แหละ...เธอเลยคิดว่าจะลงไปเล่นน้ำเสียหน่อย
ไหนๆ ก็เอาชุดว่ายน้ำติดกระเป๋าเผื่อมาด้วยแล้ว ถ้าปล่อยให้เสียเที่ยวคงเสียดายแย่
ดังนั้นเมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ
วารวารีก็เข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำสีสันสดใสลายดอกไม้รับซัมเมอร์ ชุดว่ายน้ำของเธอเป็นแบบทูพีชที่ไม่ได้โป๊เปลือยมากมายอะไร
เพราะท่อนล่างไม่ได้เน้นโชว์หน้าท้องไปจนถึงเน้นส่วนเว้าโค้งสัดส่วนของผู้หญิง
แต่เป็นกางเกงแบบเก็บก้นเอวสูงใส่แล้วมั่นใจ
ทว่า..ในขณะที่วารวารีกำลังยืนสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอยู่ในห้องน้ำชั้นล่างนั้น
จู่ๆ ประตูห้องน้ำก็ดันเปิดพรวดพราดออก
“เห้ย!”
“กรี๊ด!”
เสียงตกใจของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นพร้อมกัน แต่นอกเหนือจากความตกใจแบบสุดขีดจนสติเกือบหลุดนั้น
ก็คือการที่วารวารีเอาเท้าตัวเองยัน ‘ผู้บุกรุก’ ลงไปนอนกองกับพื้นด้วยเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว
โครม~
เด่นคุณนอนแอ้งแม้งหน้าห้องน้ำ มือกุมท้องพร้อมกับสีหน้าที่แสดงอาการเจ็บปวดออกมา
แบบไม่ต้องเดาเลยว่าเขาเจ็บแค่ไหน
“จู่ๆ คุณพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ได้ยังไงคะ!” หญิงสาวแหวใส่อีกฝ่ายหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด
ก่อนจะรีบหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาคลุมร่างตัวเองเอาไว้จนมิด แล้วมัดปมพันเชือกรอบตัวเองแน่นอย่างหวงเนื้อหวงตัว
“ก็คนมันปวดฉี่นี่นา” เด่นคุณยังไม่ได้ลุกขึ้น ถึงได้แหงนคอมองสาวตรงหน้า
แต่ตอนนี้อาการปวดฉี่นั้น ได้จางหายไปจนหมดแล้ว “แล้วเธอล่ะ ทำไมไม่ล็อกประตูฮะ”
เขาย้อน
“วาฬนึกว่าคุณคุณจะเข้ามาตอนบ่ายนี่คะ” หญิงสาวทำหน้าตูม แต่ก็พอจะมีน้ำใจนักกีฬาอยู่บ้าง
ถึงได้ยื่นมือไปตรงหน้าชายหนุ่ม เพื่อให้เขาจับเป็นหลักฉุดตัวเองขึ้นยืน “ไหวมั้ยคะเนี่ย”
“ไหว แต่เธอนี่มือเท้าหนักชะมัดเลย กะเอาฉันถึงตายเลยหรือไงกัน” เด่นคุณลุกขึ้น
พร้อมกับไอสองสามครั้ง “จุกแฮะ”
“ก็แค่ป้องกันตัวเพราะตกใจน่ะค่ะ” วารวารีแก้ตัวไปงั้น ทั้งที่ไม่คิดจะขอโทษเขาด้วยซ้ำ
เพราะคิดว่าสมควรจะโดนแล้ว ต่อให้เป็นเจ้านายก็เหอะนะ...เธอไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้นถ้าคิดจะเข้าถึงตัว
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเจตนาร้ายก็ตาม “ดีนะคะฉันแต่งตัวเสร็จแล้ว”
หญิงสาวถอนหายใจออกมา แต่เจ้านายตัวดีดันเบ้ปากใส่
“ตกใจซะโอเว่อร์เชียว กะอีแค่ชุดว่ายน้ำเอง มีอะไรให้อายกัน”
เด่นคุณแกล้งมองสำรวจเรือนร่างภายใต้ผ้าคลุมอาบน้ำผืนหนา “เยอะกว่านี้ฉันก็เคยเห็นมาแล้วน่า
ถึงจะเป็นของคนอื่นก็เหอะ และของเธอก็ใช่ว่าจะตู้มชวนมองซะเมื่อไหร่
มีแค่เท่าฝาขนมครก”
คำพูดจัดจ้านประเภทปากชวนแตกของเจ้านาย ทำเอาพนักงานสาวถึงกับเม้มปากแน่น
ทำตาโตใส่
“เงียบไปเลย” วารวารีผลักอีกฝ่ายออก อดคิดไม่ได้ว่าเพราะปากเสียหรือความเจ้าชู้จัดกันแน่
ถึงได้มีคนคิดร้ายทำคุณไสยมนต์ดำใส่เข้าให้ ถ้ารู้ว่าจะโดนดูถูกกันซึ่งหน้า...รับรองว่าเธอคงไม่รับงานนี้หรอก
“ถึงจะมีเท่าฝาขนมครกหรือคุณจะเคยเห็นอะไรต่อมิอะไรที่อลังการงานสร้างมามากกว่านี้ก็ช่าง
แต่ถ้าคิดจะแหยมกับฉันล่ะก็..รับรองเลยว่าได้เจอมากกว่าถีบเมื่อกี้แน่นอน”
“แหม..ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว ทีจะลงไปใช้สระกับชาวบ้านไม่เห็นจะอายเลย”
เด่นคุณเบะปาก “จะว่าไป เมื่อกี้ยังไม่ทันเห็นอะไรด้วยซ้ำ
เห้อ..ทำไมฉันถึงเฮงแต่เช้าล่ะเนี่ย”
เด่นคุณบ่นพลางกุมขมับแล้วเดินไปยังโถงนั่งเล่น แต่กลิ่นจากเสื้อผ้าที่เดินไปดันโชยเข้าจมูกวารวารีจนหญิงสาวต้องเอานิ้วอุดจมูก
นั่นก็คือกลิ่นเหล้าที่คลุ้มหึ่งเต็มตัว
‘น้ำ’ เปลี่ยนนิสัยสินะ
คำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่มันทำให้เธออึ้งไปเลย หากคิดว่าเขาคือเด่นฤทธิ์
คนที่มีบุคลิกท่าทางแสนซนปนกวนประสาทพูดใส่เธอเอง...เธอก็คงไม่คิดอะไรมากมายนัก
แต่นี่เขาคือเจ้านายคนที่ภาพลักษณ์ดูนิ่งขรึม พูดจาดีมีชาติตระกูล มาดคุณชายหน่อยๆ
ไม่ปากร้าย แต่ที่เจอมาเมื่อครู่ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนมุมมองตัวเองเสียใหม่แล้ว
“แล้วทำไมมาเร็วล่ะคะ ไหนคุณคุณบอกว่านัดบ่าย วาฬนึกว่าจะเข้ามาประมาณเที่ยงๆ
ซะอีก”
“ฉันจะมาเมื่อไหร่มันก็เรื่องของฉัน” เด่นคุณโบกมือไล่
มือหนึ่งเปลี่ยนมาคลึงขมับแทน “เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ เดี๋ยวพวกช่างแต่งหน้าทำผมมา
ฉันจะโทรไปเรียกเอง”
นี่ถ้าเดาไม่ผิด เขาแฮงก์ชัดๆ แล้วเมื่อคืนที่บอกว่าจะกลับไปนอนบ้าน
ได้กลับบ้านอย่างที่ปากบอกเอาไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้
หญิงสาวเข้าไปเตรียมของกะว่าจะเล่นน้ำสักชั่วโมงแล้วค่อยกลับเข้ามา
แต่ยังไม่ทันได้ไปไหน เสียงกดกริ่งก็ดังขึ้น
เอ๊ะ หรือว่าคนที่เด่นคุณนัดเอาไว้จะมากันแล้ว
ความคิดเห็น