คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เพียงชิดใจ :: บทนำ - เดทแรกของเพื่อนสนิท 100 %
|| บทนำ ||
_____________________________________________________________________
เดทแรกของเพื่อนสนิท
“ฉันนึกว่าแกจะไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายคลายเมื่อย
แต่ที่แท้ก็หายไปหาอะไรกินเนี่ยนะ” ‘มณิกา’ หรือ ‘ม่าน’ ทักเพื่อนสาวทันทีหลังจากเห็นอีกฝ่ายกลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้ง
เนื่องจากมีเรียนติดกันหลายชั่วโมงตั้งแต่เช้า อาจารย์ประจำวิชาเลยปล่อยให้พักเบรกสิบห้านาที หญิงสาวนึกว่าเพื่อนสาวคนสนิทของตนจะออกไปยืดเส้นยืดสาย
เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว แต่ที่ไหนได้กลับเดินเลยออกไปซื้อขนมเสียอย่างนั้น
ทว่าก็ไม่แปลกอะไรเลยเนื่องจากตึกเรียนของพวกเธออยู่ใกล้กับแคนทีน มิหนำซ้ำตึกถัดไปของคณะฯ ข้างเคียงเองด้านล่างที่เป็นลานโล่งเอาไว้ทำกิจกรรมก็มีตลาดนัดนักศึกษา มีทั้งของกินอร่อยๆ ขายและเสื้อผ้า รวมถึงเครื่องใช้ไม้สอย
อุปกรณ์การเรียนให้บรรดานักศึกษาในมหาลัยฯ ซื้อหาในราคาสบายกระเป๋า
“ก็ใช่สิ เรียนติดกันมาตั้งหลายชั่วโมงจนตาลายไปหมดแล้ว” ‘เพียงชิดจันทร์’ ตอบเพื่อนของตนขณะนั่งที่โต๊ะตัวเดิม
โชคดีที่วิชานี้อาจารย์ประจำวิชาไม่ได้เคร่งครัดกับกฎระเบียบมากเท่าไหร่
เพราะอาจารย์ที่สอนพวกเธอนั้นความจริงเป็นรุ่นพี่เคยเรียนคณะฯ เดียวกันมาก่อน พอเรียนจบอีกฝ่ายก็เรียนต่อโท...ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ จนกระทั่งกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาลัยฯ
เดิมแห่งนี้ ท่านเลยเข้าใจนักศึกษาด้วยกันดีมากกว่าอาจารย์คนอื่นที่แก่คร่ำครึ
จึงอนุญาตให้เอาขนมและน้ำเข้ามาทานระหว่างเรียนได้
“โธ่ แกน่าจะบอกฉันก่อนนี่หว่า” มณิกามองเพื่อนสาว เธอเท้าคางข้างหนึ่งกับโต๊ะเลคเชอร์ ทำสีหน้าเหงาหงอยตามประสาคนเบื่อง่าย
“ถ้าแกหิวก็กินขนมของฉันก็ได้นี่” เพียงชิดจันทร์ทำหน้าซื่อ ตาใส ก่อนจะยื่นถุงขนมที่ตัวเองซื้อมาให้เพื่อน
มีทั้งขนมขบเคี้ยว ผลไม้ และน้ำดื่มเย็นชื่นใจ “ม่าน แกกินรองท้องไปก่อนก็ได้
เดี๋ยวหมดคาบแล้วเราไปหาอะไรจริงจังกินกันอีกที”
มณิกาได้ยินคนกินเก่งก็ถึงกับยิ้มขำ
“ขืนกินหมดนี่ฉันก็อิ่มจนไม่ต้องกินข้าวเย็นแล้วมั้ง”
“ก็แกทำหน้าหงอยเหงาเหมือนทั้งง่วงและหิว
แล้วเมื่อกี้ก็ตัดพ้อที่ฉันหนีไปซื้อขนมมาด้วย”
“ไม่ใช่ย่ะ ฉันหมายถึงแกน่าจะบอกฉันก่อน จะได้ไม่ต้องซื้อของมาเยอะขนาดนี้ไง” มณิกาทำหน้าลังเล ความจริงเธอตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเพียงชิดจันทร์ตั้งแต่เมื่อเช้าด้วยซ้ำ แต่ก็ยังหาจังหวะและโอกาสเหมาะๆ บอกเพื่อนไม่ได้เลย “นี่เรียนอีกสองชั่วโมงเอง ฉันว่าหลังเลิกเรียนจะชวนแกไปดูหนัง กินข้าว แล้วก็ฟังเพลงต่ออีกนิดหน่อย”
“ไปหลายที่จัง แกเครียดเหรอม่าน แต่ปีนี้ก็เรียนหนักจริงๆ แหละ” เพียงชิดจันทร์มองหน้าเพื่อนสาวคนสวย เห็นสีหน้าซึมๆ
ของมณิกาแล้วเธอก็เข้าใจว่าเพื่อนคงเบื่อ เครียด และง่วง
ความจริงการเรียนติดกันจนกระทั่งถึงบ่ายแก่ๆ ขนาดนี้
อีกทั้งแต่ละวิชาก็หนักหนาสาหัสใช่เล่น ขนาดนักเรียนทุนอย่างเธอยังแทบจะสลบคาโต๊ะเรียนจนต้องหาอะไรกินผ่อนคลายสมองเลย แล้วเพื่อนอย่างมณิกาล่ะ...จะเบื่อแค่ไหนกัน อีกฝ่ายใช่ว่าจะเป็นคนอยู่สุขเสียเมื่อไหร่
ชอบทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่ามานั่งฟังคำพูดพร่ำตาจ้องกระดานอย่างนี้
เพียงชิดจันทร์เป็นนักเรียนทุนดีเด่น โชคดีที่ว่าตอนที่เธอสอบเข้ามหาลัยฯ ในปีนั้นทางมหาลัยฯมีโครงการพิเศษมอบทุนให้นักเรียนที่สอบเข้าแล้วได้คะแนนสูงสุด
5 อันดับแลกกับการเรียนฟรีตลอดสี่ปี และเพียงชิดจันทร์ก็เป็นนักเรียนทุนดีเด่นที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบเข้าปีนั้น
ผิดกับมณิกา...หญิงสาวไม่ได้เรียนเก่งเลย ตั้งแต่เด็กจนโตผลสอบก็กระท่อนกระแท่น แต่เธอเด่นเรื่องกิจกรรมเป็นที่สุด ไม่ว่าจะงานไหนของโรงเรียน การประกวดงานต่างๆ ถือป้าย นักกีฬา หรือแม้กระทั่งเชียร์ลีดเดอร์เรียกว่าผ่านมือมณิกามาหมดแล้ว
“เปล่าเลยแก ฉันไม่ได้เครียด” มณิกาส่ายหน้าหวือ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าขนมที่เพื่อนซื้อมาเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
“อ้าวไม่ได้เครียดแล้วทำหน้าเซ็งเพื่ออะไร?”
เพียงชิดจันทร์ย่นจมูกใส่เพื่อน “ว่าแต่ดูหนังก็ดีเหมือนกันนะ เพิ่งมีหนังผีสยองขวัญเข้าโรงพอดีเลย
อยากดู”
“ใช่มะล่ะ ฉันเป็นเพื่อนที่รู้ใจแกที่สุด” มณิกายิ้มเมื่อเพื่อนสาวตอบตกลง “แต่มีคนไปด้วยนะแก”
“ใครอ่ะ เมี่ยงเหรอ?”
‘เมี่ยง’ ที่เพียงชิดจันทร์กล่าวถึงคือพี่สาวฝาแฝดของมณิกา ‘มณิสร’ เป็นอีกคนหนึ่งที่เธอสนิทชิดเชื้อด้วย แต่เพียงชิดจันทร์จำได้ว่าวันนี้มณิสรไม่มีเรียน
“ไม่ใช่ไอเมี่ยงหรอก แต่เป็นผู้ชาย” มณิกาบอกเพื่อนเสียงอ่อย
แต่มุมปากเรียวกลับยกยิ้มด้วยความเขินอาย ขณะที่คนฟังกลับทำตาโตเบิกกว้าง “แหมแก...ก็ฉันเพิ่งคบกับเขานี่นา แล้วนี่ก็เป็นเดทแรกของเราด้วย”
“เป็นเดทแรกแล้วแกพาฉันไปด้วยทำไมเล่า เดี๋ยวเขาก็อึดอัดหรอก” เพียงชิดจันทร์ส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อนจนผมลอนหนากระจายไปมา เธอไม่อยากไปเป็น ‘ก้างขวางคอ’ ของใคร
“เพื่อนจันทร์จ๋า ไปเป็นเพื่อนเพื่อนเหอะน่านะ ฉันบอกพี่เขาไปแล้วด้วยว่าขอเอาเพื่อนไปคนนึง พี่เขาเองก็จะพาเพื่อนมาเหมือนกัน...นะแกนะ”
“เห้อ” เพียงชิดจันทร์มองหน้าเพื่อนสาว
ก่อนจะระบายลมหายใจออกมายาวๆ “โทรไปตามพี่สาวแกเหอะ
ถ้าเอาเมี่ยงไปก็ไม่น่าเกลียดอะไร อย่างน้อยเมี่ยงก็เป็นพี่แก”
“ไม่เอาหรอก แกก็รู้นี่ว่าเมี่ยงมันขี้บ่นจะตายชัก
เดี๋ยวเรื่องนี้ก็ไปถึงหูพ่อแม่อีก ฉันอยากคบกันเงียบๆ ไปก่อน”
มณิกาทำสายตาอ้อนวอนเพื่อนสาวสุดฤทธิ์ “ไปเหอะนะจันทร์ ถ้าฉันไปคนเดียวก็น่าเกลียดแย่ เสียภาพลักษณ์กุลสตรีไทยผู้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้หมด”
“จ้า ไปเป็นเพื่อนกุลสตรีไทยศรีสยามก็ได้”
เพียงชิดจันทร์ยิ้มขำกับคำเปรียบเทียบตัวเองของเพื่อนสาว
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับมณิกาสุดๆ “แต่ฉันขอโทรบอกคุณย่าก่อนนะแก เผื่อว่ากลับบ้านดึกย่าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ได้สิ ขอบคุณน้า รักแกที่สุดเลย”
มณิกายิ้มจนตาหยีก่อนจะกอดเพื่อนแล้วเอาหน้าถูไถไปมากับไหล่ของเพียงชิดจันทร์
เธอมักจะอ้อนกันไปมาแบบนี้เป็นประจำ
“โอ๊ย ไอม่านเลิกกอดได้แล้วน่า
เดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าฉันกับแกเป็นคู่จิ้นกันหรอก”
มณิกาหัวเราะร่วนกับคำว่า ‘คู่จิ้น’ ของเพื่อนสาว แต่เพื่อนต่างคณะฯ
บางคนก็แอบคิดไปแล้วว่าเธอกับเพียงชิดจันทร์สนิทกันเกินกว่าเพื่อน
เพราะตัวแทบจะติดกันตลอด ถ้าที่ไหนมีเธอก็จะพลอยเห็นเพียงชิดจันทร์ไปด้วย
“ไม่สนหรอก อยากกอด เพื่อนตัวนุ้มนุ่ม ห้อมหอม”
“ไอบ้า!”
“เข้าทางมึงเลยสิ น้องเขาจะดูหนังผี”
‘นราธร’ มองเพื่อนตัวดีด้วยสายตาเจ้าเล่ห์หลังจากที่อีกฝ่ายบอกเขาว่านัดสาวต่างมหาลัยฯ
เอาไว้แล้วมีโปรแกรมไปดูหนัง กินข้าว แล้วฟังเพลงต่อด้วยกัน
‘ต้องชนะ’ นัดหญิงสาวที่เพิ่งคุยกันเอาไว้
และจงใจลากนราธรไปด้วยเพราะนี่เป็นเดทแรกของฝ่ายหญิง เธอขอเอาเพื่อนมาด้วยหนึ่งคน
ซึ่งทางฝ่ายเขาก็ออกตัวว่าไม่ได้ติดขัดอะไรและยินดีมาก จนกระทั่งฝ่ายหญิงเพิ่งส่งข้อความมาบอกเมื่อครู่ว่าเธอเลือกหนังที่อยากดูเอาไว้แล้ว
และหนังที่จะดูนั้นคือหนังผีสยองขวัญที่ติดอันดับหนังผีน่ากลัวแห่งปี
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น” ต้องชนะไหวไหล่
ก่อนจะยิ้มกริ่ม “แต่มันก็ดีนี่หว่า
ถ้าฉันเลือกเองก็ต้องเลือกหนังผี”
ต้องชนะคิดเอาไว้อยู่แล้ว เพราะต่อให้เป็นเดทแรกของฝ่ายหญิง...เขาก็อยากใกล้ชิดคนที่ตัวเองหมายตาเอาไว้ และการชวนไปดูหนังก็ทำให้มีจังหวะกระชับความสัมพันธ์ที่ห่างเหินให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ยิ่งถ้าหากมีหนังสยองขวัญเป็นตัวช่วยด้วยแล้วล่ะก็...ชายหนุ่มคิดว่าหากฝ่ายหญิงกลัวเขาจะได้โชว์แมนปกป้อง โอบอิงไหล่ได้ตามสบาย
“มึงจ้องฉวยโอกาสตอนน้องเขากลัวเลยล่ะสิ” นราธรมองหน้าเพื่อนอย่างรู้ทันกัน
“แล้วมึงเคยทำป่ะล่ะ” ต้องชนะถามกลับ เพราะเขาเองก็รู้ว่านราธรใช้แผนนี้กับสาวๆ บ่อยไม่แพ้เขาเลย
“บ่อยเลย”
เพื่อนสนิททั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะร่วนออกมา การชวนสาวๆ
ไปดูหนังนี่ถือว่าเป็นแผนแตะเนื้อต้องตัวฝ่ายหญิงขั้นเบสิคมาก อย่างน้อยก็จับมือกัน และก็ไม่ได้น่าเกลียดจนเกินไป
มิหนำซ้ำมันกลับดูน่ารักแล้วก็ได้ใจผู้หญิงไปเต็มๆ หลายต่อหลายคนแล้ว
“มึงเคยใช้แผนนี้กับนิลมั้ย” ต้องชนะถามเพื่อน “หรือมากกว่านั้นไปแล้ววะ”
“แหม เป็นแฟนกันนะเว้ย
แล้วนิลก็สวยขนาดนั้นใครจะไปอดใจไหวเล่า”
นราธรก็ตอบตรงประเด็นแบบไม่มีอ้อมค้อมอย่างที่ผู้ชายด้วยกันรู้ดี
นราธรมีแฟน และแฟนสาวของเขาก็สวยมาก
‘นิลเนตร’ เป็นดาวคณะนิเทศศาสตร์
ตอนนี้หญิงสาวเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 มหาลัยฯ เดียวกับสาวที่ต้องชนะนัดเดทด้วย
นิลเนตรคนสวยและโดดเด่น มีคาแรคเตอร์ชัดเจน โดยเฉพาะดวงตาเฉี่ยวคมจิกกล้อง จนความสวยในแบบสาวสมัยใหม่ไปสะดุดตาแมวมอง
ผู้จัดการดาราดังหลายคนชักชวนให้หญิงสาวไปถ่ายแบบแฟชั่น เล่นละคร ถ่ายโฆษณา
หรือถ่ายภาพโปรโมทผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนตอนนี้นิลเนตรเริ่มมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง
ทว่านิลเนตรยังต้องเรียน ตารางเรียนที่แน่นจนแทบไม่มีเวลาหายใจทำให้หญิงสาวไม่ค่อยได้รับงานถ่ายแบบและงานในวงการเท่าไหร่
ถ้าไม่ใช่งานสำคัญหรือผู้ใหญ่ขอมาจริงๆ หญิงสาวก็จะไม่รับงานอย่างเด็ดขาดเพราะเธอห่วงการเรียน
กลัวเกรดจะตกลงไม่เป็นท่า หญิงสาวไม่อยากจับปลาสองมือแล้วสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
และเพราะนิลเนตรเป็นผู้หญิงที่ครบเครื่องมากคนหนึ่งราวกับเพชรที่ปะปนอยู่กับพวกก้อนกรวด
นราธรจึงคิดว่าเขาโชคดีมากเหลือเกินที่ได้นิลเนตรเป็นแฟน
“ก็จริง” ต้องชนะเห็นด้วยกับเพื่อน เขาเคยเจอนิลเนตรและต้องยอมรับเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สามารถสะกดทุกสายตาเอาไว้ได้อย่างไม่มีข้อแม้เลย
“แล้วนี่นิลไปไหนวะ วันนี้ไม่เห็นโทรตาม”
“เห็นบอกว่าไปถ่ายแบบต่างจังหวัดน่ะ นิลบอกฉันว่าผู้ใหญ่ขอมา
แล้วนิลก็ไม่มีเรียนด้วย เลยรับงานโกยเงินดีกว่า” นราธรบอกเพื่อน “นิลทั้งสวย
ทั้งขยันเลยเนอะ”
“แล้วนี่ ถ้านิลรู้ทีหลังจะไม่โกรธฉันใช่ป่ะวะ”
ต้องชนะมีสีหน้าเป็นกังวลนิดหน่อย เขากลัวว่าถ้านิลเนตรรู้ทีหลังจะพลอยทะเลาะกับนราธร
และเขาไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนต้องมีปัญหากับแฟนสาว “นิลดูท่าจะขี้หึงอยู่นะ”
“ไม่หรอกน่า โตๆ กันแล้ว” นราธรบอกเพื่อนก่อนจะตบไหล่อีกฝ่ายเพื่อให้ต้องชนะสบายใจ
“ฉันต้องหึงนิลมากกว่า แฟนสวย แถมยังเริ่มเข้าวงการ เกิดไปเจอผู้ชายหล่อๆ
ระดับพระเอกมาจีบนี่แย่เลยนะ ฉันคงสู้คนพวกนั้นไม่ไหว”
นราธรหัวเราะร่วน แม้จะแอบหนักใจกับเรื่องนี้อยู่บ้างก็ตาม
แต่เพราะเขาไว้ใจแฟนสาวมากเช่นเดียวกับที่นิลเนตรไว้ใจเขา ทั้งคู่ถึงคบหากันนานใกล้ครบหนึ่งปีแล้ว
“ช้อง...นั่นมันพี่นัทนี่หว่าแก มากับใครน่ะ”
‘จรัสทิวา’ เพ่งมองผู้ชายร่างสูง ใบหน้าขี้เล่นเป็นเอกลักษณ์ เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าเธอก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
หญิงสาวเพ่งมองสองหนุ่มสาวที่กำลังยืนซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำดื่ม แต่เธอก็อดแปลกใจไม่ได้เลยในเมื่อผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนของเพื่อนเธอ
ทว่าต่อให้นราธรมี ‘กิ๊ก’ เขาก็น่าจะหาให้ได้ดีกว่าเพื่อนเธอเสียหน่อย
นี่อะไร! ไปคว้ายายเด็กแว่นหน้ากลม ผมหยิก กระโปรงยาวแทบจะลากพื้น
อีกทั้งยังใส่รองเท้าผ้าใบราวกับเด็กปีหนึ่ง หาเด็กมาควงทั้งที หาได้แย่กว่าเพื่อนเธอแบบนี้มันหยามน้ำหน้า
‘แก๊งดาวคณะฯ’ ไปหน่อยมั้ย
“เรื่องนี้ต้องถึงหูยายนิล คอยดูเถอะ!” จรัสทิวาว่าพลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เท่านั้นยังไม่พอหญิงสาวยังบันทึกวีดีโอเอาให้เพื่อนของเธอดูเป็นขวัญตาว่าผู้ชายที่คบหาอยู่นั้นร้ายกาจขนาดไหน
พอลับหลังก็คบเด็กไม่เลือก!
“หยุดเถอะน่าน้ำตาล เดี๋ยวเขาก็บ้านแตกกันหรอก”
‘ชิชานันท์’ ปรามเพื่อนเพราะไม่อยากให้นิลเนตรต้องมีปากเสียงกับคนรัก
อีกอย่างถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง บางที...จรัสทิวาเองนั่นแหละที่จะถูกนิลเนตรมองไม่ดี
“ก็ดีสิ จะได้รู้กันไปเลยไงว่านิสัยไอพี่นัทคนดีเป็นยังไง”
จรัสทิวาไม่มีท่าทีรอราวาศอกลงเลย หญิงสาวยังคงเก็บภาพหลักฐานเอาไว้
และอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอกับชิชานันท์ไม่บังเอิญมาดูหนังที่นี่ก็คงไม่มีทางจับ ‘ชู้’ ให้เพื่อนได้คาหนังคาเขาแบบนี้หรอก “ลับหลังยายนิลก็มากับผู้หญิงอื่น
แล้วดูยายเด็กนั่นสิ พี่นัทชอบประเภทเฮอร์ไมโอนี่หรือไงกันนะ แต่ก็อย่างว่าแหละเด็กใสๆ
หน้าซื่อๆ ผู้ชายก็ชอบทั้งนั้น”
“น้ำตาล ไม่เอาน่า พอเถอะ” ชิชานันท์ยังพยายามปรามเพื่อน
เพราะความจริงแล้วเธอรู้จักกับเด็กสาวคนนั้นดี
รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายไม่ทำตัวเหลวแหลกเป็นแน่
“หรือแกจะเข้าข้างคนผิดล่ะ
แกอยากให้เพื่อนเราโดนสวมเขาหรือไงยายช้อง!”
จรัสทิวาหันมาทำตาวาวใส่เพื่อน โดยไม่สนความรู้สึกของชิชานันท์เลยว่าตอนนี้เพื่อนตัวเองนั้นกำลังรู้สึกเช่นไร
และกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
และแน่นอนว่าจรัสทิวาจะไม่มีทางรู้ว่าชิชานันท์คิดอะไรกับเธอ!
“ไหวกันแน่นะคะ
แต่จะเปลี่ยนเรื่องก็คงไม่ทันแล้ว”
มณิกาถามสองหนุ่มหลังจากที่กลับมานั่งรวมตัวกันที่เก้าอี้เบาะยาวเพื่อรอเวลาเข้าโรงหนัง
เมื่อครู่เธอกับเพียงชิดจันทร์แยกกันไปซื้อของ
มณิกาไปซื้อตั๋วหนังกับต้องชนะ
ในขณะที่เพียงชิดจันทร์แยกไปซื้อป๊อบคอร์นและน้ำดื่มกับนราธร
และแน่นอนว่าฝ่ายชายเป็นคนจ่ายทั้งหมด
“ใครกันแน่ที่จะไม่ไหว” ต้องชนะไหวไหล่เพราะเขาผ่านประสบการณ์การดูหนังผีมาไม่น้อย
โดยมีนราธรหัวเราะคลออย่างเห็นด้วยกับเพื่อน “พวกเรานั่นแหละ อย่าหลับตาตลอดทั้งเรื่องแล้วมาถามพี่ทีหลังก็แล้วกัน
อ่อ...แต่ถ้าจะซบไหล่พี่ก็ไม่ว่าหรอกนะ
พี่ยินดีมากครับ”
“เดี๋ยวก็รู้ ว่าใครจะไม่ไหว”
มณิกามองหน้าต้องชนะอย่างท้าทาย ขณะยิ้มกริ่มในใจ
ความจริงแล้วมณิการู้อยู่แล้วว่าผู้ชายมักจะวางแผนอะไรเอาไว้ในหัว
และแผนการนั้นก็ช่างเจ้าเล่ห์แสนกล ต้องชนะคงคิดว่าเธอรู้ไม่เท่าทันและคงคิดจะใช้โอกาสนี้หาเรื่องถึงเนื้อถึงตัวกันง่ายๆ
แต่มณิกาไม่ยอมให้เขาใช้โอกาสนั้นได้สมใจแน่
มณิกาไม่อยากปิดกั้นโอกาสตัวเองกับเรื่องความรัก
เพราะต้องชนะเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่อะไร เขาจีบเธออย่างตรงไปตรงมา แต่ชายหนุ่มดันเดินเข้ามาในช่วงที่เธอกำลังเบื่อหน่าย
ไม่มีอะไรสนุกสนานทำพอดี เขาเลยต้องกลายเป็นเหยื่อให้เธอแกล้งจนหนำใจไปก่อน
ทว่าถึงเธอจะไม่เคยมีแฟน แต่ก็ใช่ว่าจะ ‘ไก่อ่อน’ ไร้เดียงสาจนไม่รู้เท่าทันเล่ห์กลเพทุบายร้ายกาจของผู้ชายจอมกะล่อน
งานนี้คนอย่างมณิกาไม่ยอมให้ต้องชนะจีบง่ายๆ หรอก คงต้องผ่านด่านอรหันต์ไปอีกหลายด่านจนกว่าเธอจะยอมใจอ่อน
ช่วงนี้ก็ถือว่าต้องชนะอยู่ในช่วง ‘เข้าค่ายฝึกซ้อม’ รับมือกับเธอก่อนจะเจอของจริงก็แล้วกัน
พอถึงเวลาเข้าโรงหนัง มณิกากับเพียงชิดจันทร์ที่วางแผนเอาไว้จากมหาลัยฯ
แล้วก็เริ่มดำเนินทุกอย่างตามแผนการที่เตรียมไว้ มณิกานั่งกับต้องชนะอย่างไม่คิดจะถือตัว
หญิงสาวทำตัวเป็นกันเองสุดฤทธิ์ ความเขินอายไม่มีปรากฏให้เห็น อีกทั้งยังป้อนป๊อปคอร์นให้ชายหนุ่มด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ
ส่วนเพียงชิดจันทร์นั้น...เธอนั่งข้างนราธร
เพียงชิดจันทร์ชอบดูหนังสยองขวัญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เรียกว่าเป็นหนังที่ถูกจริตเธอมากกว่าหนังรักโรแมนติก เพราะเธอเคยดูหนังประเภทรักหวานซึ้งแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายจนหลับกลางคัน
ไม่มีเรื่องอะไรให้คอยลุ้นตามเลยเสนอให้เพื่อนสาวดูหนังสยองขวัญแบบที่ตัวเองชอบ
ซึ่งมณิกาเองก็ไม่ได้ขัดข้องและยอมตามใจอย่างที่เห็น
เพียงชิดจันทร์เล่นไปตามแผนการได้อย่างแนบเนียนตามที่มณิกาต้องการ
แต่พอหนังดำเนินไปได้สักพักสองหนุ่มที่บอกว่าไม่กลัวก็เริ่มออกอาการ ยกมือปิดตากันบ้างล่ะ
ส่งเสียงลุ้นตามหนังบ้างล่ะ จนสุดท้ายแล้วนราธรก็ยกกระป๋องป๊อปคอร์นให้เธอถือแต่เพียงผู้เดียว
“พี่นัทเอายาดมหน่อยมั้ยคะ หน้าซีดเชียว” เพียงชิดจันทร์ส่งยาดมในกระเป่าให้นราธรเมื่อเห็นว่าเขาตกใจจนหน้าซีดเผือดเหมือนคนจะเป็นลม...ตอนที่ผีสาวผมยาวหน้าเละครึ่งซีกโผล่ออกมาเต็มจอ
“ไม่เอา พี่ยังไหว” นราธรส่ายหน้าหวือ พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
รักษารูปหน้าที่เหยเกไปก่อนหน้านี้ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ทั้งที่ตอนนี้สติเขากระเจิดกระเจิงหายไปหมดแล้ว
พอดูต่อไปอีกสักพักใหญ่ๆ หนังสยองขวัญเนื้อเรื่องก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
ระทึกใจขึ้นกว่าเดิม ไหนจะซาวด์ประกอบภาพยนตร์ที่ทำออกมาจนคนดูแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ด้วยซ้ำ
เพียงชิดจันทร์ชอบหนังเรื่องนี้มากแม้เธอจะเพิ่งเคยดูก็ตาม และพอถึงช่วงพีคของเรื่องก็ยิ่งทำให้คนดูอกสั่นขวัญแขวนเพิ่มมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“โอ๊ย อกอีแป้นจะแตก!” นราธรยกมือขึ้นทาบอก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองจะกระเด็นกระดอนออกมาข้างนอกได้ทุกเมื่อ
“พี่นัท จันทร์ให้ยืมหนังสือเอามั้ยคะ”
เพียงชิดจันทร์บอกพลางหยิบหนังสือเรียนเล่มบางส่งให้ชายหนุ่มเพื่ออำนวยความสะดวกให้เขา
เพราะเธอเห็นว่านราธรยกมือปิดตาในฉากต่อมาแทบไม่ทัน
“พี่ว่าก็ดีนะ” นราธรรักษาฟอร์มต่อไปไม่ไหว เขายอมรับหนังสือเรียนมาเป็นโล่คอยปิดตาตัวเองโดยดี
ส่วนเพียงชิดจันทร์เองก็ยิ้มขำกับท่าทางของเขา ทว่าหญิงสาวอดเป็นห่วงเพื่อนตัวเองไม่ได้
ทว่าพอหันไปมองเธอก็เห็นว่ามณิกานั่งกินป๊อปคอร์นดูหนังสบายใจเฉิบ
ส่วนต้องชนะที่นั่งข้างเพื่อนสาวของเธอนั้นมีสภาพไม่ต่างจากเพื่อนของตัวเองเลย
มณิกาส่งยิ้มให้เพื่อนแล้วขยิบตาให้ข้างหนึ่งเป็นเชิงบอกกับเพียงชิดจันทร์ว่าแผนนี้สำเร็จและสะใจมากที่ได้แกล้งคู่เดทสมใจอยาก
พอเห็นอีกฝ่ายกลัวจนหน้าซีดขวัญผวา..มณิกาก็ยิ่งสะใจระคนขำขัน
ในขณะที่เพียงชิดจันทร์ส่ายหน้าให้กับความแสบของเพื่อนตัวเองก่อนจะหันไปดูหนังต่อ
“หนังเรื่องนี้ในรีวิวบอกว่าน่ากลัวติด 10
อันดับของหนังสยองขวัญทั่วโลก เป็นหนังที่ครบรสมาก มีทั้งผี ทั้งความโรคจิตผสมผสานกันอย่างลงตัว
นี่ฉันดูแล้วยังรู้สึกหลอนๆ อยู่เลยอ่ะจันทร์” มณิกาพูดขึ้นหลังจากที่หนังจบแล้วพากันเดินออกจากโรงภาพยนตร์
“เดี๋ยวนะ นี่เราหลอนแล้วเหรอ
พี่เห็นเรานั่งเคี้ยวป๊อปคอร์นตุ้ยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือน” ต้องชนะมองหน้าหญิงสาว ตัวเขาเองน่ะกลัวแทบตาย
ใครจะไปรู้ว่าหนังผีที่เขาเคยหลอกให้สาวๆ เอนซบอิงไหล่จะใช้ไม่ผลกับมณิกาเลย
มิหนำซ้ำเหมือนโดนเวรกรรมตามสนอง เพราะเหมือนเขากลัวอยู่ฝ่ายเดียว
“น่ากลัวสิคะ จันทร์อ่านรีวิวมาแล้วเหมือนกัน
พอมาดูจริงๆ นี่รีวิวที่อ่านมายังน้อยไปด้วยซ้ำ” เพียงชิดจันทร์บอกตาใส
และมณิกาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อน
“พอกันเลย กลัวประสาอะไรของพวกเราฮะ
พวกพี่นี่แทบจะวิ่งออกจากโรงแล้ว” นราธรบอก
สุดท้ายก็ต้องยอมพึ่งยาดมของเพียงชิดจันทร์จนได้ “โอ๊ย ตกใจจนแทบเป็นลม”
“ก็ม่านถามพวกพี่แล้วว่าไหวมั้ย
พวกพี่ก็บอกว่าไหว อันนี้ช่วยไม่ได้นะคะ” มณิกายักไหล่อย่างไม่แคร์ “อยากโชว์แมนเองนี่นา
คิดว่าจะหลอกแต๊ะอั๋งกันได้ง่ายๆ ล่ะสิ”
“เห้ย ใครจะไปคิดอะไรแบบนั้นเล่า
เราน่ะคิดมากเกินไปแล้วม่าน” ต้องชนะรีบแก้ตัว ทั้งที่เขาคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ “ม่านกับจันทร์
พี่กับนัทขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เราสองคนเลือกร้านอาหารรอเลยก็ได้”
ต้องชนะบอกสองสาวพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนที่เขาจะลากเพื่อนสนิทออกมาคุยส่วนตัว
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งสองสาวกำลังปรึกษาหารือกันถึงแผนที่แกล้งพวกเขาขั้นต่อไป!
“แต๊งค์” นราธรฉุดมือเพื่อนให้หยุดเดินเมื่อเห็นว่าเดินมาไกลพอที่สองสาวจะไม่ได้ยินพวกเขาคุยกันแล้ว
“นี่มึงโอเคนะ”
“ถ้ากูบอกว่าไม่โอเคจะเป็นไรมั้ยวะ”
ต้องชนะหันมาทำหน้าซีดเสียงสั่นใส่เพื่อน สีหน้าเขาตอนนี้ไม่โอเคเลยสักนิด
ภาพหลอนจากภาพยนตร์ที่เพิ่งดูไปยังคงติดตาอยู่ราวกับจะตามหลอกหลอนไปทุกที่
“เชี่ย!” นราธรสบถออกมา “อย่าบอกนะว่ามึงจะเป็นลม”
“เออดิ ก็ใครจะไปรู้วะว่าหนังจะน่ากลัวขนาดนี้
กูน่าจะหลอนไปอีกนาน คิดว่าคงนอนคนเดียวไม่ได้แล้ว” ต้องชนะยอมรับอย่างไม่อาย “ปกติกูไม่ได้กลัวผีขนาดนี้เลยนะ
กูรู้สึกเหมือนน้องเขาแกล้งกูยังไงไม่รู้ว่ะ”
“กูเห็นด้วย พวกน้องเขาดูจะสนุกสนานกันใหญ่เลย”
นราธรว่าพลางขบคิดตาม “มึงจะเทน้องม่านเลยมะ เทเถอะตอนนี้เลย
กูว่าน้องเขาไม่คิดมากหรอก ผียังทำอะไรน้องเขาไม่ได้เลย”
“ไม่ๆ” ต้องชนะรีบส่ายหน้าหวือ “แบบนี้แหละกูชอบ
น้องม่านนี่เป็นผู้หญิงที่กูตามหามาทั้งชีวิตเลย มึงเชื่อดิ...คนนี้ปกป้องกูได้แน่”
ทว่าถึงจะรู้ว่าถูกสองสาวแกล้งจนน่วมแน่
สองหนุ่มก็ยังสู้อุตส่าห์ทำใจดีสู้เสือ เพราะหากคิดจะจีบเด็กแสบแล้วเขาจะยอมถอยตอนนี้ไม่ได้
ต้องชนะคิดว่าถ้ามณิกาอยากแกล้งเขา เขาก็จะยอมให้เธอแกล้งจนหนำใจไปเลย แต่ชายหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่าเหมือนครั้งนี้มณิกาจะวางแผนกับเพียงชิดจันทร์แกล้งเขากับเพื่อนหนักเกินไปหน่อย
โดยที่สองหนุ่มไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงด่านแรกเรียกน้ำย่อยเท่านั้น!
นราธรกับต้องชนะถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
เนื่องจากร้านอาหารที่สองสาวพาพวกเขามานั้นอยู่บนตึกสูงระฟ้า ใจกลางเมืองหลวงที่รถราแน่นขนัด
เป็นร้านอาหารที่สามารถเห็นวิวรอบทิศทางแบบ 360 องศา
และยังเป็นร้านอาหารนานาชาติระดับห้าดาว มีเชฟฝีมือดีและพนักงานที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยมคอยรอรับบริการอยู่
เพียงชิดจันทร์เป็นคนแนะนำร้านอาหารร้านนี้ให้กับมณิกาเพราะเธอมักมาทานกับครอบครัวบ่อยครั้งและอาหารมีรสชาติอร่อยเลิศหรู
แม้ราคาจะสูงไปหน่อยก็ตามที แต่เพราะมณิการู้ดีว่าราคาอาหารไม่ได้เป็นผลสำหรับคนอย่างเพียงชิดจันทร์เลยแม้แต่น้อย
เนื่องจาก DPK9 Hotel แห่งนี้
เจ้าของโรงแรมและเจ้าของกิจการในเครือ DPK9 อีกครึ่งกว่าประเทศนั้นเป็นของพ่อและอาของเพียงชิดจันทร์
“โรงแรมหรูระดับพรีเมี่ยม
มื้อนี้เท่าไหร่วะเนี่ย”
ต้องชนะบ่นออกมา หัวใจเขาเต้นตุบๆ เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าสองสาวจะทำกับเขาและเพื่อนได้แสบมากถึงเพียงนี้
เขาเองก็ไม่น่าปากพล่อย ปล่อยให้พวกเธอเลือกร้านอาหารกันเองเลย
สองหนุ่มยืนรอสองสาวเข้าห้องน้ำ นราธรเองก็แทบยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความปวดหัว
เพราะอยู่ดีไม่ว่าดีตัวเองดันตกปากรับคำเพื่อนอย่างต้องชนะจนพากันซวยโดนสองสาวแกล้งเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มคาดโทษเพื่อนตัวดีในใจ พลางคิดคำนวณเงินในกระเป๋าคร่าวๆ
รวมไปถึงเงินในบัญชีที่มีอยู่ตอนนี้ด้วย
“ไอแต๊งค์ มึงจีบน้องม่าน นี่มึงเช็คดูรึเปล่าว่าบ้านน้องเขารวยแค่ไหนถึงพาเราสองคนมาทานร้านนี้”
นราธรถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ดูร้านสิ โคตรหรูหราอลังการ
มึงกับกูกระเป๋าฉีกแน่งานนี้”
นราธรบ่นเพื่อน เขาเองเป็นแค่นักศึกษายังไม่มีงานประจำทำ
และแม้ว่าทางบ้านจะพอมีฐานะอยู่บ้างและเขาเองก็ทำงานพิเศษพอมีเงินเก็บในบัญชีเอาไว้ใช้จ่ายไม่ขัดสนอะไร
แต่ก็ใช่ว่าจะมาทานอาหารมื้อเลิศหรูขนาดนี้ได้บ่อยๆ ไม่สิ! ต้องเรียกว่าคนระดับเขานั้นไม่เคยคิดย่างกรายมาในสถานที่แบบนี้เลยน่าจะดีกว่า
“บ้านม่านเหรอ กูไม่ได้เช็คว่ะ”
ต้องชนะส่ายหน้าหวือ “กูเจอน้องเขาที่ร้านหนังสือ เห็นว่าน่ารักดีเลยเข้าไปขอเบอร์
แล้วเราสองคนก็เพิ่งคุยกันเอง”
“เห้อ” นราธรได้แต่ถอนหายใจยาวๆ กับความทึ่มของเพื่อนตัวเองที่ไม่ได้เช็คข้อมูลทางครอบครัวของคนที่ชอบให้ดีก่อน
“แต่เอาเหอะน่า ทำใจร่มๆ ก่อนมื้อนี้มึงกับกูไม่ถึงกับล่มจมหรอก”
“เอาวะ กูว่ากูชอบน้องม่านเขาจริงๆ ว่ะ”
ต้องชนะมองหน้าเพื่อนตนเอง ใบหน้าซีดเซียวในตอนแรกนั้นฮึกเหิมมีพลังขึ้นมาทันที “สวย
ดุ เผ็ด แบบนี้หายากจะตายไป กูคงเจอของดีเข้าให้แล้ว”
“โชคดีมึง”
นราธรตบบ่าเพื่อนสนิทอย่างให้กำลังใจ
ก่อนจะอวยพรด้วยน้ำเสียงที่เรียกว่ากึ่งเห็นใจและสงสารในคราวเดียวกัน
เพราะเขาลองประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ในใจแล้ว
และคิดว่ามณิกาคงไม่คิดทดสอบเพื่อนของเขาเพียงแค่นี้เป็นแน่
สองหนุ่มที่ยืนรอสาวๆ เข้าห้องน้ำนั้นยืดตัวที่ห่อลู่ขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งมณิกาและเพียงชิดจันทร์เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าสดใส
สองสาวมองพวกเขาตาแป๋ว ก่อนที่มณิกาจะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้น
“ม่านปรึกษากับจันทร์แล้วค่ะ
ถ้าเราอยากฟังเพลงกันต่อ...พอดีที่โรงแรมนี้มีคลับรับเฉพาะวีไอพีเท่านั้น แล้วม่านก็บอกจันทร์ให้จองไปเรียบร้อยแล้ว”
“แหม ใจดีกันจัง” ต้องชนะตอบมณิกาด้วยรอยยิ้มที่แห้งเหือดเต็มทน
สองหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ ส่วนหนึ่งก็พูดไม่ออกด้วยเพราะตอนนี้เรื่องราวเลยเถิดไปถึงคลับระดับวีไอพีที่ค่าเข้าและค่าเครื่องดื่มคงไม่ด้อยไปกว่าค่าอาหารมื้อนี้เลย
เพียงชิดจันทร์เป็นคนเลือกมุมที่วิวดีที่สุดให้ทุกคน
โต๊ะอาหารที่หญิงสาวเลือกนั้นมองเห็นวิวกรุงเทพฯ ยามเย็น เห็นความสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาด้านล่าง
มีทั้งท้องถนนสะพานขนาบข้างแม่น้ำสายหลัก ยิ่งยามพลบค่ำแบบนี้แสงไฟจากรถบนท้องถนนเรียงตัวกันเป็นเส้นสีสันสวยงามชวนให้หลงใหลอย่างยิ่ง
นั่งได้สักประเดี๋ยว
พนักงานของร้านก็นำเมนูมาให้ เพียงชิดจันทร์สั่งอาหารที่ตัวเองชอบ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ที่นั่งร่วมโต๊ะ
“จันทร์ขอเลี้ยงพี่ๆ คืนนะคะ
ทั้งอาหารและเครื่องดื่มด้วย” หญิงสาวบอกหลังจากที่พนักงานรับเมนูที่สั่งไปเรียบร้อยแล้ว
“คือ...จันทร์รู้สึกผิดมากเลยค่ะที่ชวนพวกพี่มาดูหนังผี จันทร์คิดว่าพวกพี่น่าจะชอบหนังแนวบู้ระห่ำมากกว่าหนังสยองขวัญแบบนี้”
เพียงชิดจันทร์อดรู้สึกผิดไม่ได้เลยที่เธอพาลทำให้ทั้งต้องชนะและนราธรพลอยตกที่นั่งลำบากกับหนังที่เธออยากดู
ส่วนมณิกาเธอรู้ดีว่าเพื่อนไม่กลัวผีก็เลยยอมตกลงเออออยอมตามใจเธอเพราะอยากทดสอบต้องชนะไปในตัว
เพียงชิดจันทร์คิดว่าหากคราวนี้เธอปล่อยให้ฝ่ายชายออกค่าอาหารให้ตามที่มณิกาเสนอจะเป็นการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายมากเกินไปหน่อย
เพราะแค่นี้เธอก็ไม่มั่นใจแล้วว่าสองหนุ่มจะโกรธพวกเธอไปถึงไหนต่อไหน
หรือไม่ต้องชนะอาจ ‘ถอดใจ’ เลิกคิดจีบเพื่อนของเธอไปแล้วก็ได้
แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ผู้จัดการของร้านก็เดินเข้ามาขัดจังหวะก่อนจะกระซิบกับเพียงชิดจันทร์
แล้วหญิงสาวก็พยักหน้าให้อีกฝ่ายไปสองสามครั้งเท่านั้น
“จันทร์ขอตัวสักครู่นะคะ” หญิงสาวบอกพร้อมรอยยิ้มหวานประดับอยู่บนใบหน้ากลมๆ ก่อนจะลุกตามผู้จัดการร้านออกไป โดยมีสายตาของสองหนุ่มมองตามหลังเพียงชิดจันทร์ไปด้วยความสงสัย
ก่อนจะเห็นว่าหญิงสาวรับโทรศัพท์จากเคาน์เตอร์แล้วพูดคุยกับปลายสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อยากทานอะไรสั่งเพิ่มเลยนะคะ” มณิกาเห็นผู้จัดการร้านเข้ามาคุยกับเพื่อนสนิท
เธอก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวมีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างสบายใจไม่ต่างจากเพื่อนสาวที่กำลังคุยกับ
‘ใครสักคน’ ผ่านทางโทรศัพท์ก่อนจะบอกหนุ่มๆ
ด้วยน้ำเสียงสดใสเกินบรรยาย
“พี่ว่าถ้าไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่มดีกว่า”
ต้องชนะบอก
“ก็ได้ค่ะ”
มณิการับคำชายหนุ่มก่อนจะหันไปหาเพื่อนสาว “ว่าไงแก มื้อนี้มีคนจ่ายให้ล่ะสิ”
มณิกาถามเพื่อนสนิทด้วยสายตาที่รู้กันเป็นนัยๆ
และเพียงชิดจันทร์ก็ตอบเพื่อนกลับเพียงสั้นๆ
“อืม”
“อาหรือพ่อ?” มณิกาถามต่อด้วยแววตาตื่นเต้น
“คุณพ่อน่ะ” เพียงชิดจันทร์ตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติเช่นเดียวกับสีหน้าที่ไร้แววตื่นเต้นผิดกลับมณิกาโดยสิ้นเชิง
“นี่พ่อน้องจันทร์เป็น...”
นราธรเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เขาเงียบและพยายามจับบทสนทนาของสองสาวอยู่พักใหญ่
“พ่อกับอาของจันทร์เป็นเจ้า..”
“เป็นเจ้าหน้าที่ตำแหน่งใหญ่ของที่นี่น่ะค่ะ ท่านจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้แล้ว”
เพียงชิดจันทร์รีบพูดแทรกขึ้นก่อนที่มณิกาจะพูดจบประโยค เธอไม่อยากบอกให้ใครรู้ว่าเธอเป็นลูกเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
ไม่อย่างนั้นต้องชนะที่ถอดใจเลิกจีบเพื่อนสาวของเธอไปเกือบครึ่งทางอาจหมดใจและท้อจนไม่จีบเพื่อนเธอต่อเลยก็ได้
“พอดีเพื่อนที่ทำงานท่านโทรไปรายงานคุณอากับคุณพ่อท่านเลยจัดการให้ทั้งหมดแล้วค่ะ”
“โชคดีจัง” มณิกาแป้น หน้าเป็น “งั้นฉันสั่งเต็มที่เลยนะแก”
“เอาสิ”
...Loading 100 %...
ความคิดเห็น