คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ในอ้อมแขนคุณ ♥ บทที่ 03 :: รหัสลับ 100 %
“ก็แล้ววาฬจะโกหกพี่มิรินทร์ทำไมล่ะคะ” หญิงสาวย้อน “อ่อ
จริงสิ...เมื่อเช้านี้วาฬยังคุยอยู่กับคุณดีนตรงริมหาดอยู่เลย
เห็นมานั่งชมพระอาทิตยขึ้นน่ะค่ะ”
“ละ..แล้ววันอื่นๆ เธอก็เจอคะ..คุณดีนเหรอ?” มิรินทร์เริ่มพูดจาติดขัด
เนื่องจากสีหน้าของวารวารีบอกเธอชัดแจ่มแจ้งว่าไม่ได้โกหกจริงๆ
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า “บางวันคุณดีนก็ออกมานั่งเล่นริมสระน้ำ บางทีวาฬก็เจอคุณดีนแถวๆ
โถงทางเดิน”
หญิงสาวบอกไปตามตรงและยังไม่คิดเอะใจอะไร แต่ไหนๆ มิรินทร์ก็พูดเรื่องน้องชายเจ้าของโรงแรมขึ้นมาแล้ว
เธอก็ขอถือโอกาสเมาส์เจ้านายหน่อยเลยละกัน
“เอ...จะว่าไปคุณดีนทำงานอะไรเหรอคะ เห็นเขาบอกวาฬว่าเมื่อก่อนเคยทำงานที่นี่”
หญิงสาวมองมิรินทร์ด้วยความอยากรู้ แต่เลขานุการหน้าห้องเจ้านายกลับเงียบ
สีหน้าซีดเผือด ก่อนจะทอดถอนหายใจ นั่นเพราะเรื่องนี้มันเกินขอบเขตที่มิรินทร์จะจัดการไหวแล้ว
“พี่ไม่มีคำตอบอะไรให้เธอหรอกนะวารี แต่เธอน่ะ...เธอช่วยยืนรอตรงนี้ครู่นึงก่อนเถอะ”
มิรินทร์บอก ก่อนจะผลักประตูห้องทำงานเจ้านายเข้าไปด้าน หายไปครู่หนึ่ง เลขาฯ
สาวรุ่นพี่ก็โผล่หน้าออกมากวักมือเรียกพนักงานสาว “คุณคุณเรียกเธอมาพบน่ะวาฬ”
นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย..
วารวารีบ่นในใจ เธอเหนื่อยและง่วงจนอยากกลับบ้านไปพัก แต่ยังมีเรื่องมากวนใจไม่หยุดไม่หย่อน
แล้วดูเหมือนว่าการที่เธอสนิทสนมกับเด่นฤทธิ์นั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วด้วย
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ เจอตัวเมื่อไหร่จะบ่นให้หูชาเลย
หญิงสาวก้าวเข้าไปในห้องทำงานที่แสนจะเย็นเฉียบ
พอเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานเจ้านายที่เพิ่งจะเห็นหน้าตากันชัดๆ เป็นครั้งแรก
ก็ทำเอาพนักงานใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่ถึงเดือนดีอย่างวารวารีเสียวสันหลังวูบวาบ
“เนี่ยเหรอคนที่ไอดีนมันบอกให้ใช้เงินผมซื้ออาหารในโรงแรมกินเป็นว่าเล่น”
คำพูดเสียงราบเรียบที่มาพร้อมกับสายตานิ่งไร้อารมณ์ ออกจะเย็นชา ซึ่งกำลังไล่มองพนักงานต้อยต่ำอย่างวารวารีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านั้น
ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเข้าไปใหญ่
“ค่ะ อย่างที่มิรินทร์บอก บิลคุณคุณมีค่าใช้จ่ายเพิ่มตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเกือบเท่าตัวเลย
ส่วนหนึ่งก็เพราะ...” เลขาฯ คนสนิทมองไปยังหญิงสาวหน้าตาขาวผ่องข้างกาย “เราบอกคุณคุณไปสิว่าทำแบบนั้นทำไม”
“คุณคุณคงคิดว่าฉันแอบอ้างทำอะไรแบบนั้นสินะคะ แต่ฉันไม่ได้แอบอ้างชื่อคุณดีนจริงๆ
ค่าอาหารเอย เครื่องดื่มเอย รวมถึงค่าขนมทั้งหมด” วารวารีถอนหายใจ
พูดไปก็ไม่รู้อีกฝ่ายจะเชื่อเธอหรือเปล่า “ก็น้องชายคุณนั่นแหละ
ไม่เชื่อก็โทรไปถามเขาสิคะ จะมาเค้นฉันทำไมเนี่ย”
“ผมโทรไปหาไอน้องตัวดีไม่ได้หรอก” เรียวคิ้วเข้มที่เริ่มขมวดเข้าหากัน
ชักจะทำให้คนที่โดนสอบสวนราวกับเป็นผู้ร้ายหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“งั้นทำไมล่ะคะ เป็นพี่น้องกันทำไมไม่คุยกันเองเล่า!” หญิงสาวแหวกลับอย่างนึกฉุน “ไหนคุณดีนบอกว่าอยู่บ้านเดียวกับคุณไง”
“นี่วารี! ฉันไม่ได้ว่าเธอโกหกนะ” มิรินทร์หันมาเอ็ด เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มงอแงและกำลังเสียมารยาทต่อหน้าเจ้านาย
“แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณดีนจะสั่งของทั้งหมดนี่กิน”
“หรือคิดว่าฉันสั่งมากินเองแล้วลงบิลเจ้านายคะ”
“วารี!”
“งั้นฉันก็คงโดนคุณดีนแกล้งแล้วล่ะ เห้อ...ฉันว่าคุณสองคนพี่น้องไม่ถูกกันมากกว่าล่ะสิ
คุณดีนถึงได้หาเรื่องกวนประสาทคุณน่ะ” หญิงสาวทำหน้าตูม เวลานี้วารวารีแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ด้วยซ้ำ
เจ้านายก็เจ้านายเถอะ! “มิน่าล่า~ คุณดีนถึงบอกฉันว่าเมื่อก่อนเขาเคยทำงานที่นี่
ที่นี่เคยเป็นของเขา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว คุณคงฮุบสมบัติน้องตัวเองมาล่ะสิ”
มิรินทร์อ้าปากค้างกับการต่อปากต่อคำแบบเผ็ดร้อนถึงเครื่อง แบบไม่เกรงใจเจ้านายของเด็กสาวข้างกาย
จนเธอขยับปากตั้งท่าจะดุ แต่เด่นคุณกลับยกมือขึ้นปรามเลขาฯ ตัวเองเอาไว้ก่อน
“ไอดีนมันพูดกับเธอแบบนั้นเหรอ?” เด่นคุณยกยิ้มมุมปากขื่นๆ ดูท่าว่าน้องชายตัวดีของเขาจะสนิทกับพนักงานสาวคนนี้มากเสียด้วย ถึงได้พูดทุกอย่างทุกเรื่องให้กันฟัง
ขนาดตายเป็นผีแล้ว ยังขยันโปรยเสน่ห์อีกนะพ่อคุณ...
“ค่ะ แต่เรื่องที่ว่าคุณฮุบกิจการน้องชาย ฉันคิดเอาเอง”
“ยังอีก..!” มิรินทร์คันมืออยากจะหยิกเนื้อเด็กปากเก่งสักที
แต่เด่นคุณก็พูดแทรกขึ้นก่อน
“งั้น” เขาพูดแค่นั้น ก่อนจะเงียบไปเกือบนาที ขณะที่ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์ไปมา
จากนั้นก็ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปตรงหน้าวารวารี “ในรูปนี้
คนไหนคือน้องชายฉัน เธอบอกมาซิ”
รูปที่เด่นคุณเปิดขึ้นมา เป็นงานรับปริญญาของญาติคนหนึ่ง
ซึ่งในรูปมีคนมากกว่าสามสิบคน เป็นรูปถ่ายหมู่ใหญ่ มีทั้งครอบครัวของเขา
ครอบครัวของเจ้าของงาน และเพื่อนๆ ของเจ้าของงานอยู่ในรูปนี้ด้วย
“คนนี้ค่ะ” หญิงสาวกวาดสายตามองรูปถ่ายนั้นไม่กี่วินาที เธอก็หาคนที่เด่นคุณถามเจอ
นั่นเพราะเด่นฤทธิ์เป็นคนที่หน้าตามีเอกลักษณ์ มีรอยยิ้มสดใส แววตาซุกซน
เด่นคุณพยักหน้ารับ วารวารีชี้ถูกคน
แต่มันไม่ใช่ข้อพิสูจน์อะไรได้มากมายนัก เพราะแม้ว่าในโรงแรม
ในสำนักงานจะไม่มีรูปถ่ายของเด่นฤทธิ์ประดับอยู่เลย
แต่ก็ใช่ว่าจะหาดูจากที่อื่นไม่ได้
“วาฬ แต่ถึงเธอจะเจอคุณดีนจริงๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่คุณดีนจะกินของพวกนี้หรอกนะ”
มิรินทร์ถอนหายใจ “เพราะคุณดีนน่ะ..”
“ไอดีนมันตายไปแล้ว”
“ห๊า?” คำเฉลยจากเจ้านายหนุ่ม ทำเอาวารวารีตกใจอ้าปากค้าง
พร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ไม่จริง..ไม่ใช่ ปกติถ้าตายแล้วฉันจะต้องเห็น..”
หญิงสาวรีบหุบปากตัวเองฉับ เมื่อรู้ว่าตนกำลังพูดมากเกินไปแล้ว
แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันสายเกินไป
“เห็นอะไร?!” ทั้งมิรินทร์และเด่นคุณถามออกมาพร้อมกัน
“คือว่า..”
“เธอมองเห็นไอดีนได้ถูกมั้ย?” เด่นคุณพยายามสั่งตัวเองไม่ให้สั่น “ไม่สิ..เธอน่ะเห็นวิญญาณแบบอื่นๆ ด้วย แน่ๆ เลย”
หญิงสาวเม้มปากแน่น หลับตา พลางนึกต่อว่าตัวเองในใจที่เผลอหลุดปากเรื่องที่ยากจะเชื่อออกไปให้เจ้านายได้ยิน เพราะถึงท่าทางเขาจะดูสนใจ แต่เชื่อเถอะว่า...ถ้าเธอหาอะไรมาพิสูจน์เรื่องของน้องชายเขาที่จากไปไม่ได้ล่ะก็...อนาคตในการทำงานของเธอจะต้องมีอันสั่นคลอนแน่
เพิ่งได้ทำงานแท้เชียวๆ วาฬเอ้ย!
“วารวารี..” มิรินทร์เห็นหญิงสาวเอาแต่ยืนเงียบ เม้มปากแน่น
ไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็กระทุ้งด้วยการเรียกชื่อ ไม่ใช่แค่เด่นคุณที่ดูสนใจเรื่องนี้
แต่มิรินทร์เองก็อยากรู้เหมือนว่าที่ตนเห็นกับตาว่าวารวารีคุยคนเดียวเนี่ย
เป็นเพราะหญิงสาวมีสัมผัสพิเศษจริงๆ ใช่หรือเปล่า
“ค่ะ ฉันเห็นในสิ่งที่พวกคุณมองไม่เห็นได้ด้วย
เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” วารวารีพยักหน้ายอมรับ ก่อนจะรีบอธิบาย “แต่ฉันไม่รู้จริงๆ
นะคะว่าคุณดีนเป็น..ผีน่ะ”
เธอดูไม่รู้เลยว่าเด่นฤทธิ์จะแผลงฤทธิ์เดชสมชื่อเขา นั่นเพราะมองภายนอกเธอคิดว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป
แม้ผีจะมีหลายรูปแบบ มาให้เห็นในแบบที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่นั้น
สิ่งที่เธอเห็นจะมาในสภาพที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แล้วยิ่งคนที่ตายไม่ค่อยจะดีหรือ
‘ตายโหง’ นั้น เธอจะมองเห็นบาดแผลตามเนื้อตัว
บาดแผลที่เป็นสาเหตุของการตาย
อย่างเช่นพ่อของเธอ ตอนที่ท่านเสียนั้น
แม้จะท่านจะมาหาเธอในสภาพที่ไม่น่ากลัว แต่เธอยังเห็นบาดแผลตามเนื้อตัวเต็มไปหมด
พี่โก๋กับนิภาผีที่บ้านเช่าก็เหมือนกัน ครั้งแรกที่เจอก็มาในสภาพปกติดี
แต่มีรอยแผลของการถูกยิง อีกตนมีรอยแผลของการผูกคอตายชัดเจน
ทว่าเด่นฤทธิ์นั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
“คุณดีนไม่ได้น่ากลัวเหมือนในหนังผีใช่รึเปล่า?” มิรินทร์ถาม
“ไม่เลยค่ะ” หญิงสาวมองเจ้านายกับคุณเลขาฯ สลับกันไปมา “ทีแรกที่เจอกันที่สระน้ำ
ฉันคิดว่าคุณดีนเป็นลูกค้าของโรงแรมด้วยซ้ำไป แหม...ก็เล่นใส่แว่นกันแดด นอนอาบแสงอาทิตย์
ชมทะเลริมสระ แต่งตัวดูดี ใครจะไปคิดล่ะคะว่าเป็นผี”
ได้ฟังอย่างนั้นแล้วคนเป็นพี่ชายก็ถึงกับลอบยิ้มขำ นั่นเพราะการอธิบายของพนักสาวตรงหน้าไม่เกินความจริงเลย
เด่นฤทธิ์เป็นหนุ่มชอบเข้าสังคม เจ้าสำอาง ห่วงบุคลิกภาพ หน้าตาเป็นที่สุด
ไม่แปลกหรอกที่จะโผล่มาแบบดูดีมีระดับกว่าผีตัวอื่น
“แล้วปกติถ้าคนที่ตายไม่ดี..เอ่อ..ฉันจะมองเห็นบาดแผล
หรือสภาพที่ไม่น่าจะพิสมัยสักเท่าไหร่ แต่นี่ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณดีนตายยังไง”
“มันผูกคอตายน่ะ” เด่นคุณบอก
แม้จะเริ่มเชื่อที่วารวารีบอกมามากกว่าครึ่ง แต่ก็ยังไม่วางใจหญิงสาวเต็มร้อย “แล้วฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าเธอเห็นน้องชายฉันจริงๆ”
“ก็คุณดีนบอกว่าอยู่บ้านเดียวกับคุณนี่คะ เขาบอกฉันแค่นี้ แล้วเราสองคนก็คุยกันเรื่องอื่น
สัพเพเหระ”
“เธออาจได้ยินคนอื่นพูดมาก็ได้” เด่นคุณมองจ้องอีกฝ่ายเพื่อจับพิรุธ
แต่ใบหน้าที่ตูมประเภทบอกบุญไม่รับ ขึ้นเงินเดือนให้ก็ไม่เอานั้น
มันทำให้เขามองไม่เห็นความล่อกแล่กในแบบของคนที่ชอบแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกคนอื่นเลย
“นั่นสิ เธอได้ยินคนอื่นพูดอะไรหรือเปล่า” มิรินทร์ถามย้ำ
“มีใครหลุดพูดเรื่องเกี่ยวกับโรงแรมกับบ้านพักคุณคุณให้เธอได้ยินบ้างมั้ย”
“ฉันว่าแล้วว่าพวกคุณคงไม่เชื่อฉันหรอก” วารวารีถอนหายใจ
ทำหน้าเหนื่อย ก่อนจะยกมือไหว้ลา วันนี้เธอล้าและหมดแรงมากแล้วจริงๆ
เอาไว้เธอกลับไปพักตั้งสติก่อน แล้วจะยอมโดนสอบสวนใหม่ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับบ้านนะคะ
ง่วงจนจะหลับกลางอากาศอยู่แล้ว”
หญิงสาวเดินคอตกกำลังจะออกจากห้องทำงานเจ้านาย
แต่คำพูดบางอย่างของเด่นฤทธิ์นั้นก็พลันผุดขึ้นสว่างวาบในหัว จากนั้นเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องก็ชะงักลง
แล้วหันมาพูดกับเจ้านายที่กำลังนั่งกุมขมับอยู่
“จริงสิคะ” เสียงของหญิงสาวเรียกสายตาทั้งสองคู่ให้หันมามองเธออีกครั้ง
“น้องชายคุณคุณพูดถึงนาฬิกาข้อมือเรือนสีดำ เห็นบอกว่าที่สายนาฬิกาด้านในมีรหัสลับอยู่
มันถูกสลักว่า D3 PKD ใช่หรือเปล่านะ...ฉันไม่แน่ใจ
แต่คุณดีนบอกฉันเมื่อเช้านี้”
เด่นคุณนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยปาก
“เธอกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ ฉันไม่มีอะไรจะถามแล้วล่ะ”
วารวารีได้แต่พยักหน้าแล้วก็ออกจากห้องไป เหลือแต่มิรินทร์เลขาฯ คนสนิทที่มองสีหน้าเจ้านายออกราวกับอ่านหนังสือ
“ที่วารีพูด...เป็นเรื่องจริงหรือคะ?”
“ครับ” เด่นคุณพยักหน้าช้าๆ “นาฬิกาเรือนที่เด็กคนเมื่อกี้พูดถึง
ผมกับพี่พงษ์เป็นคนซื้อให้ไอดีนเอง เป็นของขวัญวันเกิด”
เด่นคุณจำได้ว่าตอนนั้น ใกล้วันเกิดน้องชายคนสุดท้องของบ้าน เลยปรึกษากับพี่ชายคนโตแล้วได้ข้อสรุปว่าจะซื้อนาฬิกาให้
ตอนนั้นมีนาฬิกาแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งกำลังเป็นที่สนใจ ซึ่งทั้งเด่นฤกษ์และเด่นคุณกำลังมองๆ
อยู่ แน่นอนว่าราคาต่อเรือนค่อนข้างสูง ตัวเรือนสวย มีดีไซด์ 3 แบบ สองพี่น้องเลยตัดสินใจซื้อเป็นของขวัญให้น้องชายคนสุดท้องและตัวเอง
สามพี่น้องจะได้ใส่เป็น Collection เดียวกัน โดยสั่งให้สลักรหัสประจำของ
3 พี่น้องเอาไว้ด้านในสาย
ซึ่ง D3 ย่อมาจาก ‘เด่น’ นั่นเพราะชื่อจริงของ 3 พี่น้องบ้านคิมคิราการ ชื่อในภาษาอังกฤษขึ้นต้นด้วยตัว
D จึงหมายถึงพี่น้องทั้ง 3 คน
ส่วน PKD ก็คือตัวย่อของชื่อเล่นแต่ละคนนั่นเอง
“พรุ่งนี้เด็กคนนั้นมาทำงานหรือเปล่า?”
“พรุ่งนี้น่าจะเป็นวันหยุดนะคะ”
“ถ้า..ชื่ออะไรนะ?” เด่นคุณใช้ปลายนิ้วเกาหางคิ้ว
เพราะระหว่างคุยกันแทบจะไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดของอีกฝ่ายเลย มัวแต่อยากรู้เรื่องของเด่นฤทธิ์เป็นหลัก
“เด็กคนนั้นน่ะ..”
“วารวารีค่ะ แต่เห็นเด็กๆ เรียกว่า...วาฬ”
“เอาไว้วาฬมาทำงานแล้ว ตามมาหาผมทีนะ”
“ค่ะ”
..........................
ทันทีที่ขับมอเตอร์ไซด์กลับมาถึงบ้าน หญิงสาวก็ถอดหมวกกันน็อก ใส่ไว้ที่ตะกร้าหน้ารถคู่ใจ แล้วเดินเข้าบ้านในสภาพที่เหมือนใกล้สลบ แต่ใบหน้ากลับตึงสนิทจนมารดาอดทักไม่ได้
“หน้าหงิกงอมาเชียว เป็นอะไรไปฮึเรา?”
“ก็..สงสัยว่าวาฬจะโดนไล่ออกน่ะสิแม่” หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ เอามือเท้าคาง ขณะที่มารดากำลังนั่งปอกไข่ต้มด้วยมือ “เตรียมหางานใหม่ไว้รอเลยดีกว่า”
ท่าทางหมดหวังทำเอาทำแวววรีแอบลอบยิ้มขำ ท่านเข้าใจว่าลูกสาวตัวเองคงเหนื่อยจากงาน
เลยพาลงอแงไปด้วย
“แล้วจะต้องออกจากงานทำไม มีอะไรบอกแม่ซิ”
แวววรีถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“ก็วาฬน่ะแม่ วาฬดันไปเจอวิญญาณน้องชายเจ้าของโรงแรมเข้าให้” พูดแล้วเธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ด้วยเข้าใจไปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้น...มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
จนส่งผลกระทบต่อการทำงาน “แต่วาฬไม่รู้จริงๆ ว่านั่นคือวิญญาณ แต่งตัวออกไฮโซปานนั้น
ใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตาดีอย่างกับดารา พูดจารู้เรื่อง
แล้วที่สำคัญนะแม่ ...วาฬมองไม่เห็นแผลบนเนื้อตัวเขาเลย”
“แล้วเขาตายยังไง?”
“พี่ชายเขาบอกว่าผูกคอตายน่ะ” หญิงสาวนึกถึงใบหน้าเรียบเฉยของเจ้านาย สีหน้าท่าทางของเขาเธออ่านไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ดูก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อเธอแน่
“เอาเถอะ เราน่ะเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ทำงานเลิกดึกดื่น
วันนี้เลิกเช้าก็ไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าว แล้วนอนซะ” คนเป็นแม่ยิ้มให้กำลังใจ “นี่แม่ทำของโปรดเราเอาไว้ด้วยนะ
ปีกไก่ทอด น้ำพริกกะปิ ไข่ต้ม ผักลวก พอท้องอิ่ม ได้นอนสักตื่น วาฬอาจจะใจเย็นลงก็ได้นะลูก
แล้วก็อย่าเพิ่งคิดอะไรมากไปนะรู้มั้ย..”
“ค่ะ”
วารวารีพยักหน้ารับ ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำ แล้วลงมาทานข้าวอย่างที่แม่บอก
พอทานเสร็จ..ก็ขึ้นไปนอนเล่นโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งตนเองผล็อยหลับไป
ทว่านอนไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนเสียงของผู้ชายที่หญิงสาวคุ้นเคยดังขึ้นข้างหู
น้ำเสียงแฝงไปด้วยความร้อนอกร้อนใจไม่เบา
“วาฬ” วิญญาณที่ไม่มีพลังมากพออย่างโก๋ ทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากคนที่มีสื่อสัมผัสอย่างวารวารีนั่นแหละ
“วาฬ..ตื่นทีสิ ตื่น”
หญิงสาวงัวเงียลืมตาขึ้นมา เธอตกใจเล็กน้อย นั่นเพราะโก๋ไม่ได้สภาพดีเหมือนกับเด่นฤทธิ์ที่เหมือนคนปกติทั่วไป
แม้จะชินแล้วก็ตาม แต่การอยู่ในภวังค์งัวเงีย แล้วลืมตาขึ้นมาเห็นอีกฝ่ายยังนั่งอยู่ข้างเตียง
หน้าซีด อีกทั้งยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำให้เธออดตกใจไม่ได้
“มีอะไรเหรอคะพี่โก๋?” หญิงสาวขยี้ตา
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาที่แสดงอยู่บนหน้าจอ นี่ใกล้บ่ายสามโมงเย็นแล้ว เธอนอนไปราวๆ
4 ชั่วโมงเอง
“วาฬ ช่วยไปดูพี่กาบแก้วหน่อยได้มั้ย พี่กาบแก้วล้มอยู่ในบ้านน่ะ”
ทั้งสีหน้าและท่าทางของโก๋ดูเดือดเนื้อร้อนใจมาก แต่หญิงสาวเองพอได้ยินว่าป้าเจ้าของบ้านกำลังตกอยู่ในสภาวะมีอันตราย
ก็พลอยตาสว่างขึ้นมาทันที
“ล้ม? แล้วเป็นอะไรมากมั้ยคะเนี่ย!”
วารวารีถามด้วยน้ำเสียงตกใจไม่แพ้กับโก๋ที่มาขอความช่วยเหลือเลย
“หัวฟาดพื้นน่ะสิ” โก๋บอก “น้ำมันที่ใส่หม้อเตรียมจะยกเก็บเข้าตู้ ก็ราดขาด้วย
ช่วยโทรเรียกรถพยาบาลทีนะ”
วารวารีพยักหน้า พลางผุดลุกแล้ววิ่งออกจากห้องนอนด้วยความรวดเร็ว
ขณะที่ปากพูดโทรศัพท์กับทางหน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลไปด้วย
พอลงบันไดแล้ว หญิงสาวก็ตะโกนบอกมารดาเสียงดังลั่นบ้าน เมื่อสวมรองเท้าแตะได้ก็กระโดดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ตัวเอง
ซ้อนมารดาออกไปยังบ้านต้นซอย
บ้านของกาบแก้วเงียบมากเหมือนกับทุกวัน แต่แปลกตรงที่คราวนี้เรียกเท่าไหร่ไม่มีคนตอบ
วารวารีเลยถือวิสาสะ เปิดเข้าไป แล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว
“ป้า!”
“พี่กาบแก้ว โอ๊ย..ตายแล้ว!”
วารวารีกับมารดาร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกาบแก้วนอนกับพื้นกระเบื้องในครัว
มีเลือดไหลออกจากศีรษะเยอะพอควร ขณะที่ท่อนล่างตั้งแต่สะโพกลงไปมีน้ำมันนองอยู่ที่พื้น
มีหม้อสีฟ้าตกอยู่ด้านข้าง กาบแก้วได้แต่ส่งเสียงร้องโอดโอย
“ชะ..ช่วยด้วย” ปากที่สั่นเทา ดวงตาสองข้างมีน้ำตาไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว
แต่ตัวไม่สามารถขยับหรือหยัดตัวลุกขึ้นได้ คนเจ็บจึงได้แต่ส่งเสียงครวญคราง “ชะ..ชะ..ช่วยฉันด้วยนะ”
“ใจเย็นๆ นะคะป้า หนูโทรเรียกรถพยาบาลแล้ว อีกเดี๋ยวคงมา” วารวารีทรุดตัวนั่งลงข้างคนเจ็บ
ช่วยหยิบหม้อขึ้นตั้ง มองสำรวจเตาแก๊สว่ายังติดไฟอยู่หรือไม่ ขณะที่แวววรีนั้นหากระดาษมาซับน้ำมันที่หกอยู่ตรงพื้น
และซับตามเนื้อตัวให้คนเจ็บด้วย
“กระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์อยู่ตรงนั้นน่ะ” คนเจ็บพยายามชี้ “บนโต๊ะหน้าทีวี”
“แล้วกุญแจบ้านล่ะคะ?” วารวารีถามเพราะหากรถพยาบาลมาถึง เธอคงต้องล็อคบ้านกันขโมยเอาไว้ก่อน
“เหมือนกัน” คนเจ็บตอบ
“เรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย” แวววรีพยายามช่วยเท่าที่ตนเองพอช่วยได้
ขณะที่วารวารีลุกไปหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ และกุญแจบ้านมาให้คนเจ็บดู
“อันนี้ถูกมั้ย”
ป้ากาบแก้วกระพริบตา พยักหน้าตอบรับได้น้อยๆ แต่ไม่นานเสียงรถพยาบาลก็วิ่งเข้ามาจอดยังหน้าบ้าน
ก่อนที่คนจากหน่วยฉุกเฉินจะเข้ามาช่วยจัดการยกคนเจ็บขึ้นรถ พอวารวารีจัดการล้อคบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวก็กระโดดขึ้นรถโรงพยาบาล ซึ่งมีมารดากับป้ากาบแก้วขึ้นไปก่อนแล้ว
ป้ากาบแก้วเข้าห้องฉุกเฉินไปพักใหญ่ พอทำแผลและได้รับการรักษาเบื้องต้น
ก็ถูกย้ายไปนอนห้องพิเศษ
“ฉันไม่อยากนอนโรงพยาบาลหรอกนะ” คนเจ็บที่เริ่มขยับตัวได้หันมามองลูกบ้านที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่กลายเป็นคนช่วยชีวิตด้วยสายตาหงอยเหงา “ฉันกลัวน่ะ..”
“นอนไปเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูนอนเฝ้าป้าเองก็ได้” แม้วารวารีไม่อยากจะนอนค้างอ้างแรมที่นี่ เพราะเธออาจต้องเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมาย (แม้ว่าจะแอบออกไปไหว้บอกเจ้าที่เจ้าทางแล้วว่าเธอขออยู่แบบสงบ อย่าได้มีอะไรมารบกวน) แต่เวลาแบบนี้...หญิงสาวกลับเห็นใจป้ากาบแก้วมาก เพราะเหลือตัวคนเดียว ญาติที่มีก็อยู่ไกลกัน
“ฉันเป็นห่วงบ้านด้วย..”
“โอ๊ย..ช่างมันก่อนเถอะป้า” วารวารีนั่งกอดอก ทำหน้าตูม
มองคนป่วยที่เอาแต่ดื้อดึงตามใจตัวเอง “เอาตัวเองให้รอดก่อนน่า กลับไปค่อยทำความสะอาด
อีกอย่างนะ..ป้าก็เห็นนี่ว่าหนูกับแม่เช็ดอะไรต่อมิอะไรไปบ้างแล้ว บ้านช่องก็ล็อคอยู่
ไม่ต้องห่วงอะไรมากมายไปหรอก”
พอหญิงสาวบ่นยาวเหยียดคนที่นอนป่วยอยู่ก็ไม่กล้าเถียงต่อ
“เอ่อ วาฬจะเฝ้าป้ากาบแก้วอยู่ที่นี่ใช่มั้ยลูก” แวววรีถาม
ขณะที่ลูกสาวพยักหน้าเพราะสัญญาเอาไว้กับป้ากาบแก้วแล้ว
คนเราจะเห็นใจกันก็ตอนป่วยไข้ไม่สบายนี่แหละ
“ค่ะ”
“งั้นแม่กลับก่อนนะ ยังไงเผื่อว่ามีอะไรอยากได้ วาฬก็โทรมาหาแม่นะรู้มั้ย”
แวววรีหันไปยิ้มให้คนไข้บนเตียง “ไม่ต้องห่วงนะพี่ เดี๋ยวฉันจะคอยดูบ้านให้
แล้วพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่ จะทำของอร่อยๆ มาให้ด้วย”
“ขอบใจเธอสองคนมากเลยนะ” ป้ากาบแก้วน้ำตาคลอ “ถ้าไม่ได้พวกเธอ..”
ทว่ายังไม่ทันพูดจบ วารวารีก็หันไปพูดกับมารดาตัดจบคำพูดหวานซึ้งชวนขนลุกของกาบแก้ว
“ถ้าพรุ่งนี้แม่มา แม่เอาเสื้อผ้ามาให้วาฬเปลี่ยนด้วยนะ”
“ได้สิ”
หญิงสาวโบกมือร่ำลามารดา พอแวววรีออกไปจากห้องพักฟื้นคนไข้ ก็มีพยาบาลกับหมอเข้ามาดูอาการป้ากาบแก้วอีกรอบ
ตรวจเช็คจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ออกไป หญิงสาวเลยตั้งท่าจะนอนต่อ
“หนูวาฬ..”
แต่ยังไม่ทันหลับตาด้วยซ้ำเสียงป้ากาบแก้วก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง
“มีอะไรเหรอคะ ป้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า”
“เปล่า” กาบแก้วส่ายหน้าช้าๆ “แค่จะถามว่ารู้ได้ยังไงว่าป้านอนเจ็บอยู่ในบ้านน่ะ”
“พี่โก๋บอกมาน่ะสิ ไปปลุกวาฬถึงเตียงเลย” หญิงสาวตอบตรง
แบบไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ ทั้งนั้น “แต่หนูพูดแบบนี้ ป้าก็คงไม่เชื่อหรอก”
“เชื่อสิ เชื่อ” คนป่วยค่อยๆ พลิกตัวคะแคงมามองคนที่นอนอยู่บนโซฟา “เชื่อตั้งแต่หนูพูดครั้งที่แล้วแล้ว”
“พี่โก๋ยังไปไหนไม่ได้ เห้อ...หนูไม่รู้หรอกนะว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ ป้ากับพี่โก๋ทะเลาะอะไรกันยังไง
แต่ในสถานะพี่สาว พี่โก๋ยังห่วงป้ามาก” วาวารีบอก เพราะน้ำเสียงที่ร้อนรนของโก๋นั้นมันแสดงถึง
‘ห่วง’ ที่ยังผูกติดกับครอบครัวเอาไว้อย่างแน่นหนา
“พี่นิภาก็ด้วยนะคะ”
แล้ววารวารีก็หวังว่าความเป็นห่วงจากน้องชายที่กาบแก้วไม่เคยคิดจะเหลียวแลนั้น
จะทำให้กาบแก้วลดละทิฐิในใจลงมาบ้าง
“ถ้าป้าออกจากโรงพยาบาลไปได้ ป้าจะทำบุญไปให้มันบ้างก็แล้วกันนะ”
.....................
ณ โรงแรมในเครือ คิมคิราการ กรุ๊ป
ใครจะรู้ล่ะว่าวันนั้น...หลังจากที่วารวารีหญิงสาวที่มีสัมผัสพิเศษเดินเข้ามาในห้อง
จะทำให้เด่นคุณคิดแผนการอะไรดีๆ ออก
วันนั้นหลังจากที่มิรินทร์ออกจากห้องทำงานเขาไปแล้ว เด่นคุณก็ก้มหน้า
หากใครเห็นเข้าคงคิดว่าเขามีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจมากมาย ยากที่จะแก้ปัญหาตก
แต่ท่าทางชวนปวดหัวแบบนี้ กลับมีรอยยิ้มขบขันที่เก็บซ่อนเอาไว้ผุดขึ้น
แววตาเจ้าเล่ห์เปล่งประกายวาววาม ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังตามมา
“แกเสร็จฉันแน่ไอดีนน้องรัก!”
คำรำพึงรำพันปนเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทำให้ความมั่นใจที่เคยเหือดหายไปของเด่นคุณกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลัง ‘ถือไพ่เหนือกว่า’ สิ่งที่มองไม่เห็น
นั่นเพราะที่ผ่านมา หลังจากน้องชายเสีย เขาก็แทบไม่ได้เริ่มความสัมพันธ์กับใครอีกเลย
ความคิดเห็น