คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 05 :: ปรีดิ์รดา 100 %
“ดิน” เสียงเรียกของปรีดิ์รดาทำให้เด็กชายวัยสิบขวบหันมาหาคนเป็นมารดา
พลางขยับเท้าไปมาด้วยท่าทางไม่ถนัดที่จะเดินเหินสักเท่าไหร่ “ทำไมเดินแบบนั้น
รองเท้ามันคู่เล็กไปใช่มั้ย”
ปรีดิ์รดามองแล้วก็รู้เลยว่ารองเท้านักเรียนคู่สีดำที่เพิ่งเลือกให้ลูกชายตัวเองลองใส่ดูนั้นท่าจะเล็กเกินไป
เธอเองก็มัวแต่เลือกของอย่างอื่น และปล่อยให้ลูกชายสวมรองเท้า ผูกเชือกรองเท้าตามลำพัง
และคู่ที่เลือกให้ก็ดันเล็กกว่าเท้าไปมาก
“ดินใส่ไม่ได้ มันเจ็บนิ้วอ่ะแม่” เด็กชาย ‘ดิษย์วรินทร์’ ก้มลงไปจับที่ปลายเท้าตัวเอง
บอกให้รู้ว่าปลายนิ้วมันชนกับหัวรองเท้า จนต้องงอนิ้วเอาไว้ “มันคับมากเลย”
ปรีดิ์รดาพยักหน้ารับรู้ เธอนั่งย่อๆ ให้ลูกจับไหล่ตัวเองเพื่อพยุงไม่ให้ล้ม
ขณะที่ตัวเธอนั้นค่อยๆ ถอดรองเท้าให้ลูกชายด้วยท่าทางเอาใจใส่
“ไม่เป็นไร งั้นก็ลองคู่ใหม่ แม่ว่าเอาไซส์ใหญ่กว่านี้สักสองเบอร์แล้วกัน”
จากนั้นหญิงสาวก็หันไปบอกคนขายว่าเธอต้องการรองเท้านักเรียนรุ่นนี้ แต่ขอขนาดใหญ่กว่าเดิม
พลางมองลูกชายที่นับวันความสูงของเจ้าตัวเล็กที่เธอเลี้ยงดูฟูมฟัก อุ้มมากับมือนั้นตัวโตจนเริ่มจะสูงเท่ากัน
นี่แหละ...เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน จะไม่ให้แก่ขึ้นก็คงไม่ไหว
ขนาดลูกชายคนเดียวยังโตทันตาเห็นเลย
“งั้น ดินเอากางเกงเข้าไปลองในห้องเปลี่ยนชุดก่อนไป
แม่เห็นกางเกงที่ดินใส่ไปเรียนเริ่มสั้นแล้ว ใส่ขายาวหน่อยจะดีกว่านะ
อีกอย่างเดี๋ยวดินก็โตขึ้นอีก ซื้อทีเดีวไปเลย” ปรีดิ์รดาบอกพลางยื่นกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินให้ลูกชายถือเอาไว้
“ก็ดินสูงขึ้นไงแม่ เวลาเข้าแถวนะ ดินอยู่เกือบๆ หลังสุดเลย”
ดิษย์วรินทร์รีบอวดมารดา พลางยืดตัวตรง “อีกอย่างดินเป็นนักกีฬาของโรงเรียนนะ
อาทิวก็บอกว่าถ้าเล่นบาส..ดินจะตัวสูงๆ เหมือนอาทิว หรือไม่ก็พวกดาราไงแม่”
‘อาทิว’ ที่เด็กชายวัยสิบขวบพูดถึงด้วยรอยยิ้มนั้นคือเจ้านายของผู้เป็นแม่
‘ทินภัทร’ CEO บริษัทส่งออกสินค้าแปรรูป
เช่นอาหารแช่แข็ง และผลไม้ ซึ่งปรีดิ์รดาทำงานเป็นคนคอยตรวจสอบเอกสารระหว่างประเทศด้วยเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง
และเพราะทำงานด้วยกันมานานและทินภัทรมักแวะเวียนมาหาที่บ้านด้วยเรื่องงานและเรื่องอื่นอยู่บ่อยครั้ง
เลยทำให้เจ้านายและลูกชายของเธอค่อนข้างสนิทสนมกัน ที่สำคัญลูกชายเธอดูจะชื่นชมทินภัทรมากทีเดียว
ปรีดิ์รดายิ้ม แอบซ่อนแววตาที่ไม่ได้ยิ้มตามด้วยการเบนสายตามองของในร้าน
ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชาย
“ถ้าดินโตขึ้นเร็วแบบนี้ แม่คงต้องพาดินมาซื้อเสื้อผ้าบ่อยๆ แน่เลย
แต่ดินเป็นนักกีฬาก็ดีนะ ถ้าดินชอบ แม่ก็สนับสนุน” เวลาเธออยู่กับลูกมันเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขที่สุดในชีวิต
ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน แต่พอมองหน้าลูกที่ตนอุ้มท้องมาตั้ง 9 เดือน
และทุ่มเทความรักทั้งหมดให้ ต่อให้ความลำบากถาโถมเข้ามาหาราวกับมรสุมลูกใหญ่
แต่เมื่อมองหน้าลูกชายอันเป็นที่รัก ความเหนื่อย ความท้อแท้ อยากถอดใจ
ก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ชีวิตเธอมันอาภัพมามากแล้ว ไหนลูกที่เกิดมาจะยังไม่มีพ่อ
เธอไม่เคยถามเลยว่าลูกต้องการพ่อหรือเปล่า แต่การที่ดิษย์วรินทร์ให้ความสนิทสนมกับเจ้านายที่กำลังสนใจในตัวเธอนั้น
มันทำให้ปรีดิ์รดาคิดว่าลึกๆ แล้วลูกชายเธอเองก็คงอยากได้ใครสักคนที่มาทำหน้าที่ของพ่อและมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปเหมือนกัน
และทินภัทรนั้นก็อาจตอบโจทก์ของลูกเธอมากที่สุด
“ไปๆ เข้าไปลองกางเกงได้แล้ว เดี๋ยวแม่เลือกเสื้อนักเรียน
เลือกเข็มขัดเพิ่มหน่อย เสร็จแล้วเราจะได้ไปหาอะไรกินกัน” ปรีดิ์รดาดันตัวลูกชายไปยังห้องลองเสื้อผ้าของทางร้าน
แต่ดิษย์วรินทร์กลับไม่ไหวติงใดๆ พลางโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูคนเป็นแม่ว่า..
“แม่ ดินอยากกินไก่ทอดกับเฟรนซ์ฟรายส์ แล้วก็บิงซูด้วยนะ”
“โอเค เดี๋ยวแม่พาไป แม่จะได้ซื้อรองเท้ากีฬาให้ดินด้วย”
“จริงเหรอ?” เด็กน้อยถามแววตาเปล่งประกาย ท่าทางดีใจออกหน้าออกตาเลยทีเดียว “แม่จะซื้อรองเท้าแพงๆ ให้ดินจริงฮะ?”
“จริงสิ” ปรีดิ์รดาพยักหน้า แต่ที่ลูกดีใจเธอรู้ว่าปกติตัวเองจะสอนให้ลูกชายใช้เงินอย่างมีเหตุผล ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย ไม่เลี้ยงตามใจ สอนให้รักษาของใช้ และยังสอนด้วยว่าเงินไม่ได้หาง่าย ที่สำคัญหามาแล้วก็ต้องแบ่งใช้อย่างเป็นสัดส่วน เวลาเจ็บป่วยจะได้มีเงินรักษาตัวเอง “แม่ให้ดินเป็นของขวัญไง ของขวัญสำหรับนักกีฬา”
“เย้ๆ ดินรักแม่ที่สุดเลย” เด็กชายส่งเสียงดังลั่นร้าน จนปรีดิ์ทำท่าจุ๊ปากเพื่อปรามไม่ให้ลูกชายส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น แต่ด้วยความดีใจไม่หาย ดิษย์วรินทร์เลยกอดแม่แล้วหอมแก้มปรีดิ์รดาอย่างเอาใจไปหลายที ทำเอาเธอถึงกับหุบยิ้มไม่ลง
“พอแล้วๆ แม่รู้แล้วครับว่าดินดีใจขนาดไหน” หญิงสาวตบหลังลูกชายเบาๆ “ไปเร็ว..ไปลองกางเกง
ซื้อชุดนักเรียนเสร็จแล้วจะได้ไปกินของโปรดเรากัน”
เด็กชายพยักหน้าก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในห้องลองชุดตามคำสั่งมารดา
แต่ในขณะที่ปรีดิ์รดากำลังเลือกเสื้อนักเรียนตัวใหม่ให้ลูกชายอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของเธอก็ส่งเสียงร้องขึ้น
หญิงสาวหยิบมาดูก็เห็นว่าเจ้านายอย่างทินภัทรโทรมาหา
เอ..เขามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า
“ค่ะ คุณทิว”
[สองแม่ลูกอยู่ไหนกัน?] คำถามของเจ้านายหนุ่มทำให้ปรีดิ์รดาขมวดคิ้วสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอกับลูกชายอยู่ข้างนอก
แต่น้ำเสียงทินภัทรเจือไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะถามต่ออีก [เจ้าดินบอกว่ามาเลือกซื้อชุดนักเรียนใหม่กับคุณ ให้ผมไปรับนะปริม]
”ปริมเกรงใจค่ะ วันนี้วันหยุด คุณทิวก็น่าจะหยุดพักผ่อนบ้างนะคะ” หญิงสาวออกปากปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจ
ส่วนหนึ่งก็เพราะเกรงอกเกรงใจที่เจ้านายคอยเอาใจเธอคนเดีว จนพนักงานในบริษัทร่ำลือไปต่างๆ
นานา แต่อีกส่วนเธอรู้ว่าทินภัทรกำลัง ‘ตามจีบ’ เธอในสถานะผู้ชายคนหนึ่ง แต่การกระทำของเขาทำให้เธอลำบากใจ อาจเพราะยังไม่คิดจะมีใครใหม่
แม้ว่าลูกชายจะปลื้มเขามากก็ตาม
{ไม่ทันแล้วล่ะ เจ้าดินโทรมาบอกแล้วว่าอยู่ร้านไหน
นี่กำลังหาที่จอดรถ}
เจ้าตัวแสบนี่ กลับบ้านไป สงสัยมีเรื่องต้องคุยกัน
“ปริมขอบคุณนะคะ เราสองคนเป็นภาระให้คุณทิวอยู่เรื่อยเลย”
ปรีดิ์รดาถอนหายใจ แต่เสียงของประตูร้านที่ถูกเปิดออกแล้วมีผู้ชายร่างสูง ผิวขาวผ่อง หน้าตาหล่อเหลาเดินเข้ามา พร้อมกับโบกมือให้ ทำให้ปรีดิ์รดาจำเป็นต้องยิ้มทักทายตอบ หญิงสาวกำลังจะกดวางสาย แต่คนปลายสายที่ยืนอยู่ตรงหน้าดันพูดขึ้นก่อน
[อย่าคิดว่าตัวเองกับลูกเป็นภาระของใครสิปริม ผมเต็มใจทำเอง ผมเต็มใจดูแลคุณกับดินเอง ดังนั้น...ใช้ผมให้คุ้มเถอะ..]
รอยยิ้มของทินภัทรนั้นไม่ได้ทำให้ลูกจ้างอย่างปรีดิ์รดารู้สึกดีใจขึ้นเลย
เพราะในสถานะนะของลูกน้องที่ทำงานรับเงินเดือนเขาอยู่ทุกเดือนๆ
ใครที่ไหนจะกล้าใช้เจ้านายตัวเองได้ลงคอกัน ยิ่งกับเรื่องส่วนตัวด้วยแล้ว..
แต่จะว่าไปภายในหนึ่งอาทิตย์ เธอเจอกับทินภัทรเกือบทุกวัน
และไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่ยังเป็นที่บ้าน และนอกสถานที่เหมือนเช่นวันนี้ด้วย
อีกทั้งบางวันที่เธอเข้าบริษัทแล้วต้องกลับบ้านดึกดื่น...ทินภัทรยังรับส่งเธอ
รวมไปถึงส่งคนที่รับลูกชายที่โรงเรียนให้ด้วย
การกระทำในความหวังดีของผู้ชายคนหนึ่งที่มีให้ผู้หญิงมือสอง ที่ผ่านผู้ชายมาแล้ว
มีลูกติด กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ปรีดิ์รดาตอบตรงๆ
เลยว่าเธอดีใจที่เขาจริงใจกับเธอ แต่ในบางครั้ง...คำว่า ‘ดีเกินไป’ มันก็ทำให้เธออึดอัดใจจนนึกอยากตีตัวออกห่างจากเจ้านายคนนี้เหลือเกิน
นั่นเพราะทินภัทรเล่นรุกจีบเธอไม่ถอยแบบนี้ มันเลยยิ่งทำให้ปรีดิ์รดาตั้งกำแพงใส่
ที่สำคัญความรู้สึกภายในใจของหญิงสาวมันก็ยิ่งผลักให้ทินภัทรออกห่างจากเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วย
“ปริมเป็นลูกจ้างคุณนะคะ จะบังอาจใช้เจ้านายได้ยังไงกัน”
หญิงสาวทำหน้ามุ่ยตอบกลับ แต่ทินภัทรก็ทำเป็นเมินสีหน้านั้น แล้วสอดส่ายสายตาหาเด็กช่างพูดแทน
“แล้วนี่ เจ้าดินอยู่ไหนล่ะ” ชายหนุ่มถามคนเป็นแม่ของเด็กวัยสิบขวบ เขาน่ะถือคติที่ว่ารักแม่...ก็ต้องรักลูกด้วยเหมือนกัน
แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเข้ากับเด็กได้ดีขนาดนี้ นี่เลยยิ่งเป็นโอกาสดี ที่ทำให้ทินภัทรตัดสินใจเข้าหาปรีดิ์รดาทางลูกชายแทน
“ปริมให้ไปลองกางเกงนักเรียนค่ะ” หญิงสาวชี้ไปยังห้องลองเสื้อผ้าของทางร้าน
“ว่าแต่ทำไมคุณทิวหาที่จอดรถเร็วจังคะ”
“ผมกลัวคุณหนีน่ะ” คนเป็นเจ้านายตอบทีเล่นทีจริง ก่อนยิ้มทะเล้น
แล้วชี้ไปยังด้านนอกร้าน “ความจริง ผมจอดรถเอาไว้ข้างๆ ร้านนี่เอง
เห็นว่าพอมีที่ว่างพอให้จอดแอบๆ ได้น่ะ”
“คุณคงไม่จอดหน้าบ้านใครใช่มั้ยคะ เพราะถ้าเกิดเจ้าของที่มาปาไข่หรือปล่อยลมล้อคุณ
ปริมคงช่วยไม่ไหวนะ” ปรีดิ์รดายิ้มขำทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าทินภัทรทำอะไรรอบคอบมาก
เจ้านายเธอเป็นคนฉลาด หูไวตาไว และค่อนเนี๊ยบ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่
แม้นิสัยเหล่านั้นจะค่อนขัดกับการที่เจ้าตัววางตัวเรียบง่ายไม่เหมือนพวกลูกชายคนเดียวที่มาจากครอบครัวร่ำรวยสักเท่าไหร่ก็ตาม
เพราะพอถอดหัวโขนเจ้านายออก ทินภัทรก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ออกจะติดดิน
กินข้าวข้างทางได้ ไม่ได้ติดหรู ใช้ชีวิตฟูฟ่า อย่างที่ใครๆ คาดคิด
หรือเพราะว่าคุณแม่ของเขาดุมากๆ ก็ไม่รู้
พอคิดไปถึงมารดาของเจ้านาย จะว่าไปแล้วปรีดิ์รดาเคยพบคุณแม่ของทินภัทรอยู่สี่ห้าหน
ทั้งจากการที่ท่านมาหาลูกชายที่ทำงานและได้เข้าร่วมประชุมด้วยเนื่องจากงานมีปัญหา
กับการที่เธอก็มีโอกาสไปบ้านของชายหนุ่มในบางโอกาส
ซึ่งจะว่าไปแม่ลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ลูกไม้ไม่ได้หล่นไกลจากต้นนัก
เพราะแม่ของเจ้านายเธอก็นิสัยไม่ต่างจากลูกชายเลย
ตอนทำงานเนี๊ยบเสียจนน่ากลัวและน่าเกรงขาม บรรยากาศในห้องประชุมตอนนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างมาก
ต่างจากตอนที่ท่านทำหน้าที่แม่อยู่บ้านลิบลับ
“แม่” เสียงเรียกของเด็กชายดิษย์วรินทร์เรียกทั้งปรีดิ์รดาและทินภัทรให้หันไปมอง
ภาพที่เห็นคือเด็กชายอยู่ในชุดเสื้อยืดแล้วสวมกางเกงสีน้ำเงินที่มารดาเลือกให้ ออกมาจากห้องลองเสื้อผ้า
กางเกงนักเรียนที่ปรีดิ์รดาเลือกนั้นมีความยาวเลยเข่าลงมานิดหน่อย
ซึ่งคนเป็นแม่ค่อนข้างพอใจทีเดียว แต่ก็ดูเหมือนว่าเอวของกางเกงจะหลวมไปสักนิด “อ้าว
อาทิวมาแล้ว!”
ทว่ายังไม่ทันไร ความสนใจของเด็กวัยกำลังโตก็พุ่งไปยังร่างสูงของเจ้านายแม่แทน
แถมยังเรียกเสียงสดใส พลางรีบวิ่งแจ้นเข้ามาหาทินภัทรด้วยสีหน้าที่เหมือนกับได้เจอคนที่ตัวเองสนิทและถูกใจมากๆ
ด้วย
“อาทิว สวัสดีครับ” พอมายืนต่อหน้าทินภัทร เด็กชายดิษย์วรินทร์ก็ยกมือไหว้คนเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยท่าทางตั้งใจและนอบน้อมอย่างที่มารดาสอนเอาไว้ ขณะที่ทินภัทรเอื้อมมือไปยีผมอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
“ไงเรา เลือกของไปได้กี่อย่างแล้วเนี่ย” ทินภัทรยิ้ม พลางคิดฝันไปไกลในใจแล้วว่าหากตนกับปรีดิ์รดาได้ดองกันขึ้นมาจริงๆ เขาคงรักเด็กชายตรงหน้ามาก ไม่ต่างจากลูกชายคนหนึ่งเลย
“แม่ให้ดินซื้อหลายอย่าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้สักอย่างเลยฮะ”
“อาว่า..กางเกงนักเรียนเรามันดูหลวมไปมั้ย วิ่งไปวิ่งมา มันจะไม่หลุดเหรอเนี่ย..”
ทินภัทรมองกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินที่เด็กตรงหน้าสวมออกมา แล้วจับไปที่ขอบกางเกง
ซึ่งมีช่องว่างเหลือเยอะพอที่มือสอดลงไปได้เลย
ก่อนจะเบนสายตาไปมองคนข้างกายแล้วแซว “แม่เราคงเลือกเผื่อโตสินะ”
“เอาไซส์นี่แหละค่ะ ไม่ได้ใหญ่เกินไปหรอก ดินโตเร็วจะตายไป” หญิงสาวว่าพลางบอกลูกชายให้เข้าไปเปลี่ยนกลับเป็นกางเกงตัวที่ใส่มา
แล้วหันไปบอกกับทางร้านว่าเอากางเกงไซส์นี้สามตัว
“ปริม กางเกงมันใหญ่ไปจริๆ นะ” ทินภัทรท้วง
“เรื่องเอวฉันไปเอาเข้าที่ร้านแก้ผ้าได้ค่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก” หญิงสาวบอกแก้มป่องนิดๆ
ก่อนจะรีบพูดดักคอ “อ่อ แล้วคุณทิวก็ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรให้ฉันนะคะ ลูกของปริม..ปริมขอจัดการเอง”
“แหม..รู้ทัน” ทินภัทรยอมตามใจ “แต่ผมขอเลี้ยงข้าว แล้วก็เลี้ยงขนม
ผมสัญญากับเจ้าดินเอาไว้แล้ว”
“วันนี้คุณทิวไม่ต้องออกอะไรให้ปริมกับลูกทั้งนั้นแหละค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งดุนิดๆ
ก่อนจะยืนกอดอก มองหน้าเขาด้วยสายตาจริงจัง “วันนี้ขอให้ปริมเป็นฝ่ายเลี้ยงคุณบ้าง
คุณช่วยปริมมาหลายอย่างแล้ว ปริมเกรงใจ แล้วก็..รู้สึกละอายใจมากด้วย”
“คุณอึดอัดสินะ” ทินภัทรอ่านสีหน้าปรีดิ์รดาออก
ทุกครั้งเขาแกล้งเมินเฉยเพราะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองถูกหญิงตรงหน้าปฏิเสธทั้งน้ำใจไมตรีที่ตนหยิบยื่นให้และความสัมพันธ์ที่มากเกินกว่าเจ้านายลูกน้อง...ซึ่งเขาเองอยากสานต่อกับเธอมาก ถึงได้แกล้งตีมึนทำเป็นเนียนไม่รับรู้ แต่อะไรที่มากเกินไปมันก็ใช่ว่าจะดี...นั่นเพราะความอดทนของคนเรามีขีดจำกัด เขาควรผ่อนแรงรุกจีบเธอลงบ้าง ยอมตามใจเธอบ้างในบางครั้งบางคราว เพื่อรักษาระยะของทั้งสองคนให้คงเส้นคงวาเอาไว้ ไม่ห่างออกไปมากกว่านี้
“ก็..นิดนึงค่ะ” หญิงสาวยอมรับ “เรื่องบางอย่าง ปริมอยากจัดการเอง อย่างน้อยก็ในสถานะแม่คนหนึ่งที่ทำให้ลูก อีกอย่างคุณทิวก็ให้ปริมมาเยอะมาก ทั้งโอกาส งาน รวมถึงเรื่องที่คุณดูแลปริมกับดิน จนปริมไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณของคุณทิวยังไงไหว”
“ผมเข้าใจแล้ว..” ทินภัทรคิดอย่างที่พูดออกไป แต่โดยส่วนหนึ่งเขาก็รู้ว่าปรีดิ์รดาพูดจาแบบถนอมน้ำใจกันด้วย เพราะเรื่องบางเรื่องนั้นมันฟ้องอยู่บนสีหน้าเธอหมดแล้ว ทั้งแววตา และน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความลำบากใจ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธเพราะเขาอยู่ในสถานะที่สูงกว่าเธอ ดังนั้นทินภัทรจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะกล่าวขอโทษออกไปที่ตนล้ำเส้นชีวิตส่วนตัวของปรีดิ์รดากับลูกชายมากเกินไปหน่อย “ผมขอโทษที่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของคุณกับเจ้าดินมากเกินไปนะ อาจเพราะผมเอ็นดูเจ้าดินเป็นพิเศษ”
ทินภัทรเน้นย้ำคำว่า ‘พิเศษ’ ให้หนักแน่นขึ้นในตอนท้าย ก่อนจะดึงให้บรรยากาศระหว่างเขากับปรีดิ์รดาให้ดูสนุกสนานขึ้น
ด้วยการพูดจาแบบทะเล้นแบบเด็กๆ ไม่ใช่เจ้านายจอมเข้มงวด
“ไหนๆ วันนี้คุณก็จะเลี้ยงผมแล้ว ผมกินเต็มที่เลยนะ”
“ได้สิค่ะ”
ปรีดิ์รดาพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าหญิงสาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรเสียทินภัทรก็เป็นเจ้านายของเธอ การที่เธอได้ตอบแทนเขาบ้างเพียงแค่เล็กน้อยนั้น
มันก็ทำให้สบายใจขึ้นมามากแล้ว
และกระทั่งเลือกซื้อชุดนักเรียนและรองเท้าเสร็จ ทินภัทรก็ขับรถพามายังห้างสรรพสินค้าที่ค่อนข้างไกลจากบ้านของปรีดิ์รดามาก
ทีแรกหญิงสาวแปลกใจที่เขาพามาค่อนข้างไกลพอสมควร
แต่พอรู้เหตุผลปรีดิ์รดาก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร
“ขอโทษที่พามาไกลหน่อยนะ แต่เห็นคุณบอกว่าจะซื้อรองเท้ากีฬาให้เจ้าดิน
ห้างแถวบ้านคุณไม่มีแบรนด์ที่คุณอยากซื้อให้เจ้าดินนี่นา ผมเลยพามาที่นี่”
ใช่ ปรีดิ์รดาลืมคิดไปเสียสนิทเลย ของมียี่ห้อส่วนใหญ่มักมีขายอยู่ในห้างฯ
ที่ค่อนข้างมีระดับ อยู่ในเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน ในย่านที่มีความเจริญ
มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่หนาแน่น
“จริงด้วย ปริมเองไม่ทันคิดเรื่องนี้เลย”
“แม่” เสียงเด็กชายที่นั่งเบาะหลังเรียก แล้วทำท่าลูบท้องตัวเอง “แต่ก่อนจะซื้อรองเท้าไปกินไก่ทอดก่อนได้มั้ยฮะ ดินหิวจะแย่แล้ว”
เสียงหัวเราะของทินภัทรและปรีดิ์รดาดังขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกัน จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เลือกร้านไก่ทอดชื่อดังที่ลูกชายอยากกินนักหนา
ปรีดิ์รดาให้ลูกชายเลือกที่นั่ง ส่วนตัวเองกับทินภัทรนั้นเดินไปยังเคาน์เตอร์แล้วสั่งเอาไก่ชุดใหญ่ที่มีทั้งเฟรนซ์ฟรายส์และโคล่าที่ดิษย์วรินทร์รบเร้าอยากกิน
กระทั่งจ่ายเงิน...ปรีดิ์รดาหยิบจาน ช้อนส้อม มีด รวมถึงกดซอสใส่จานใหญ่ ขณะที่ทินภัทรถือของที่ได้เต็มถาดไปวางบนโต๊ะ
จากนั้นทั้งสามก็ลงมือทานอย่างเอร็ดอร่อย
การออกมาทานข้าวด้วยกัน พูดคุยอย่างสนิทสนมแบบไม่มีกำแพงและเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง
มันยิ่งทำให้บรรยากาศในช่วงเวลานี้เหมือนกับครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
เด็กชายดิษย์วรินทร์ยิ้มแป้น หน้าบาน มุมปากแทบจะเลยไปถึงใบหู เพราะไหนจะได้กินของที่ตนเองชอบมากๆ
ไหนจะได้ของที่ตนอยากได้ แล้วไหนจะรู้สึกเหมือนว่าช่วงเวลานี้มันคือ ‘ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ’ อย่างที่ตนเองไม่เคยมีมาก่อนอีก
“ค่อยๆ กินสิลูก” ปรีดิ์รดาออกปากเอ็ดลูกชายที่นั่งอยู่ข้างทินภัทร
ซึ่งอีกฝ่ายคอยหั่นไก่เป็นชิ้นพอดีคำใส่จานให้ลูกของเธอ ราวกับพ่อลูกกัน
แต่พอปรีดิ์รดาเหลือบไปมองลูกแล้วเห็นว่าปากของเด็กวัยกำลังโตนั้นเลอะเทอะไปด้วยเศษแป้งชุบทอดของไก่และซอสมะเขือเทศ
เธอก็ส่ายหัว พลางหยิบกระดาษทิชชู่มาถือไว้ “เลอะไปหมดแล้วเนี่ยดิน”
คนเป็นแม่เอื้อมมือไปเช็ดปากให้ลูกชายที่นั่งใช้ส้อมจิ้มไก่เข้าปากคำแล้วคำเล่า
ไหนจะหยิบเฟรนซ์ฟรานส์เข้าปากอีกทีละสองสามชิ้น
“ก็ดินมีความสุขนี่แม่” ดิษย์วรินทร์บอกมารดา
พลางมองแม่และทินภัทรสลับกันด้วยแววตาเปล่งประกายมีความสุขจากในใจ
“ชอบล่ะสิ ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้ทั้งทีนี่เนอะ” ทินภัทรแซว “วันหลังเรามากินไก่ทอดกันอีกก็ได้นะดิน”
“ไก่ทอดดินก็ชอบ” เด็กชายบอกเสียงแจ๋ว “แต่ดินชอบที่เราออกมาเที่ยวกันสามคนแบบนี้มากกว่า”
คำพูดของเด็กข้างกายทำให้ทินภัทรมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ปรีดิ์รดาเองก็มองมาสบตาเข้าพอดีด้วยใบหน้าเฉยๆ
ไม่แสดงอารมณ์อะไร ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วถามลูกชายต่อ
“ทำไมล่ะ..”
หญิงสาวสองจิตสองใจมากที่จะถามลูกออกไปแบบนั้น ในใจเธอสั่นไหวราวกับถูกคลื่นลูกใหญ่เท่าสึนามิสาดซัด
ถ้าใครไม่มาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแบบเธอ คงไม่มีวันรู้หรอกว่า...การถามคำถามที่พอจะล่วงรู้คำตอบภายในใจของลูกตัวเองอยู่แล้วนั้น
มันห้ามปรามหัวใจไม่ให้สั่นไหวยากมากจริงๆ
“ดินรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเพื่อนเลย มีครอบครัวเหมือนเพื่อนๆ ในห้อง”
เสียงชายตอบฉะฉานทุกถ้อยคำ
คนเป็นแม่ฝืนยิ้มรับ แต่คำว่า ‘ครอบครัว’ ของเด็กๆ มันก็คงไม่พ้นการตีความไปในทำนองที่ว่ามีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุขเหมือนในนิทาน
แต่ในชีวิตจริง...ลูกชายของเธอ...ดิษย์วรินทร์นั้นเติบโตมาด้วยการมีแม่เพียงคนเดียว
ไม่เคยเห็นหน้าพ่อของเขา มียายช่วยดูแล และพอยายจากไปแล้ว ปรีดิ์รดาก็ต้องอาศัยการฝากดูแลจากพี่เลี้ยงที่จ้างบ้าง
พอลูกโตจนเข้าโรงเรียน...หญิงสาวก็แก้ปัญหาด้วยการส่งลูกชายเรียนพิเศษในตอนเย็นแทนการจ้างพี่เลี้ยง
ทว่าถึงอย่างนั้น ดิษย์วรินทร์ก็แทบไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวกับเธอเลย
ไม่เคยบอกความรู้สึกนึกคิด ยิ่งโตความสนใจก็มุ่งเน้นไปที่การเรียนและกีฬา
แต่ครอบครัวมันคงเป็นเรื่องที่ฝังลึกลงไปในใจของเด็ก ภาพที่เห็นในโรงเรียนทุกวี่ทุกวัน
มันคงถูกเปรียบเทียบอยู่ในใจตลอด ระหว่างครอบครัวตัวเองและครอบครัวของเพื่อนๆ
ที่มีพ่อแม่พร้อมหน้า ลูกคงรู้สึกแย่ และน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เพียงไม่กล้าพูดออกบอกแม่ก็แค่นั้น
ทินภัทรมองท่าทางอ้ำอึ้งของปรีดิ์รดาแล้วก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ นั่นเพราะเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าเธอจะถามลูกต่อ...ทั้งที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แก่ใจ
เด็กทุกคนต้องการความรัก ความอบอุ่น และความเข้าใจของพ่อแม่เสียยิ่งกว่าเงินทองหรือสิ่งของ และทินภัทรเชื่อว่าปรีดิ์รดาคงไม่เคยพูดเรื่องครอบครัวในฝัน หรือเรื่องอดีตสามีของตัวเองให้ลูกรับรู้ แต่ในเมื่อคนเป็นลูกพูดเปิดทางแล้ว เธอคงมองเห็นโอกาส กอปรกับความอยากรู้ความรู้สึกในใจของลูกชายว่าคิดอะไรอยู่ ถึงตัดสินใจถามออกไป
และเธอก็คงได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว..
นั่นคือการที่ลูกอยากมีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
“ดิน อาทิวว่าเรากินเสร็จแล้ว ไปเล่นเกมกันหน่อยมั้ยล่ะ
แล้วค่อยไปซื้อรองเท้าก็ได้” ทินภัทรเสนอด้วยรอยยิ้มใจดีเหมือนอย่างเคย นั่นเพราะเขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของปรีดิ์ยิ้มเศร้าด้วยความรู้สึกในใจที่ทั้งรักทั้งสงสารลูก
แต่บางที...เรื่องของคนในอดีตอาจจะทำให้เธอนั้นเริ่มจะยิ้มไม่ออก เลยอาสาช่วยทำให้บรรยากาศมันกลับมาสดใสอีกครั้ง
แม้ว่าดิษย์วรินทร์ผู้เป็นลูกชายจะไม่รู้เลยว่ามารดากำลังเศร้าใจมาก “ปริม ไหนๆ
ก็พาเจ้าดินออกมาเที่ยวแล้วนี่ ก็ปล่อยฟรีวันนึงเถอะนะ”
“ได้สิ แม่อนุญาต ให้เล่นชั่วโมงนึง” ปรีดิ์พยักหน้าอนุญาตลูกชาย เธอไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดห้ามปรามไปเสียทุกอย่าง
แต่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่บนขอบเขตของความพอดีด้วยกันทั้งนั้น
ตามใจมากไปมันก็ฝึกนิสัยไม่ดี โตขึ้นมันจะกลายเป็นว่าเข้าข่ายพ่อแม่รังแกฉัน แต่ครั้นเข้มงวดมากไป
เด็กก็จะรู้สึกกดดันตัวเองเสียเปล่าๆ
ดังนั้นพอกินเสร็จแล้ว ทินภัทรเลยพาเจ้าเด็กชายวัยกำลังซนไปเล่นเกมตามที่ให้สัญญาเอาไว้
ทินภัทรเป็นเพื่อนคอยแก้เหงาให้ลูกชายของปรีดิ์รดาได้อย่างดีเสมอ และทั้งคู่ก็เข้ากันมาก
ดิษย์วรินทร์เองก็ดูมีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่กับเขา
เสียงโหวกเหวกเฮฮาเป็นอันจบลง เมื่อดิษย์วรินทร์โยนลูกบอลลูกสุดท้ายลงห่วง
“โห่ หมดเวลาแล้วอ่ะ” เด็กชายร้องโอดอย่างเสียดาย
“เอาไว้แม่พามาเล่นใหม่ก็ได้นี่นา”
ปรีดิ์รดาลูบเรือนผมสีดำขลับของเจ้าตัวเล็กอันเป็นที่รัก
“แต่ตอนนี้แม่ว่าเราไปซื้อรองเท้ากันดีกว่าไป เดี๋ยวจะเย็นจะมืดเสียก่อน”
คนเป็นลูกชายยอมเลิกเล่นแต่โดยดี
ก่อนจะจับมือของมารดาเดินออกจากโซนของเล่นละลานตา โดยมีทินภัทรเดินเคียงไหล่พนักงานสาวไปด้วยอีกคน
“แม่ๆ เดี๋ยวดินจะวิ่งไปก่อนเลยนะ”
“ไม่เอา คนเยอะแยะจะวิ่งทำไมกันฮึ เดินดีๆ” ปรีดิ์รดาเอ็ด เมื่อลูกชายกำลังจะเริ่มฉายแววซนอีกรอบ
“จะวิ่งไป แล้วเรารู้หรือไงว่าร้านรองเท้าอยู่ชั้นไหน?” ทินภัทรถาม
“อาทิวก็บอกดินสิฮะ ดินโตแล้ว ดินเดินไปเองได้”
“ตรงไป ร้านอยู่ทางซ้ายมือ” ทินภัทรบอกทาง แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเห็นว่าปรีดิ์รดาจับมือลูกตัวเองแทบไม่ยอมปล่อย
ทั้งที่ลูกก็โตจนจะเป็นหนุ่มอยู่แล้ว แต่เอาเถอะ...ในสายตาพ่อแม่ เขาเข้าใจแหละว่าปรีดิ์รดาก็คงมองเห็นลูกตัวยังเล็กอยู่เสมอ
และในจังหวะที่หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสายตาดุๆ นั่นแหละ เจ้าตัวแสบเลยได้ทีฉวยโอกาสปล่อยมือมารดาตัวเองแล้วเดินนำลิ่วๆ
ไปตามทางที่ทินภัทรบอก ปรีดิ์รดาตกใจมากเลยพยายามเดินตามลูกให้ทัน แต่เหมือนดิษย์วรินทร์เองก็ยิ่งสนุกที่ได้แกล้งคนเป็นแม่
เลยยิ่งเร่งฝีเท้าวิ่งหนี
แต่เพราะอาการนึกสนุกอยากวิ่งหนีแม่ไม่ให้ไล่จับตัวเองได้ทันนั่นแหละ
เด็กชายก็เลยไม่ทันระวัง ด้วยมัวแต่วิ่งหันหน้าหันหลัง เลยเสียหลักไปชนเข้ากับร่างๆ
หนึ่งเข้า แม้ไม่เต็มแรงเพราะอีกฝ่ายหยุดเดินก่อน แต่ก็พอจะทำให้เสียหลักเซถอยหลังไปหลายก้าวอยู่เหมือนกัน
โชคดีที่คนติดตามเข้าไปพยุงเอาไว้ทัน
“ตายจริง! เกือบไปแล้วนะลูกเอ้ย” หญิงสูงวัยบอก
ไม่คิดเอาเรื่องเอาความเด็กตรงหน้า แต่ก็ถอนหายใจเพราะเมื่อครู่นี้ท่านเองก็ตกใจมากเหมือนกัน
“ผมขอโทษครับ” เด็กชายยกมือไหว้ ก้มหัวครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรู้สึกผิด
แต่ในที่สุดคนเป็นแม่ก็เดินเข้ามาถึงตัวจนได้
“ดิน แม่บอกแล้วไงว่า..” ปรีดิ์รดาเห็นว่าลูกยกมือไหว้ขอโทษก็เลยมัวแต่จ้ำเท้าเข้ามาหา
ก่อนจะต่อว่าเสียงเข้ม ทว่ายังไม่ทันพูดจบดีเลย
คู่กรณีของลูกชายก็เอ่ยทักขึ้นอย่างสนิทสนม
“หนูปริม..”
ปรีดิ์รดาเงยหน้ามองคนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงเอ็นดูดุจลูกหลาน แล้วหญิงสาวก็ต้องยกมือไหว้เพราะคนที่ลูกชายเธอวิ่งซนจนเกือบทำให้อีกฝ่ายล้มเสียหลักนั้นคือดุจเดือน
มารดาของเด่นฤทธิ์ คนที่เธอเคยสนิทด้วยเสียจนมีความทรงจำดีๆ
ร่วมกันมากมายนับไม่ถ้วน
“สวัสดีค่ะคุณแม่” หญิงสาวยังทักทายเหมือนตอนที่สนิทกับเด่นฤทธิ์ เพื่อนเรียกอย่างไรก็เรียกกันตามนั้น “ปริมขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะที่ลูกปริมเล่นซนไปหน่อย”
“ลูกหนูปริมหรือจ๊ะ?” ดุจเดือนมองหน้าเด็กชายตรงหน้า แล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู “คราวที่แล้วย่าเจอแต่แม่เรา ไม่ได้เจอเราเลย โตขนาดนี้แล้วเหรอ หล่อเหลาเชียวนะ”
ดุจเดือนจับจ้องเด็กชายตรงหน้าแทบไม่ละสายตา แต่พอรู้ว่ามองนานเกินไปแล้ว ก็เบนสายตามองไปยังหนุ่มข้างกายหญิงสาว
“ว่าแต่...ลูกหนูปริมดูจะเหมือนหนูมากกว่าสามีนะจ๊ะ”
“ผมไม่ใช่สามีปริมหรอกฮะ” ทินภัทรรีบโบกมือ แม้ว่าในใจจะอยากเป็นมากก็ตาม
“คุณทิวเป็นเจ้านายของปริมนะค่ะ”
“ตายจริง! แม่ขอโทษทีนึกว่ามาเที่ยวกันตามประสาครอบครัว”
ดุจเดือนหัวเราะ “ว่าแต่หลานย่าคนนี้ชื่ออะไรเนี่ย”
“ชื่อ ‘ดิน’ ฮะ” ดิษย์วรินทร์แนะนำตัว
“แล้ววันนี้แม่พาดินมาซื้ออะไรลูก” ดุจเดือนถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“รองเท้ากีฬาฮะ แม่จะซื้อรองเท้าให้ดิน” เด็กชายตอบ
“งั้นเดินไปร้านรองเท้ากับย่าสิ เดี๋ยวย่าซื้อให้เอง”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ปริมตั้งใจจะซื้อให้ลูกอยู่แล้ว”
“ได้ยังไงกัน แม่ไม่ได้เจอหนูปริมตั้งนาน แล้วลูกเราโตป่านนี้แล้ว
แม่ยังไม่ได้รับขวัญหลานเลย” ดุจเดือนตั้งท่าไม่ยอม
“ปริมเกรงใจนี่คะ”
“เอาเถอะ! แม่ตั้งใจจะให้แล้ว หนูปริมก็อย่าห้ามแม่เลยนะ” ดุจเดือนไม่สนใจคำคัดค้านของหญิงสาว “ไปลูก ดินเดินไปกับย่านี่แหละอยากได้คู่ไหนก็เลือกเลย ย่าซื้อให้”
ความคิดเห็น